กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 812.1 ซ้อมมือ
สำนักกระบี่ไท่ฮุย ยอดเขาเพียนหราน
คนที่ฝึกตนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ทุกวันนี้เหลือแค่ป๋ายโส่วคนเดียวเท่านั้น
เพราะป๋ายโส่วได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองแล้ว บวกกับที่หลิวจิ่งหลงเป็นเจ้าสำนัก จึงย้ายไปอยู่ที่ภูเขาบรรพบุรุษ ดังนั้นสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่จัดพิธีเปิดขุนเขาง่ายๆ ไปครั้งหนึ่ง ยอดเขาเพียนหรานก็กลายมาเป็นสถานที่ฝึกตนของป๋ายโส่วแล้ว
ขอแค่ตัวป๋ายโส่วเองยินดี อันที่จริงก็เริ่มสามารถรับลูกศิษย์ได้แล้ว
เพียงแต่ว่าช่วงนี้ป๋ายโส่วไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ทุกครั้งที่ว่างจากการฝึกกระบี่ก็มักจะนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
อันที่จริงเขาไม่ชอบดื่มเหล้า ดื่มไม่ชิน ดังนั้นทุกครั้งจึงเพียงแค่หิ้วกาเหล้าเอาไว้ แต่ไม่เคยดื่มหมดเลยสักครั้ง
ก่อนหน้านี้ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์พร้อมกับพวกผู้ฝึกตนสำนักเดียวกัน ไปที่แคว้นหลันฝาง เปิดฉากเข่นฆ่าที่ริมชายแดนของด่านที่มีชื่อว่าเถี่ยจู้ไปรอบหนึ่ง มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มเล็กของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอาละวาดก่อคดีอยู่ที่นั่น การล้อมสังหารครั้งนั้นเนื่องจากขอบเขตของผู้ฝึกตนเปลี่ยวร้างกลุ่มนั้นต่างก็ไม่สูง แพ้ชนะจึงไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น ผู้ฝึกตนจากสำนักต่างๆ ซึ่งมีสำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นหนึ่งในนั้นแทบจะไม่มีความเสียหายอะไร คนที่บาดเจ็บก็ยังมีไม่มาก
เพียงแต่ว่านอกจากนี้ยังมีการพบเจอกันบนทางแคบที่ไม่ว่าจะสำหรับฝ่ายศัตรูหรือฝ่ายคนกันเองก็ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน นั่นคือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง แล้วยังมีผู้ฝึกตนผีคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญการหลบซ่อนอำพราง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต่างก็ไม่สามารถอาศัยกุยซวีบนทะเลหนีกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ กลับกลายเป็นว่าต้องอยู่ต่อในอุตรกุรุทวีป เก็บตัวเงียบมานานหลายปี เพียงแค่เพื่อจะฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นก่อกำเนิดจึงถึงกับทำร้ายคนหลายสิบคนในพรรคเล็กของยุทธภพแห่งหนึ่ง วิธีการที่ใช้ชั่วร้ายอีกทั้งยังลึกลับอำพราง เหยื่อทุกคนล้วนถูกมันจับมาหลอมเป็นศพเดินได้ หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นป๋ายโส่วอาศัยสัมผัสที่เฉียบคมจากชาติกำเนิดนักฆ่าของตนจึงสัมผัสได้ถึงเบาะแสเสี้ยวหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจคลาดกับเผ่าปีศาจตนนี้
การเข่นฆ่าที่มีอันตรายรายล้อมอยู่รอบด้านครั้งนั้น ป๋ายโส่วออกแรงมากที่สุด แล้วก็เพราะการโจมตีเอาชีวิตของตนถึงสามารถสังหารศัตรูได้สำเร็จ ตัดหัวของฝ่ายตรงข้ามมาได้ กระบี่บินทำลายโอสถทองของผู้ฝึกตนผีตนนั้น ทว่าศิษย์หลานคนหนึ่งของยอดเขาอื่นในสำนัก เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร แม้ว่าลำดับศักดิ์จะต่ำกว่าป๋ายโส่วหนึ่งระดับ แต่อันที่จริงกลับอายุมากกว่าป๋ายโส่วมากนัก เขากลับได้รับบาดเจ็บท่ามกลางการต่อสู้ครั้งนั้น ถูกเวทคาถาบทหนึ่งของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจโจมตีเข้าที่ช่องโพรงหัวใจ ผู้ฝึกกระบี่ที่มีหวังจะได้เป็นเซียนดินกลับต้องหมดหวังไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
หลังจากป๋ายโส่วกลับมาถึงยอดเขาเพียนหราน เขาที่เดิมทีเงียบขรึมพูดน้อยก็ยิ่งไม่พูดอะไรอีกเลย
ต่อให้เจ้าคนแซ่หลิวและศิษย์หลานคนนั้นจะขึ้นมาบนภูเขาเพื่อโน้มน้าวเขา แต่ในใจของป๋ายโส่วก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่เหมือนเดิม โดยเฉพาะเมื่อศิษย์หลานคนนั้นเป็นฝ่ายมาเยือนถึงยอดเขาเพียนหราน มาดื่มเหล้ากับอาจารย์อาอย่างป๋ายโส่ว บอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ อาจารย์อาป๋ายไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจ
ตอนที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ ผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตถดถอยมีสายตาจริงใจ บนใบหน้ายังมีรอยยิ้ม สุดท้ายเอ่ยประโยคหนึ่งว่าหากรู้สึกผิดจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยคิดคำนวณขอบเขตของเขาเข้าไปด้วย วันหน้าหากท่านป๋ายโส่วยังไม่ได้เป็นขอบเขตหยกดิบก็คงไม่เข้าท่าแล้วจริงๆ ถึงเวลานั้นเขาจะมาดักทางด่าคนที่ยอดเขาเพียนหรานทุกวัน
เวลานี้ป๋ายโส่วเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก จะไม่เก็บมาใส่ใจได้อย่างไร? จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร?
เหล้าไม่อร่อย
ในใจยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม
และความใจกว้างของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น แท้จริงแล้วกลับทำให้ป๋ายโส่วรู้สึกแย่ที่สุด
เข่นฆ่าสังหารอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานหลายปี ยังไม่เคยขอบเขตถดถอย เหตุใดกลับมาบ้านเกิดแล้วกลับต้องมาขอบเขตถดถอยในสถานที่เล็กๆ เช่นนั้น
อีกทั้งยังเกิดขึ้นใต้เปลือกตาของเขาป๋ายโส่ว อีกฝ่ายเป็นแค่สัตว์เดรัจฉานคอขวดขอบเขตโอสถทองตนหนึ่งเท่านั้น ตนเป็นขอบเขตเดียวกับอีกฝ่าย อีกทั้งข้าป๋ายโส่วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง!
ก่อนหน้านี้ลงจากเขาไปสังหารปีศาจ ระหว่างทางที่ไปด่านเถี่ยจู้ บนโต๊ะอาหารในวันนั้น ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นได้ยินป๋ายโส่วบอกว่าเขาเป็นสหายที่เรียกกันเป็นพี่เป็นน้องกับเฉินผิงอัน ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อ บอกว่าเว้นเสียจากคราวหน้าอิ่นกวานมาเป็นแขกที่ยอดเขาเพียนหรานแล้วท่านสามารถพูดแนะนำ ให้เขาพูดคุยกับอิ่นกวานหนุ่มสองสามประโยคได้ ถึงจะยอมเชื่อ ตอนนั้นป๋ายโส่วตบอกรับรองบอกว่าเรื่องเล็ก
คนแซ่หลิวผู้นั้นก็ยิ่งเกินกว่าเหตุ ครั้งที่สองที่มายอดเขาเพียนหรานถึงกับสั่งสอนตนด้วยคำพูดแรงแสกหน้า บอกว่าหากแม้แต่หลักการเหตุผลน้อยนิดแค่นี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจ นั่นก็หมายความว่าเจ้ายังไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างแท้จริง
เจ้าคนแซ่หลิวพูดจาระยำจบก็จากไป
ป๋ายโส่วไม่ได้เอ่ยอะไร อธิบายเหตุผลอะไรกัน ไหนเลยจะพูดชนะอาจารย์ที่เป็นหนอนหนังสือคนนั้นได้
ป๋ายโส่วขยี้ใบหน้าตัวเองแรงๆ ถอนหายใจหนักหน่วง ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้แล้วปล่อยหมัดอุตลุดส่งเดช
จู่ๆ ก็พลันยืนนิ่ง สองนิ้วประกบกันชี้ไปข้างหน้า จินตนาการว่าห่างไปไม่ไกลมีเจ้าถ่านดำคนหนึ่งยืนอยู่แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “นี่! เจ้าถ่านดำนั่น จงฟังข้าให้ดี หากเจ้ายังตอแยไม่ยอมเลิกรา นายท่านใหญ่จะออกหมัดแล้วนะ!”
ป๋ายโส่วเปลี่ยนนิ้วเป็นฝ่ามือ โบกซ้ายโบกขวาคล้ายกำลังตบบ้องหูคน “อธิบายเหตุผลกับเจ้าดีๆ ไม่ฟังใช่ไหม? คราวนี้ต้องเจ็บตัวแล้วไหมล่ะ? วันหน้าจำไว้ว่าหากเจอนายท่านใหญ่ป๋ายโส่วของเจ้าอีกก็หัดเคารพกันเสียบ้าง!”
กลางอากาศห่างจากยอดเขาเพียนหรานมาแค่หนึ่งลี้ คนกลุ่มหนึ่งทะยานลมหยุดลอยนิ่ง แต่บางคนได้ร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้
ใบหน้าเด็กชายผมขาวเต็มไปด้วยสีหน้าชื่นชม เอ่ยยกย่องจากใจจริง “สมกับเป็นลูกผู้ชาย! อีกเดี๋ยวข้าจะต้องดื่มสุราคารวะวีรบุรุษท่านนี้สักจอกให้จงได้”
เงื่อนไขคือเจ้าหมอนี่ต้องดื่มเหล้าเป็นด้วย
หลิวจิ่งหลงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงเอ่ยเตือนลูกศิษย์ของตน
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก สีหน้าไร้อารมณ์
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม เหลือบมองเผยเฉียนอย่างระมัดระวัง ดูจากท่าทางแล้วคงไม่มีโอกาสให้แก้ตัวแล้วนะนี่
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มกล่าว “เป็นวิชาหมัดที่ดีจริงๆ”
ป๋ายโส่วหมุนเอวบิดตัวกลางอากาศ คิดไปเองว่าเท้าที่เตะออกไปนั้นสง่างามอย่างมาก พอพลิ้วกายลงพื้นก็ปัดมือ “ไม่ส่งนะ”
ต่อมาคนทั้งกลุ่มก็พากันปรากฏตัวด้วยการพลิ้วกายลงพื้น
ป๋ายโส่วหลับตาลง แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลงแล้วลืมขึ้นอีกครั้ง เอาล่ะ ข้าผู้อาวุโสสามารถเผ่นได้แล้ว
ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ปาดนิ้วออกไปหนึ่งที กระบี่ยาวที่แขวนบนผนังในห้องออกจากฝักดังเช้ง ป๋ายโส่วเหยียบอยู่บนกระบี่ยาวขี่กระบี่ออกไปจากยอดเขาเพียนหรานอย่างรีบร้อน
เผยเฉียนมองอาจารย์พ่อแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ควรรำลึกความหลังกันเสียหน่อย”
เผยเฉียนจึงมองไปทางหลิวจิ่งหลง ฝ่ายหลังยิ้มเอ่ย “แค่กะน้ำหนักให้ดีก็พอ”
เผยเฉียนปลดหีบหนังสือ ส่งไม้เท้าเดินป่าให้กับหมี่ลี่น้อย เรือนกายหายวูบไป พุ่งไปเร็วราวสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็ตามไปทันป๋ายโส่วที่ขี่กระบี่
ป๋ายโส่วเร่งขี่กระบี่หนีสุดชีวิต สตรีที่อยู่ข้างกายเขามีสีหน้านิ่งสงบเป็นธรรมชาติ คอยติดตามมาด้านข้างอยู่ตลอดเวลา ป๋ายโส่วจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ เอ่ยว่า “บังเอิญจัง มาเป็นแขกหรือ”
เผยเฉียนเพียงแค่ทะยานไปข้างกายป๋ายโส่ว ไม่พูดอะไร ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ อันเป็นสีหน้าประจำตัว จากนั้นเหล่ตาเหลือบมองมา
ป๋ายโส่วที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ชีวิตนี้กลับกลัวสีหน้านี้ของเผยเฉียนที่สุด
ป๋ายโส่วพูดอย่างคนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว “ข้าไม่ตอบโต้คืนหรอกนะ”
เผยเฉียนปล่อยหมัดแสกหน้ามาทันควัน
ป๋ายโส่วพร้อมกับกระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าดิ่งลงพื้นเป็นเส้นตรง
มุมปากกระตุก ร่างสั้นเทิ่ม เรือนกายเกินครึ่งทิ่มอยู่ในดินโคลนบนภูเขา ไม่ได้สลบเหมือดไป ก็แค่เจ็บปวดอย่างมาก สู้หลับไปแล้วพอฟื้นขึ้นมาเจ้าถ่านดำที่ใจดำอำมหิตผู้นั้นก็ไปจากยอดเขาเพียนหรานแล้วไม่ได้เลยจริงๆ
เผยเฉียนยืนอยู่ด้านข้าง ถามว่า “ต่อจากนี้จะเอาอย่างไร? จะให้ข้ายอมต่อให้สามกระบวนท่าตอนถามหมัดหรือไม่?”
ป๋ายโส่วเอ่ยเสียงสั่น “ยอมแค่กระบวนท่าเดียวก็พอแล้ว!”
เผยเฉียนยกฝ่ามือแล้วบิดหมุนข้อมือ ดึงร่างทั้งร่างของป๋ายโส่วออกมาจากดิน จากนั้นก็ผลักออกไปด้านหลังสองก้าว
ป๋ายโส่วตัวส่ายโงนเงน รู้สึกเวียนหัวตาลายอยู่บ้าง
เสแสร้ง เสแสร้งต่อไปสิ
หมัดก่อนหน้านี้เผยเฉียนกะแรงไว้อย่างดี ไม่ถึงขั้นทำให้ป๋ายโส่วเหมือนคนเมาแบบนี้แน่นอน
นางกระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งที กระบี่ยาวเล่มนั้นก็พลันผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เผยเฉียนโบกมืออีกครั้ง กระบี่ยาวก็พุ่งกลับไปที่กระท่อมบนยอดเขาเพียนหรานในเสี้ยววินาที วาดวงโค้งสอดตัวเองกลับเข้าฝัก
ป๋ายโส่วเหมือนคนสร่างเมาทันทีทันใด หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เผยเฉียน ทำไมเจ้าจะมาที่ยอดเขาเพียนหรานแล้วไม่บอกกันก่อนสักคำ”
เผยเฉียนหัวเราะหึหึ “กลัวถูกตี”
ป๋ายโส่วบ่นว่า “พูดจาเกรงใจกันไปไย พวกเราสองคนคือใครกับใคร คนรุ่นเดียวกันนะ”
เผยเฉียนถาม “ทะยานลมกลับไปด้วยกันไหม?”
ป๋ายโส่วเอ่ย “ให้ข้าพักสักครู่”
วันนี้เสียหน้าครั้งใหญ่ กลับไปตอนนี้ต้องถูกพี่น้องเฉินหัวเราะเยาะเป็นแน่ ทางที่ดีที่สุดคือรอให้ตนกลับไปที่นั่น เฉินผิงอันกับเจ้าคนแซ่หลิวก็ดื่มเหล้ากันจนมืดฟ้ามัวดินไปแล้ว
คนทั้งสองเดินเท้ากลับไปที่ยอดเขาเพียนหราน
เผยเฉียนเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นที่ด่านเถี่ยจู้และแคว้นหลันฝาง ข้าได้ยินมาแล้ว”
ป๋ายโส่วเพียงแค่อืมรับหนึ่งที จากนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
เผยเฉียนจึงเอ่ยต่อว่า “เรื่องบางอย่างไม่อาจชดเชยแก้ไขได้ อันที่จริงหลังจากนี้สิ่งที่เจ้าพอจะทำได้ก็คือได้แต่ตั้งใจฝึกกระบี่เท่านั้น พยายามไม่ให้ตัวเองทำผิดแบบเดิมอีก อยากจะรู้สึกผิดก็รู้สึกผิดไป ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรสักหน่อย อย่างไรก็ดีกว่าใจจืดใจดำ หันหน้ากลับแล้วก็ไม่สนใจอีก แต่อย่าให้ถ่วงรั้งการฝึกกระบี่ ไม่ว่าจะฝึกวรยุทธหรือฝึกกระบี่ก็อย่าปล่อยให้จิตใจดำดิ่งหดหู่ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็อย่าได้หวังอีกเลย”
ป๋ายโส่วยังคงอืมรับหนึ่งที แต่ในสายตาของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มกลับมีความมีชีวิตชีวาอย่างในอดีตกลับคืนมาบ้างแล้ว
เผยเฉียนกล่าวว่า “ยังเป็นแค่โอสถทองก็กล้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์หลิวหรือ แล้วยังเป็นคนรุ่นเดียวกันอีก? ใครเป็นคนรุ่นเดียวกับเจ้ากัน?”
อันที่จริงป๋ายโส่วเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองในช่วงวัยเช่นนี้ได้ ต่อให้อยู่ในอุตรกุรุทวีปที่ผู้ฝึกกระบี่เป็นคนธรรมดาที่สุดก็ยังถือว่าเป็นคนมีพรสวรรค์อย่างสมเกียรติแล้ว
ป๋ายโส่วเดินหันข้าง ยิ้มหน้าทะเล้น “โอ้โห ปรมาจารย์เผยพูดจาวางโตไม่เบาเลยนะ”
เผยเฉียนเพียงแค่มองไปเบื้องหน้า เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ามีหมัดหนักกี่จินก็พูดจาหนักเท่านั้น เจ้าไม่ชอบฟังก็อย่าฟัง”
อาจารย์หลิวคือหนึ่งในสหายที่ดีที่สุดของอาจารย์พ่อ ป๋ายโส่วก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์หลิว ดังนั้นเผยเฉียนจึงหวังว่าบนเส้นทางแห่งกระบี่ ป๋ายโส่วจะสามารถเดินขึ้นสู่ที่สูง ยิ่งสูงยิ่งดี แล้วสักวันหนึ่งก็สามารถยืนอยู่ข้างกายอาจารย์พ่อกับอาจารย์หลิวได้
ไม่อย่างนั้นหากเป็นคนนอก เผยเฉียนไม่มีทางพูดมากแม้แต่ครึ่งคำ
ป๋ายโส่วเหม่อมองเผยเฉียนตรงหน้าที่คล้ายจะแปลกตาไปเล็กน้อย เขาหันตัวกลับมา พยักหน้าเอ่ย “ควรต้องเป็นเช่นนี้”
เผยเฉียนพลันกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ตบบ้องหูเจ้าไปแปดครั้ง ก็ถือว่าเจ้าติดค้างหมัดข้าเจ็ดหมัดแล้วกัน”
ป๋ายโส่วโอดครวญ “เผยเฉียน! เมื่อไหร่เจ้าจะเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ ที่ชอบจดบัญชีสักทีนะ!”
เผยเฉียนหัวเราะเสียงเย็น “ก็ได้ แปดหมัดแล้ว”
ป๋ายโส่วสิ้นหวังแล้ว
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังเอ่ยว่า “เจ้าไม่อาจทำให้อาจารย์หลิวผิดหวังได้ เพราะไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเหมือนเจ้าและข้าที่โชคดีได้ถึงขนาดนี้ ได้พบเจอกับอาจารย์ที่ดีขนาดนี้”
ป๋ายโส่วยิ้มกล่าว “รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า ดีนักนะ ข้างกายข้ามีคนชอบอธิบายเหตุผลเพิ่มมาอีกคนแล้ว”
เผยเฉียนพยักหน้า “เก้าหมัด”
ป๋ายโส่วคิดว่ากลับไปถึงที่ยอดเขาเพียนหรานจะแกะสลักตัวอักษรแปดคำลงไปบนโต๊ะ หายนะมาจากปาก พูดจารอบคอบกระทำการระมัดระวัง
พอไปถึงกระท่อมที่ยอดเขาเพียนหราน ป๋ายโส่วรู้สึกทนมองไม่ไหวอยู่บ้าง เจ้าคนแซ่หลิวกับพี่ชายคนดีเป็นอะไรกันไปหมด ดื่มเหล้าถึงได้มีท่าทางเหนียมอายกันอย่างนั้น
เฉินผิงอันเจ้าไหวหรือเปล่า เมื่อก่อนสวีซิ่งจิ่วและหลิ่วจื้อชิงมาเป็นแขกที่นี่ เจ้าคนแซ่หลิวยังไม่ดื่มอิดออดเหมือนสตรีเช่นนี้เลย
ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างรวดร้าวปานจะขาดใจ “อาจารย์ จะดีจะชั่วท่านก็เป็นเจ้าของยอดเขาเพียนหรานคนก่อน รับรองแขกได้ไม่รอบคอบเลยนะ ดื่มเหล้ากับเฉิน…กับเจ้าขุนเขาเฉินมากๆ หน่อยสิ เหล้าของข้ารับรองว่ามีมากพอ อุตส่าห์คอแข็งดื่มเก่งขนาดนั้นก็ช่างเสียเปล่าจริง”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ดื่มเยอะ อีกเดี๋ยวพวกเราจะไปจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์ของพวกเจ้า”
สำนักกระบี่ไท่ฮุย หันไหวจื่อเจ้าสำนักคนก่อน หวงถงผู้คุมกฎคนก่อน
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ในประวัติศาสตร์ของสำนักทุกคนที่ขี่กระบี่เดินทางไกลแล้วไม่ได้หวนกลับคืนมายังบ้านเกิด
ในบรรดานั้นมีคนสามสิบหกคนที่ก่อนหน้านี้ต่างก็รบตายอยู่ในสนามรบต่างบ้านต่างเมืองอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และแจกันสมบัติทวีป
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ที่มากกว่านั้นซึ่งต่อให้จะมีชีวิตรอดกลับคืนมายังสำนักก็ไม่อาจเป็นผู้ฝึกลมปราณได้อีก นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเป็นผู้ฝึกกระบี่เลย
อีกทั้งการพกกระบี่ออกเดินทางไกลของผู้ฝึกกระบี่สำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่เคยเลอะเลือน ล้วนเป็นกลุ่มคนที่ขอบเขตสูงที่สุด พลังพิฆาตรุนแรงที่สุดในสำนัก!
ดังนั้นสำนักกระบี่ไท่ฮุยจึงสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล
สำนักกระบี่อันดับหนึ่งของอุตรกุรุทวีป ทุกวันนี้ถึงกับมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบแค่คนเดียว
หลิวจิ่งหลง ป๋ายโส่ว
เฉินผิงอัน หนิงเหยา
วันนี้มีเพียงผู้ฝึกกระบี่สี่คนนี้ที่เดินเข้าไปในศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย
ไม่เหมือนกับสำนักหรือภูเขาตระกูลเซียนแห่งอื่น ในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ไม่เพียงแต่แขวนภาพเหมือนของบรรพจารย์ทุกยุคทุกสมัยเอาไว้ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ตายบนสนามรบก็ล้วนมีภาพแขวนไว้ด้วย
หลิวจิ่งหลงยื่นส่งธูปให้เฉินผิงอันและหนิงเหยาคนละสามดอก ยิ้มเอ่ยว่า “เชื่อว่าอาจารย์และอาจารย์อาหวงของข้า รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่มีภาพแขวนล้วนดีใจอย่างมากที่ได้พบเจอทั้งสองท่าน”
คนผู้หนึ่งคืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนผู้หนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานของกำแพงเมืองปราณกระบี่
สองมือของเฉินผิงอันจับประคองถือธูป เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว ขอคารวะปราชญ์ผู้ล่วงลับทุกท่านมา ณ ที่แห่งนี้”
หนิงเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ขอคารวะทุกท่าน”
ไม่มีพิธีการยิบย่อยอะไร คนต่างถิ่นสองคนเข้ามาในศาลบรรพจารย์แห่งนี้ก็เพียงแค่เพื่อจุดธูปคารวะสามดอกและเอ่ยหนึ่งประโยคเท่านั้น
——