กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 812.3 ซ้อมมือ
เพ่ยอาเซียงรินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม แต่กลับไม่ได้ดื่ม เพียงแค่ใช้ผ้าแพรต่วนสีขาวหิมะผืนหนึ่งเช็ดถูขลุ่ยไม้ไผ่สีเขียวมรกตเลานั้น
วัสดุของขลุ่ยไม้ไผ่คือไผ่เขียวของภูเขาชิงเสิน ในอดีตตอนที่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าเคยโชคดีได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสุราของภูเขาชิงเสินครั้งหนึ่งพร้อมกับสหาย ผลคือคนทั้งกลุ่มต่างก็ถูกอาเหลียงหลอกต้มเสียจนเปื่อย ความเข้าใจผิดครั้งนั้นผ่านพ้นไป หญิงชราคนเฝ้าศาลของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ก็นำไผ่เล็กบางล้ำค่าท่อนหนึ่งมามอบให้ ภายหลังอาเหลียงมองดูด้วยความกลัดกลุ้ม บอกว่าอาเซียงเจ้าช่างน่าอนาถนัก ไม่เพียงแต่ถูกคนมองทะลุปรุโปร่งไปถึงรากฐาน ยังถูกคนหมิ่นเกียรติเสียด้วย หากเป็นข้า ข้าคงทนไม่ไหวแล้ว
เพ่ยอาเซียงไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้ง เพียงแค่คิดไปว่าถูกอาเหลียงแกล้งกรอกยามอมเมาจิตใจอีกครั้ง จึงไม่คิดจะถือสา
รอกระทั่งกลับไปถึงศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูถึงใคร่ครวญจนเข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ ก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
พู่ของขลุ่ยไม้ไผ่มีไข่มุกสีออกเหลืองเม็ดหนึ่งห้อยอยู่ เป็นแค่ไขมุกธรรมดาทั่วไป เวลานานวันเข้าจึงเริ่มกลายเป็นสีเหลือง ไม่มีมูลค่าแม้แต่น้อย
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งที่รูปโฉมหล่อเหลางดงาม สามารถใช้หมัดสยบข่มวิถีวรยุทธของหนึ่งทวีปมาได้นานหลายปี มีหรือจะไม่มีเรื่องราวในยุทธภพของตัวเองเลยแม้แต่น้อย?
ชุดขาวเข็มขัดหยกเหน็บขลุ่ยเขียว เพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกง หากยินดีออกจากบ้านไปท่องยุทธภพก็ง่ายที่จะถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาจำได้เพียงแค่มองปราดเดียว
เพ่ยอาเซียงเหลือบมองที่เท้าแขนเก้าอี้ตัวที่หวังฟู่ซู่นั่งอยู่ เห็นว่าเป็นรอยแตกร้าวเหมือนใยแมงมุมก็เอ่ยว่า “เรือข้ามฟากเป็นของสกุลหลิว เจ้าจำไว้ว่าต้องชดใช้เงินด้วย”
หวังฟู่ซู่เอ่ย “ชดใช้เงินไม่มีปัญหา เจ้าเอาเงินมาให้ข้ายืมก่อน”
ดูจากท่าทางของผู้ฝึกยุทธเฒ่าคนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าการยืมเงินเป็นการให้หน้าอีกฝ่าย
หวังฟู่ซู่บ่นอย่างไม่พอใจ “ศาลบุ๋นทำอะไรไม่ผึ่งผายเอาเสียเลย การถามหมัดของเด็กรุ่นเยาว์สองคนครั้งนั้นไม่รู้จักบอกกล่าวพวกเราสักคำ จะดีจะชั่วพวกเราก็เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธชื่อเสียงโด่งดัง ไม่อย่างนั้นข้าผู้อาวุโสก็สามารถชี้แนะ หาจุดบกพร่องของวิชาหมัดเด็กรุ่นเยาว์สองคนนั้นให้แล้ว”
หลิ่วสุ้ยอวี๋พลันลุกขึ้นยืน กุมหมัดกล่าวว่า “อาจารย์ ข้าคงไม่กลับไปธวัลทวีปแล้ว”
สายตาของผู้ฝึกยุทธเฒ่าจากอุตรกุรุทวีปทำให้นางสะอิดสะเอียนจริงๆ
เพ่ยอาเซียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงข้ารอประโยคนี้จากเจ้าอยู่ตลอด ไปเถิด รีบไปรีบกลับ ปูรากฐานขอบเขตปลายทางมาให้ดี หากมีโอกาสล่ะก็ ไปเจอกันบนสนามรบแห่งนั้น”
หวังฟู่ซู่ เพ่ยอาเซียง และยังมีอู๋ซู ปรมาจารย์ใหญ่ด้านการเรียนวรยุทธอย่างพวกเขา ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับพวกเผยเปย จางเถียวเสียแล้วก็ยังห่างชั้นอยู่อีกขั้นใหญ่ ดังนั้นเรื่องของการเดินทางไปเยือนเปลี่ยวร้างจึงจำเป็นต้องฟังคำสั่งจากราชวงศ์ในทวีปต่างๆ
หลิ่วสุ้ยอวี๋ลุกขึ้นยืนแล้วจากไป กระโดดลงจากเรือข้ามฟาก ทะยานลมลงใต้ พุ่งไปรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
เมื่อครู่นี้หางตาของหวังฟู่ซู่พยายามเหล่มองแผ่นหลังของสตรีอย่างเต็มที่ รอกระทั่งแน่ใจว่าหลิ่วสุ้ยอวี๋ออกไปจากเรือข้ามฟากแล้วจริงๆ หวังฟู่ซู่ถึงได้ดื่มเหล้าในชามจนหมด เอาเหล้ามาดับกระหาย เปลี่ยนท่านั่งพร้อมกับคลำเป้ากางเกงไปด้วย “ก้นแน่นๆ สองกลีบนั่นสะบัดจนใจข้าแกว่งไกวตามไปด้วยแล้ว”
เพ่ยอาเซียงเอ่ยอย่างหน่ายใจ “จะดีจะชั่วเจ้าก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง เลิกทำตัวไร้สาระแบบนี้เถอะ”
หวังฟู่ซู่หลุดหัวเราะพรืด “ข้าผู้อาวุโสก็แค่มอง ลูบคลำแล้วหรือยัง?”
เพ่ยอาเซียงคร้านจะโต้เถียงกันในหัวข้อนี้ จึงถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ปีนั้นเหตุใดเจ้าถึงธาตุไฟเข้าแทรก?”
หวังฟู่ซู่ตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เหตุใด? แน่นอนว่ามีหมัดแต่ออกไม่ได้ก็เลยได้แต่บีบตัวเองให้เป็นบ้าน่ะสิ”
เพ่ยอาเซียงถอนหายใจ
หวังฟู่ซู่กดเสียงลงต่ำถามว่า “อาเซียง เจ้าคิดว่าข้ากับหลิ่วสุ้ยอวี๋เหมาะสมกันหรือไม่ มีโอกาสบ้างหรือไม่? เจ้าต้องรีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้นะ นี่เป็นเรื่องดีที่สามารถยกลำดับศักดิ์ให้สูงกว่าข้าได้เปล่าๆ เชียวนะ”
เพ่ยอาเซียงโบกมือกล่าวอย่างจนใจ “พูดอะไรเหลวไหลมั่วซั่ว เจ้าเลิกคิดได้แล้ว”
หวังฟู่ซู่ลูบคลำปลายคาง “ไม่ได้จริงๆ หรือ?”
เพ่ยอาเซียงมีสีหน้าปั้นยาก เอ่ยอย่างระอาใจ “ลูกศิษย์ของข้าคนนี้ชอบแค่สตรีเท่านั้น”
หวังฟู่ซู่ยังคงไม่ถอดใจ “แค่?”
เพ่ยอาเซียงพยักหน้ารับ
หวังฟู่ซู่ก็ยังไม่ตัดใจ ถามหยั่งเชิงว่า “นางเห็นข้าเป็นสตรีไม่ได้หรือ?”
เพ่ยอาเซียงอดทนข่มกลั้นกับเจ้าเฒ่านี่อยู่นาน สุดท้ายก็อดไม่ไหวจริงๆ จึงตวาดด่าอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าแก่หน้าไม่อาย ขยะแขยงตัวเองบ้างหรือไม่ เจ้าแม่งไม่รู้จักไปส่องกระจกมองดูสารรูปของตัวเองบ้างเลยรึ?”
ต่อให้ด่าคน เพ่ยอาเซียงก็ยังด่าได้ไม่เหมือนบุรุษเช่นนี้
หวังฟู่ซู่หัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น “หยอกเจ้าเล่นหรอกน่า ดูเจ้าร้อนใจเข้าสิ”
หวังฟู่ซู่พลันหุบยิ้ม เลิกคิ้วให้กับเพ่ยอาเซียง “เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่ นางชอบสตรี ส่วนข้า…”
เพ่ยอาเซียงขนลุกพรึ่บทั้งร่าง
หวังฟู่ซู่กลอกตามองบน ส่ายหน้า แม่นางอาเซียงที่เนื้อนุ่มบอบบางผู้นี้ไม่อาจทนการหยอกเย้าเลยจริงๆ เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กรอกเหล้าอึกใหญ่เข้าปาก ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “เห็นคนหนุ่มอย่างพวกเฉาสือ เฉินผิงอันแล้ว แม่งแต่ละคนล้วนไร้เหตุผลเหมือนกันหมด ยังมีกฎมีระเบียบกันบ้างหรือไม่ อ่อนเยาว์กว่าหลี่เอ้อ ซ่งจ่างจิ้งเสียอีก แล้วพอนึกถึงช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาของตัวเอง นอกจากช่วงเวลาที่ต้องกินข้าวแดงในคุกแล้วก็ไม่เคยเกียจคร้านฝึกหมัดเท้าเลยแม้แต่นาทีเดียว ช่างทำให้คนรู้สึกว่าการฝึกหมัดไม่มีความหมายจริงๆ”
เพ่ยอาเซียงยังโมโหไม่หาย ไม่ว่าได้ยินอะไรก็ล้วนขัดหู “ก็เลิกฝึกซะสิ”
หวังฟู่ซู่โยนเหล้ากานั้นทิ้งไปยังทะเลนอกเรือ ยิ้มเอ่ยว่า “ตอนหนุ่มฝึกหมัดก็เพื่อให้ตัวเองไร้ศัตรูทัดทาน อายุมากฝึกวรยุทธกลับไม่มีแรงใจเหลืออยู่แล้ว แต่ต้องฝึกเพียงแค่เพราะหากไม่ฝึกก็ต้องตาย ทุกวันนี้ได้แต่รอความตาย ช่างไม่สาแก่ใจเสียเลย!”
ในห้องเงียบสงัด หลังจากนั้นก็มีแต่เสียงดื่มสุรา
อยู่ดีๆ หวังฟู่ซู่ก็ถามขึ้นมาว่า “ลูบคลำไม่ได้จริงๆ หรือ? หลิ่วสุ้ยอวี๋เป็นลูกศิษย์ของเจ้า ไม่ใช่เมียเจ้าสักหน่อย เรื่องที่ยินยอมพร้อมใจกันทั้งคู่แบบนี้ เจ้าจะต้องขัดขวางทำไม”
เพ่ยอาเซียงตบที่วางแขนเก้าอี้ “ไสหัวไปไกลๆ เลย!”
หวังฟู่ซู่กล่าวอย่างน้อยใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าไปจริงๆ แล้วนะ?”
“เจ้าไม่คิดจะรั้งไว้เลยหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ไปล่ะ”
“ข้าต้องเปลี่ยนที่ดื่มเหล้าสักหน่อย”
หวังฟู่ซู่เพิ่งจะลุกขึ้นยืน
เพ่ยอาเซียงก็ตบเก้าอี้ตัวที่หลิ่วสุ้ยอวี๋เคยนั่งให้แตกด้วยฝ่ามือเดียว
หวังฟู่ซู่กลับไปนั่งตำแหน่งเดิม แกว่งกาเหล้า “ชีวิตคนมีเรื่องน่าเสียดายเพิ่มมาอีกเรื่องแล้ว”
เพ่ยอาเซียงพลันหันหน้ามามองผู้เฒ่าที่นิสัยฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์แล้วยังทำตัวไม่น่าเคารพนับถือด้วยสีหน้าจริงจัง
หวังฟู่ซู่พยักหน้ารับ สองแขนกอดอก มองไปยังทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาลนอกห้อง “หมัดสุดท้ายในชีวิต ข้าผู้อาวุโสจะปล่อยที่เปลี่ยวร้าง”
อุตรกุรุทวีปไม่ควรมีแค่ผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่
อย่างน้อยที่สุดก็ควรต้องมีหมัดของข้าหวังฟู่ซู่ที่หล่นลงบนขุนเขาสายน้ำของที่นั่น เป็นสหายเคียงคู่อยู่กับแสงกระบี่ของพวกผู้ฝึกกระบี่ในอดีตอย่างหันไหวจื่อ พวกเขาถึงจะไม่เหงา
นอกห้องของเรือข้ามฟาก มีเมฆขาวลอยผ่านไป
เมฆขาวชีวิตคน ผ่านไปแล้วก็คือผ่านเลยไป
……
บนเรือข้ามฟากลำเดียวกัน ครอบครัวที่อาจจะมีเงินมากที่สุดในใต้หล้าไพศาลกำลังคิดบัญชีกันอยู่
เพราะเฉินผิงอันเป็นฝ่ายเสนอว่าจะมาเป็นเค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของสกุลหลิวธวัลทวีป
เงินเดือนของพวกเค่อชิงและผู้ถวายงาน สกุลหลิวจะมอบให้หนึ่งครั้งต่อทุกๆ สิบปี เพราะระดับขั้นสูงต่ำไม่เท่ากัน เงินเทพเซียนจึงมีความต่าง
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง อิ่นกวาน หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า
ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง ศิษย์น้องของจั่วโย่ว ศิษย์น้องของหลิวสือลิ่ว อาจารย์พ่อของเผยเฉียน
เจ้าสำนักภูเขาลั่วพั่ว ชนะในการต่อสู้กับอวิ๋นเหมี่ยว เจี่ยงหลงเซียง หม่าฉวีเซียนสามครั้งติดต่อกัน ต่อยเฉาสือจนหน้าเขียวจมูกบวม…
นี่ก็คือการคิดบัญชีของหลิวโยวโจว
สตรีปลาบปลื้มอย่างมาก การดีดลูกคิดของลูกชายดีดได้ชัดเจนแม่นยำยิ่ง
ในเมื่อทั้งภรรยาและบุตรชายต่างก็รู้สึกว่าควรทำเช่นนี้ หลิวจวี้เป่าก็ไม่มีความเห็นต่างแล้ว ท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภท่านนี้ยิ้มถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ครั้งนี้ใช้เงินไปที่ร้านผ้าห่อบุญเกาะนกแก้วเท่าไร?”
สตรีทำหน้าเหลอหรา “หา?”
นางต้องจำเรื่องนี้ไปทำไม ไม่ใช่ว่าทำให้เจ้าขายหน้าหรอกหรือ?
หลิวจวี้เป่ายกนิ้วโป้งขึ้นดันหน้าผาก “ใช้เงินไปกี่มากน้อยก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องอย่างการคิดบัญชีคร่าวๆ ก็ยังต้องทำนะ”
ทันใดนั้นในดวงตางดงามที่ฉ่ำน้ำคู่นั้นของสตรีก็มีความไม่พอใจ คำขอโทษ ความน้อยใจ ความเสียใจ ความเจ็บปวด คิดผิดไปแล้ว…ปรากฎขึ้นมา
ประหนึ่งภาพวาดแห่งขุนเขาสายน้ำที่มีสีสันหลากหลายทับซ้อนกัน สุดท้ายเมื่อรวมอยู่ด้วยกันก็คล้ายเป็นคำพูดไร้เสียงประโยคหนึ่งว่า ไม่ควรแต่งงานกับเจ้าเลย เจ้ารีบพูดจาน่าฟังให้ข้าฟังเร็วๆ เข้า
ชั่วชีวิตนี้หลิวจวี้เป่าไม่อาจทนเห็นภาพเหตุการณ์นี้ได้มากที่สุด
มองอยู่ครู่หนึ่ง หลิวจวี้เป่าก็ยิ้มเอ่ยว่า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยว่ากันคราวหน้า”
สตรีออกเรือนแล้วพยักหน้ารับ ครั้นจึงหันหน้าไปคุยเล่นกับบุตรชาย ไหนเลยจะมีท่าทางอย่างก่อนหน้านี้เหลืออยู่อีก
หลิวจวี้เป่ากลับไม่ถือสา
ดุจดั่งเมฆหลากสีที่มารวมตัวและสลายตัวอยู่ในดวงตา
นี่ไม่ใช่ทัศนียภาพที่งดงาม แล้วแบบใดจึงจะใช่?
การที่เขาถามเช่นนี้ก็เพราะอยากเห็นภาพนี้
หลิวโยวโจวเคยชินกับภาพนี้มานานแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ชอบทำแบบนี้เสมอ หวานกันจนเลี่ยน
ต่อให้เป็นบนภูเขา การถือกำเนิดของหลิวโยวโจวก็ยังถือว่าเป็นบุตรชายที่มาถึงอย่างเชื่องช้าตามแบบฉบับ ดังนั้นความรักความเอ็นดูทั้งหมดทั้งมวลจึงมากองรวมกันอยู่บนร่างเขาอย่างแท้จริง
ตอนที่หลิวโยวโจวอายุยังน้อยเคยสนทนาตามประสาบุรุษอย่างเปิดเผยกับบิดาครั้งหนึ่ง
นั่นก็เพราะว่าในตระกูลมีเรื่องวุ่นวายมากเกินไปจริงๆ แต่ละครอบครัว คนที่ไม่มีเงินก็มีความลำบากของคนไม่มีเงิน คนที่มีเงินก็มีการทะเลาะถกเถียงของคนที่มีเงิน
ดังนั้นในศาลบรรพจารย์สกุลหลิวจึงมักจะมีเสียงของสตรีร้องไห้คร่ำครวญจะเป็นจะตายอยู่เป็นประจำ และข้างกายของพวกนางก็จะมีบุรุษคนหนึ่งที่ไม่เอ่ยอะไรหรือไม่ก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยนั่งคุกเข่าอยู่ด้วย
‘ท่านพ่อ ท่านอยู่ข้างนอก?’
‘หืม?’
‘ได้เลี้ยงดูสตรีเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยไว้หรือไม่’
‘ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย’
‘เป็นเมื่อก่อนเคยมี ตอนนี้ไม่มีแล้ว แต่ก็ไม่รับรองว่าวันหน้าจะไม่มีอีกหรือไม่?’
‘ไม่มีทั้งสองแบบ’
‘เรื่องในอนาคต ตอนนี้ใครเล่าจะบอกได้ชัดเจน?’
‘แน่นอน ตอนที่ท่านแม่เจ้าเพิ่งแต่งให้ข้า ข้าก็เคยบอกกับนางว่า เรื่องของการหาเงินอย่าได้เป็นกังวล พวกเราจะต้องมีเงินอย่างมาก ตอนนั้นท่านแม่ของเจ้าแค่ยิ้ม บางทีคงไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังกระมัง’
‘ตอนที่ท่านแม่แต่งให้ท่าน ตระกูลหลิวของพวกเราก็มีเงินมากแล้วใช่ไหม?’
‘ในบ้านมีเงินจริง แต่ข้าไม่มีนี่นา ข้าคือลูกอนุภรรยานะ เจ้าลืมไปแล้วหรือ?’
สตรีลุกขึ้นแล้วจากไป ปล่อยให้สองพ่อลูกพูดคุยกันต่อ บนเรือข้ามฟากบ้านตัวเอง นางยังมีสหายรักบนภูเขาอีกหลายคนที่แม้แต่เรือข้ามทวีปสักลำก็ซื้อไม่ได้ ไปพูดคุยกับพวกนางดีกว่า ส่วนคำพูดบางอย่าง คิดว่านางไม่รู้ถึงความจริงใจความเสแสร้งที่ซ่อนอยู่บ้างเลยหรือ? แน่นอนว่าต้องรู้ แต่นางชอบฟังนี่นา อีกอย่างนางยังชอบสตรีที่ชอบหว่านเสน่ห์สองคนในบรรดาคนกลุ่มนั้นมากเป็นพิเศษ ยามที่อยู่กับบุรุษของตนชอบเปลี่ยนท่วงท่ายั่วยวนอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แต่ก็ยังไร้ค่าไร้ราคาอยู่ดีไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าได้แต่มอง ไม่ได้กิน โมโหหรือไม่เล่า? ความเชื่อใจต่อบุรุษของตัวเองน้อยนิดแค่นี้ นางยังมีอยู่บ้าง
รอกระทั่งสตรีออกเรือนแล้วจากไปได้ไม่นานเท่าไร
เรือข้ามทวีปลำหนึ่งที่ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะใช้กระบี่หนึ่งฟันผ่าได้พลันระเบิดแตกกระจาย เป็นเหตุให้นอกจากหลิวจวี้เป่าแล้วกลับไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางสองคนอย่างหวังฟู่ซู่และเพ่ยอาเซียงก็ยังตายคาที่
ราวกับว่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้ช่วงชิงโอกาสได้เปรียบทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคี จากนั้นก็เลือกที่จะพินาศวอดวายไปพร้อมกับหลิวจวี้เป่าในระยะประชิด
น่าเสียดายก็แต่หลิวจวี้เป่าที่ชุดคลุมอาคมบนร่างไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างปลอดภัย สีหน้าเป็นธรรมชาติ เพียงแค่หยิบดอกบัวสีทองดอกหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ แล้วเด็ดกลีบดอกกลีบหนึ่งทิ้งอย่างง่ายๆ
ครู่หนึ่งต่อมาเรือข้ามฟากก็กลับมามีสภาพเดิม ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่แม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลย้อนกลับเท่านั้น
หลายครั้งผ่านไป เรือข้ามฟากระเบิดกระจายครั้งแล้วครั้งเล่า หลิวจวี้เป่าก็เด็ดกลีบดอกไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งสุดท้ายสตรีออกเรือนแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง หลิวจวี้เป่าช่วยจัดเส้นผมตรงจอนหูให้นางด้วยสีหน้าอ่อนโยน เอ่ยว่าไปด้วยกันเถอะ
ออกจากบ้านมาครั้งนี้ หลิวจวี้เป่าจัดการกับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่มีสถานะเป็นผู้ถวายงานบ้านตน รวมไปถึงการลงมือตุกติกที่คนผู้นี้มีต่อเรือข้ามฟากไปแล้ว คนผู้นี้ดูแลเรือข้ามทวีปลำนี้มานานหลายปี แล้วยังเป็นอาจารย์ค่ายกลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่ง ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้ ถึงขั้นที่แม้แต่ชีวิตก็ไม่ต้องการ เมื่อครู่หลิวจวี้เป่าไม่อาจถามจนได้คำตอบที่กระจ่าง
หลังจากหลิวจวี้เป่าย้อนกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง หลิวโยวโจวก็ยังคงไม่ระแคะระคายว่ามีอะไรเกิดขึ้น
หลิวจวี้เป่าไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลิวโยวโจว บุรุษคนหนึ่งปกป้องภรรยาและบุตรชายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
หลิวจวี้เป่านั่งลงดังเดิมแล้วก็แค่ดื่มเหล้าไปเงียบๆ คิดว่าจะพูดคุยความในใจกับบุตรชายอย่างหลิวโยวโจวเสียหน่อย
ดื่มเหล้าให้ลำคอชุ่มชื้นแล้ว หลิวจวี้เป่ากำลังจะอ้าปากพูด หลิวโยวโจวก็เอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “ท่านพ่อ ท่านเลิกให้เงินให้สมบัติอาคมได้แล้วนะ คนคนหนึ่งพกวัตถุจื่อชื่อไว้บนร่างมากมายขนาดนั้น อันที่จริงเป็นเรื่องที่โง่มาก”
หลิวจวี้เป่าเอ่ยอย่างอ่อนใจ “พ่อแค่อยากพูดหลักการเหตุผลบางอย่างกับเจ้า”
หลิวโยวโจวยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจท่าน”
——