กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 807.2 การช่วงชิงแห่งเขียวและขาว
จิงเซิงซีผิงชี้ไปยังกระดานหมาก “เอาไป หน้าไม่อายก็เอาไปอีกสักสองสามเม็ดสิ”
ซิ่วไฉเฒ่าอึ้งตะลึง รีบหยิบเม็ดหมากบนกระดานขึ้นมาอีกหลายเม็ดทันที “หึ นึกไม่ถึงว่าใต้หล้าจะมีคำขอร้องแบบนี้ด้วย น่าประหลาดนัก คงได้แต่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ยอมตามใจเจ้าแล้ว!”
ซีผิงไม่วางเม็ดหมากอีก เชิญเม็ดหมากทั้งหมดในมือกลับลงโถเก็บทันที
ซิ่วไฉเฒ่ามองสถานการณ์บนกระดานแล้วก็เอาเม็ดหมากมากมายในมือวางกลับลงไปตำแหน่งเดิม จากนั้นก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าจะชนะซีผิงบนกระดานหมากได้ หากแพร่ออกไปใครเล่าจะกล้าเชื่อ”
ซีผิงหัวเราะหึหึ “ทำไมไม่พูดว่าเมื่อก่อนเป็นเพราะลูกศิษย์คนสุดท้ายไม่อยู่ข้างกายก็เลยเก็บออมฝีมือการเล่นไว้เจ็ดแปดส่วนเสียเลยเล่า”
สองฝ่ายที่คุมเชิงกันห่างไปไกล
เฉินผิงอันมือถือฝักกระบี่ “มอบให้เจ้า?”
เฉาสือส่ายหน้า “ไม่ต้อง”
คนทั้งสองหมุนตัวกลับแทบจะเวลาเดียวกัน คนหนึ่งกลับศาลา ไปพบอาจารย์และศิษย์พี่ อีกคนหนึ่งเตรียมจะเดินออกไปจากสวนกงเต๋อ ไปพบกับศิษย์พี่หญิง
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่เดินไปสู่จุดสูงสุดของวิถีวรยุทธทั้งสองคน ต่างก็ยังพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นได้ สองฝ่ายเดินหันหลังให้กัน ฝีเท้าล้วนเชื่องช้า ท่วงท่าสุขุมเยือกเย็น
คนหนึ่งคิดว่าช่วยอธิบายเหตุผลให้เฉินผิงอันฟังแทนอาจารย์และศิษย์พี่จบแล้ว ดูเหมือนว่าตนก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำแล้ว มาเดินเล่นที่สวนกงเต๋อ? ดูเหมือนว่าจะน่าเสียดายนิดๆ
คนหนึ่งคิดว่าในยุทธภพมีปลาและมังกรปะปนกัน มีคนที่บุกเข้าในในยุทธภพ มีคนที่วิ่งหนีออกจากยุทธภพ มีคนที่คลุกคลีอยู่ในยุทธภพ บางคนตัวอยู่ในยุทธภพแต่กลับไม่อาจเป็นคนในยุทธภพได้ตลอดกาล
คนชุดขาวเฉาสือคิดถึงการเดิมพันที่ไม่แพ้ อิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง ได้ยินมาว่านั่งเป็นเจ้ามือหากำไรเก่งที่สุด ได้ลงเดิมพันบ้างหรือไม่?
คนชุดเขียวเฉินผิงอันคิดถึงเรื่องที่ตัวเองแพ้ติดต่อกันสามครั้ง ภายหลังลูกศิษย์ก็แพ้ติดต่อกันอีกสี่ครั้ง ไม่ว่าคิดอย่างไรก็รู้สึกแปลกพิกล
คนหนึ่งคิดว่าดูเหมือนชั่วชีวิตนี้ตนจะถูกถามหมัดมาโดยตลอด น้อยครั้งนักที่ตนจะมีความคิดอยากถามหมัดกับใคร วันนี้แสงจันทร์แสงดาวบางตา ฟ้าดินเงียบสงัด ดูเหมือนว่าเหมาะจะประลองฝีมือกับคนอื่นอย่างมาก
คนหนึ่งอยู่ดีๆ ก็คิดถึงผู้เฒ่าบนชั้นสองที่ก่อนจะสอนกระบวนท่าหมัดได้สอนสัจธรรมของหมัดก่อน บอกว่าเรียนวิชาหมัดสำเร็จแล้ว เมื่อส่งหมัดออกไป ต้องสอนให้ผู้ฝึกยุทธในใต้หล้ารู้สึกแค่ว่าท้องฟ้าอยู่เบื้องบน ความหมายยิ่งใหญ่ในการออกหมัดก็คือเบื้องหน้าไร้คน ตอนนี้ตนเดินอยู่อย่างนี้ แน่นอนว่าเบื้องหน้าไร้คน แต่ขอแค่หันกลับไปก็ไม่ใช่เบื้องหน้าไร้คนอีกแล้ว?
เฉาสือรู้สึกว่าหากจากไปทั้งอย่างนี้ เหมือนจะขาดความหมายอะไรบางอย่างไป
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเว้นเวลาห่างมาหลายปี คลาดกับเฉาสือไปคล้ายจะไม่เข้าท่า
ดังนั้นคนทั้งสองจึงหยุดเดินในเวลาเดียวกัน
เฉาสือยืนอยู่ที่เดิม ยื่นมือออกมา ใช้สองนิ้วจับปากชายแขนเสื้อของชุดคลุมยาวสีขาวหิมะบนร่าง สวมชุดคลุมอาคมตัวนี้แล้วค่อยออกหมัด ไม่ไวมากพอ
เฉินผิงอันโยนฝักกระบี่ไปทางศาลา ให้ศิษย์พี่จวินเชี่ยนช่วยเก็บรักษาไว้ให้ก่อนชั่วคราว หลังจากหยุดเดินแล้วก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น
เฉาสือหันหน้ากลับมา ยิ้มถามว่า “ประลองฝีมือกันสักครั้ง หยุดแต่พอสมควร?”
เฉินผิงอันเองก็หันกลับมา “เจ้าอายุมาก หมัดสูงกว่า เจ้าเป็นคนตัดสินใจ?”
นาทีถัดมาก็มองไม่เห็นเงาร่างของคนทั้งสองตรงจุดเดิมอีก ต่างคนต่างปล่อยหมัดแรกออกมาอย่างเต็มกำลัง
สวนกงเต๋อที่ค่ายกลตราผนึกมากพอจะสยบกำราบผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งได้ประหนึ่งภูเขาลอยพ้นจากพื้น เหมือนถูกเซียนหิ้วเอาไว้ในมือแล้วทุ่มลงไปในทะเลสาบ ลมปราณซัดกระเพื่อมรุนแรง ต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าที่อยู่ในรัศมีร้อยจั้งซึ่งมีผู้ฝึกยุทธหนุ่มทั้งสองเป็นจุดศูนย์กลางหักครึ่งแล้วปริแตกลงมาทั้งหมด
แม่น้ำแห่งกาลเวลาของใต้หล้าไพศาลจะอ้อมผ่านสวนกงเต๋อไปโดยอัตโนมัติ ในอดีตได้ถูกปรมาจารย์มหาปราชญ์ดึงเอากระแสน้ำไหลช่วงหนึ่งมากักไว้ในสวนกงเต๋อ เวลานี้มีจิงเซิงซีผิงเป็นผู้ควบคุม
จิงเซิงซีผิงยืนอยู่บนขั้นบันไดนอกศาลา สะบัดชายแขนเสื้อร่ายวิชาอภินิหาร เป็นเหตุให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลย้อนกลับ ความเสียหายที่มาจากพายุหมัดซัดแรงเหมือนน้ำตกของทั้งเฉาสือและเฉินผิงอันจึงกลับคืนสู่สภาพเดิมในชั่วพริบตา
หากรอให้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเสร็จแล้วค่อยปล่อยให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลย้อนกลับ แม้แต่ซีผิงก็ไม่กล้าแน่ใจว่าสวนกงเต๋อแห่งนี้จะเหมือนก่อนหน้าโดยไม่ผิดไปสักเสี้ยวหรือไม่
จั่วโย่วคลายตบะออกมาเล็กน้อย ปราณกระบี่บนร่างไหลเอ่อล้นออกมาปกป้องศาลา ป้องกันปณิธานหมัดที่ไหลเชี่ยวกรากบดฟ้าบังดินส่วนนั้นไว้ได้พอดี
หลังของเฉาสือแนบติดกับต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง ต้นป่ายโบราณด้านหลังโยกคลอนเบาๆ ยื่นมือมาตบรอยประทับตรงหน้าอก เสื้อของเฉาสือยังคงเป็นสีขาว เพียงแต่ว่าเก็บชุดคลุมอาคมอาวุธเซียนตัวก่อนหน้านี้ใส่ลงชายแขนเสื้อไปแล้ว
เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนราวรั้วสะพานหยกขาวห่างไปไกล ตรงหน้าผากมีรอยแดงน้อยๆ
ระหว่างคนทั้งสอง เดิมทีมีร่องลึกยาวหลายจั้งเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา เพียงแต่ว่าถูกจิงเซิงซีผิงใช้เวทคาถาปาดให้ราบเรียบ
เฉินผิงอันดีดปลายเท้าหนึ่งที เรือนกายพลันหายวับไป ในเมื่อมีคนช่วยเก็บกวาดซากเละเทะให้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องสนใจเรื่องมารยาทพิธีการอะไรแล้ว หลังจบเรื่องค่อยขออภัยอาจารย์ซีผิงก็ยังไม่สาย
สะพานหยกขาวใต้ฝ่าเท้าพลันสลายกลายเป็นผุยผง ลำพังเพียงแค่เหยียบลงไปเบาๆ หนึ่งที ปณิธานหมัดหนักอึ้งก็ทำให้มันจมลึกลงไปด้านล่าง ใต้พื้นดินมีเสียงฟ้าคำรามดังอื้ออึง
แม้หมัดของเฉินผิงอันจะเป็นรอง แต่ความห่างชั้นกลับไม่มากมายเหมือนปีนั้นตอนที่อยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกแล้ว
ดังนั้นหมัดเมื่อครู่นี้ตนเสียเปรียบมากกว่า แต่กลับไม่ถึงขั้นแม้แต่ชายเสื้อผ้าของเฉาสือก็ยังแตะไม่โดนอย่างแน่นอน
เดิมทีคิดจะใช้หมัดแทงไปที่ลำคอของเฉาสือ ปล่อยให้ตัวเองโดนหมัดของเฉาสือที่ต่อยมาแสกหน้าไปก่อน แต่พอทิ้งระยะห่างออกมาได้เล็กน้อย ศีรษะของเฉินผิงอันก็ผงะหงายไปด้านหลัง จากนั้นค่อยเปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือ ถือโอกาสตบลงไปบนหัวใจของอีกฝ่าย
หากเปลี่ยนมาเป็นพวกหม่าฉวีเซียน เจอกับกระบวนท่านี้เข้าไป อย่างน้อยต้องนอนแบ๊บบนเตียงหลายเดือนโดยที่พูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว
เฉาสือรู้มานานแล้วว่าเฉินผิงอันต่อสู้เก่งอย่างมาก เรือนกายแข็งแกร่งผิดปกติจนไร้เหตุผล ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ฝึกหมัดอย่างดุดัน วิธีการที่ใช้ป่าเถื่อนอย่างมาก แต่เมื่อครู่นี้เฉินผิงอันเจอกับหนึ่งหมัดเต็มๆ เข้าที่หน้าผากกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย นี่ทำให้เฉาสือรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
เรือนกายของทั้งสองฝ่ายเหมือนสายรุ้งยาว ก้าวออกไปง่ายๆ แค่ก้าวเดียวก็เหมือนเซียนบนภูเขาที่หดย่อขุนเขาสายน้ำ ต่างคนต่างอาศัยลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งลอดทะลวงอยู่ในสวนกงเต๋อไม่หยุด หากไม่ต่างคนต่างผลักกระบวนท่าของอีกฝ่ายออกได้ก็ต้องได้ใช้หมัดแลกหมัด ไม่มีทางที่ฝ่ายหนึ่งต่อยโดนคู่ต่อสู้ อีกฝ่ายต่อยลงบนความว่างเปล่าอย่างแน่นอน
แต่กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของเฉินผิงอันกลับไม่อาจปล่อยปณิธานหมัดเชื่อมโยงกันได้จริงๆ ระหว่างนั้นเฉาสือประกบสองนิ้ว ก่อนที่เฉินผิงอันจะส่ง ‘หมัดที่สอง’ ของท่าตีกลองสายฟ้าออกมา ก็ถึงกับปาดปณิธานหมัดที่หลงเหลืออยู่บนร่างทิ้งไปหมดสิ้นแล้ว
เมื่อเทียบกับอวี้เจวี้ยนฟูที่ปีนั้นพยายามสะบั้นปณิธานหมัดที่เชื่อมโยงติดต่อกันของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าแล้ว เฉาสือทำได้อย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์กว่ามากจริงๆ
เฉาสือเบี่ยงศีรษะ แต่กระนั้นก็ยังถูกหมัดที่พุ่งมาในแนวขวางต่อยเข้าที่จุดไท่หยาง ศีรษะของเฉาสือส่ายสะบัดอยู่สองสามที เพียงแต่ว่าฝีเท้ากลับมั่นคง แค่ขยับเท้าออกไปด้านข้างไม่กี่ก้าวเท่านั้น
เฉินผิงอันถูกสองหมัดของเฉาสือต่อยลงบนหน้าอก มองดูเหมือนสองมือปล่อยหมัดออกมาพร้อมกัน แต่กลับเป็นปณิธานหมัดสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นเหตุให้ไม่เพียงแต่สองเท้าของเฉินผิงอันลอยพ้นพื้น ร่างปลิวกระเด็นออกไปหลายสิบจั้งในชั่วพริบตา ฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ก็ยิ่งเหมือนถูกผู้ฝึกกระบี่ใช้กระบี่ฟันผ่าเอว เรือนกายผู้ฝึกยุทธยังดีหน่อย ได้รับบาดเจ็บไม่หนัก เฉินผิงอันย่อมมีวิธีสลายพละกำลังเกินครึ่งของสองหมัดออกไป เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณของผู้ฝึกตนกลับเหมือนมีกระแสน้ำซัดขึ้นลงอย่างรุนแรง ไม่ถือว่าสบายนัก
เฉาสือฉวยโอกาสนี้พุ่งมาด้านหน้า ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงมาหมายจะกดหัวเฉินผิงอัน
ระหว่างฟ้าดินก็มีเฉาสือชุดขาวอีกหลายคนที่ทยอยกันปรากฏตัวยังจุดอื่น ราวกับทำนายได้ล่วงหน้า ต่างคนต่างออกหมัด
ผลคือเฉินผิงอันเหมือนถูกเฉาสือทยอยต่อยหมัดใส่ทั้งหมดหกหมัด
ไม่ใช่ว่าหลบหมัดแรกมาได้ แต่เป็นเพราะสุดท้ายแล้วเฉาสือเลือกจะยกเท้าฟาดเข้าที่เอว และเฉินผิงอันก็หลบมาได้พอดี
ตอนที่เฉาสือเก็บหมัดก็รีบเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ทันที สองเข่างอลงเล็กน้อย เรือนกายหายวับไปไม่เหลือเงา
เฉินผิงอันพลิ้วกายไปทางศาลา ฝ่ามือตบลงบนสันหลังคาของศาลา พลิกตัวหมุนกลับ พลิ้วร่างลงบนจุดที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า แต่กลับไม่ได้สัมผัสพื้น ระหว่างนั้นเขาเองก็ผลัดเปลี่ยนลมปราณที่แท้จริงเหมือนกัน เรือนกายหายวับไปกลางอากาศ
แลกหมัดกันอีกคนละหมัด
ในรัศมีพื้นที่สามลี้ ปณิธานหมัดของสองฝ่ายซัดกระจายออกไป พายุหมัดขุ่นข้นโหมแรงประหนึ่งน้ำในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก เหมือนปราณกระบี่เล็กละเอียดนับล้านเส้นที่สลับถักทอกันอัดแน่นอยู่กลางอากาศว่างเปล่า
เป็นเหตุให้จิงเซิงซีผิงไม่อาจย้อนกลับเวลาได้ทันทีทันใด
เฉินผิงอันยืนอยู่ริมฝั่งของลำคลองสายหนึ่ง ยกมือขึ้นใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดมุมปาก
เฉาสือยืนอยู่บนพื้นผิวลำคลอง ลำคลองทั้งสายมีน้ำวนจำนวนนับไม่ถ้วน ล้วนเกิดขึ้นเพราะถูกพายุหมัดที่ปั่นป่วนวุ่นวายฉีกกระชาก
เฉินผิงอันยิ้มถาม “กระบวนท่าหมัดนี้มีชื่อหรือไม่?”
เฉาสือพยักหน้า “ดอกราตรี” (หรือดอกถานฮวา ดอกไม้แห่งรัตติกาล ดอกเป็นสีขาว บานเฉพาะตอนกลางคืน ในทางพุทธศาสนาจะเรียกว่าดอกราตรี ลักษณะของดอกราตรีของไทยกับดอกถานฮวาของจีนไม่เหมือนกัน แต่ในประโยคภาษาจีนมักจะใช้กับคำว่า 昙花一现 ซึ่งทางศาสนาพุทธจะหมายถึงชื่อเสียงหรือความเจริญรุ่งเรืองเกิดขึ้นในชั่วแวบเดียวเหมือนดอกราตรีบานเพียงชั่วข้ามคืน)
เฉินผิงอันผงกปลายคาง “เช็ดเลือดกำเดาหน่อย มีแค่พวกเราสองคน จะต้องพิถีพิถันไปทำไม หัดเลียนแบบข้าให้มาก”
มารดามันเถอะ ดอกราตรีอะไร ดอกราตรีบานเพียงชั่วข้ามคืน? ชื่อนี้ตั้งได้ไม่ดีเท่าไรเลยจริงๆ เรื่องของการตั้งชื่อนี้ก็ต้องเรียนรู้ไปจากข้าให้มากๆ เหมือนกัน
เฉาสือยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะฝืนกลืนเลือดในคอลงไปทำไม”
เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้ว
ฟ้าดินเล็กในร่างกายพลันเกิดภาพเหตุการณ์ประหลาดที่ไม่ดีอย่างภูเขาสายน้ำสะเทือนเลือนลั่น หรือว่านี่ต่างหากจึงจะเป็นแก่นแท้ของหมัดดอกราตรีนี้? ตอแยโรมรันพอๆ กับกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่แทงทะลุผ่าน?
บนลำคลองไม่เห็นร่างของคนชุดขาวแล้ว เพียงแต่ได้ยินเฉาสือยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “หมัดนี้ตั้งชื่อชั่วคราวว่าน้ำไหล”
นาทีถัดมา เฉินผิงอันถึงกับถูกหมัดหนึ่งต่อยจนร่างกระเด็นออกมาจากสวนกงเต๋อ กระแทกลงบนลานกว้างของศาลบุ๋น
แต่ไม่ถึงขั้นกลิ้งตลบไปตลอดทาง ใช้ข้อศอกยันพื้น พลิกตัวหมุนกลับ คนชุดเขียวพลิ้วกายลงบนพื้น
เฉาสือเดินก้าวหนึ่งออกไปจากตราผนึกของสวนกงเต๋อ มายังนอกศาลบุ๋น “เฉินผิงอัน จนถึงตอนนี้ยังสวมชุดคลุมอาคมอีกหรือ ไม่ถือสาเรื่องความต่างเพียงเสี้ยวสักนิดเลยหรือ? อยากจงใจรับหมัด ให้ข้าช่วยขัดเกลาเรือนกายก็ย่อมได้ นี่ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าแม้แต่แพ้ชนะเจ้าก็ยังไม่สนใจถึงเพียงนี้?”
เฉาสือหรี่ตาลง “ข้าคิดว่าเจ้ายังไม่ถึงขั้นต้องทำขนาดนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าคิดไปไกลแล้ว ข้ารู้สึกว่าคืนนี้เจ้าเอาฝักกระบี่มาคืน ไม่โดนหมัดเจ้าสักสองสามหมัด ในใจย่อมรู้สึกผิด”
พูดแบบนี้ก็จริง แต่คาดว่าเฉาสือคงไม่เชื่อ อันที่จริงเฉินผิงอันเองก็ยังรู้สึกว่าเหตุผลข้อนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เฉินผิงอันมีความลับที่ยากจะเอื้อนเอ่ยออกมา
เพราะเรื่องของการแบกรับชื่อจริงเผ่าปีศาจ เรือนกายของตนจึงลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง ง่ายมากที่สภาพจิตใจของเฉินผิงอันจะไม่มั่นคง บวกกับก่อนหน้านี้ยังโดนเจ้าเฒ่าขอบเขตสิบสี่ซึ่งหวนกลับจากนอกฟ้ามายังภูเขาทัวเยว่ที่แก่แล้วแต่ไม่มีศักดิ์ศรี เล่นงานไปอย่างชั่วร้าย ดังนั้นหากเฉินผิงอันปลดปล่อยฝีมือ ลงแรงเต็มกำลังจริงๆ การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเฉาสือครั้งนี้ หมัดเท้าจะถือโอกาสกระชากจิตแห่งมรรคา ทำให้เกิดจิตสังหารขึ้นโดยธรรมชาติ หากจับคู่เข่นฆ่ากับคนอื่นแล้วคิดจะแบ่งเป็นตายย่อมไม่เป็นปัญหา แต่การถามหมัดกับเฉาสือเป็นแค่การประลองฝีมือ จึงไม่เหมาะให้เขาลงมือเต็มที่จริงๆ
เฉาสือคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เพราะเดาเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้จึงคิดว่าจะหยุดมือ
ถามหมัดไม่มีความหมายแล้ว ยิ่งไม่น่าสนุก
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ถามว่า “เจ้าคิดค้นกระบวนท่าหมัดได้กี่มากน้อย?”
เฉาสือกล่าว “ไม่ถึงสามสิบ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “น้อยไปหน่อย”
เฉาสือถาม “ดูจากท่าทางแล้วต่อจากนี้เจ้าออกหมัดจะตั้งใจกว่าเดิมบ้างแล้ว?”
เฉินผิงอันหาวิธีสยบสภาพจิตใจของผู้ฝึกตนได้ชั่วคราว จึงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าสดชื่น “แต่บอกไว้ก่อนว่าอย่าไม่ทันระวังต่อยข้าจนตาย นอกจากนั้นเจ้าก็ทำได้ตามสบาย กระบวนท่าหมัดมากแค่ไหน ออกหมัดแรงเท่าไรล้วนไม่เป็นปัญหา”
เป็นครั้งแรกที่ก่อนจะปล่อยหมัด เฉาสือตั้งกระบวนท่าหมัดอย่างจริงจัง
ชุดสีขาวสะบัด ชายแขนเสื้อโบกแกว่งน้อยๆ เก็บปณิธานหมัดเข้าไปด้านในถึงขีดสุด
ทว่าบริเวณโดยรอบศาลบุ๋น ปราณวิญญาณฟ้าดินถึงกับเริ่มถดถอยออกไปด้วยตัวเอง
เฉาสือยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หมัดนี้มีชื่อว่ามังกรลงน้ำ ไม่เบาเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “แค่รับหมัดเท่านั้น”
ทางฝั่งของศาลา ซีผิงมีสีหน้าอ่อนใจ เอ่ยกับหลิวสือลิ่วว่า “จวินเชี่ยน ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้บอกว่าพวกเขาจะออกไปจากสวนกงเต๋อ จะตีกันไปตลอดทางจนถึงศาลบุ๋นเลยนะ”
จั่วโย่วที่มองดูกระบวนการถามหมัดของศิษย์น้องเล็กอยู่ตลอดยิ้มเอ่ย “อาจารย์ซีผิงเป็นผู้มีความสามารถย่อมต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
เมื่อครู่หลิวสือลิ่วบอกมาเรื่องหนึ่ง หากไม่พูดถึงกระบวนท่าหมัดลึกตื้น ปณิธานหมัดสูงต่ำ พูดถึงแค่เรือนกาย ศิษย์น้องเล็กก็เหนือกว่าหนึ่งระดับ
ผลคือถูกซิ่วไฉเฒ่าตบหัวไปคนละที “ศิษย์น้องเล็กถูกคนอื่นซ้อมแล้ว พวกเจ้ายังยิ้มอยู่ได้?!”
หลิวสือลิ่วยิ้มกล่าว “ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ทำให้เฉาสือออกหมัดอย่างเต็มกำลังได้นี่นา”
ก่อนหน้านี้เฉาสือถอดชุดคลุมอาคมบนร่างออก นี่ก็คือการยืนยันอย่างหนึ่ง
นี่หมายความว่าเฉาสือมีใจอยากให้รู้ผลแพ้ชนะ
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “บอกตามตรง ไพศาลมีเฉาสือคือความโชคดี”
โชคดีที่มีเฉาสือเดินอยู่เบื้องหน้า ถ้าอย่างนั้นลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างเฉินผิงอันที่เดินอยู่บนเส้นทางวิถีวรยุทธก็จะเดินได้มั่นคงมากเป็นพิเศษ
และเด็กเฉาสือคนนี้เดินได้สูงเท่าไร ไม่ว่าสูงแค่ไหน พวกคนเฒ่าคนแก่อย่างพวกซิ่วไฉเฒ่าก็ล้วนเห็นอยู่ในสายตา ต่างก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องดี
แน่นอนว่าซิ่วไฉเฒ่าย่อมต้องฝากความหวังไว้มากกับลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะเป็นความหวังมากแค่ไหนล้วนไม่เกินไป แต่เฉินผิงอันประชันขันแช่งกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นหลักการเหตุผลหรือการเรียนวรยุทธ จะเอาแต่คิดว่าใครที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามของเฉินผิงอันก็คือผิดหรือต่ำกว่าก็คงไม่ได้ แต่หากอีกฝ่ายถูกต้องและสูงกว่า ลูกศิษย์อย่างเฉินผิงอันที่เดินเหยียบลงไปบนพื้นได้อย่างมั่นคงก็จะถูกต้องยิ่งกว่า สูงยิ่งกว่า นี่ต่างหากถึงจะเป็นความคาดหวังที่แท้จริงที่ในใจลึกๆ ของซิ่วไฉเฒ่ามีต่อเฉินผิงอัน
——