กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 813.3 ขึ้นเขา
หวงเหอกล่าว “หากข้าไม่กลับมา ซ่งเต้ากวง ไจ้เสียง สิงโหย่วเหิง หนันกงซิงเหยี่ยน คนพวกนี้ ต่อให้ทุกวันนี้ขอบเขตจะยังต่ำกว่าเจ้า แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นเจ้าสวนลมฟ้าได้ มีเพียงเจ้าที่เป็นไม่ได้”
“พอได้ยินข้าพูดแบบนี้ กลับกลายเป็นว่าเจ้าโล่งใจมากกว่าเดิมใช่ไหม?”
“ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเจ้าคือเศษสวะ สายตาในการเลือกคนของอาจารย์พลาดแค่สองครั้งเท่านั้น ดังนั้นความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของหลิวป้าเฉียวก็คือทำให้อาจารย์มองคนผิด”
หวงเหอพูดแบบนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง
หลิวป้าเฉียวเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าคนแซ่หวง ข้าก็มีอารมณ์เหมือนกันนะ หากเจ้ายังไม่แล้วไม่เลิกอยู่แบบนี้…ระวังว่าข้าจะไม่สนเจ้าสวนไม่เจ้าสวนอะไร ศิษย์พี่ไม่ศิษย์พี่อะไร ข้าจะต้องด่าแสกหน้าเจ้าแน่”
มุมปากของหวงเหอกระตุกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็มีท่าทางเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่ค่อยเคยเป็นมาก่อน หวงเหอส่ายหน้า ยกมือสองข้างขึ้น ถูมือเข้าหากันเพื่อหาความอบอุ่น เอ่ยเสียงเบาว่า “ตายดีไม่สู้มีชีวิตอยู่อย่างเกียจคร้าน ชั่วชีวิตนี้เจ้าคงเป็นเช่นนี้แล้วกระมัง ป้าเฉียว เจ้ารับปากศิษย์พี่สักเรื่อง ภายในร้อยปีพยายามฝ่าทะลุขอบเขตไปอีกขั้น หลังจากนั้นไม่ว่าจะนานกี่ปี จะดีจะชั่วก็อดทนไปให้ถึงขอบเขตเซียนเหริน ข้าก็จะไม่ผิดหวังในตัวเจ้าแล้ว”
ไม่เคยเกรงใจอะไรกับหลิวป้าเฉียว เข้มงวดห่างเหิน เพราะส่วนลึกในใจของหวงเหอหวังว่าศิษย์น้องคนนี้จะสามารถเดินเคียงบ่าไปกับตน เดินขึ้นสู่ที่สูงไปยังยอดเขาของวิถีกระบี่ด้วยกัน
ตอนนี้เรียกว่าป้าเฉียว ไม่เรียกแซ่ เป็นเพราะเขามองอีกฝ่ายเป็นศิษย์น้องอย่างแท้จริง หวังว่าอีกฝ่ายจะสามารถใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าที่ไม่ใช่เจ้าสวนมามีชีวิตอยู่ให้ดีๆ
หลิวป้าเฉียวอาจจะเป็นศิษย์น้อง เป็นลูกศิษย์ เป็นบุรุษที่ดีมากคนหนึ่ง แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ผ่านเกณฑ์
หลิวป้าเฉียวไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่ฟุบตัวลงบนราวรั้ว เม้มปาก ในดวงตามีอารมณ์อันละเอียดอ่อนซุกซ่อนอยู่
ถึงท้ายที่สุดหลิวป้าเฉียวก็วางคางลงบนหลังมือ เพียงแค่เอ่ยเบาๆ ว่า “ขอโทษนะศิษย์พี่ เป็นข้าที่เป็นตัวถ่วงท่านและสวนลมฟ้า”
หวงเหอลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกมาวางบนศีรษะของหลิวป้าเฉียว “ไม่เป็นไร”
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สำนักซานไห่
ยังคงเป็นที่ริมหน้าผาที่ได้พบเจอกับคนชุดเขียวนั้น
น่าหลันเซียนซิ่ว ผู้ฝึกกระบี่เฟยชุ่ย และยังมีแม่นางน้อยคนนั้น พวกนางยังคงชอบมาชมทัศนียภาพที่นี่
แม่นางน้อยที่ขอบเขตต่ำ ตัวก็เล็ก ตอนนั้นที่เพิ่งมาถึงสำนักซานไห่ พกร่มกระดาษน้ำมันคันเล็กติดกายมาแค่คันเดียว
นางตั้งชื่อให้กับตัวเองว่าเชิงฮวา
น่าหลันเซียนซิ่วพกกระบอกยาสูบไว้ตรงเอว วันนี้ไม่ได้พ่นควันขโมงตลอดทั้งวันอย่างที่หาได้ยาก เพียงแค่นั่งขัดสมาธิ ทอดสายตามองไปไกล มองขุนเขาและมหาสมุทร
แม่นางน้อยเชิงฮวาเพิ่งจะมัดหุ่นฟางตัวจิ๋วตัวหนึ่งเสร็จ นางโยนมันไปบนเสื่อไม้ไผ่ครั้งแล้วครั้งเล่า หรือไม่ก็จะปล่อยหมัดต่อยใส่มัน จากนั้นยกสองแขนกอดอก จ้องมองหุ่นฟางจิ๋วเขม็ง แค่นเสียงพูดในลำคอ”จะต่อยเจ้าคนชั่วอย่างเจ้าให้ตายเลย”
น่าหลันเซียนซิ่วเอ่ยกับเด็กสาวผู้ฝึกตนผีที่อยู่ข้างกาย “ชอบใครไม่ชอบ ดันไปชอบบุรุษคนนั้น จะไม่เป็นทุกข์ได้อย่างไร”
รู้ดีที่สุด ดังนั้นจึงไม่รู้ที่สุดว่าความรักคืออะไร
ชอบซิ่วหู่ชุยฉานผู้นั้น อันที่จริงน่าเบื่อยิ่งกว่าชอบจั่วโย่วเสียอีก ฝ่ายหลังไม่รู้จริงๆ แต่ฝ่ายแรกกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้
เฟยชุ่ยนอนคว่ำอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ มีความงามดุจเทือกเขาที่โค้งขึ้นเว้าลง บุรุษล้วนชอบกันทั้งนั้น บางทีอาจเป็นหลักการเดียวกับคำกล่าวที่ว่ามองภูเขาไม่ชอบความราบเรียบ
เฟยชุ่ยผู้ฝึกตนผีที่มีรูปโฉมเป็นเด็กสาว อันที่จริงรูปโฉมเดิมของนางไม่ได้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าไม่อาจฝ่าคอขวดของด่านเป็นตายได้ หลังจากที่สละศพทิ้งก็จำต้องกลายมาเป็นผู้ฝึกตนผี
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับเรือนกายและใบหน้าของในอดีตแล้ว เนื้อหนังมังสาของเฟยชุ่ยในทุกวันนี้งดงามน่ามองกว่ามากนัก
อันที่จริงหากนางฝึกตนไปตามลำดับขั้นตอน ก็ไม่ต้องถึงขั้นมีจุดจบด้วยการต้องสละร่างทิ้ง ผ่านไปอีกสักสองร้อยสามร้อยปี อาศัยการขัดเกลาที่เหมือนน้ำเซาะก็จะเลื่อนเป็นเซียนเหรินได้
ทว่าเมื่อสงครามใหญ่เปิดฉากขึ้น ดูเหมือนว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะยึดครองใบถงทวีปไปได้ในชั่วพริบตา แล้วทำสงครามจนไปถึงนครมังกรเฒ่า
นางจึงรอไม่ไหว
ผลล่ะเป็นเช่นไร? ไม่เพียงแต่ไม่ฝ่าทะลุขอบเขต ยังไม่ทันได้พบหน้าชุยฉานสักครั้งก็เท่ากับว่าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านั้นน่าหลันเซียนซิ่วได้เกลี้ยกล่อมนาง บอกว่าการชอบคนคนหนึ่งทำให้เจ้าเป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังไม่กล้าไปหา ต่อให้เป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้วค่อยไปหาก็มีแต่จะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน
เพียงแต่ว่าเฟยชุ่ยมีเหตุผลเป็นของตัวเอง คิดอยากจะใช้ขอบเขตเซียนเหรินไปเยือนที่นั่น ไม่ใช่เพื่อให้เขาชอบตัวเอง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่เพราะตนชอบคนคนหนึ่งจึงคิดอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเขาบ้าง
แล้วทำไมนางถึงได้ชอบเขาขนาดนี้?
เขาหล่อ
ไม่เพียงแค่รูปโฉมของชุยฉานตอนเป็นหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาเท่านั้น ยังมีตอนที่เล่นหมากกระดานเมฆหลากสี ความคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหลยามที่คีบเม็ดหมากขึ้นมาแล้ววางลงบนกระดานหมากอีกครั้ง และยิ่งความมีชีวิตชีวาสดใสทำนองว่า ‘เมื่อข้านั่งลงเจ้าจะต้องแพ้’ อย่างยามที่ถกปัญหากับคนอื่นในสำนักศึกษานั่นอีก
นางเคยโชคดีได้พบเห็นมาก่อน
และยังมียามที่อากาศหนาวเหน็บเกล็ดหิมะโปรยปราย บัณฑิตหนุ่มเดินทางมาเที่ยวที่สำนักซานไห่พร้อมกับอาเหลียง อาเหลียงกำลังก่อเรื่อง แต่เขาที่อยู่ริมหน้าผาเพียงลำพังกลับกำลังเอ่ยขออภัยคนอื่น
เคยยืนอยู่ในสถานที่ที่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว ใบหน้าประดับรอยยิ้มอบอุ่น มองนางเอ่ยว่าสวัสดี ข้าชื่อชุยฉาน เป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
หนันกวงจ้าวผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหวนกลับไปยังสำนักเพียงลำพัง เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะพบว่าตรงหน้าประตูมีคนแปลกหน้านั่งอยู่ตรงนั้น กระบี่ยาวถูกชักออกจากฝักวางพาดขวางไว้บนหัวเข่า ปลายนิ้วลูบตัวกระบี่เบาๆ
คล้ายกำลังรอคน
หนันกวงจ้าวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพลิ้วกายลงที่หน้าประตูภูเขา ถามว่า “เจ้าคือใคร?”
บุรุษเงยหน้าขึ้น เอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่หาวซู่แห่งพื้นที่มงคลชิงซง”
หัวใจของหนันกวงจ้าวบีบรัดตัว ก่อนจะถามอีกครั้งว่า “มาทำอะไรที่นี่?”
ผู้ฝึกตนเฒ่านึกถึงโศกนาฎกรรมครั้งหนึ่งบนภูเขาบางแห่งเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้ มีขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งถูกตัดหัวแล้วโยนทิ้งไว้ที่หน้าประตูภูเขาอย่างไม่ใส่ใจ
บุรุษที่เรียกตัวเองว่าหาวซู่ถือกระบี่ลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ตัดหัวแล้วก็จะไป”
อุตรกุรุทวีป สำนักชิงเหลียง
ภายใต้ชายคาของเรือนหลังหนึ่ง
เจ้าสำนักหญิงเฮ้อเสี่ยวเหลียงกำลังถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์สามคนที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด พวกนางล้วนเป็นผู้ฝึกตนหญิง และฉายาของพวกนางก็ล้วนเป็นอาจารย์ที่ช่วยตั้งให้ แบ่งเป็นชิงหยา ต่าเจี้ยว กานจี๋
จากนั้นก็มอบของให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามคนโดยแบ่งออกเป็นกวางเจ็ดสีหนึ่งตัว วัตถุจื่อชื่อหนึ่งชิ้นและ…ส้มหลายลูก
ใต้ชายคามีกระดิ่งผูกอยู่ มักจะมีม้าเดินท่ามกลางลมเย็นให้เห็นบ่อยๆ
อากาศของวันนี้อบอ้าว ไม่มีลมเย็นพัดโชย
หลังจากถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์ทั้งสามคนเสร็จ เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็เงยหน้าขึ้น ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาส่ายเบาๆ นางหลับตาลง เงี่ยหูตั้งใจฟังเสียงกระดิ่ง
บนใบหน้าที่งามล้ำแต่ก็เย็นชาค่อยๆ มีรอยยิ้ม
บุปผางดงามจันทร์เต็มดวงคนอายุยืนยาว ทุกเรื่องราบรื่นสมดังใจปรารถนา
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนของเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ด้านข้าง ต่อให้พวกนางจะเป็นสตรีเหมือนกัน แต่เวลานี้เห็นอาจารย์เป็นเช่นนี้จิตใจก็ยังหวั่นไหวอย่างห้ามไม่ได้
……
สำนักสั่วอวิ๋น
หลังจากที่หลิวจิ่งหลงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาแล้วก็เป็นเหตุให้ทั้งในและนอกกลุ่มยอดเขาทั้งหมดเต็มไปด้วยเส้นแสงสีทองหนาแน่น แต่ว่าได้แบ่งสนามประลองยุทธแห่งหนึ่งไว้ให้กับเฉินผิงอันและชุยกงจ้วงโดยเฉพาะ
ส่วนชุยกงจ้วงนั้นก็รู้สึกเพียงว่าตาพร่าลาย แล้วก็มองไม่เห็นเงาร่างของนักพรตเฒ่าคนนั้นอีก
ด้านหลังพลันมีเสียงคนหัวเราะดังขึ้น “เจ้ามองอะไรอยู่น่ะ?”
ชุยกงจ้วงจึงหันตัวไปปล่อยกระบวนท่าด่านเคาะใจที่ปณิธานหมัดเปี่ยมล้น ลงมือปลิดชีพอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
ต่อให้จะมีช่องโหว่ ไม่ทันระวังต่อยให้เจ้าคนผู้นี้ตาย แล้วกลายเป็นว่าผูกปมแค้นกับผู้อาวุโสหรือบรรพจารย์ในสำนักอะไรของคนผู้นี้ สำนักสั่วอวิ๋นก็ย่อมช่วยเก็บกวาดให้ตนเอง
ทว่าคนผู้นั้นกลับปล่อยให้หมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนนี้ต่อยลงบนหัวใจ รองเท้าผ้าบนเท้าข้างหนึ่งเพียงแค่บิดหมุนเบาๆ ก็หยุดร่างได้อย่างมั่นคง ใบหน้าประดับรอยยิ้มเอ่ยว่า “กินข้าวไม่อิ่มหรือ? อาหารของสำนักสั่วอวิ๋นไม่อร่อย? ไม่สู้ตามข้าไปดื่มเหล้าที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยดีไหมล่ะ?”
มืออีกข้างหนึ่งของชุยกงจ้วงต่อยเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย พายุหมัดของผู้ฝึกยุทธดุจสายรุ้งยิ่งใหญ่ หนึ่งหมัดปล่อยไปอย่างว่องไวราวกระบี่บิน ทว่าคนผู้นั้นกลับแค่ยื่นฝ่ามือออกมาบังหมัดนั้นของชุยกงจ้วงแล้วผลักออกเบาๆ มองสบตากับอีกฝ่าย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่อยคนต่อยเข้าหน้าไม่มีคุณธรรมเลยนะ ยังรู้จักหลักคุณธรรมของชาวยุทธอยู่หรือไม่”
ชุยกงจ้วงยกเข่าขึ้นตี คนผู้นั้นก็ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลง ร่างของชุยกงจ้วงจึงกระโจนหน้าคว่ำลงพื้นอย่างเลี่ยงไม่ไหว ทว่าก็ฉวยโอกาสนี้ปล่อยสองหมัดออกมา
เฉินผิงอันเบี่ยงตัว ยกเท้ากวาดไปในแนวขวาง เตะจนชุยกงจ้วงลอยหวือขึ้น ร่างงองุ้มลงในเสี้ยววินาที ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงฉาน เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักอีกเล็กน้อย เปลี่ยนทิศทางอีกนิดหน่อย ชุยกงจ้วงที่ถูกเตะก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้น
ตอนที่ชุยกงจวงล้มไปกองกับพื้น เขาได้หยิบเม็ดเสื้อเกราะเม็ดหนึ่งออกมาสวมไว้บนร่างในทันทีทันใด นอกจากเสื้อเกราะจินอูชิ้นนี้แล้ว ด้านในยังสวมเสื้อเกราะหลิงเป่าชุดคลุมอาคมของผู้ฝึกตนที่ค่อนข้างอ่อนนุ่มจากศาลซานหลางไว้ด้วย
เฉินผิงอันจงใจไม่ขัดขวาง
ออกจากบ้านเก็บของได้รายทางก็มาจากเรื่องแบบนี้แหละ
ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ มัลละเกราะหลากสีสูงร้อยจั้งตนหนึ่งยืนตระหง่าน บนเสื้อเกราะเต็มไปด้วยอักขระยันต์ลายเมฆมากมายนับไม่ถ้วน เป็นบรรพจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยของสำนักสั่วอวิ๋นที่ช่วยกันปลุกเสกขึ้นมา ยันต์แม่ทัพเทพเบิกตาสีทองอ่อนคู่นั้นขึ้นมา ในมือถือแท่งเหล็กหมายจะฟาดลงไป เพียงแต่ว่าตอนที่มันปรากฎตัวกลับถูกปราณกระบี่สีทองทั้งหลายของหลิวจิ่งหลงพันธนาการเอาไว้ พริบตาเดียวเสื้อเกราะหลากสีจึงเหมือนกลายมาเป็นเสื้อเกราะสีทอง
ส่วนหลิวจิ่งหลงกลับยืนนิ่งไม่ขยับ
นาทีถัดมา มัลละแม่ทัพเทพสูงร้อยจั้งตนนี้ก็ถูกเส้นสีทองกรีดเฉือนออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย แม้ว่าปณิธานของอักขระลายเมฆจำนวนมากจะเชื่อมต่อติดกันเหมือนสายบัวที่ถูกตัดขาดแต่ยังเหลือใย ทว่าเรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นก็ง่อนแง่นจะล้มมิล้มแหล่อยู่ดี
หยางเชว่เอ่ยเสียงหนัก “ถามกระบี่ครั้งนี้ เป็นพวกเราที่แพ้แล้ว”
เว่ยจิงชุ่ยอึ้งตะลึง เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “หยางเชว่ เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!”
หยางเชว่กลับไม่สนใจความเดือดดาลของอาจารย์ลุงแม้แต่น้อย เพียงแค่มองไปยัง ‘นักพรตเฒ่า’ ที่สวมหน้ากาก ถามอีกครั้งว่า “ขอถามว่าเจ้าคือใคร?”
คนที่ป่าวประกาศไปว่าสำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นแค่ชั้นวางที่ว่างเปล่าก็คืออาจารย์ลุงข้างกายท่านนี้ อันที่จริงส่วนลึกในใจของหยางเชว่กลับไม่เห็นด้วย จะไปหาเรื่องสำนักกระบี่ไท่ฮุยทำไม เพราะว่าในอดีตอาจารย์ลุงท่านเคยมีความแค้นส่วนตัวน้อยนิดกับหวงถงผู้คุมกฎคนก่อนของพวกเขาเท่านั้นหรือ? เพียงแต่ว่าทั้งตบะและความอาวุโสของอาจารย์ลุงล้วนวางอยู่ตรงนั้น อีกทั้งฝ่ายที่เป็นชั้นวางที่ว่างเปล่าอย่างแท้จริงใช่สำนักกระบี่ไท่ฮุยเสียที่ไหน? คือเจ้าสำนักในนามของสำนักสั่วอวิ๋นอย่างตนต่างหาก ยอดเขาต่างๆ ของภูเขาบรรพบุรุษ มีใครที่ฟังคำสั่งจากตนบ้าง หากไม่เป็นเพราะลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายของเว่ยจิงชุ่ยยังไม่อาจเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ก็ไม่มีทางวนมาให้หยางเชว่ที่มาจากสายอื่นได้นั่งแน่นอน
หลิวจิ่งหลงใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “ไม่ต้องสนใจ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า สลายเวทอำพรางตาที่เป็นชุดนักพรตเต๋าและกวานดอกบัวทิ้งไป ยื่นมือมาดึงหน้ากากออก เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “เฉินผิงอันแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่”
แน่นอนว่าคนทั้งสามของสำนักสั่วอวิ๋นต้องรู้จักกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ชื่อเฉินผิงอันนี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
ทว่าพอได้ยินว่าคนผู้นี้มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้เป็นเซียนเหรินผู้เฒ่าก็ยังขนลุกชัน ชุยกงจ้วงที่สวมเสื้อเกราะก็ยิ่งลุกพรวดขึ้นมา ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ก็เหมือนอย่างที่หลิวจิ่งหลงบอก ยามที่ผู้ฝึกตนของสำนักสั่วอวิ๋นลงจากภูเขามักจะลงมือทำเรื่องต่างๆ อย่างมั่นคง ภูเขาลูกนี้ก็ยิ่งเป็นภูเขาที่ไม่ชอบการเดินทางไกลจำนวนไม่มากของอุตรกุรุทวีป
หลิวจิ่งหลงอดไม่ไหวยิ้มกล่าว “กระอักกระอ่วนแล้วล่ะสิ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “แค่รู้ว่าข้ามาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็พอแล้ว”
——