กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 807.4 การช่วงชิงแห่งเขียวและขาว
ไปถึงที่ศาลา หลิวสือลิ่วกดบ่าเฉินผิงอัน ตรวจสอบภาพเหตุการณ์อันเล็กละเอียดในขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ของฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ของศิษย์น้องเล็ก ก่อนจะพยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ยังดี พักรักษาตัวแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ปัญหาไม่มาก แต่ช่วงนี้อย่าไปลงไม้ลงมือกับคนอื่นอีกล่ะ ไม่อย่างนั้นจะต้องมีโรคแฝงทิ้งไว้แน่นอน จะต้องระมัดระวังให้มาก”
เฉินผิงอันผงกศีรษะให้กับศิษย์พี่จวินเชี่ยน จากนั้นจึงหันไปยิ้มเอ่ยกับพวกหลี่เป่าผิง “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง”
เหมือนว่าฟันจะสั่นกระทบกันอยู่บ้าง ตอนพูดจึงฟังอู้อี้ไม่ค่อยชัดเจน
จั่วโย่วบอกให้พวกหลี่เป่าผิงสามคนออกไปจากศาลาก่อน
ถามหมัดสิ้นสุดลงแล้ว นอกจากรักษาบาดแผล เลือดลม ปราณกระบี่และจิตสังหารบนร่างของเฉินผิงอันยังเข้มข้นเกินไป
โดยเฉพาะเจิ้งโย่วเฉียนที่หลังจากอาจารย์อาน้อยปรากฏตัวในศาลา เจ้าภูตน้อยก็หน้าซีดขาวทันที
จวินเชี่ยนถึงได้หยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งมายื่นส่งให้เฉินผิงอัน “กินสามเม็ดทุกวัน พร้อมๆ กับอาหาร หนึ่งเดือนให้หลัง ทุกวันให้ลดเหลือเม็ดสองเม็ด เจ้าดูสภาพการณ์การฟื้นตัวของร่างกายเอาเอง วิเคราะห์ไปตามสถานการณ์”
แขนขวาของเฉินผิงอันห้อยลู่ลง ร่างทั้งร่างนั่งแหมะอยู่บนม้านั่งยาว รีบใช้มือซ้ายเปิดขวดกระเบื้อง เทยาหนึ่งเม็ดออกมาโยนใส่ปากเบาๆ ทันที
ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่ด้านข้างคลี่ยิ้มกว้างสดใส ยกนิ้วโป้งให้กับลูกศิษย์คนสุดท้ายผู้นี้
ไม่ว่าจะเรียนวิชาหมัด ฝึกกระบี่ ศึกษาหาความรู้ ร่ายบทกลอนแกะสลักตราประทับ ทำการค้า หาภรรยา แตกกิ่งก้านสาขาให้กับสายบุ๋น ล้วนเก่งกาจในทุกด้าน
เฉินผิงอันยิ้มกว้างให้อาจารย์
อันที่จริงสำหรับเรื่องของการรักษาบาดแผล การพักฟื้น เป็นเรื่องที่เฉินผิงอันถนัดยิ่งกว่า
ดังนั้นคืนนั้นเมื่อกลับไปถึงที่พัก เขาจึงทำทุกอย่างไปตามขั้นตอนอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย
ครึ่งคืนหลัง เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่เอ่ยอะไรสักคำเดียว
ดูเหมือนว่าดึกดื่นค่อนคืนนี้อาจารย์จะออกมาเดินเล่นเพียงลำพัง ตอนที่เดินผ่านมาก็หยุดชะงักอยู่แค่ครู่เดียว ไม่ได้รั้งรออยู่นานนัก
เฉินผิงอันจึงทำสมาธิต่ออีกครั้ง ใช้มือทำมุทรากระบี่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง
เช้าตรู่ของวันนี้ เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง สังเกตเห็นว่ามีเพียงศิษย์พี่จั่วโย่วที่นั่งอยู่ในลานบ้าน กำลังอ่านหนังสือ
เหลือบตามามองเฉินผิงอันแวบหนึ่งแล้วจั่วโย่วก็เอ่ยว่า “ข้าบอกกับพวกเป่าผิงว่าไม่ต้องรีบร้อนมาหา ตอนบ่ายค่อยว่ากัน”
จั่วโย่วอ่านหนังสือต่อ
เฉินผิงอันนั่งลงด้านข้าง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
จั่วโย่วไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “มีอะไรก็ว่ามา”
เฉินผิงอันจึงแข็งใจเอ่ยว่า “ศิษย์พี่พอจะรู้ว่าเจี่ยงหลงเซียงเป็นคนอย่างไร แต่ศิษย์พี่กลับยากที่จะเป็นศัตรูกับเจี่ยงหลงเซียงอย่างแท้จริงได้”
จั่วโย่ววางตำราในมือลง หันตัวมาถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันให้คำตอบที่เตรียมไว้ในใจ “เพราะศิษย์พี่คือบัณฑิต ต่อให้เวทกระบี่จะสูงแค่ไหน ออกกระบี่ก็ยังทำตามกฎเกณฑ์ เคารพกฎระเบียบ บวกกับที่ศิษย์พี่ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเจี่ยงหลงเซียงทำเรื่องอะไรลงไปบ้าง เรื่องดี เรื่องร้าย ล้วนไม่รู้แน่ชัด ส่วนเรื่องใดบ้างที่เจี่ยงหลงเซียงทำไปเพราะตั้งใจทำความดี เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในราชสำนัก หรือมีเรื่องใดบ้างที่ไม่มีใจคิดจะทำดี ศิษย์พี่ก็มีแต่จะยิ่งไม่รู้ ในเมื่อไม่รู้ ศิษย์พี่เผชิญหน้ากับเรื่องราวและคนเหล่านี้ แท้จริงแล้วจะเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอย่างมาก”
จั่วโย่วสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางศิษย์น้องเล็กที่กำลังสั่งสอนศิษย์พี่อย่างตน
“ข้ารู้”
เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเองต่อ “ข้าก็เหมือนเป็นนักบัญชีของเจี่ยงหลงเซียง จะช่วยเขาทำบัญชีจดบันทึกแบบที่ไม่คิดเงิน เจี่ยงหลงเซียงจ่ายเงินห้ามไม่ให้ข้าทำก็ไม่ได้ ดังนั้นรับมือกับคนอย่างเจี่ยงหลงเซียงนี้ ข้าจึงเชี่ยวชาญกว่าศิษย์พี่มาก ข้ารู้ว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้พวกเขาเจ็บปวดอย่างแท้จริง ต่อให้เคยเผชิญกับความยากลำบากจากข้าไปแค่ครั้งเดียว ก็สามารถทำให้พวกเขาหวาดกลัวไปชั่วชีวิตได้”
คิดอยากจะให้คนชั่วมีคนชั่วเหมือนกันมาจัดการ ย่อมไม่ถูก แต่หากคนชั่วมีเพียงคนชั่วที่สามารถจัดการได้ ก็ไม่ถูกอีกเหมือนกัน ใช้เรื่องเลวร้ายมาทรมานคนชั่ว ใช้ความตรงไปตรงมาแก้แค้น ใช้คุณธรรมตอบแทนคุณธรรม
เอ่ยประโยคพวกนี้ออกมา เฉินผิงอันเตรียมตัวพร้อมรับเพลิงโทสะจากศิษย์พี่เอาไว้แล้ว
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคำกล่าวที่ไม่ให้ความเคารพกัน
เพียงแต่หากไม่พูดออกมาก็ต้องอัดอั้น เขาอยากพูดมานานมากแล้ว
จั่วโย่วกล่าว “พูดต่อสิ”
ห่างไปไกล ซิ่วไฉเฒ่ากับจวินเชี่ยนกำลังหลบแอบมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ อาจารย์และศิษย์สองคนกลั้นลมหายใจ มองเรื่องสนุก…ตาไม่กะพริบ
ทางฝั่งนี้เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ศิษย์พี่ ข้าพูดความในใจหมดแล้ว จะถือว่ามีเหตุผลหรือไม่ ศิษย์พี่เป็นคนตัดสินใจ”
จั่วโย่วมองเฉินผิงอัน แต่แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
เฉินผิงอันไม่เคยเห็นสายตาที่ให้การยอมรับเช่นนี้จากศิษย์พี่มาก่อน
ในความทรงจำ มีเพียงตอนอยู่กับพวกผู้เยาว์เท่านั้น ศิษย์พี่จั่วถึงจะมีสีหน้าเช่นนี้
จั่วโย่วพยักหน้ายิ้มรับ “ไม่ได้อ่านตำรามาเสียเปล่า สามารถอธิบายเหตุผลกับศิษย์พี่ได้แล้ว”
เฉินผิงอันยังคงกระวนกระวายไปตามความเคยชิน “ศิษย์พี่พูดความจริงในใจ หรือว่าแอบจดบัญชีไว้ในใจกันแน่?”
ต้องรู้ว่านักบัญชีของสายบุ๋นบ้านตน แต่แรกมาก็คือศิษย์พี่คนนี้
จั่วโย่วส่ายหน้า “เจ้าที่เป็นศิษย์น้องจะเอาแต่รู้สึกว่าตัวเองสู้ศิษย์พี่ไม่ได้สักเรื่องอยู่ตลอดไม่ได้ หากอยู่กับข้าแล้วได้แต่รับปากลูกเดียว อาจารย์รับเจ้ามาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายจะมีความหมายอะไร?”
ห่างไปไกล ซิ่วไฉเฒ่าที่มองภาพเหตุการณ์จากในฝ่ามือของจวินเชี่ยนอดไม่ไหวเอ่ยสั่งสอนว่า “ก็มีแต่เจ้านี่แหละที่พูดมาก วางมาดเสียใหญ่โต”
หลิวสือลิ่วที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “ศิษย์พี่จั่วต้องเปลี่ยนตัวเองเสียบ้าง ชอบรังแกศิษย์น้องเล็กเช่นนี้ ขนาดข้าก็แทบจะทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที “เหตุใดตอนอยู่ข้างกายจั่วโย่วไม่เห็นเจ้าพูดแบบนี้บ้าง?”
หลิวสือลิ่วตอบกลับ “ในเมื่อมีอาจารย์อยู่ก็ไม่ถึงคราวที่ศิษย์จะพูดจาทวงความเป็นธรรม”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า พึงพอใจอย่างมาก
เจ้าโง่ใหญ่ผู้นี้ แท้จริงแล้วคือคนที่ไม่เสียเปรียบมากที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาไม่ว่าเรื่องสนุกอะไรก็ร่วมวงไปดูกับเขาทั้งหมด แต่ไม่เคยถูกด่า ไม่เคยถูกซ้อม
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืน โบกมือเป็นวงกว้าง “ไป พวกเราไปช่วยสนับสนุนศิษย์น้องเล็กของเจ้ากัน”
หลิวสือลิ่วเดินตามไปด้านหลัง
ทางฝั่งศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคน เฉินผิงอันสองจิตสองใจอยู่เล็กน้อย “การที่พูดเรื่องนี้ก็เพราะหวังว่าวันหน้าหากศิษย์พี่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้ยินเรื่องบางอย่างแล้วจะไม่โกรธ”
จั่วโย่วกล่าว “ยกตัวอย่างเช่นแจกันสมบัติทวีป ใบถงทวีป?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บางทีอาจจะมีเรื่องมากมายที่ลงมือทำไปอย่างไม่นึกถึงสถานะของบัณฑิตมากขนาดนั้น”
จั่วโย่วกล่าว “เจ้าสู้ซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลีหรือไม่ก็เหวยอิ๋งของสำนักกุยหยกได้หรือ?”
เฉินผิงอันมึนงง ส่ายหน้าตอบ “ตอนนี้ต้องทำไม่ได้แน่นอน”
จั่วโย่วคร้านจะพูดคุยอีก ก้มหน้าอ่านหนังสือต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจความนัยในคำพูดของศิษย์พี่
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หากศิษย์พี่อย่างเขาได้ยินเรื่องบางอย่าง ในสถานการณ์ทั่วไปก็มีแต่จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ดังนั้นสิ่งที่จั่วโย่วใส่ใจอย่างแท้จริงไม่ใช่ข่าวลือหรือคำพูดทั้งหลายที่เฉินผิงอันคิดไว้ แต่เป็นเรื่องที่ศิษย์น้องเล็กเกิดความขัดแย้งกับใครที่ใต้หล้าไพศาล แต่กลับสู้เขาไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาที่เป็นศิษย์พี่ก็จะไปถามกระบี่กับอีกฝ่าย
ระหว่างที่เดินทางมา ซิ่วไฉเฒ่าพลาดสองสามประโยคสุดท้ายนี้ไปพอดี ดังนั้นพอมาถึงก็ด่าสั่งสอนไปคำรบหนึ่ง รังแกศิษย์น้องนับเป็นความสามารถอะไรได้ ขนาดข้าเป็นอาจารย์ยังไม่พูดอะไร ถึงคราวของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?
จั่วโย่วไม่กล้าเถียงแม้แต่ครึ่งคำ เพียงแค่หันไปยิ้มให้กับเฉินผิงอัน
บัญชีครั้งนี้คิดลงบนหัวของเจ้าแล้ว
เฉินผิงอันเข้าใจทันใด เป็นอาจารย์ที่วาดงูเติมขาเสียแล้ว
วันนี้ตอนเที่ยงวัน อาศัยใบบุญของนายท่านใหญ่หลี่ แม้แต่ฝันนักพรตเนิ่นก็ยังไม่กล้าฝันว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนสามารถเดินอาดๆ เข้ามาในสวนกงเต๋อของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางได้
เรื่องแรกที่นักพรตเนิ่นทำหลังจากเข้ามาในสวนกงเต๋อ ไม่ใช่ไปหาหลี่ไหว แต่ตรงไปหาคนที่มีลำดับอาวุโสสูงที่สุดของสายเหวินเซิ่ง…ซิ่วไฉเฒ่า
ไม่อย่างนั้นจะให้ไปหาหลิวสือลิ่วที่อายุมากสุด หมัดหนักสุดหรือไร?
ยังมีจั่วโย่วที่ไล่ฟันเซียวสวิ้นไปตลอดทางจนไปถึงนอกฟ้าอีก?
ส่วนเฉินผิงอัน ความสัมพันธ์ธรรมดา ไม่สนิทกัน
พูดคุยกับซิ่วไฉเฒ่าอยู่พักใหญ่ๆ นักพรตเนิ่นมาเยือนด้วยความยินดี กลับไปด้วยความพึงพอใจ ไปคุยโวให้หลี่ไหวฟังเป็นการส่วนตัวไม่หยุด “ความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งช่างสูงส่งเหลือเกิน”
หลี่ไหวถามอย่างแปลกใจ “เหล่าเนิ่น แค่พูดคุยกันไม่กี่ประโยค เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
นักพรตเนิ่นกล่าว “หลักการเหตุผลทั้งหลายที่เหวินเซิ่งพูดมา ข้าล้วนฟังเข้าใจ”
สุดท้ายอาจารย์ผู้เฒ่าถามคำถามหนึ่งต่อเถาถิงแห่งเปลี่ยวร้าง เป็นหลักการเหตุผลเดียวกัน หลี่เซิ่งยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าก็รู้สึกว่ามีเหตุผล คนธรรมดาพูดกับเจ้า เจ้ากลับรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลแล้ว เป็นเช่นนี้ถูกหรือไม่?
ตอนนั้นนักพรตเนิ่นได้ให้คำตอบในใจออกไป ถูกนั้นย่อมไม่ถูกอยู่แล้ว แต่หากเป็นตน ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายก็มีแต่จะฟังเหตุผลของหลี่เซิ่งเท่านั้น
นักพรตเนิ่นรู้สึกว่าคำพูดนี้เอ่ยออกจากปากไป ภาพลักษณ์ของตนที่มอบให้เหวินเซิ่งก็จบสิ้นกันแล้ว แต่ก็ยังคงไม่เสียใจภายหลัง แทนที่จะโกหกซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่สู้เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า
อีกอย่างบัณฑิตหลอกง่ายนักหรือ? แน่นอนว่าหลอกไม่ง่าย ในเมื่อหลอกอีกฝ่ายไม่ได้ ก็ไม่ควรจะหลอกตัวเองด้วย
ทว่าซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่มีโทสะแม้แต่น้อย กลับกันยังเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า ไม่ประเสริฐขนาดนั้น แต่ก็ยังประเสริฐอยู่น้อยๆ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็ย่อมมีโอกาสเห็นดีเป็นดีเห็นชั่วเป็นชั่วอย่างวิญญูชน
นักพรตเนิ่นไม่กล้ารั้งอยู่ในสวนกงเต๋อนานนัก รีบหาโอกาสจากมาทันที
พูดคุยกับซิ่วไฉเฒ่าอย่างถูกคอไปรอบหนึ่ง เท่ากับว่าได้แลกเปลี่ยนความรู้กับเหวินเซิ่งเชียวนะ แค่นี้ก็ควรรู้จักพอได้แล้ว
กู้ชิงซงกับหลิ่วเต้าฉุน สหายสองคนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีความสามารถเช่นนี้แล้ว
ตอนบ่าย ตอนที่พวกหลี่เป่าผิงสามคนมาเยี่ยม เฉินผิงอันก็ถามว่าพวกเราไปพูดคุยกันในสถานที่ที่สูงที่สุดของสวนกงเต๋อกันดีไหม?
หลี่เป่าผิงดวงตาเป็นประกาย
จุดที่สูงที่สุดของสวนกงเต๋อ ไม่ใช่ศาลาที่เล่นหมากล้อมกัน ไม่ใช่หอหนังสือ แต่เป็นต้นป่ายโบราณต้นหนึ่ง
หลี่เป่าผิงเป็นคนนำทาง
เจิ้งโย่วเฉียนรู้สึกว่าความรู้ของศิษย์พี่หญิงคนนี้หลากหลายอย่างยิ่ง แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังรู้ด้วย
ดังนั้นเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหว เจิ้งโย่วเฉียนจึงพากันไปนั่งอยู่บนกิ่งของต้นป่ายโบราณต้นนั้น แค่คุยเล่นกันเท่านั้น
เฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์อาน้อยคิดเรื่องอะไรได้ก็พูดคุยเรื่องนั้น
เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะกลายเป็นคนอย่างที่เป็นในตอนนี้ได้
ไม่เคยคิดมาก่อน แล้วก็ไม่ได้คิดอยากจะเป็นเช่นนี้สักเท่าไร หากเป็นไปได้ล่ะก็ เขายินดีเอาของล้ำค่ามากมายมาแลกเปลี่ยนของที่ล้ำค่าที่สุดหนึ่งถึงสองอย่าง แต่พอได้เห็นพวกเจ้าก็รู้สึกว่าคุ้มค่ามากแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องไม่พอใจ ที่เป็นอยู่นี้ก็ดีมากแล้ว
กางฝ่ามือออก เฉินผิงอันเอ่ยล้อเล่นว่า ในมือมีแสงตะวัน แสงจันทร์ ลมฤดูใบไม้ร่วง ลมฤดูใบไม้ผลิ
ยังบอกอีกว่าฝึกปรือในเรื่องความรู้สึกของคนและเรื่องราวในโลก ได้ทำลายความลังเลในใจของข้า
……
ยามสนธยาของวันนี้ นอกจากซิ่วไฉเฒ่าแล้ว พวกลูกศิษย์และลูกศิษย์ของลูกศิษย์ต่างก็เก็บสัมภาระของตัวเองกันเรียบร้อย เตรียมจะออกไปจากศาลบุ๋น ต่างคนต่างก็ต้องออกเดินทางไกล
จั่วโย่วถาม “อาจารย์ ศิษย์สามารถทำอะไรได้บ้าง?”
“ถามเรื่องนี้ทำไม ไม่จำเป็น”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “แต่สามารถลองถามตัวเองได้ว่า เป็นศิษย์พี่สามารถทำอะไรได้บ้าง”
จั่วโย่วเงียบไปครู่หนึ่ง “ศิษย์น้องเล็กสามารถดูแลตัวเองได้ดีเสมอ ข้าวางใจอย่างมาก”
เฉินผิงอันรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝันอยู่บ้าง อดกลั้นอยู่นาน ได้แต่เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว”
จั่วโย่วกล่าว “รับเอาไว้”
เฉินผิงอันตอบรับ “ตกลง”
มีพบก็ต้องมีแยกจาก
ดูเหมือนว่าทุกหนทุกแห่งในชีวิตคนจะเป็นจุดแห่งการหักกิ่งหลิวจากลาที่ท่าเรือเสมอ
จั่วโย่วจะหวนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่
หลิวสือลิ่วบอกว่าตัวเองจะพาเจิ้งโย่วเฉียนไปที่ดินแดนพุทธะสุขาวดีเสียก่อน เขาได้ช่วยหาสถานที่ฝึกตนไว้ให้กับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนี้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจะไปใต้หล้ามืดสลัวเพียงลำพัง ไปหาสหายรักป๋ายเหย่
เหมาเสี่ยวตงจะอยู่ต่อที่สถานศึกษาหลี่จี้ ช่วยถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจให้กับลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ
เฉินผิงอันต้องกลับไปที่เรือราตรีทันที
หลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวจะกลับไปที่สำนักศึกษาซานหยาที่เมืองหลวงต้าสุยด้วยกัน
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์ทุกคนต่างก็มีสิ่งที่ดีที่สุดแตกต่างกันไป ในสายตาของผู้เฒ่าล้วนดีที่สุดทั้งหมด
ดังนั้นถ้อยคำจากลาประโยคสุดท้ายที่ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย จึงมีเพียงรอยยิ้มกับคำพูดว่า “ขอให้ทุกคนสบายดี สงบสุขปลอดภัย”
รอกระทั่งทุกคนจากกันไปหมดแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง เพียงแต่ว่าครั้งนี้ผู้เฒ่าไม่ได้รู้สึกเสียใจจากการจากลาเท่าใดนัก กลับกลายเป็นว่ารอคอยการพบเจอกันอีกครั้งในครั้งต่อไปมากกว่า
เพียงแค่นึกถึงกลอนบทเล็กๆ ที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายแต่งขึ้นส่งเดช ร่ายออกมาตอนดื่มเหล้านั่งอยู่บนกิ่งไม้สูงกับพวกเป่าผิงน้อยก่อนหน้านี้
ไพเราะยิ่ง
‘กล้วยไม้ต้นหนึ่งในภูเขา
มันไม่เคยพบเจอคนในโลก คนในโลกก็ไม่เคยพบเจอมัน
มันก็จะไม่ออกดอกแล้วหรือ?’
——