กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 807.3 การช่วงชิงแห่งเขียวและขาว
มหามรรคาแห่งใต้หล้า ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การทะเลาะต่อยตีกันในหมู่ชาวบ้านที่ต้องแบ่งแพ้ชนะให้จงได้
บนมหามรรคาแต่ละเส้น คนที่ก้าวเดินอยู่บนนั้น คนที่มีเหตุผล อันที่จริงก็คือผู้ฝึกตนที่แท้จริง
เหตุผลยิ่งพูดยิ่งเถียงยิ่งชัดเจน หมัดเท้ายิ่งฝึกยิ่งฝนยิ่งหนักหน่วง จิตแห่งมรรคายิ่งขัดยิ่งเกลายิ่งใสกระจ่าง
จิงเซิงซีผิงพยักหน้าเอ่ยว่า “ขอแค่เฉินผิงอันตามทันเฉาสืออยู่ตลอด ต่อให้ถูกทิ้งห่างไปครึ่งช่วงตัว ก็ไม่ใช่ปัญหา ยังมีโอกาส”
ทุกวันนี้ทั้งสองฝ่ายห่างกันอยู่แค่ครึ่งก้าวเท่านั้น
อย่าเห็นว่าการถามหมัดของคืนนี้ เฉินผิงอันโดนหมัดค่อนข้างเยอะ แท้จริงแล้วโอกาสแพ้ชนะไม่ได้ห่างกันมากนัก หนึ่งเพราะรากฐานขอบเขตการเรียนวรยุทธของเฉินผิงอัน เดิมทีก็ถูกต่อยตีมาตลอดทาง นอกจากนี้ในเมื่อทั้งสองฝ่ายเพียงแค่แบ่งแพ้ชนะ ไม่แบ่งเป็นตาย การถามหมัดครั้งนี้สำหรับสองคนแล้ว ออกหมัดอย่างเต็มกำลัง ทว่าจิตสังหารไม่มากพอ จึงไม่ถือว่าเป็นการลงมืออย่างเต็มคราบสาแก่ใจ ในสายตาไม่เห็นใคร ในใจไร้อุปสรรคกีดขวางตามความหมายที่แท้จริงด้วยซ้ำ
หลิวสือลิ่วกล่าว “ต่อให้วันใดทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเทพมาเยือน ก็อาจจะมีการทิ้งระยะห่างกันเล็กน้อยอีกครั้ง ดังนั้นขั้นของคืนความจริงในอนาคต ศิษย์น้องเล็กจะต้องขัดเกลาให้ดีๆ”
เลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาก่อนจะถึงขอบเขตปลายทาง อาจเป็นเพราะมีสงครามใหญ่ที่ฝูเหยาทวีปให้ต้องรับมือ เฉาสือจึงเลื่อนขั้นอย่างฉุกละหุกเล็กน้อย แต่เฉินผิงอันที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลับมีสมาธิจิตใจไม่วอกแวกมากกว่า
ทุกวันนี้ก็ต่างกันอีกครั้ง
เฉาสือบริสุทธิ์เกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแรงใจของเขาผุดขึ้นมา ภาพบรรยากาศของการถามหมัดต่อจากนี้จะน่าตกใจอย่างมาก
หลิวสือลิ่วไม่มีทางเกิดอคติใดๆ ต่อคนหนุ่มอย่างเฉาสือเพียงแค่เพราะตนคือศิษย์พี่ของเฉินผิงอัน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ หลิวสือลิ่วชื่นชมพลังอำนาจบนร่างของเฉาสืออย่างมาก ก็เหมือนกับว่าเขากำลังใช้เหตุผลกับหลายใต้หล้า วิชาหมัดของข้าจะต้องไร้ศัตรูทัดทาน ทั้งไม่มีทางดูแคลนตัวเอง แล้วก็ไม่ลำพองใจ นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอย่างมาก คนอื่นจะยอมรับหรือไม่ก็ล้วนเป็นความจริง
กลับกันเมื่อศิษย์น้องเล็กหวนคืนสู่บ้านเกิด เขาต้องแบ่งสมาธิไปกับเรื่องมากมาย พูดถึงแค่สถานะของผู้ฝึกลมปราณ โดยเฉพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทั้งหลายของสถานะผู้ฝึกกระบี่ก็กลายเป็นภาระที่ไม่เล็กแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าถลึงตาใส่
หลิวสือลิ่วรีบเอ่ยขออภัยอาจารย์ทันที “ข้าปากไม่ดีเอง”
ร่างของจิงเซิงซีผิงเปล่งวูบหายไป มาปรากฏตัวอยู่บันไดขั้นบนสุดของศาลบุ๋น เจ้าสองคนนี้ตีกันจะเอาแต่คิดว่ามีคนคอยเก็บกวาดซากเละเทะให้ พวกเจ้าสองคนก็เลยทำตัวซื่อบื้อไม่สนใจสิ่งใด ต้องรื้อถอนศาลบุ๋นที่อยู่ข้างหลังให้ได้ถึงจะยอมเลิกราไม่ได้กระมัง
ผู้ฝึกตนใหญ่ที่มาร่วมการประชุม มาร่วมวงความครึกครื้น ส่วนใหญ่ล้วนออกไปจากอาณาเขตศาลบุ๋นกันหมดแล้ว ต่างคนต่างกลับบ้าน ต่างคนต่างมีธุระให้ต้องไปทำ
ดังนั้นหลังจบเรื่องจึงมีผู้ฝึกตนบนยอดเขาจำนวนไม่น้อยที่เสียดายอย่างมากที่พลาดเรื่องครึกครื้นในคืนนี้ไป
ไหนเลยจะคิดได้ว่า การประชุมเสร็จสิ้นลงแล้ว นอกจากแผนการชั่วร้ายบนภูเขาที่เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาดจนทำให้คนอกสั่นขวัญผวา มีแต่จะทำให้คนยิ่งก้าวเท้าเดินจากไปอย่างรีบร้อน ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนบางส่วนที่คิดว่าขอบเขตของตัวเองยังไม่สูงมากพอมีแต่จะเร่งให้เรือข้ามฟากออกไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะยังมีเรื่องสนุกใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ให้ดูอีก? จะมีการถามหมัดที่ถูกคนรุ่นหลังเรียกขานว่า ‘การช่วงชิงเขียวขาว’ ครั้งนี้เกิดขึ้น
เฉาชุดขาว เฉินชุดเขียว
ปรมาจารย์ใหญ่อายุน้อยสองคนถึงกับเอาสวนกงเต๋อและศาลบุ๋นเป็นสถานที่ถามหมัด ออกหมัดเหมือนมังกร พลังอำนาจพุ่งทะยานดุจสายรุ้ง
แม้ว่าจิงเซิงซีผิงจะโมโหอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถ่วงรั้งการชื่นชมการถามหมัดของผู้ไร้ขอบเขตท่านนี้ เขานั่งลงบนขั้นบันได หยิบเหล้าออกมาหนึ่งกา
เพราะถึงอย่างไรสามารถชมหมัดในระยะใกล้เช่นนี้เพียงลำพังได้ ก็ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก
การประชุมของศาลบุ๋นสิ้นสุดลงก็ปิดประตูใหญ่ ในสวนกงเต๋อนอกจากกลุ่มของซิ่วไฉเฒ่าแล้ว อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อคนอื่นๆ ที่ต้องอยู่ต่ออีกสองสามวันก็ยังอยู่ห่างไปค่อนข้างไกล ส่วนท่าเรือทั้งสี่แห่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำและผู้ฝึกลมปราณที่อยู่ในสถานที่อย่างอำเภอพ่านสุ่ย เกาะยวนยาง ต่อให้เซียนเหรินหรือซานจวินหูจวินสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของที่แห่งนี้แล้วมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออยู่ไกลๆ ไม่ต้องให้จิงเซิงซีผิงตั้งใจปิดบังอำพรางก็ไม่มีทางเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว นี่เป็นเพราะปณิธานหมัดที่กระจายออกไปของเฉาสือและเฉินผิงอัน
บนลานกว้างของศาลบุ๋น
รุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่ง แสงสีเขียวเส้นหนึ่ง เนื่องจากการออกหมัดและการพลิกตัวของทั้งสองฝ่ายเร็วเกินไป จึงถักทอออกมาเป็นเส้นแสงเขียวขาวแถบใหญ่
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งออกแรงเต็มกำลัง ก็ได้แต่ฟันลานกว้างหยกขาวให้เกิดเป็นร่องรอยเล็กน้อยเท่านั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ฝึกยุทธสองคนนี้ออกหมัดกันอย่างไรถึงกับสามารถทำให้ทุกหนทุกแห่งเป็นรอยปริแตก แล้วนี่ยังไม่ใช่ว่าจงใจออกหมัดต่อยลงบนพื้นด้วยซ้ำ จิงเซิงซีผิงที่มองดูอยู่จุ๊ปากเอ่ยชื่นชมไม่หยุด ใช้สิ่งนี้มาแกล้มเหล้า ดื่มอย่างมีรสชาติยิ่ง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบในใต้หล้าล้วนมีเรี่ยวแรงเหมือนมังกรเหมือนพญาคชสารเช่นนี้เลยหรือ?
หากเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นตอนที่หลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวนเมาหลับนอนกรนอยู่บนขั้นบันได เทียบกับผู้ฝึกยุทธสองคนนี้แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เสียมารยาทอะไรเลย
เฉาสือออกหมัด ปราณแห่งเซียนลอยล่อง โดนหมัดต่อยไม่มาก ต่อให้ชุดขาวจะถูกชุดเขียวต่อยใส่ ส่วนใหญ่ก็มักจะลดทอนปณิธานหมัดทิ้งไปในทันที แต่บางครั้งที่เฉาสือโซซัดโซเซถอยไปสองสามก้าวก็เป็นเรื่องปกติอย่างมาก
เฉินผิงอันเองก็ออกหมัดได้ไม่เลว เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ส่วนตอนที่โดนอัดนั้นก็มั่นคงดียิ่ง
ถึงกับไม่เคยล้มแล้วลุกไม่ขึ้นเลยสักครั้ง บ้างก็ใช้นิ้วบ้างก็ใช้ฝ่ามือบ้างก็ใช้ข้อศอกยันพื้น ก็สามารถลุกขึ้นมาได้แล้ว
อีกทั้งซีผิงยังเริ่มค่อยๆ ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้ค่อนข้างจะหน้าไม่อายนะ หากหมัดเบาก็ไม่เท่าไร ต่อยโดนตรงจุดไหนบนร่างของเฉาสือก็ได้ทั้งนั้น แต่หากมีโอกาสได้ปล่อยหมัดหนักๆ จะต้องต่อยเข้าหน้าเฉาสือให้ได้ทุกหมัด
ดังนั้นรอกระทั่งทั้งสองฝ่ายทิ้งระยะห่างจากกันแล้ว คนทั้งสองก็แทบจะพ่นลมหายใจขุ่นมัวและเลือดขุ่นคลั่กออกมาพร้อมกัน ต่างคนต่างผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กันอย่างรวดเร็ว
เสื้อผ้าของเฉินผิงอันขาดวิ่น ทั่วร่างเหมือนอาบไปด้วยเลือด แต่ว่ารอให้ยืนได้นิ่งแล้วเรือนกายก็มั่นคงไม่สะท้านไหว ลมหายใจหนักแน่น
ส่วนเฉาสือกลับหน้าเขียวจมูกบวม ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด
เฉาสือยื่นมือออกมาเช็ดหน้า พูดกลั้วหัวเราะอย่างฉุนๆ “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?!”
เอาแต่จะต่อยหน้าคนอื่นท่าเดียว สนุกนักหรือ?
เฉินผิงอันใช้พายุปณิธานหมัดกระเทือนเสื้อผ้าเบาๆ เลือดสดอาบเต็มร่างเหมือนดอกไม้ผลิบาน เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?!”
ข้าผู้อาวุโสก็ต้องช่วยลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขากอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาไม่ใช่หรือ?
ในศาลา ซิ่วไฉเฒ่าเป็นกังวลใจ รู้สึกสงสารยิ่งนัก ถามว่า “จวินเชี่ยน พอสมควรแล้วกระมัง?”
หลิวสือลิ่วส่ายหน้า “สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วนี่เพิ่งจะ…อุ่นมือกันเท่านั้นกระมัง กระบวนท่าหมัดมากมายที่เฉาสือคิดค้นขึ้นมายังมีข้อบกพร่องอยู่อีกไม่น้อย เขาเองก็ต้องการเอาศิษย์น้องเล็กมาเป็นหินลับเหมือนกัน”
จั่วโย่วพยักหน้าเอ่ยว่า “เฉินผิงอันประมือกับคนอื่น เชี่ยวชาญในด้านการเลี่ยงหนักเลือกเบา ดังนั้นถึงสามารถใช้บาดแผลแลกชีวิตบนสนามรบได้ คิดอยากจะเอาชนะเฉาสือในวันหนึ่งก็จำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับวิธีการออกหมัดของเฉาสือเสียก่อน ส่วนเฉาสือก็ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจเรื่องกระบวนท่าหมัด หรือแสวงหาปณิธานหมัดที่สมบูรณ์แบบบจากการออกหมัดหลายครั้งหรือหลายสิบครั้งทับซ้อนเป็นหนึ่งหมัดอะไรแล้ว เขาต้องการขอบเขตที่ลี้ลับบางอย่างที่สุดท้ายแล้วหมัดไม่ปล่อยลงบนความว่างเปล่าก็สามารถแบ่งแพ้ชนะหรือตัดสินเป็นตาย ดังนั้นก็พอดีเลย ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ”
เพราะความเคลื่อนไหวในการถามหมัดของทั้งสองฝ่ายรุนแรงเกินไป หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและเจิ้งโย่วเฉียนจึงพากันมาที่ศาลา
หลี่ไหวมองจนเหงื่อท่วมไปทั้งศีรษะ เรื่องอย่างการเรียนวรยุทธฝึกวิชาหมัดนี้ไม่เหมาะกับตนจริงๆ ด้วย ยังคงเป็นการเรียนหนังสือที่ดีกว่า
เจิ้งโย่วเฉียนเคยได้ยินมาว่าเฉาสือก็เป็นคนที่ฆ่าปีศาจบนสนามรบของสองทวีปราวกับผักปลา
เจิ้งโย่วเฉียนจึงอดไม่ไหวหันไปมองอาจารย์อาน้อยอีกรอบ ถามหลิวสือลิ่วเสียงสั่นว่า “อาจารย์ อาจารย์อาน้อยไม่เจ็บหรือ?”
หลิวสือลิ่วยิ้มกล่าว “บาดแผลพวกนั้นหากนั้นปรากฏอยู่บนร่างของคนอื่น ป่านนี้คงลงไปกลิ้งชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นนานแล้ว แต่อาจารย์น้อยของเจ้ากลับยังสบายดี”
เอ่ยประโยคนี้จบ หลิวสือลิ่วก็รีบยกสองมือขึ้น จึงดังคาด รับฝ่ามือของอาจารย์ไว้ได้พอดี
จั่วโย่วเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “พูดง่ายๆ ก็คือเฉาสือกำลังแสวงหาขอบเขตของการเรียนวรยุทธที่การถามหมัดเป็นแค่เรื่องของหนึ่งหมัดเท่านั้น แต่อาจารย์อาน้อยของเจ้ากลับต้องการตามหาวิธีการที่สามารถทำความคุ้นเคย นำมาปรับใช้และไขเค้าโครงของขอบเขตไร้ศัตรูทัดเทียมของเฉาสือ หากพูดให้ดูเลื่อนลอยอีกหน่อย…”
หลี่เป่าผิงพูดพึมพำเหมือนรับคำต่อจากประโยคนี้ของอาจารย์ลุงจั่ว “อาจารย์อาน้อยกับเฉาสือ…ต่างก็เป็นคนที่เบื้องหน้าไร้ผู้คน”
สายตาจั่วโย่วฉายแววปลาบปลื้ม บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ “คำพูดของเป่าผิงประโยคนี้พูดได้แม่นยำมาก ประโยคเดียวอธิบายได้เลย”
เป็นเหตุให้การถามหมัดของทั้งสองฝ่าย คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสองอย่างแท้จริง แท้จริงแล้วคนหนึ่งคือเฉาสือในอนาคต อีกคนหนึ่งคือเฉินผิงอันในวันหน้า
เห็นแก่เป่าผิงน้อย มือของซิ่วไฉเฒ่าที่ยกขึ้นมาแล้วจึงวางลง ตบลงบนไหล่ของจั่วโย่วเบาๆ
บนลานกว้างของศาลบุ๋น
กลุ่มของพวกอาจารย์ที่มีอาจารย์ลี่เป็นหนึ่งในนั้นต่างพากันปรากฏตัว เพราะต่างก็ได้ข่าวจึงเร่งรุดเดินทางมาดื่มเหล้าชมศึก คิดเสียว่ามีภาระงานยุ่งวุ่นวายจึงต้องหาโอกาสมาผ่อนคลายอารมณ์บ้าง
ผลคือเจ้าเด็กสองคนที่อายุไม่มากกลับวางมาดเสียใหญ่โต ราวกับว่าไม่ยินดีจะถูกคนนอกจับจ้องมองมา จึงถึงกับพากันทะยานร่างพ้นจากพื้น ตรงไปถามหมัดบนม่านฟ้าในเวลาเดียวกัน
หนึ่งแสงเขียวหนึ่งแสงขาวจับมือกันเดินทางไกลไปยังม่านฟ้า ระหว่างนั้นก็แลกหมัดกันไม่หยุด ต่างคนต่างถอยร่น แล้วชั่วพริบตาก็พุ่งเข้าปะทะกันอีก ในอาณาเขตของศาลบุ๋นมีแต่เสียงฟ้าร้องสะเทือนเลือนลั่น ชาวบ้านไม่น้อยพากันตกใจสะดุ้งตื่น ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าผลักหน้าต่างออกดู ดวงจันทร์ลอยสูง ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกลงมาเลยนี่นา หรือว่ามีเซียนซือประลองเวทอาคมกันอีกแล้ว เพียงแต่ว่าฟังจากเสียง เหมือนจะอยู่กลางอากาศเหนือศาลบุ๋นพอดี ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่ท่าเรือต่างๆ ที่มีเทพเซียนมากมายมารวมตัวกันด้วยซ้ำ เกิดอะไรขึ้น ทางฝั่งของศาลบุ๋นไม่ควบคุมบ้างเลยหรือ?
จิงเซิงซีผิงไม่ได้ดึงแม่น้ำแห่งกาลเวลาให้ไหลย้อนกลับเพื่อซ่อมแซมลานกว้างของศาลบุ๋นในทันทีทันใด เพียงแต่เก็บกาเหล้า แหงนหน้ามองท้องฟ้า
อาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งนั่งยองอยู่บนพื้นหยกขาว ยื่นนิ้วออกมาปาดลูบรอยปริแตก แล้วจึงกวาดตามองไปรอบด้าน รอยแตกร้าวเต็มไปทั่วทุกหนทุกแห่ง จึงอดไม่ไหวทอดถอนใจอย่างตกตะลึง “ผู้ฝึกยุทธตีกันรุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ? อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นปล่อยกระบี่ออกไปก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือไร?”
ซีผิงส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่ออกกระบี่ แค่ถามหมัดอย่างเดียว”
อาจารย์ผู้เฒ่าลี่ใช้เสียงในใจสอบถาม “อาจารย์ซีผิง หากเจ้าเด็กนั่นออกกระบี่ ไม่จำกัดสถานะอยู่ที่ผู้ฝึกยุทธอย่างเดียว ถ้าอย่างนั้นการต่อสู้ครั้งนี้โอกาสแพ้ชนะจะเป็นอย่างไร?”
ซีผิงกล่าว “ยังคงเป็นเฉาสือที่ชนะ แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล”
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าบนโลกใบนี้จะไม่มีเซียนกระบี่อิ่นกวานอีก และขณะเดียวกันในอนาคตใต้หล้าไพศาลก็จะขาดเทพแห่งการต่อสู้เฉาสือไปคนหนึ่ง
อาจารย์ผู้เฒ่าลี่ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เจอกับเจ้าเด็กนี่ พูดคุยกันไปสองสามประโยค ก็ดูเป็นเด็กที่มีมารยาทดีนะ คนเราไม่อาจดูกันแค่ภายนอกได้จริงๆ คนที่อายุน้อยๆ ก็เป็นอิ่นกวานได้แล้ว แต่พอถูกคนมองอย่างเย็นชา ต้องกินน้ำแกงประตูปิดไปตลอดทางก็ไม่เห็นว่าเขาจะโมโหเลยสักนิด”
ตอนที่คนหนุ่มพูดคุยกับผู้เฒ่า เขานั่งอยู่บนขั้นบันได สองมือวางทับซ้อนกันเบาๆ ไว้บนหัวเข่า แล้วยังเบี่ยงตัวน้อยๆ มองสบตากันตรงๆ ตลอดเวลา
ผู้เฒ่าปฏิบัติต่อคนรุ่นเยาว์ ฝ่ายหลังฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา หรือพูดจาห้าวหาญอะไรนั่น เห็นแล้วได้ยินแล้วก็ปล่อยผ่าน ไม่ว่าใครก็เคยอ่อนเยาว์มาก่อน ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด กลับกลายเป็นว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเสียอีกที่กลับทำให้ผู้เฒ่าจดจำได้อย่างแม่นยำ
ดังนั้นด้านนอกศาลบุ๋นจึงรู้สึกว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นกำเริบเสิบสานอย่างถึงที่สุด
ทว่าอริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นและอาจารย์ทั้งหลายจำนวนไม่น้อยในศาลบุ๋นอาจจะมองเห็นอะไรมากกว่านั้น
คนหนุ่มที่ชุดที่สวมใส่ยังพอจะถือว่าเป็นสีเขียวได้อยู่ คล้ายว่าถูกหมัดหนักๆ ไปหมัดหนึ่ง หัวทิ่มพื้นดิน หล่นจากม่านฟ้าลงสู่พื้นดินมาเป็นเส้นตรง พออยู่ในระดับความสูงที่ขยับเข้าใกล้หลังคาศาลบุ๋นก็พลิกตัว พลิ้วกายลงบนพื้น
คนชุดขาวปรากฏตัวตามมา มายืนอยู่ด้านข้าง
เฉาสือกุมหมัดเอ่ยขออภัยอาจารย์ซีผิงที่อยู่ตรงขั้นบันได ครั้นจึงจากไป
เฉินผิงอันเองก็กุมหมัด จากนั้นจึงหวนกลับไปยังสวนกงเต๋อ
เลี่ยวชิงอ่ายได้พบกับเฉาสือแล้วก็ไม่กังวลเลยสักนิดว่าศิษย์น้องคนนี้จะถามหมัดแพ้ ดังนั้นประโยคแรกที่นางพูดจึงเป็นประโยคว่า “ก่อนหน้านี้ข้าบอกจะถามหมัดกับเขาภายในสามสิบปี ใช่ว่าไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเกินไปหน่อยหรือไม่?”
เพียงแต่ว่าคำพูดประโยคนี้หลุดออกจากปาก เลี่ยวชิงอ่ายที่เป็นศิษย์พี่หญิง เอ่ยกับศิษย์น้องอย่างเฉาสือก็รู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุขอยู่บ้าง ประหนึ่งนักเรียนคนหนึ่งที่เผชิญหน้ากับอาจารย์
และหลายปีมานี้เรื่องของการฝึกหมัด เนื่องจากเผยเปยผู้เป็นอาจารย์ไม่อยู่ข้างกายบ่อยๆ เพราะจำเป็นต้องช่วยงานเรื่องกองทัพของแคว้น หรือไม่อย่างนั้นก็ไปเฝ้าพิทักษ์ท่าเรือของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ดังนั้นเลี่ยวชิงอ่ายจึงถามหมัดขอความรู้จากเฉาสือมากกว่า แน่นอนว่าเพื่อสอนหมัดป้อนหมัดให้กับนาง แม้ทั้งสองฝ่ายจะมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่บางครั้งเลี่ยวชิงอ่ายกลับเห็นเฉาสือเป็นอาจารย์ครึ่งตัวไปตามจิตใต้สำนึก
เฉาสือยิ้มบางๆ “ศิษย์พี่หญิงมีความคิดเช่นนี้ก็เป็นความรู้สึกปกติของคนทั่วไป ไม่มีอะไรให้ต้องลำบากใจ หากศิษย์พี่หญิงสามารถล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ข้ารู้สึกว่าถือเป็นการถามหมัดครั้งแรกกับเฉินผิงอัน ไม่ใช่เรื่องร้าย แต่เป็นเรื่องดี”
เลี่ยวชิงอ่ายได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ไม่รู้สึกลำบากใจเลยแม้แต่น้อย
นางมองศิษย์น้องที่ ‘ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง’ แวบหนึ่ง เพราะในความทรงจำของนางเฉาสือไม่เคยทุลักทุเลขนาดนี้มาก่อน
เฉาสือพูดหน้าเคร่ง “เฉินผิงอันสภาพอนาถกว่าข้ามากนัก”
พูดประโยคนี้จบ ดูเหมือนเฉาสือจะรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างน่าขำจึงหัวเราะออกมา
เลี่ยวชิงอ่ายมองศิษย์น้อง ไม่รู้ว่าใต้หล้าจะมีสตรีคนใดที่คู่ควรกับคนชุดขาวข้างกายนางผู้นี้
——