กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 811.2 สอนหมัด
อู่ชวินเอ่ยอย่างจนใจ “ใครเล่าจะไม่อยากมี เจ้าจวนของพวกเราดีดลูกคิดไว้ดียิ่งนัก ในใจนึกแต่อยากจะผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับอาจารย์หลิว ยิงปืนนัดเดียวก็จะได้นกสองตัว มีทั้งชีวิตคู่และมีทั้งผู้ถวายงานประจำภูเขา ทว่าอาจารย์หลิวไม่ตอบตกลง จะมีวิธีอะไรได้อีก ทางฝั่งของสำนักพีหมา หากจะขอร้อง ขอเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อมาสักคนก็ไม่ยาก แต่หากจะให้บรรพจารย์ท่านหนึ่งมาประจำการณ์อยู่ที่นี่ตลอดทั้งปีกลับไม่อาจทำได้”
แต่เรื่องที่ซุนชิงชอบหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยนั้นเป็นเรื่องที่คนทั้งทวีปล้วนรับรู้ อันที่จริงเดิมทีนี่ก็เป็นยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่งของจวนไฉ่เชวี่ย
หากมีคนมาหาเรื่องจวนไฉ่เชวี่ยอย่างไร้เหตุผล ด้วยนิสัยที่ชอบใช้เหตุผลเป็นที่สุดของหลิวจิ่งหลงนั้นจะต้องพกกระบี่ลงจากภูเขามาอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพื่อความรักชายหญิง แต่เพื่อไปอธิบายเหตุผล
ทว่ารอกระทั่งกิจการของจวนไฉ่เชวี่ยขยับขยายได้ใหญ่มากพอแล้ว มากพอจะทำให้คนน้ำลายสออยากครอบครอง ความสัมพันธ์ในชั้นนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะใช้ได้ผลอีก
อู่ชวินยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ภูเขาลั่วพั่วไม่เห็นห้าขอบเขตบนเป็นสำคัญก็ใช่ว่าท่านจะคิดว่ากิจการครอบครัวจวนไฉ่เชวี่ยของพวกเราใหญ่เหมือนกันได้นะ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าจะช่วยคิดหาวิธีให้พวกเจ้าเอง แต่ไม่กล้ารับรองว่าจะต้องสำเร็จแน่นอน”
สามารถมาประจำการณ์อยู่ที่จวนไฉ่เชวี่ยตลอดเวลาได้ย่อมดีที่สุด แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกยุทธหวังฟู่ซู่ที่ขอแค่ป่าวประกาศออกไป บอกว่าตัวเองคือเค่อชิงอันดับหนึ่งของจวนไฉ่เชวี่ย ถ้าอย่างนั้นพวกคนที่จับจ้องตาเป็นมันก็ควรต้องชั่งน้ำหนักให้ดีแล้ว
เพราะถึงอย่างไรการออกหมัดของหวังฟู่ซู่ก็ขึ้นชื่อว่าทุกเรื่องขึ้นอยู่กับอารมณ์เท่านั้น
นอกจากนี้แล้วยังมีเจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโตที่เคยพูดคุยกันที่ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเช่นกัน
ทว่าสุดท้ายแล้วผู้อาวุโสทั้งสองท่านนี้จะตอบตกลงหรือไม่ ตอนนี้ยังบอกได้ยาก แต่สามารถลองทำดูได้ หากชนตอติดๆ กันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไปขอให้เสิ่นหลินหลิงหยวนกงและหลี่หยวนหลงถิงโหวช่วยเหลือ ติดค้างหนี้น้ำใจคนคนหนึ่งก็คือติดค้าง ติดค้างหนี้น้ำใจคนสองคนก็ติดค้างเหมือนกัน
จู๋เฉวียนกั๋วฉือเซียนซือ ก่อนหน้านี้ได้ไปเยือนสำนักเบื้องบนของสำนักพีหมาที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมารอบหนึ่ง หลังจากกลับมาก็ถอนตัวออกจากตำแหน่งเจ้าสำนัก เก้าอี้อันดับหนึ่งจึงว่างลงชั่วคราว แม้แต่การประชุมในศาลบรรพจารย์นางก็ไม่ชอบไปเข้าร่วม รอแค่ตู้เหวินซือออกจากด่านฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเท่านั้น ก็จะให้ตู้เหวินซือที่นิสัยหนักแน่นสุขุมมารับตำแหน่งต่อ
ได้ยินมาว่าในศาลบรรพจารย์ จู๋เฉวียนหัวเราะดังลั่น ป่าวประกาศอย่างเปิดเผยว่า ทุกวันนี้เหล่าเหนียงไร้ตำแหน่งหน้าที่ก็ตัวเบา อยากจะฟันใครก็ฟันได้
เพียงแต่ว่าคนอย่างจู๋เฉวียนและยังมีเซี่ยซงฮวาแห่งธวัลทวีป อันที่จริงเฉินผิงอันค่อนข้างจะหวาดกลัวพวกนางอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรพวกนางก็คือสตรีที่กล้าพูดคำพูดหยาบโลนได้สารพัด
อู่ชวินลุกขึ้นยืนอย่างเคร่งขรึม หลังจากกุมหมัดเอ่ยขอบคุณแล้วนางก็อารมณ์ดีมาก คำพูดคำจาจึงไม่มีความกริ่งเกรงอะไรอีกต่อไป นางยิ้มเอ่ยว่า “ก็เพราะรู้ว่าเจ้าขุนเขาเฉินคือวิญญูชนที่ปฏิบัติตนอย่างเที่ยงตรง จิตแห่งมรรคาสะอาดบริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงต้องยอมแหกกฎเป็นครั้งแรกให้กับเจ้าขุนเขาเฉิน เรียกพวกลูกศิษย์ของจวนไฉ่เชวี่ยหลายๆ คนให้หิ้วเหล้ามาร่วมดื่มเหล้าไปพร้อมกันแล้ว!”
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน
เด็กชายผมขาวกลับรู้สึกว่ามองอู่ชวินแล้วสบายตาขึ้นหลายส่วน
อู่ชวินนั่งกลับลงไปอีกครั้ง เอ่ยว่า “ภูเขาลั่วพั่วช่วยนครเหนือเมฆสร้างท่าเรือส่วนตัวขึ้นมาแห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์จะมีความเห็นไม่น้อยเลย?”
นางได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์โวยวายว่าจะให้ภูเขาลั่วพั่วเปลี่ยนที่ตั้งของท่าเรือแห่งนั้น ให้ย้ายไปอยู่บนภูเขาใต้อาณัติลูกหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์ เงินเทพเซียนก้อนใหญ่ขนาดนั้นมอบให้นครเหนือเมฆเล็กๆ เอาไปทิ้งขว้างก็มีแต่จะไหลหายไปกับกระแสน้ำ
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ใจคนไม่รู้จักพอ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก หากไม่เป็นเพราะภายในของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์เองมีการทะเลาะถกเถียงกันอยู่หลายครั้ง วันหน้าภูเขาลั่วพั่วก็คงไม่มีการไปมาหาสู่อะไรกับพวกเขาอีกแล้ว”
อู่ชวินยิ้มเอ่ย “นี่ไม่ใช่การพัดลมกระพือไฟหรอกหรือ”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง อู่ชวินก็หัวเราะดังลั่น “ก็ได้ ข้ายอมรับว่ารู้สึกสมน้ำหน้าอยู่บ้าง”
เด็กชายผมขาวนั่งอยู่ข้างกายบรรพบุรุษอิ่นกวานอย่างอยู่ในกฎในระเบียบ เหลือบตามองสตรีผู้นี้แวบหนึ่ง หน้าตาไม่งดงาม แต่นิสัยไม่เลวร้าย
อู่ชวินยิ้มถาม “เจ้าขุนเขาเฉินไปที่สวนน้ำค้างวสันต์มาแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าไปพบผู้อาวุโสหลินมาแค่คนเดียว”
อู่ชวินประหลาดใจอย่างมาก แรกเริ่มแค่รู้สึกว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นี้อายุน้อยเลือดลมจึงพลุ่งพล่าน ทำอะไรมักจะเอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ทว่าพอใคร่ครวญอย่างละเอียด นางกลับต้องตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายพอมองเฉินผิงอันอีกครั้ง ในสายตาของผู้คุมกฎจวนไฉ่เชวี่ยคนนี้ก็ฉายแววแปลกประหลาดอยู่บ้าง อายุน้อยๆ เหตุใดถึงมองใจคนได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้
แต่ก็ถูกนะ คาดว่าคงมีเพียงเป็นแบบนี้เท่านั้นถึงจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งโดยที่อายุยังน้อยขนาดนี้ได้
อู่ชวินถาม “แม่หนูหลวนหลวนนั่นฝึกตนราบรื่นดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “คุณสมบัติดีมาก ดังนั้นข้าจึงค่อนข้างกังวลว่าจะถ่วงรั้งอนาคตของนาง”
อู่ชวินส่ายหน้า จุ๊ปากกล่าวว่า “คำพูดประโยคนี้พูดได้กวนโอ้ยจริงๆ”
จ้าวซู่เซี่ยกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอัน จ้าวหลวนเองก็ได้เป็นผู้ฝึกตนในทำเนียบของยอดเขาจี้เซ่อภูเขาลั่วพั่ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้หวนกลับมาฝึกตนที่จวนไฉ่เชวี่ยต่อ แต่เลือกจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันเพิ่งจะช่วยนางหาอาจารย์ที่ไม่บันทึกชื่อมาได้ ก็คือเทวบุตรมารนอกโลกที่อยู่ข้างกายตนนี้
พอมองไปยังดอกท้อทั้งหลายที่อยู่ห่างไปไกล เฉินผิงอันก็นึกขึ้นมาได้ว่าในอดีตระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว ข้างกายยังมีพวกเว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงอยู่ด้วย พวกเขาก็เคยเดินทางผ่านป่าท้อแห่งหนึ่งเหมือนกัน บังเอิญเจอกับหญิงสาวชนบทคนหนึ่งผ่านทางมาพอดี ตอนนั้นดูเหมือนว่าพ่อครัวเฒ่าจะเกิดแรงบันดาลใจจากทัศนียภาพจึงพูดจาเหลวไหลสองสามประโยค ผลคือถูกเผยเฉียนเอามาล้อเลียนอยู่เป็นครึ่งๆ วัน
แต่แท้จริงแล้วคำพูดที่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจประโยคนั้นของจูเหลี่ยน เฉินผิงอันกลับคิดว่ามันน่าสนใจอย่างมาก
แดงเข้มแดงอ่อนน่ารัก กระโปรงเขียวมรกตชวนหลงใหล เหลือบมองหลายครา คิดเช่นไร วาสนานำพาเพราะท่านปลูกดอกท้อ คนอยู่ในใจ
พอเฉินผิงอันนึกถึงใบหน้าที่แท้จริงหลังจากที่จูเหลี่ยนถอดหน้ากากออกก็อดด่าในใจไม่ไหว
เว่ยป้อ หมี่อวี้ แล้วยังมีเฉาสือ ฟู่จิ้น ดูเหมือนจะไม่มีใครสู้พ่อครัวเฒ่าได้สักคน
จำได้ว่าในอดีตเผยเฉียนฟังพ่อครัวเฒ่าเล่าว่าตอนที่ตัวเองยังหนุ่มแล้วอยู่ในยุทธภพ เคยมีเรื่องเล่าบางอย่างด้วย
ถ่านดำน้อยยังหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง มือหนึ่งกุมท้อง มือหนึ่งตบโต๊ะแรงๆ บอกว่าพ่อครัวเฒ่าเจ้าทำให้คนหัวเราะเกือบตายแล้ว
อันที่จริงตอนนั้นเฉินผิงอันเองก็หัวเราะไปไม่น้อย
ก่อนจะจากลา อู่ชวินมอบเสี่ยวเสวียนปี้มาให้สองสามกระปุก บอกว่าเรื่องของการตั้งราคาชุดคลุมอาคมใหม่ล่าสุดทั้งภูเขาลั่วพั่วและเฉินผิงอันล้วนวางใจได้ จะแค่ไม่ให้ขาดทุนเท่านั้น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องจงใจแค่ให้รักษาต้นทุนไว้ได้ ในเมื่อเป็นการทำการค้า ต่อให้จะเป็นการคบค้ากับศาลบุ๋น แต่เงินก็ยังต้องหามา พวกเราก็แค่เอากำไรน้อยหน่อยก็พอ”
อู่ชวินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่ต้องปรึกษากับเจ้าจวนก็ยังได้ ขอแค่ทางฝั่งศาลบุ๋นต้องการชุดคลุมอาคม จวนไฉ่เชวี่ยของพวกเราก็ยินดีที่จะไม่หากำไรแม้แต่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเดียว”
ผู้ฝึกตนของจวนไฉ่เชวี่ย ต่างก็ไม่เคยมีใครไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่
มีโอกาสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว วันหน้าเมื่ออู่ชวินไปจุดธูปกราบไหว้เหล่าบรรพจารย์ในศาลบรรพจารย์ จะต้องรู้สึกสบายใจมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอกว่า “แบบนี้จะให้ภูเขาลั่วพั่วทำอย่างไร? ไม่ต้องเอากำไรเหมือนกับจวนไฉ่เชวี่ย หรือ?”
อู่ชวินพูดไม่ออก
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
สุดท้ายผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นผู้คุมกฎท่านนี้ก็มองไปยังคู่รักเทพเซียนที่ยืนเคียงข้างกัน นางยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งกับเฉินผิงอันและหนิงเหยาว่า ขอให้มีลูกในเร็ววัน
หนิงเหยาทำตัวไม่ถูกอย่างเห็นได้ชัด ลังเลอยู่ชั่วขณะก็ยังไม่ได้เอ่ยอะไร จะพยักหน้าก็ไม่ใช่ ส่ายหน้าก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน
ใบหน้าของเฉินผิงอันประดับยิ้มบางๆ คล้ายกับว่าได้ยินแล้ว แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ยิน
เพียงแค่รู้สึกขึ้นมาทันทีทันใดว่าเรื่องของผู้ถวายงานเค่อชิงของจวนไฉ่เชวี่ย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ นับเป็นเรื่องได้ด้วยหรือ? ยกให้ข้าจัดการเองเถอะ ผู้คุมกฎอู่ท่านนี้แค่รอฟังข่าวดีไปก็พอ
ออกมาจากท่าเรือดอกท้อ ไปถึงที่นครเหนือเมฆ เสิ่นเจิ้นเจ๋อเจ้านคร สวีซิ่งจิ่วและจ้าวชิงหลวนที่เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันมานานแล้วต่างก็อยู่ในนคร
นั่งเรือโดยสารออกจากนครเหนือเมฆไปดูท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ภูเขาลั่วพั่วออกเงิน นครเหนือเมฆรับผิดชอบออกสถานที่ออกกำลังคน ขนาดไม่ถือว่าใหญ่ เทียบกับท่าเรือดอกท้อของจวนไฉ่เชวี่ยแล้วยังเล็กกว่าหลายส่วน
แต่สามารถครอบครองท่าเรือส่วนตัวแห่งหนึ่งได้ เดิมทีก็หมายถึงรากฐานที่แน่นหนามั่นคงของจวนเซียนบนภูเขาอย่างหนึ่งอยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกับว่าสำนักใหญ่มีความสามารถที่จะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างหรือไม่ เป็นหลักการเดียวกัน
เฉินผิงอันบอกว่าจะเร่งเดินทางต่อทันที เสิ่นเจิ้นเจ๋อจึงไม่ได้รั้งเอาไว้ หากมีแค่เฉินผิงอัน ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องดื่มเหล้าด้วยกันสักมื้อ ทว่าพอข้างกายเจ้าขุนเขาหนุ่มมีสตรีที่ชื่อว่าหนิงเหยายืนอยู่ด้วย เสิ่นเจิ้นเจ๋อก็ไม่กล้าแล้ว
ได้หวนกลับคืนมายังสถานที่เดิมที่เคยมาเยือน ยังคงเป็นถนนใหญ่ที่เต็มไปด้วยร้านรวงและร้านผ้าห่อบุญ พวกหนิงเหยาเดินเล่นของพวกนางกันไป เฉินผิงอันกับสวีซิ่งจิ่วเดินเคียงข้างกัน
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ซิ่งจิ่วอ่า อยู่เฉยๆ ก็เบื่อ ไม่สู้ไปดื่มเหล้ากับหลิวจิ่งหลงพร้อมข้าดีไหม?”
สวีซิ่งจิ่วตอบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ไม่ไปดีกว่ากระมัง”
ฉายาเป็นพรวนที่อาจารย์หลิวได้มาในทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าเขากับเซียนกระบี่หลิ่วจะเป็นตัวการสำคัญ
ไม่ได้มีแค่ ‘เจียวหลงพสุธาชอบดื่มเหล้า เซียนกระบี่หลิวคอแข็งไร้เทียมทาน’ อะไรอีกแล้ว จู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมายังมอบประโยคหนึ่งให้ว่า ‘หลิวจิ่งหลงคอแข็งจริงๆ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสุราคืออะไร’ ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหวังฟู่ซู่เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘เจ้าสำนักหลิวบินทะยานบนโต๊ะสุรา’ และยังมีลี่ไฉ่เซียนกระบี่หญิงจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่เอ่ยประโยคว่า ‘ไม่ได้ดื่มเหล้าเก่งอย่างที่พวกเจ้าพูดกัน ก็แค่มีความสามารถของลี่ไฉ่สองสามคนเท่านั้น’ สรุปก็คือภูเขาที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักกระบี่ไท่ฮุย ทั้งยังเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้า ขอแค่ไปที่นั่นก็จะไม่มีทางปล่อยหลิวจิ่งหลงไป ต่อให้ไม่ดื่มเหล้าก็ต้องหาโอกาสพูดหยอกเย้าสองสามประโยค
สวีซิ่งจิ่วรู้สึกว่าหากเปลี่ยนตนมาเป็นอาจารย์หลิว ต่อให้นิสัยดีแค่ไหนก็ต้องด่าคนบ้างแล้ว ขอแค่เป็นคนที่มาหาเพื่อดื่มเหล้าด้วย มาคนหนึ่งก็จะด่าคนหนึ่ง มาสองคนก็ด่าเป็นคู่
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ทุกวันนี้นางสบายดีหรือไม่?”
เพราะเข้าร่วมงานพิธีคราวก่อน สวีซิ่งจิ่วกับหวนอวิ๋นไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน แต่คู่รักของเขาอย่างจ้าวชิงหลวนกลับไม่ได้ปรากฏตัว ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง
สวีซิ่งจิ่วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็จัดระเบียบเสื้อผ้า ประสานมือคารวะขอบคุณเฉินผิงอัน
ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
ด่านปีล่างภูเขา ด่านใจบนภูเขา ล้วนยากจะข้ามผ่านไปได้ ด่านความรักยากจะข้ามผ่าน ด่านในใจก็ยากจะก้าวข้าม
ขอแค่ผ่านไปได้แล้ว ทุกอย่างล้วนดีหมด
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอก ตบหลังมือของสวีซิ่งจิ่ว “ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ ไม่จำเป็นหรอก”
สวีซิ่งจิ่วยืดตัวตรง ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์เฉิน ทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์”
เฉินผิงอันเอ่ย “คลี่คลายได้แล้ว ใครผูกคนนั้นก็ต้องแก้เอาเอง ในเมื่อปัญหาเรื่องใจคนไม่ได้อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้พวกเขาแก้ไขกันเอาเอง”
ปัญหายุ่งยากมากมายในวันนี้ สำหรับเฉินผิงอันแล้ว เป็นแค่ความยุ่งยากเท่านั้นจริงๆ ไม่ใช่ปัญหาข้อยากอะไรแล้ว
การเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ แค่ไปพบหลินฉั่วเอ๋อคนเดียว
ก็คือการอธิบายหลักการเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายพูดกับผู้ฝึกตนทุกคนของสวนน้ำค้างวสันต์แม้แต่ครึ่งคำ
เจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว เจ้าสำนักของสำนักหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป อยู่กับหญิงชราแล้วยังคงเป็นแค่ผู้เยาว์คนหนึ่ง แต่สวนน้ำค้างวสันต์ที่นอกเหนือจากนาง หากยังอยากจะทำการค้าร่วมกันต่อ ก็จงทำตัวให้ดีๆ ทำผิดก็หัดรู้จักแก้ไข
แม้แต่หน้าผาอวี้อิ๋งและร้านผีฝูก็ไม่ได้ไปเยือน นี่ก็คือการขีดเส้นแบ่งกับสวนน้ำค้างวสันต์อย่างชัดเจน คือการแบ่งแยกเรื่องส่วนรวมออกจากเรื่องส่วนตัว
หากยินดีเปลี่ยนแปลงแก้ไข ควรจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอย่างไร สวนน้ำค้างวสันต์ของพวกเจ้าก็จงหาน้ำหนักที่เหมาะสมกันเอาเอง!
เลิกทำการค้ากับภูเขาลั่วพั่วเสียเลย? ภูเขาลั่วพั่วไม่ติดอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะอีกไม่นานสวนน้ำค้างวสันต์ก็จะค้นพบความจริงข้อหนึ่ง ไม่เพียงแต่สำนักพีหมาที่เหมือนลอยพ้นผิวน้ำเท่านั้น จวนไฉ่เชวี่ย นครเหนือเมฆ และยังมีสำนักกระบี่ไท่ฮุย หน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง สำนักมังกรน้ำ กงโหวของลำน้ำใหญ่ทั้งสองท่าน…ล้วนเป็นพันธมิตรในอุตรกุรุทวีปของภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาลั่วพั่วไม่จำเป็นต้องเล่นงานสวนน้ำค้างวสันต์ สวนน้ำค้างวสันต์ก็จะรู้สึกใจฝ่อไปเอง
เป็นเฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่วที่รวบรวมเส้นทางการเงินข้ามทวีป ช่วยเชื่อมโยงข้อต่อส่วนต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปไว้ให้ ในนี้เกี่ยวพันไปถึงสกุลซ่งต้าหลี ภูเขาพีอวิ๋น ต่งสุ่ยจิ่ง กวนอี้หราน และยังมีตระกูลฟ่านกับตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่า…ล้วนเป็นเช่นนี้กันหมด สวนน้ำค้างวสันต์ไม่มีเหตุผลให้ต้องคิดแต่จะหากำไรอย่างสุดชีวิต เอาแต่คิดจะช่วงชิงความได้เปรียบมาฝ่ายเดียว วิถีทางโลกใบนี้ คนที่ไม่มีเหตุผลไม่ควรจะรังแกคนที่มีเหตุผลเช่นนี้
แน่นอนว่าเมื่อศาลบุ๋นสั่งคลายข้อห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำ เชื่อว่าอีกไม่นานผู้ฝึกตนบนยอดเขาทุกคนของใต้หล้าไพศาลจะรู้กันเองว่าเขาคือใคร
ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เป็นเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น
แต่ตำแหน่งอิ่นกวานอาจจะถูกแขวนพร้อมกับชื่อของเฉินผิงอันช้าสักหน่อย
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจำเป็นต้องเดินทางในอุตรกุรุทวีปให้จบเร็วที่สุด
จากนั้นก็รีบกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป ไปถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยงพร้อมกับหลิวเสี้ยนหยาง
เฉินผิงอันกล่าว “ซิ่งจิ่ว ข้าคงไม่พักค้างแรมที่นี่แล้ว ต้องรีบเดินทางต่อ”
สวีซิ่งจิ่วยิ้มพลางกุมหมัด “ขอให้อาจารย์เฉินเดินทางราบรื่นปลอดภัย”
เฉินผิงอันยิ้มแล้วกุมหมัดคารวะกลับคืน “ขอให้การฝึกตนราบรื่น สมบูรณ์พูนสุข”
……
การประเมินเทพีบุปผาครั้งใหม่ของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา เทพีบุปผาเฟิ่งเซียนไม่เพียงแต่ไม่ตกไปอยู่ในขั้นเก้าอีมิ่ง กลับกันยังรักษาระดับขั้นก่อนหน้านี้ไว้ได้อย่างมั่นคง แม้จะไม่อาจเลื่อนอันดับให้สูงขึ้น แต่เด็กสาวเทพีบุปผาก็ดีใจล้นเหลือมากพอแล้ว เป็นเหตุให้นางแอบแขวนภาพเหมือนของคนผู้หนึ่งไว้บนผนังห้องส่วนตัว คิดว่าวันหน้าทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนจะจุดธูปกราบไหว้ ขอบคุณบุญคุณ ‘ช่วยชีวิต’ ของเซียนกระบี่ชุดเขียวท่านนี้
นางเริ่มวาดฝันถึงคราวหน้าที่อาจารย์เฉินจะมาเยือนพื้นที่มงคลแล้ว
ยังมีแม่นางน้อยอีกคนหนึ่งที่มองดูแล้วอายุน้อยกว่าเทพีบุปผาเฟิ่งเซียน คือเหนียงเนียงเทพีบุปผาปาเจียว (ต้นกล้วย) ในมือถือพัดใบกล้วยขนาดจิ๋วน่ารัก โบกลมเบาๆ ถามพี่หญิงรุ่ยเฟิ่งเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายว่าได้พบอาเหลียงผู้นั้นหรือไม่
บทกวีแห่งบุปผา ก็เป็นนางที่มีน้อยที่สุด ดังนั้นตำแหน่งเทพจึงต่ำมาก เด็กสาวถึงขั้นไม่มีคำเรียกขานอย่างอื่นด้วยซ้ำ
——