กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 807.1 การช่วงชิงแห่งเขียวและขาว
พบเฉาสือ เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ย “ตอนอยู่เมืองหลวงต้าตวน เจ้ายินดีสอนวิชาหมัดให้เผยเฉียนสี่ครั้ง ข้าต้องขอบคุณเจ้าไว้ ณ ที่นี้”
เฉาสือพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม รับคำขอบคุณจากอิ่นกวานหนุ่มอย่างผึ่งผาย ในอดีตเผชิญหน้ากับการถามหมัดติดต่อกันสี่ครั้งของเผยเฉียน ทุกครั้งเฉาสือออกหมัดอย่างมีความรู้ยิ่ง สอนหมัดเช่นนี้ เรียกได้ว่าตั้งใจอย่างมาก ในเมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธแล้ว
อีกอย่างในการถามหมัดครั้งที่สาม พลังอำนาจของเผยเฉียนหนักที่สุด ปณิธานหมัดสูงที่สุด กระบวนท่าหมัดใหม่ที่สุด เฉาสือยังโดนนางต่อยไปสองหมัด อีกทั้งยังโดนบนหน้า เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณคำหนึ่ง ไม่ว่ามองอย่างไรก็เป็นตนที่เสียเปรียบ ส่วนการถามหมัดครั้งสุดท้ายหลังจากแพ้ติดต่อกันไปสามครั้ง ผู้ฝึกยุทธหญิงที่อายุไม่มากคนนั้นคล้ายว่าจะอวดเก่ง ปล่อยกระบวนท่าหมัดที่เก็บตรงนู้นมาผสมกับตรงนี้ ต่อยหมัดได้เหมือนพวกนักสู้ในยุทธภพอย่างมาก
เฉาสือที่อยู่ตรงหน้าสวมชุดสีขาว สะอาดสะอ้านไม่แปดเปื้อนธุลีแม้สักเสี้ยว
ตอนที่เฉินผิงอันเป็นเด็กหนุ่มได้พบเจอกับเฉาสือบนหัวกำแพง รู้สึกเพียงว่าคนวัยเดียวกันผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ รูปโฉมงดงามหล่อเหลาคล้ายคนในกลุ่มเทพเซียน สูงส่งจนมิอาจปีนป่าย อยู่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง
ตอนนี้มาลองมองดูอีกที เฉินผิงอันก็มองสาเหตุออกในทันที ชุดคลุมยาวบนร่างของเฉาสือตัวนี้คือชุดคลุมอาคมตระกูลเซียนที่มีระดับขั้นของอาวุธเซียน ตามรายการบันทึกที่ถูกเก็บเป็นความลับของเอกสารในคฤหาสน์หลบร้อน ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของราชวงศ์ต้าตวนมีโชควาสนาลึกล้ำ เคยได้ครอบครองชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘หิมะใหญ่’ ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ผู้ฝึกตนเซียนดินสวมไว้บนร่างก็เหมือนอริยะที่นั่งพิทักษ์ฟ้าดินเล็ก ขณะเดียวกันยังสามารถเอามากักขัง ทรมานปรมาจารย์วิถีวรยุทธขอบเขตแปดและขอบเขตเก้าให้เป็นนักโทษของตัวเองได้ ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกยุทธที่พยศยากกำราบแค่ไหน เมื่อตกไปอยู่ในนั้น แขนขาทั้งสี่ก็แข็งทื่อ ผิวหนังแห้งแตก จิตวิญญาณได้รับความทรมาน ประหนึ่งหิมะใหญ่หลายชั้นที่กดทับลงบนต้นอู๋ถง เส้นเอ็นและกระดูเหมือนกิ่งหลิวที่ถูกหัก ส่งเสียงประหนึ่งเสียงหักกิ่งไม้
หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็นตัวที่อยู่บนร่างเฉาสือตัวนี้แล้ว
เรื่องอย่างการสวมชุดคลุมอาคมนี้ เฉินผิงอันคุ้นเคยดียิ่งกว่าผู้ใด ยิ่งระดับของชุดคลุมอาคมและขอบเขตวิถีวรยุทธสูงเท่าไร ชุดคลุมอาคมที่สวมก็ยิ่งเป็นเหมือนซี่โครงไก่มากขึ้นเท่านั้น ถึงขั้นที่ว่ายังกลับกลายมาเป็นตัวสยบกำราบร่างกายของผู้ฝึกยุทธเสียเอง
ไม่แน่ว่าในอดีตนี่อาจเป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจของเผยเปย ไม่ว่าเฉาสือจะตื่นมีสติหรือนอนหลับก็ต้องคอยฝึกหมัดอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหยุดพักแม้แต่นาทีเดียว
คุณสมบัติด้านการฝึกวรยุทธ พรสวรรค์ด้านการฝึกหมัด เดิมทีเฉาสือก็มีสูงจนสูงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
และในสายตาของเฉาสือ คนชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ในเมื่อทุกวันนี้คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งด้วย แต่ดูเหมือนจะยังคงเป็นเฉินผิงอันคนเดิมอย่างในปีนั้น
แต่คืนนี้เฉาสือมาเยือนสวนกงเต๋อ กลับดูเหมือนว่าจะไม่คิดออกหมัดทันทีทันใด
หรือว่าจะต้องรอโอกาสที่ ‘พูดไม่เข้าหูกันคำเดียว’ เสียก่อน? ยกตัวอย่างเช่นหลังจากพูดคุยเรื่องเก่าๆ กันแล้ว ไม่ทันระวังพูดถึงศิษย์พี่หม่าฉวีเซียนที่ขอบเขตถดถอย พูดถึงว่าฝักกระบี่ล้ำค่าแต่ไม่อาจขัดคำสั่งของอาจารย์ได้? หลักการเหตุผลเดียวกัน ตอนที่อยู่ป่าไผ่เฉินผิงอันสามารถพูดได้ เฉาสือที่มาสวนกงเต๋อก็สามารถอธิบายอีกรอบได้เช่นกัน?
ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้เฉินผิงอันก็ได้แต่ยิ้มเท่านั้น
ราวกับว่าเห็นภาพที่เฉาสือหน้าเขียวจมูกบวม
บนหัวกำแพงเมืองของเมืองหลวงต้าตวน ถามหมัดกับเฉาสือสี่ครั้งแต่พ่ายแพ้ทุกครั้ง ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เผยเฉียนพบเจออาจารย์พ่ออย่างเฉินผิงอันก็เล่าให้เขาฟังตามตรงแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เรื่องที่เฉาสือถูกนางต่อยไปสองหมัด เผยเฉียนกลับไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าแพ้สี่ครั้ง ปล่อยหมัดไปร้อยครั้งพันครั้ง ได้แต่ต่อยเฉาสือสองหมัด ยังมีหน้ามาเล่า คาดว่าคงต้องกินมะเหงกจากอาจารย์พ่อจนอิ่มเลยกระมัง?
เฉาสือถามอย่างใคร่รู้ “ยิ้มอะไร? เพราะว่ารับลูกศิษย์ที่ดีมาได้หรือ?”
อาจเป็นเพราะยังไม่ถึงโอกาสเหมาะสม จนถึงทุกวันนี้ตัวเฉาสือเองจึงยังไม่คิดจะรับลูกศิษย์
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่มีอะไร เรื่องของการฝึกหมัด เฉาสือไร้ศัตรูเทียมทาน ข้อนี้ข้ายอมรับ ส่วนเรื่องการสอนหมัดให้คนอื่น กลับขาดกำลังไฟอยู่บ้าง หากเปลี่ยนมาเป็นข้าย่อมไม่มีทางโดนต่อยมากถึงสองหมัด”
คำพูดประโยคนี้ก็มีแต่เฉินผิงอันนี่แหละที่พูดได้อย่างสบายอารมณ์เช่นนี้
ปีนั้นกลับคืนบ้านเกิดหลังจากเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีป อยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจหมายจะป้อนหมัดให้เผยเฉียนดีๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต ผลคือถูกต่อยหมัดเดียวก็ล้มคว่ำ ไม่มีหมัดที่สองจริงๆ
หลิวสือลิ่วปรากฏตัว สองแขนกอดอก เอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ยิ้มมองผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคน
น่าสนุกอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายถามหมัดกัน คนหนุ่มสองคนที่ต่างก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเส้นทางวรยุทธในใต้หล้า ไม่มีใครมีปราณสังหารแม้แต่น้อย ราวกับสหายรักสองคนที่จากกันไปนานหลายปีแล้วได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
แต่สามารถแน่ใจได้ว่า ขอแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะออกหมัด ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเลอะเลือน อีกทั้งยังจะต้องต่อสู้กันได้อย่างน่าดูมากแน่ๆ จวินเชี่ยนถึงขั้นรู้สึกว่าหากสองคนนี้ถามหมัดกัน ก็มีโอกาสจะตีกันได้อย่างน่าดูยิ่งกว่าจางเถียวเสียที่ถามหมัดต่อเผยเปยเสียอีก
หลิวสือลิ่วเพิ่งเคยเจอเฉาสือเป็นครั้งแรก โดดเด่นจริงๆ พูดถึงแค่รูปโฉม ศิษย์น้องเล็กก็สู้ไม่ได้แล้ว
กังวลว่าเฉาสือจะเข้าใจผิด หลิวสือลิ่วจึงโบกมือ “ข้าไม่ได้มาเข้าข้างเฉินผิงอันนะ ก็แค่อยากเห็นพวกเจ้าตีกันเท่านั้น”
เรื่องของวิชาหมัด หลิวสือลิ่วเป็นมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่ว่าชีวิตนี้ไม่เคยตั้งใจแสดงวิชาหมัดมาก่อน
เฉาสือกุมหมัดกล่าว “เฉาสือผู้ฝึกยุทธแห่งต้าตวนคารวะอาจารย์หลิว”
หลิวสือลิ่วผงกศีรษะรับ จากนั้นก็ยิ้มเอ่ย “ช่างเถิด ข้าไปดีกว่า แต่ข้าได้บอกกับอาจารย์ซีผิงไว้แล้วว่า หากพวกเจ้าสองคนอยากถามหมัดกันก็ไม่ต้องสนใจความเสียหายของสวนกงเต๋อ อาจารย์ซีผิงย่อมมีวิธีที่จะซ่อมแซมให้กลับคืนมาดีดังเดิม”
หลิวสือลิ่วไปจากที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนว่าหลิวสือลิ่วกำลังยุให้เฉาสือซ้อมเฉินผิงอันสักรอบ ศิษย์พี่ผู้นี้ช่างแปลกประหลาดไม่เหมือนใครจริงๆ
เฉาสือเอ่ย “อาจารย์ออกเดินทางไปที่ท่าเรือของกุยซวีฉิงจีแล้ว เพียงแค่ทิ้งฝักกระบี่ไว้ให้กับข้า”
กุยซวีสี่แห่งเชื่อมโยงสองใต้หล้าเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะถูกอาเหลียงหยอกเย้าว่าเป็นการเดินทางไกลที่มีเทพวารีเป็นผู้คุมกัน อริยะปราชญ์ ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลายจะต้องออกเดินทางกันไปก่อน ไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ยกตัวอย่างเช่นเจ้าลัทธิรองสองท่านของศาลบุ๋นและผู้อำนวยการของสถานศึกษาใหญ่สามท่านที่ได้เดินทางไปยังท่าเรือเทียนมู่แล้ว ต่อให้อวี๋เสวียนต้องผสานมรรคากับธารดวงดาว แต่กระนั้นก็ยังคอยจับจ้องท่าเรือเสินเซียงมาจากม่านฟ้า อีกทั้งหลังจากที่ฮว่อหลงเจินเหรินออกไปจากสวนกงเต๋อแล้ว อันที่จริงก็ได้มุ่งหน้าไปที่เสินเซียงเช่นกัน ส่วนเผยเปยต้องไปท่าเรือฉิงจี นอกจากนี้ก็มีซูจื่อหลิ่วชีที่จับมือกันเดินทางไกลไปยังท่าเรือรื่อจุ้ย
พลังต่อสู้ขั้นสูงสุดของใต้หล้าไพศาล ทุกคนล้วนต้องทยอยกันไปปรากฎตัวที่แนวเส้นที่หนึ่งของสนามรบเปลี่ยวร้างในอนาคต
หม่าฉวีเซียนที่บาดเจ็บสาหัสได้ถูกศิษย์น้องหญิงโต้วเฝิ่นเสียคุ้มครองไปส่งที่ราชวงศ์ต้าตวน ส่วนเลี่ยวชิงอ่ายยังรอคอยศิษย์น้องเล็กเฉาสืออยู่ หลังจากนั้นก็จะเดินทางไปที่เปลี่ยวร้างด้วยกัน
เฉินผิงอันมองฝักกระบี่ไผ่เหลือง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าเคยตรวจสอบเอกสารมากมาย มีข่าวลับที่เกี่ยวกับราชวงศ์ต้าตวน แล้วก็เคยสอบถามผู้อาวุโสซ่งและเทพภูเขาที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านวารีกระบี่ ตอนนี้อยากฟังเจ้าพูดบ้าง ไม่แน่ว่าอาจเป็นข้าที่ผิด”
กระบี่ประจำตัวของผู้อาวุโสซ่งชื่อว่า ‘ตั้งตระหง่าน (อี้หราน)’ ค้นหาตำราเก่าแก่ไปทั่วถึงเจอตำราที่ไม่สมบูรณ์แบบ เจอบันทึกที่บอกว่า ‘ประกายแสงผ่าห้าขุนเขา ปราณกระบี่ฟันแม่น้ำใหญ่’เพียงแต่ผู้อาวุโสซ่งไม่เคยเจอความเป็นมาที่เกี่ยวกับฝักกระบี่ ในอดีตเนื่องจากวาสนานำพาจึงเปิดกลไกเสาหินของบ่อลึกได้ ตอนที่ได้กระบี่โบราณตั้งตระหง่านมา ฝักกระบี่ไผ่เหลืองก็คือห้องกระบี่ของกระบี่โบราณเล่มนั้นแล้ว เฉินผิงอันเคยถามเทพภูเขาเกี่ยวกับกลไกของบ่อลึก ภายหลังลองพิจารณาจากอายุของเผยเปย สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปออกมา ก็คือเหตุผลข้อที่สองที่เฉินผิงอันถามหมัดต่อหม่าฉวีเซียน
ขอแค่มั่นใจว่า ‘อายุ’ ที่ฝักกระบี่ซึ่งไม่เคยเผยกายบนโลกเพราะอยู่ในบ่อน้ำลึกของหมู่บ้านวารีกระบี่มากกว่าอายุที่เผยเปยราชครูราชวงศ์ตวนได้ครอบครองกระบี่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เฉาสือส่ายหน้าเอ่ยว่า “กระบี่กับฝักไม้ไผ่แยกห่างกันนานหลายปีเกินไป จึงไม่อาจบอกได้ว่าใครคือเจ้าของ ตอนที่อาจารย์ได้กระบี่มา เดิมทีก็ไม่มีฝักกระบี่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามีเพียงกระบี่ไร้ฝัก เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก ดังนั้นปีนั้นอาจารย์จึงให้ศิษย์พี่ใหญ่ไปที่แจกันสมบัติทวีป อาศัยผลลัพธ์จากศาสตร์การดูดาวสืบสาวเบาะแสไปตลอดทาง สุดท้ายก็ถูกศิษย์พี่หาฝักกระบี่ไผ่เหลืองชิ้นนี้พบ”
กระบี่พกของเผยเปยคือกระบี่บรรพกาลที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่ง ชิงเสิน
กระบี่นี้มีชื่อเสียงมายาวนานมากแล้ว บวกกับที่เงียบหายไปนานเกินไป และภายหลังก็กลายมาเป็นไร้ชื่อไร้นาม กระทั่งเผยเปยไปพบเข้า
เฉาสือยกฝักกระบี่ในมือขึ้น เอ่ยว่า “อาจารย์บอกกับศิษย์พี่แล้วว่าให้ซื้อ หากผู้ที่ครอบครองฝักไม้ไผ่ไม่ยินดีขายก็ช่างเถิด ไม่จำเป็นต้องบังคับฝืนใจกัน”
อาจารย์ของเขา ราชครูของราชวงศ์ต้าตวนอย่างเผยเปย เทพีการต่อสู้แห่งใต้หล้าไพศาลนี้ นับตั้งแต่เด็กมาก็เงียบขรึมพูดน้อย ถูกคนวัยเดียวกันเรียกว่าเป็นหุ่นไม้ ผ่านอุปสรรคมามากมาย หลังจากฝึกวรยุทธตั้งแต่อายุยังน้อยก็ชอบแอบไปดื่มเหล้า แล้วยังตะกละดื่มด้วย
เด็กสาวหุ่นไม้ในอดีต วันแรกที่ฝึกวรยุทธก็อยากจะพูดคำว่า ‘ไม่’ กับเรื่องราวหลายๆ อย่างแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าเชื่อว่านี่คือความจริง”
เฉาสือเอ่ยต่ออีกว่า “แต่ศิษย์พี่ตัดสินใจเองโดยพลการ ถึงได้มีการบังคับซื้อขายที่แจกันสมบัติทวีปในปีนั้น ศิษย์พี่มีชาติกำเนิดมาจากแม่ทัพบู๊บนสนามรบ อายุน้อยก็เข้าร่วมกับกองทัพ เป็นผู้นำกองทัพชายแดนกองหนึ่งที่เก่งกล้ามากความสามารถที่สุดของราชวงศ์ต้าตวน ควบคุมดูแลพื้นที่หมื่นลี้ เฝ้าพิทักษ์ชายแดน ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาสามสิบกว่าปี หม่าฉวีเซียนมองความเป็นความตายอย่างเฉยเมยมานานมากแล้ว ทั้งของตัวเอง ของคนอื่น ทั้งสหายร่วมรบและศัตรู”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉาสือก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ช่วยใครแก้ตัวหรืออะไร เพียงแต่เรื่องบางอย่างต้องพูดกับเจ้าให้ชัดเจน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หลักการเหตุผลต้องพูดกันเช่นนี้”
มีเพียงจิตใจสงบเป็นกลางเท่านั้นถึงจะอธิบายเหตุผลได้อย่างแท้จริง
เฉาสือกล่าว “ศิษย์พี่แพ้วิชาหมัดที่ป่าไผ่ แล้วยังขอบเขตถดถอย สำหรับเรื่องนี้เขาเข้าใจดี ก็แค่รู้สึกว่าหมัดของตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้ ไม่ได้รู้สึกว่าในเรื่องของฝักไม้ไผ่ เขาเป็นคนผิด ข้าเอ่ยโน้มน้าวไปสองสามประโยค ศิษย์พี่ไม่ชอบฟัง หมัดเป็นหมัดของบ้านตัวเอง เรื่องเป็นเรื่องในบ้านตัวเอง บุญคุณความแค้นต้องจัดการแก้ไขเอง เป็นตายต้องรับผิดชอบเอาเอง ข้าที่เป็นศิษย์น้องจึงไม่พูดอะไรให้มากความอีก ดังนั้นข้าจึงเดาว่าวันหน้าศิษย์พี่จะยังต้องไปถามหมัดกับเจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากว่าชอบถามหมัดจริงๆ ก็เชิญให้เขามาถามได้ตามสบาย”
จะให้ไปห้ามหม่าฉวีเซียนที่ถามหมัดกี่ครั้งก็แพ้เท่านั้นคงไม่ได้กระมัง เพราะชั่วชีวิตนี้หม่าฉวีเซียนมีแต่จะแพ้แล้วแพ้อีก แพ้จนกระทั่งสุดท้ายเขาต้องยอมไปเป็นแม่ทัพบู๊บนสนามรบที่รวบรวมกำลังพลลงสนามรบต่อสู้แต่โดยดี
แต่เฉินผิงอันก็เอ่ยอีกว่า “ส่วนการถามหมัดของผู้อาวุโสเลี่ยว ข้าคิดไว้อีกแบบหนึ่ง จะเป็นแค่การประลองฝีมือกันระหว่างผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเท่านั้น”
เฉาสือยิ้มเอ่ย “เรื่องแบบนี้ แน่นอนว่าข้าเชื่อใจเจ้า”
ไม่อย่างนั้นคืนนี้เฉาสือก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนี้ แวะมาเยี่ยมเยือนถึงที่ มาหาเฉินผิงอัน แค่ออกหมัดก็พอแล้ว
เฉาสือโยนฝักกระบี่ในมือให้กับเฉินผิงอันเบาๆ
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ รับฝักกระบี่เอาไว้ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉาสือยังคงเป็นเฉาสือจริงๆ เสียด้วย”
เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่กลับมีกลิ่นอายเซียนมากกว่าผู้ฝึกตนในภูเขาเสียอีก
เฉาสือกล่าว “ข้าเป็นขอบเขตคืนสู่ความจริงแล้ว ตอนนี้เจ้ายังเป็นแค่ปราณโชติช่วง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งตีกัน รอให้เจ้าถึงคืนสู่ความจริงแล้วค่อยว่ากัน”
เฉินผิงอันเอ่ย “รอให้ข้าเป็นคืนสู่ความจริง เจ้าคงไม่ได้ไปถึง ‘เทพมาเยือน’ แล้วกระมัง?”
เฉาสือยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้ารอเจ้าไปแบบนี้ตลอดก็คงไม่ได้กระมัง”
เฉินผิงอันกล่าว “รอให้ข้าเดินทางท่องไปทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเสียก่อน ไม่ว่าขอบเขตของพวกเราจะยังต่างกันหรือไม่ ถึงเวลานั้นก็ยังจะไปถามหมัดต่อเจ้า”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็รีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “บางทีอาจจะยังเป็นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนเดิม?”
ดูจากนิสัยของเฉาสือแล้ว จะต้องไปใต้หล้าเปลี่ยวร้างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจไม่คิดอยู่ต่อที่ท่าเรือฉิงจี เลือกจะเดินทางไปเยือนเปลี่ยวร้าง บุกลึกไปถึงใจกลางเพียงลำพังก็เป็นได้
เฉาสือพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็นัดหมายกันไว้บนหัวกำแพงเมือง ที่เดิมไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่มีปัญหา”
แม้ว่าจะไม่ได้หวนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทันที แต่ก่อนหน้านี้อยู่บนหัวกำแพงเมือง ได้แต่มองใต้หล้าเปลี่ยวร้างตาปริบๆ มาเกือบยี่สิบปี มองจนตาข้าผู้อาวุโสปวดร้าวไปหมด ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะต้องไปเยือนสักครา
เทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวธวัลทวีปเคยตั้งเดิมพันว่าเฉาสือจะไม่พ่ายแพ้ โดยกำหนดเวลาในการเป็นเจ้ามือห้าร้อยปี
พวกคนฉลาดบนยอดเขาที่ข่าวสารว่องไว แต่ละคนล้วนรู้ชัดเจนดีอยู่แก่ใจว่า หลิวจวี้เป่าตั้งเดิมพันประหลาดเช่นนี้ขึ้นมา แท้จริงแล้วก็เพื่อคนวัยเดียวกันสองคนที่อายุยังน้อยทั้งคู่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธในใต้หล้าทั่วทั้งไพศาลสักเท่าไร
ที่ประหลาดยิ่งกว่าก็คือ คนสองคนที่ทุ่มเงินเดิมพันมากที่สุด ถึงกับเดิมพันว่าเฉาสือไม่อาจไม่แพ้หมัด
คนหนึ่งในนั้นก็คือฮว่อหลงเจินเหรินที่ขึ้นชื่อว่าออกจากบ้านไม่พกเงิน นอกจากนี้ก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่เก็บซ่อนตัวตนไม่บอกใคร
ทางฝั่งของศาลา ซิ่วไฉเฒ่ายกชายแขนเสื้อขึ้น มือหนึ่งคีบเม็ดหมาก อีกมือหนึ่งลูบหนวดถามว่า “จะไม่ตีกันแล้วใช่ไหม?”
หลิวสือลิ่วยิ้มกล่าว “ไม่แน่หรอก”
จั่วโย่วเอ่ย “ต้องตีกันแน่นอน”
จิงเซิงซีผิงที่ถูกซิ่วไฉเฒ่าลากให้มาเล่นหมากล้อมด้วยกันเอ่ยเตือนว่า “จะตีกันหรือไม่ข้าไม่สน เจ้าเอาหมากสองเม็ดนั้นวางกลับลงมาบนโต๊ะเสียดีๆ”
เจ้าแอบจับปลา (มาจากประโยคจับปลาในน้ำขุ่น เปรียบเปรยว่าฉกฉวยผลประโยชน์มาให้ตัวเอง) ก็ช่างเถิด แต่นี่จับทียังจับเม็ดหมากที่สำคัญต่อสถานการณ์บนกระดานหมากไว้ถึงสองเม็ด
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างเดือดดาล “เมื่อก่อนตอนที่สถานะในศาลบุ๋นของข้ายังไม่กลับคืนมาก็ยังจับได้เม็ดหนึ่ง ตอนนี้จับเพิ่มมาอีกเม็ด เจ้าจะเป็นอะไรนักหนา? บัณฑิตกล้ำกลืนความเสียเปรียบไม่ได้แม้แต่น้อยเลยหรือ แบบนี้จะได้อย่างไร”
——