กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 811.3 สอนหมัด
เทพีบุปผาเฟิ่งเซียนบอกว่าไม่ได้เจอ แต่ได้ยินมาว่าอาเหลียงผู้นั้นมีบารมีอย่างยิ่ง คว้าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานฉายาว่าชิงมี่คนหนึ่งไปด้วยกัน สวบทีเดียวก็หายวับไปแล้ว ตรงไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เลย เด็กสาวที่ในมือถือพัดใบกล้วยฟังด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
อวี๋เยว่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ในฐานะที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสกุลเซี่ยมี่อวิ๋น เพราะมีภาระหน้าที่ติดตัวจึงจำเป็นต้องคุ้มกันคุณชายสูงศักดิ์ผู้นั้นกลับมายังธวัลทวีป เพียงแต่พอไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ในนามของตระกูล อวี๋เยว่ก็ออกเดินทางต่อทันที นั่งเรือโดยสารข้ามทวีปไปเพียงลำพัง ไปยังท่าเรือแนวเส้นที่อยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป
ต้องการไปยังภูเขาลั่วพั่วของอิ่นกวานหนุ่มเพื่อคัดเลือกลูกศิษย์! จะสำเร็จหรือไม่ต้องดูที่โชควาสนาระหว่างตนกับว่าที่ลูกศิษย์ในอนาคต ครั้งนี้ไม่สำเร็จก็ไปเยือนหลายๆ ครั้งหน่อยแล้วกัน
พูดถึงแค่การคัดเลือกตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ ใต้หล้านี้ใครเล่าจะมีคุณสมบัติทัดเทียมอิ่นกวานท่านนั้นได้?
ผลคือพอขึ้นเรือก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ถึงกับเป็นคุณชายสกุลเซี่ยผู้นั้นที่แอบติดตามมา เจ้าเด็กนี่บอกว่าจะไปเที่ยวที่ภูเขาพีอวิ๋นที่ตั้งของขุนเขาเหนือแห่งทวีปสักรอบหนึ่ง ได้ยินว่าที่นั่นมีงานเลี้ยงท่องราตรีที่แต่ละครั้งจัดได้น่าสนใจอย่างยิ่ง
ราชวงศ์เส้าหยวนมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งที่เกิดอุบัติเหตุทำให้แขนขาดอย่างถงจิ่ง
ทุกวันนี้อยู่ในยุทธภพบ้านเกิด ยามนั่งอยู่บนโต๊ะสุรา ไม่ว่าเจอใครถงจิ่งก็จะบอกว่าตัวเองคือคนที่เคยถามหมัดกับอิ่นกวานหนุ่มมาก่อน!
อีกทั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับศาลบุ๋นนั่นเอง เคยประลองฝีมือถามหมัดกันอย่างจริงจังมาแล้วครั้งหนึ่ง!
สะบัดไหล่ที่แขนข้างนั้นห้อยลู่ลงมา บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้เอง แน่นอนว่าเรื่องเป็นอย่างไรก็เล่าไปตามนั้น เกี่ยวข้องกับการที่ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ได้ลงมืออำมหิตต่อข้า
ไม่รู้จักอิ่นกวาน? ไม่เคยได้ยินตำแหน่งนี้? อ้อ ก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างไรละ เซียนกระบี่ชุดเขียวท่านนี้อ่อนเยาว์ยิ่งนัก ทุกวันนี้เพิ่งจะอายุสี่สิบกว่าปีเท่านั้น
ยังไม่รู้จักอีก? ก็คือปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางที่สองสามหมัดต่อยให้หม่าฉวีเซียนขอบเขตถดถอย จากนั้นก็ทำให้เฉาสือถึงกับเป็นฝ่ายไปถามหมัดถึงที่สวนกงเต๋ออย่างไรล่ะ!
มีคนถามว่าอิ่นกวานผู้นี้ วิชาหมัดเป็นอย่างไร?
ก็สูงส่งน่ะสิ ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก? เขาแค่ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ไม่ขยับ ปณิธานหมัดก็ใหญ่เหมือนเขาพระสุเมร คนที่เป็นศัตรูกับเขาแน่นอนว่าก็เหมือนมดตัวน้อยตรงตีนเขาที่ได้แต่แหงนหน้ามองฟ้า!
ดังนั้นสองสามหมัดที่ข้าปล่อยออกไปนั้นถือว่าสละชีวิตลืมตายแล้วจริงๆ
ดังนั้นใต้เท้าอิ่นกวานไม่สังหารข้า เข้าใจแล้วหรือยัง? นี่ก็คือการแสดงความเคารพอย่างให้เกียรติที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมีต่อกัน ขอบเขตต่างกันเป็นเรื่องจริง แต่อิ่นกวานมองข้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน แน่นอนว่าผู้ที่มีความสามารถย่อมต้องมาก่อน ผู้ที่เดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดก่อนต้องเป็นผู้อาวุโส เขาคือผู้อาวุโส ข้าคือผู้เยาว์ พูดแบบนี้ ข้าไม่ละอายใจแม้แต่น้อย สำหรับอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ ข้ายอมรับนับถือทั้งกายและใจ วันหน้าอยู่ในยุทธภพใครกล้าพูดจาไม่น่าฟังเกี่ยวกับใต้เท้าอิ่นกวานแม้เพียงครึ่งคำล่ะก็ หึหึ
ขอโทษด้วย!
ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับถามหมัดต่อข้าผู้แซ่ถงแล้ว
สวี่รั่วติดตามจวี้จื่อแห่งสำนักโม่มาถึงท่าเรือแห่งหนึ่ง ต่อให้ก่อนหน้านี้จวี้จื่อจะไปจากที่นี่ ไปเข้าร่วมการประชุมที่ศาลบุ๋น นครแห่งนี้ก็ยังเติบโตไปได้ด้วยตัวเอง
ต่อให้ตัวของสวี่รั่วเองจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักโม่ ได้เห็นนครแห่งนี้กับตาของตัวเองก็ยังมีความรู้สึกเพียงอย่างเดียว อึ้งตะลึง
เจินเหรินผู้เฒ่าท่านหนึ่งคุ้มกันอวี้พ่านสุ่ยและฮ่องเต้เด็กหนุ่มไปถึงราชวงศ์เสวียนมี่แล้วก็หดย่อพื้นที่มาถึงทางเข้ากุยซวีแห่งหนึ่ง จากนั้นเพียงไม่นานก็มาโผล่ที่เปลี่ยวร้าง เดินทางไกลไปไม่รู้กี่หมื่นลี้ ตลอดทางไม่เจอใครที่ต่อสู้เก่งสักคน สุดท้ายจับตัวคนที่ดูเหมือนขอบเขตจะไม่เลวมาได้ ผลคือพอเพ่งสายตามอง มารดามันเถอะ ไม่ใช่ปีศาจใหญ่บินทะยาน เจินเหรินผู้เฒ่าพลิกเปิดแผนที่ออกดู โอ้โห ดูเหมือนว่าจะเป็นภูเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างมากเสียด้วย ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ไปโจมตีใบถงทวีปก็ต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจังฮึกเหิมยิ่ง
ดังนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าจึงร่ายเวทอัคคีและเวทวารี
พื้นที่ในรัศมีพันลี้ สายน้ำกว้างใหญ่อยู่บนฟ้า พระเพลิงโหมกระหน่ำปูแผ่เต็มพื้นดิน น้ำเป็นม่านฟ้าไฟเป็นพื้นดิน
เจินเหรินผู้เฒ่าลูบหนวดพยักหน้า พึมพำกับตัวเองว่า “แก่แล้วแต่ยังแข็งแรง เวทคาถาพอใช้ได้”
เงียบไปพักหนึ่ง ฮว่อหลงเจินเหรินก็งึมงำขึ้นมาอีก “ออกแรงเยอะไปหน่อยหรือเปล่านะ?”
ฮว่อหลงเจินเหรินถามเองตอบเอง “ต่อสู้ไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องมาดองอาจ แล้วยังจะต่อสู้กันไปไย?”
ในยุทธภพของอุตรกุรุทวีป มีคนผู้หนึ่งปิดบังใบหน้าท่าทางลับๆ ล่อๆ หลังจากสำรวจเส้นทางเสร็จเรียบร้อยก็ฉวยโอกาสที่ฟ้ามืดลมแรงปีนข้ามกำแพง ขยับเขยื้อนเรือนกายว่องไวปราดเปรียว บุกเข้าไปในห้อง แสงดาบเปล่งวาบหนึ่งที โจมตีครั้งหนึ่งสำเร็จ โจรร้ายที่ถือดาบในมือก็พลิ้วกายลอยจากไปไกลคล้ายนกโบยบิน
หลายปีมานี้ท่องอยู่ในยุทธภพล้วนเอาอย่างผู้อาวุโสคนดี การลงมืออย่างลึกลับเอาพรางเช่นนี้ทำให้เขาตั้งฉายาให้กับตัวเองว่า ตู้หวังดี ตู้จากตู้อวี๋ หวังดีจากคำว่าทำความดีไม่ทิ้งนาม
ทุกครั้งที่ตู้อวี๋ลงมือจะต้องประเมินสถานการณ์และกำลังของตนไว้ก่อนแล้ว ทำเสร็จก็เผ่นหนี ราวกับกลัวคนอื่นจะรู้ว่าเขาคือใคร
โลกมนุษย์ที่กว้างใหญ่ ตรงนี้ฟ้าใสตรงนั้นฝนตก ตรงนี้ดอกไม้ในภูเขาไม่ขยับ ตรงนั้นลมพัดโชย
ระหว่างที่ทะยานลมเดินทางขึ้นเหนือ กลุ่มของเฉินผิงอันมีหยุดพักบ้างเป็นระยะ ไม่กำหนดแน่ชัดว่าจะบนหรือล่างภูเขา ดูจากทัศนียภาพที่พบเจอ แล้วก็เปลี่ยนไปตามโอกาสเวลาและสถานที่
มีทั้งขุนเขาสูงตระหง่านโอบล้อมร้อยลี้ ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ไอหมอกลอยอวล ศาลบนยอดเขาส่องประกายแสงสีทองเรื่อเรืองท่ามกลางม่านราตรี ประหนึ่งโคมดวงใหญ่ที่ลอยแขวนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
มีทั้งจุดพักม้าที่ฝนตกในช่วงเวลาของต้นเหมย ลมพัดดอกบัวส่งความกลัดกลุ้มของคนให้ลอยจากไปไกล มีทั้งริมแม่น้ำสายใหญ่ ที่ว่าการสร้างหอยันต์เหลืองเพื่อไว้ขอพรขจัดเคราะห์ ยามที่ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นทางทิศตะวันออก แสงอรุณเรืองรองสาดส่อง มีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งเดินทางเคลื่อนไปตามก้อนเมฆ ในบรรดานั้นมีเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ท่องคาถาประจำสำนักเสียงดังไปพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก ป่าวประกาศว่าจะต้องจับสามอสุภะตัวเป็นๆ เผารังผีให้มอดไหม้ จับหกโจรร้ายทลายรังคนชั่ว
มีช่างที่ขึ้นเขาไปเก็บก้อนหิน ภายใต้แสงแดดแผดเผาติดต่อกันหลายวัน น้ำในถ้ำลดลงหินผุดขึ้นมา ภายใต้การตรวจตราของขุนนางจากที่ว่าการ จึงมีการสกัดเจาะหินงามจากในหลุมหินเก่าแก่ แล้วใช้ฟางหญ้าห่อหุ้มเอาไว้อย่างระมัดระวัง อิงตามธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาทุกยุคทุกสมัย ทุกคนนั่งยองอยู่หน้าประตูหลุมหินเก่าแก่ จำเป็นต้องรอให้ดวงอาทิตย์ลงจากภูเขาไปก่อนถึงจะพาหินออกจากหลุมลงภูเขาไปได้ ไม่ว่าจะช่างแก่หรือเด็ก ผิวพรรณล้วนถูกแดดเผาจนไหม้เกรียมเป็นมันเลื่อม พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกัน ยิ้มคุยกันด้วยภาษาถิ่น พูดคุยถึงเรื่องสัพเพเหระทั่วไป คนที่บ้านมีเงินหน่อย หรือคนที่ในบ้านยากจนแต่ลูกหลานกลับเอาการเอางานหน่อยมักจะพูดเยอะกว่าใคร เสียงก็ดังกว่าทุกคน
ไปถึงยอดเขาพาตี้
จางซานเฟิงยังคงมีโฉมหน้าอ่อนเยาว์ไม่ต่างจากปีนั้นสักเท่าไร เพียงแต่ว่าอยู่บนภูเขาได้กินดีอยู่ดี ไม่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ระหกระเหินเร่ร่อนอยู่เพียงลำพัง จึงไม่ได้ดูยากจนตกอับขนาดนั้นแล้ว
เด็กชายผมขาวกวาดตามองไปรอบด้านอยู่ตลอดเวลา นี่ก็คือสถานที่ฝึกตนของฮว่อหลงเจินเหรินหรือ?
รู้ว่าสตรีผู้นั้นก็คือหนิงเหยา จางซานเฟิงก็ประสานมือก้มหัวคารวะ ยิ้มเอ่ยว่า “สวัสดีแม่นางหนิง นักพรตน้อยจางซานเฟิง ตอนนี้ยังไม่มีฉายา”
หนิงเหยายิ้มเอ่ย “คารวะจางเจินเหริน”
จางซานเฟิงเขินอายจนวางหน้าไม่ถูก
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ได้ยินเจินเหรินผู้เฒ่าบอกว่าเจ้าเป็นเซียนดินแล้ว!”
จางซานเฟิงทำหน้าอึ้งตะลึง “อาจารย์พูดผิดไปหรือเจ้าฟังผิดไปกันแน่? ข้าเพิ่งจะเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรเองนะ”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าขอบเขตอะไรแล้ว?”
จางซานเฟิงถามหยั่งเชิง “ขอบเขตเซียนเหริน? หรือว่าบินทะยานล่ะ?”
เฉินผิงอันสะอึกอึ้งไปเล็กน้อย “ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
จางซานเฟิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กล้ามาประลองกับข้า เจ้าหนูเจ้ายังอ่อนหัดเกินไปหน่อย
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ไป จะสอนหมัดให้เจ้า”
จางซานเฟิงถอนหายใจ “เหลวไหล”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ได้ล้อเจ้าเล่น หลายปีที่ข้าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เรียนวิชาหมัดของเจ้ามาโดยตลอด แต่ไม่ว่าจะฝึกอย่างไรก็คล้ายว่าจะไม่ถูกต้อง ให้ตายอย่างไรก็ไม่อาจฝึกจนได้…ปณิธานหมัดของเจ้าในปีนั้น”
จางซานเฟิงหัวเราะอย่างฉุนๆ “ยังบอกว่าไม่ได้เหลวไหล? ข้าเป็นผู้ฝึกตน ก็แค่วาดมือเล่นๆ สองสามทีจะมีปณิธานหมัดได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันข่มกลั้นอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็กลั้นไม่ไหว ตวาดอย่างเดือดดาลว่า “วาดมือเล่นๆ สองสามทีเหรอ?! หา?”
มารดามันเถอะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าผู้อาวุโสที่อยู่บนหัวกำแพงต้องฝืนนิสัย แข็งใจ กัดฟันค่อยๆ ฝึกหมัดนั้นไปทั้งหมดกี่หมัด? แต่ก็ยังไม่อาจทำให้ปณิธานหมัดนั้นมาอยู่บนร่างได้ไม่ใช่หรือ?
จางซานเฟิงขยับคอเสื้อชุดคลุมเต๋า หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ช่วยไม่ได้ เรื่องอย่างการฝึกหมัดนี้ต้องให้บรรพบุรุษประทานข้าวให้กิน”
เฉินผิงอันขยับร่นชายแขนเสื้อ ยื่นมือออกมา “มา พวกเรามาฝึกกัน มาประลองฝีมือกัน”
จางซานเฟิงกระโดดผลุงไปด้านหลัง ยืดแขนออกมาทำท่าห่อดอกไม้ซึ่งเป็นวิชาดาบ “ข้าได้รับการสืบทอดวิชาดาบที่แท้จริงมาจากพี่ใหญ่สวีเชียวนะ เพราะว่าคุณสมบัติในการฝึกยุทธของเจ้าแย่เกินไป ปีนั้นพี่ใหญ่สวีจึงไม่อยากสอนเจ้า ทั้งยังกลัวว่าเจ้าจะเสียใจ จึงได้แต่ปกปิดเจ้าไว้มาโดยตลอด”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอบคุณพวกเจ้า”
เด็กชายผมขาวทอดถอนใจด้วยความชื่นชม นักพรตน้อยของยอดเขาพาตี้คนนี้รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำดีจริงๆ
หมี่ลี่น้อยกระตุกชายแขนเสื้อของเผยเฉียน เอ่ยเสียงเบาว่า “วิชาดาบของจางเจินเหริน ฟังดูแล้วแข็งแกร่งมากเลยนะ”
เผยเฉียนพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
น้อยครั้งนักที่จะเห็นเฉินผิงอันเป็นเช่นนี้
ได้ยินมาว่าตอนอยู่ที่ร้านเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อาจจะทำตัวผ่อนคลายมากหน่อย พูดจาสัปดนอยู่บ้างสองสามคำ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะได้รับเสียงไชโยโห่ร้องจากผู้คนมากมายด้วย?
กวอจู๋จิ่วคนคาบข่าวนั่นเหมือนจะซื้อตัวคนคาบข่าวตัวน้อยไว้อีกหลายคน ดังนั้นข่าวของที่ร้านเหล้า อันที่จริงหนิงเหยาจึงรู้มาเยอะมาก แม้แต่ความรู้ที่ม้านั่งยาวค่อนข้างแคบนั่นนางก็ยังรู้
แต่ขอแค่เป็นทุกครั้งที่นางไปที่นั่น เฉินผิงอันจะต้องแสร้งทำท่าทางจริงจังเสมอ
ภายหลังนางจึงไม่ไปที่ร้านเหล้าเสียเลย เวลาที่เขาดื่มเหล้ากับคนอื่นจะได้ไม่หมดสนุก
จากนั้นจางซานเฟิงจึงพาคนทั้งกลุ่มไปเดินเล่นบนภูเขาต่างๆ ซึ่งมียอดเขาจื่อเสวียนเป็นหนึ่งในนั้น
แสงสายัณห์บนขอบฟ้าราวผ้าแพรต่วน ก็นับว่าเทพเทวดาไม่ขี้เหนียว มอบให้กับโลกมนุษย์แบบนี้โดยที่ไม่เคยคิดเงิน
เฉินผิงอันเดินเล่นไปกับจางซานเฟิง เอ่ยว่า “ข้าไปพบพี่ใหญ่สวีที่อำเภอเซียนโหยวมาแล้ว”
จางซานเฟิงยิ้มกล่าว “ข้าไปก่อนเจ้าเสียอีก”
อันที่จริงพวกเขาต่างก็รู้ว่าสวีหย่วนเสียแก่แล้ว แต่ไม่ว่าใครก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้
ราวกับว่าหากพูดถึง จอมยุทธเคราดกที่ในอดีตเอวตรงหลังตั้งบุกท่องไปทั่วยุทธภพจะแก่กว่าเดิม
ช่วงนี้จางซานเฟิงจะต้องออกเดินทางไปยังทิศเหนือ เข้าร่วมงานพิธีของสำนักแห่งหนึ่งที่มีสหายรักท่านหนึ่งของอาจารย์อยู่ จึงไม่ได้ติดตามเฉินผิงอันไปที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย
แต่ทั้งสองฝ่ายนัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า จางซานเฟิงกลับจากทางทิศเหนือเมื่อไหร่ก็จะลงใต้ไปเที่ยวเยือนแจกันสมบัติทวีป ไปดูที่ภูเขาลั่วพั่วทันที จากนั้นค่อยไปดื่มเหล้าที่อำเภอเซียนโหยวพร้อมกับเฉินผิงอัน
บนลานกว้างหินเขียวของยอดเขาพาตี้ในวันนี้ คนหนึ่งสอนหมัด คนหนึ่งเรียนหมัด
ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งกลับกำลังสอนหมัด ส่วนผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งกลับเป็นคนที่เรียนหมัด
เด็กชายผมขาวมองภาพเหตุการณ์นั้นตาไม่กะพริบ เงียบไปพักใหญ่ ถึงได้เอ่ยอย่างเหม่อลอยว่า “น่ากลัวจะตายอยู่แล้ว ช่างเป็นภาพปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่นัก”
หนิงเหยาเอ่ยถาม “เจ้าเรียนเป็นหรือไม่?”
เด็กชายผมขาวไม่ได้พูดล้อเล่นอย่างที่หาได้ยาก ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เรียนรู้เหมือนแค่ทางรูปลักษณ์จะไม่มีความหมายใดๆ เลย ดังนั้นข้าจึงเรียนรู้ไม่ได้ เพราะจำเป็นต้องมีจิตแห่งมรรคาที่สอดคล้องกับคนที่เรียนหมัดด้วย”
ได้ยินจางซานเฟิงเล่าว่าที่บ้านเกิดมีภูเขาสูงอยู่ลูกหนึ่ง ชื่อว่าอู่ตัง
เป็นชื่อที่ดี ภูเขาอู่ (บู๊) ตัง จางซานเฟิง
ความเป็นมาคือยอดเขาสูงตระหง่านเพียงหนึ่งเดียว
จางซานเฟิงเก็บหมัด ถามว่า “เรียนเป็นแล้วหรือยัง? คงจะได้แล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าปล่อยหมัดอีกรอบหนึ่ง”
จางซานเฟิงร้อนใจขึ้นมาครามครัน “เฉินผิงอันเจ้าเรียนบ้าอะไรของเจ้ากัน”
คนมากมายขนาดนั้นชมเรื่องสนุกอยู่ ยังต้องให้ข้าขายหน้าคนไปอีกถึงเมื่อไหร่?
นักพรตน้อยจำนวนไม่น้อยของยอดเขาพาตี้พากันมานั่งยองบนขั้นบันไดหน้าสลอนราวกับนกกระจกเรียงแถวเกาะกิ่งไม้ ร้องตะโกนกันส่งเดช บอกว่าวิชาหมัดของบรรพจารย์อาไร้เทียมทาน ฝีมือวิชาบุ๋นไร้ศัตรูทัดเทียม
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจว่า “ข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่น”
จางซานเฟิงจึงได้แต่แข็งใจร่ายกระบวนท่าหมัดที่คิดขึ้นมาเองอีกรอบ
เฉินผิงอันพลันเก็บหมัดหยุดยืนนิ่ง บิดหมุนข้อมือง่ายๆ หนึ่งที ถึงกับกักลมน้ำและไอหมอกบนภูเขาของยอดเขาพาตี้มาไว้ที่มือ ก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นช้าๆ ต่างสำแดงมหามรรคาออกมา ประหนึ่งธารดวงดาวเล็กจิ๋วสองดวงที่ไหลริน ยิ้มเอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว แต่เจ้ายังต้องปล่อยหมัดอีกรอบ”
จางซานเฟิงเหลือบมองภาพบรรยากาศประหลาดที่มือของเฉินผิงอันด้วยความอิจฉาถึงขีดสุด เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางแล้วร้ายกาจนักหรือ เขาพลันขมวดคิ้ว ก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้า เดินไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ชี้นิ้วไปยังภาพนั้นแล้วบอกถึงรายละเอียดบางอย่างที่ตัวเองรู้สึกว่าไม่เหมาะสม
เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟังแล้วจดจำไปทีละข้อ รอกระทั่งจางซานเฟิงไม่พูดอะไรอีก เฉินผิงอันก็พลันยกแขนรัดคอนักพรตหนุ่ม เอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุนว่า “บรรพบุรุษประทานข้าวให้กินจริงๆ หรือนี่?!”
จางซานเฟิงยกศอกถองกลับ พอยืดเอวขึ้นตรงแล้วก็จับประคองกวานเต๋าบนศีรษะ ยิ้มตาหยีมองไปทางพวกนักพรตน้อยที่เงียบกริบ กำลังจะถามว่าหมัดดีหรือไม่ พวกเด็กๆ กลับแตกฮือไปทำธุระของใครของมันแล้ว ก็ไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้วนี่นะ อีกอย่างวันนี้บรรพจารย์อาก็ขายหน้ามากพอแล้ว ฮ่าๆ ยังถูกคนเรียกว่าจางเจินเหรินเสียด้วย แล้วยังกล้าต่อยหมัดช้าขนาดนั้น เวลาปกติก็ไม่เห็นว่าบรรพจารย์อาท่านจะขยับตะเกียบกินข้าวช้าเลยนี่นา
สุดท้ายจางซานเฟิงมาส่งพวกเฉินผิงอันที่ตีนเขา
เฉินผิงอันอดไม่ไหวยิ้มกล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
จางซานเฟิงเอ่ยอย่างอ่อนใจ “รู้ก็ดีแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “รู้ก็ดีแล้ว”
สุดท้ายจางซานเฟิงเอ่ยประโยคหนึ่ง พูดจนเฉินผิงอันเกือบจะหันตัวกลับไปบนยอดเขาพาตี้ พวกเราสองพี่น้องดื่มเหล้าพูดคุยกันดีๆ สักรอบ
จางซานเฟิงถามคำถามหนึ่งที่จริงใจอย่างมาก เฉินผิงอัน เมื่อไหร่จะได้ดื่มสุรามงคลของเจ้ากับแม่นางหนิงกันล่ะ?
——