กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 814.1 ผู้ดื่ม
ผู้ฝึกกระบี่เดินทางไกลคนหนึ่งที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
ในใจของเว่ยจิงชุ่ยเกิดความลังเลไม่แน่ใจ ไหนบอกว่าพวกผู้ฝึกกระบี่ที่รอดชีวิตมาได้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ติดตามนครแห่งหนึ่งหนีไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าแล้วไม่ใช่หรือ?
ชุยกงจ้วงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าตัดสินใจแล้วว่าจะมองดูเฉยๆ เท่านั้น หากยังออกหมัดอีกแม้แต่ครั้งเดียวก็ถือว่าเขาแพ้ ถือว่าเขารนหาที่ตายเอง
ความคิดของเขาเรียบง่ายกว่าเว่ยจิงชุ่ยมาก ในใจแค่แน่ใจเรื่องเดียวเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้านี้ไม่มีทางเอากำแพงเมืองปราณกระบี่มาล้อเล่นเด็ดขาด แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้างกายของคนผู้นี้ยังมีเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยคนปัจจุบันยืนอยู่ด้วย
แม้จะบอกว่าอุตรกุรุทวีปเอะอะก็ชอบไปงัดข้อกับศาลบรรพจารย์ของคนอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้วการถามกระบี่ไม่เคยเป็นเรื่องเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอาฆาตแค้นบนภูเขาที่สองสำนักแตกหักกันอย่างสิ้นเชิงที่หากคนนอกไม่กล้าเดิมพันก็อย่าได้มามุงดูเช่นนี้
เพื่อตำแหน่งเค่อชิงอันดับหนึ่ง ชุยกงจ้วงไม่มีความจำเป็นต้องเดิมพันด้วยชีวิตและอนาคตบนเส้นทางวรยุทธของตัวเอง
หากหลิวจิ่งหลงเพียงแค่ส่งกระบี่ใส่สำนักสั่วอวิ๋นอยู่ไกลๆ ถามกระบี่เสร็จก็จากไป กับการที่เขาเดินขึ้นเขามาตลอดทางจนมาถึงยอดเขาหย่างอวิ๋นแห่งนี้แล้วยอมเปิดเผยตัวตน หนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือดินเลยทีเดียว
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองหยางเชว่ ใช้เสียงในใจยิ้มถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่ควรมีเรื่องกับข้า? ถึงต้องซักถามความเป็นมาก่อนจะตัดสินใจว่าควรลงมือดีหรือไม่?”
ตลอดทางที่เดินขึ้นเขามานี้ เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองออมฝีมือมากแล้ว ไม่มีเหตุผลให้หยางเชว่ต้องมองตนสูงขนาดนั้น
หยางเชว่กุมหมัดคารวะ จากนั้นใช้เสียงในใจตอบว่า “มีสหายเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งอยู่ที่บ้านเกิด ในอดีตได้รู้จักกันในยุทธภพ ไม่เคยมาเป็นแขกที่สำนักสั่วอวิ๋น แค่มีความสัมพันธ์กับข้าเป็นการส่วนตัว หลังจากเขากลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังบ้านเกิดเคยได้พูดถึงคนสองสามคนให้ฟัง คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสคนเหล่านั้น”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ชื่อแซ่อะไร มาจากภูเขาลูกใด เจ้าสำนักหยางลองบอกให้ฟังหน่อย ไม่แน่ว่าข้าอาจรู้จัก”
ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่เดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้จะมีจำนวนไม่มาก ประวัติความเป็นมาซับซ้อน มีทั้งคนในทำเนียบและผู้ฝึกตนอิสระ แต่เฉินผิงอันก็จำชื่อได้หมดทุกคนจริงๆ
หยางเชว่เอ่ยขออภัย “ไม่อาจบอกชื่อได้ สหายคนนั้นของข้ามีความลับที่ยากจะเอื้อนเอ่ย”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ทำไม สหายผู้ฝึกกระบี่คนนั้นของเจ้าเคยไปดื่มเหล้าที่จวนซุนจวี้เฉวียน หรือเคยไปดื่มชากับข้าที่ตรอกเหยียนชืออย่างนั้นหรือ?”
หยางเชว่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ร้านเหล้า ตราประทับ เจ้ามือ มากกว่านี้เซียนกระบี่เฉินก็อย่าหยั่งเชิงอีกเลย”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เห็นแก่หน้าของสหายที่ไม่ทราบชื่อของเจ้า เจ้าสามารถหลีกทางได้แล้ว การถามกระบี่ในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ถึงอย่างไรสำนักสั่วอวิ๋นแห่งนี้ ตำแหน่งเจ้าสำนักของหยางเชว่ก็เป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น บุญคุณความแค้นที่มีต่อสำนักกระบี่ไท่ฮุย หลักๆ แล้วก็เป็นเพราะอาจารย์ลุงเฟยชิงของเจ้าควบคุมปากไม่อยู่เท่านั้น”
หยางเชว่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งจริงๆ ดูจากท่าทางแล้วคงไม่คิดจะสนใจชื่อเสียงของสำนักแล้ว หมายจะวางตัวอยู่นอกสถานการณ์ไปพร้อมกับคนนอกครึ่งตัวอย่างชุยกงจ้วงแล้ว
เว่ยจิงชุ่ยที่อยู่ในถิ่นของบ้านตัวเองแต่กลับต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย อดไม่ไหวหันไปผรุสวาทใส่ดังลั่น “หยางเชว่! เจอกับศัตรูมาถามกระบี่ เจ้าไม่ต่อสู้แล้วยังถอยหนี ถึงกับเลือกจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ หน้าตาของสำนักสั่วอวิ๋นถูกเจ้าทำให้อับอายหมดสิ้นแล้ว! วันหน้าเจ้าหยางเชว่จะยังมีหน้าใช้สถานะของเจ้าสำนักส่งธูปให้คนอื่นในศาลบรรพจารย์เพื่อเคารพกราบไหว้บรรพบุรุษแต่ละรุ่นได้อย่างไร?!”
เสียงของบรรพจารย์เซียนเหรินดังมาก คาดว่าคืนนี้กลุ่มยอดเขาทั้งหลายบนภูเขาบรรพบุรุษคงได้ยินกันถ้วนทั่ว
หยางเชว่เอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าเฉยชา “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าสำนักสั่วอวิ๋นต้องควันธูปขาดสะบั้นด้วยน้ำมือของข้าในคืนนี้ วันหน้าตำแหน่งเจ้าสำนักนี่ อาจารย์ลุงเว่ยมานั่งเอง หรือจะมอบให้กับศิษย์หลานยอดเขาโล่วเยว่คู่นั้น ศิษย์หลานล้วนไม่มีปัญหา แล้วก็จะไม่ตำหนิติเตียนท่านแม้แต่ครึ่งคำ”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ส่ายหน้าเอ่ย “เลิกทะเลาะกันได้แล้ว รีบหลีกทางไปเร็วเข้า รอให้พวกเราจากไปแล้ว คืนนี้เมื่อพวกเจ้าต้องซ่อมศาลบรรพจารย์กันทั้งคืนก็ยังมีเวลาให้คุยกันอีกมาก ถือเสียว่าเป็นการเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านก็แล้วกัน หรือจะคิดว่าเป็นผู้เยาว์ที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนก็แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ”
จากนั้นจึงหันไปถลึงตาใส่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าอย่างขุ่นเคือง “เจ้านี่ก็อายุยังไม่มากแท้ๆ แต่กลับไม่มีคุณธรรมของผู้ฝึกยุทธแม้แต่น้อย เป็นคนเรียนวรยุทธแต่กลับใจร้อนวู่วาม ระงับสติข่มอารมณ์ไม่ได้ แบบนี้จะได้อย่างไร ในบรรดาคนทั้งสาม ข้าผู้อาวุโสขัดหูขัดตาเจ้าที่สุด อีกเดี๋ยวจะจับเจ้ามัดกับก้อนหินแล้วโยนลงน้ำเอาไว้ปลูกดอกไม้”
ชุยกงจ้วงฟังด้วยอาการชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยขออภัยเซียนกระบี่ท่านนี้อย่างลับๆ “เซียนกระบี่เฉินโปรดอย่าโกรธเคือง ก่อนหน้านี้เป็นชุยกงจ้วงที่ตาถั่ว ทั้งยังถูกสถานะของเค่อเชิงที่เป็นภาระนี้ทำร้าย ไม่ทันระวังล่วงเกินผู้อาวุโสเซียนกระบี่เข้า โทษตายนั้นเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นมิอาจหลบเลี่ยง สรุปแล้วควรจะลงโทษอย่างไร ผู้อาวุโสเซียนกระบี่เชิญกล่าวมาได้เลย ชุยกงจ้วงจะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ยิ่งไม่มีคำบ่น”
ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า ในด้านหมัดเท้าซึ่งเป็นฝีมือติดตัว ตนยังเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ผู้บรรลุมรรคาที่ความอ่อนเยาว์คงที่ผู้นี้ไม่ได้ จนจำต้องสวมเสื้อเกราะหลิงเป่าของศาลซานหลางและเสื้อเกราะจินอูของสำนักการทหาร
ชุยกงจ้วงถึงขั้นสงสัยว่าผู้ฝึกกระบี่ ‘หนุ่ม’ ที่อยู่ตรงหน้าจะใช่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าฉีถิงจี้ที่ก่อตั้งสำนักอยู่ในทักษินาตยทวีปหรือไม่
แต่เท่าที่เคยได้ยินมาฉีถิงจี้รูปโฉมหล่อเหลา ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะหน้าตาไม่สอดคล้องกับคำเล่าลือ ชุยกงจ้วงจึงเริ่มไม่แน่ใจ แต่หากนอกจากสวมหน้ากากไว้บนใบหน้าแล้วเซียนกระบี่ผู้เฒ่ายังร่ายเวทอำพรางตาหลอกผู้ฝึกตนของสำนักสั่วอวิ๋นอีกเล่า?
เฉินผิงอันหัวเราะหยัน “จะโทษเป็นหรือโทษตาย เจ้าเป็นคนตัดสินใจงั้นรึ?”
ชุยกงจ้วงขนลุกขนชันอยู่ในใจ โอดครวญกับตัวเองไม่หยุด สี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขามีผู้ฝึกกระบี่เป็นผู้นำ ถ้าอย่างนั้นคนที่ตอแยยากที่สุดก็แน่นอนว่าต้องเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนกลุ่มที่ขอบเขตสูงที่สุดในบรรดาผู้ฝึกกระบี่แล้ว
เซียนเหรินผู้เฒ่าอย่างเว่ยจิงชุ่ยสะบัดชายแขนเสื้อ หมุนตัวได้ก็เดินจากไปทันที ทิ้งไว้ประโยคเดียวว่า “หยางเชว่ คืนนี้เจ้าไม่แสดงฝีมือ เป็นฝ่ายหลีกทางให้ศัตรู ปล่อยให้คนนอกมาเหยียบย่ำศาลบรรพจารย์ แล้วยังขัดขวางไม่ให้ข้าลงมือ เดือดร้อนให้ชื่อเสียงบารมีของสำนักสั่วอวิ๋นที่สั่งสมมาต้องพังพินาศลงในวันเดียว”
บนยอดเขาหย่างอวิ๋นมีเส้นสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนถักทอกันเป็นตายข่าย บรรพจารย์เฟยชิงทะยานลมจากไปไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเซียนเหรินผู้มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ท่านนี้ เขาจึงใช้นิ้วทำมุทรา แสงเรืองรองเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ใช้เวทลับบทหนึ่งของสำนักก็ถึงกับกลายร่างเป็นนกตัวเท่าฝ่ามือที่บินหลบเลี่ยงเวทกระบี่สีทองที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดพวกนั้นไปอย่างระมัดระวัง นกกระจอกสีขาวปลอดพุ่งไปราวสายฟ้าแลบ ขณะเดียวกันก็มีแสงสว่างเปล่งวูบขึ้นมาตรงช่องรูเหนือยอดเขาโล่วเยว่ที่มีแสงจันทร์เข้มข้น คล้ายมีสะพานเซียนพาดผ่าน หมายจะนำพาบรรพจารย์ผู้เฒ่าให้กลับไปยังสถานที่ฝึกตน
หลิวจิ่งหลงพลันยิ้มเอ่ยว่า “ยังพูดคุยกันด้วยเหตุผลไม่จบ ข้าบอกให้เจ้าไปได้แล้วหรือ?”
ระหว่างยอดเขาหย่างอวิ๋นกับยอดเขาโล่วเยว่ แสงกระบี่ที่เป็นเส้นแสงสีทองฟันแสงจันทร์สุกสกาวจนแหลกยับ สองสีทองและเงินส่องประกายตัดสลับกัน
นกสีขาวหิมะที่จำแลงมาจากร่างของเว่ยจิงชุ่ยคล้ายถูกกักอยู่ในกรงขังแสงกระบี่ที่ซี่ลูกกรงแน่นถี่
คำรามกร้าวอย่างเดือดดาลหนึ่งที เว่ยจิงชุ่ยก็เรียกกายธรรมร่างทองออกมา ในมือถือประคองกระจกเปินเยว่ (บินไปสู่ดวงจันทร์) ที่เป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาชิ้นหนึ่งออกมา แสงกระจกใสแวววาว ประหนึ่งมังกรขาวสูบน้ำ หลอมรวมแก่นวิญญาณดวงจันทร์ทั้งหมดที่อยู่ในบ่อลึกแห่งหนึ่งของยอดเขาโล่วเยว่มาไว้ด้วยกัน ชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกต ‘ปี้หลัว’ ที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนฝืนแหวกฝ่ากรงขัง เซียนเหรินผู้เฒ่าชูแขนขึ้นสูงหันเข้าหาผู้ฝึกกระบี่สองคนบนยอดเขาหย่างอวิ๋น ด้านในกระจกเป็นร่างของสตรีเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นที่กำลังโบยบิน เข็มขัดสีสันสดใสพลิ้วไสว เหยียบอยู่บนดวงจันทร์ดวงหนึ่ง ประดุจเทพหญิงบรรพกาลที่ขี่ลมขี่ดวงจันทร์
หลิวจิ่งหลงยื่นมือออกไปกำกระบี่ยาวที่เกิดจากแสงกระบี่ข้างกายรวมตัวกัน หันตัวไปทางมือที่ถือกระบี่ของกายธรรมร่างทองเว่ยจิงชุ่ย แล้วเงื้อกระบี่ฟันออกไป
เฉินผิงอันรู้ว่าเวทกระบี่วิชานี้คือหนึ่งในกระบวนท่ากระบี่ที่มีชื่อเสียงของหันไหวจื่ออดีตเจ้าสำนัก
ยอดฝีมือตัดหยก
เหมาะกับการจับคู่เข่นกันระหว่างผู้ฝึกกระบี่มากที่สุด
แล้วก็จริงดังคาด กายธรรมร่างทองของเว่ยจิงชุ่ยไม่เพียงแต่ถูกฟันแขนข้างหนึ่งขาด ภายใต้แสงกระบี่ที่ซัดกระเพื่อม แขนทั้งข้างเหมือนหยกที่แตกอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน เศษซากหยกขาวจากร่างทองอันยิ่งใหญ่โอฬารเหมือนสายฝนที่พร่างพรมลงมา เหมือนว่าเมฆขาวบนยอดเขาหย่างอวิ๋นถูกเซียนเหรินขยี้จึงมีหิมะขาวโพลนตกลงมา
เพียงแต่ว่ากระจกวิเศษและแขนที่ขาดของเซียนเหรินเฟยชิงคนนี้ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ แสงจันทร์เหมือนน้ำตกที่เทกระหน่ำลงมา คล้ายกับแม่น้ำใหญ่ไหลเชี่ยวกรากที่หล่นร่วงจากถ้ำสวรรค์หวงเหอลงมายังโลกมนุษย์
หลิวจิ่งหลงสะบัดข้อมือเบาๆ แสงกระบี่อ้อมเป็นวงโค้ง บนยอดเขาหย่างอวิ๋นมีภาพบรรยากาศแปลกประหลาดเกิดขึ้น แสงเรื่อเรืองเป็นประกายระยิบระยับมารวมตัวกัน ฟ้าดินอาบย้อมไปด้วยสีแดงสด ลมปราณยามค่ำบนภูเขารวมตัวกันเหมือนลูกคลื่น เมฆหมอกลอยอวลขึ้นสู่เบื้องบน น้ำขึ้นพาดวงดาวจากไป แสงกระบี่พร่างพราวเหมือนธารดวงดาวสีเงินยวง บนท้องฟ้าเผยให้เห็นเป็นสีขาวเหมือนพุงปลา ท่ามกลางฟ้าดินมีแต่หิมะขาวโพลน นาทีนี้ผู้ฝึกตนมากมายของสำนักสั่วอวิ๋นมองไม่เห็นกายธรรมร่างทองของเว่ยจิงชุ่ยอะไรอีกแล้ว มีเพียงภาพบรรยากาศของฟ้าดินจากแสงกระบี่สำนักกระบี่ไท่ฮุยเท่านั้น
หยางเชว่มองเห็นกระจกเปินเยว่ปรากฏตัวบนโลก ในใจก็เกิดความเคียดแค้นอย่างหนัก เจ้าสำนักของสำนักสั่วอวิ๋นทุกยุคทุกสมัยต่างก็ได้รับสืบทอดสมบัติชิ้นนี้ตามกฎ เพื่อนำกระจกบานนี้มาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ตอนนั้นหยางเชว่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ ได้ตำแหน่งเจ้าสำนักมาครอง อาจารย์ลุงเว่ยจิงชุ่ยใช้ข้ออ้างว่าขอบเขตหยกดิบของหยางเชว่ยังไม่มั่นคง ตอนนี้ยังไม่อาจหลอมสมบัติหนักชิ้นนี้ได้ชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดช่องโหว่มาเป็นเหตุผล ถ่วงเวลาการส่งมอบกระจกบานนี้ให้เขามาครั้งแล้วครั้งเล่า ลากยาวมานานถึงสามร้อยปีเต็ม ในความเป็นจริงแล้วใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเว่ยจิงชุ่ยที่ได้ฉายาว่า ‘เฟยชิง’ ผู้นี้ได้มองสมบัติล้ำค่าของสำนักชิ้นนี้เป็นของรักของหวงของตัวเอง ไม่ยอมให้ใครได้แตะต้อง เห็นเป็นของในกระเป๋าที่เกี่ยวพันกับมหามรรคาของตัวเองมานานแล้ว? เว่ยจิงชุ่ยดีดลูกคิดมาเป็นอย่างดี รอแค่ให้ในสายของเขาซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดายอดเขาทั้งหลายของภูเขาบรรพบุรุษมีลูกศิษย์ของลูกศิษย์คนใดเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเท่านั้น เขาก็จะมีวิธีบีบให้หยางเชว่ยอมยกตำแหน่งให้ เปลี่ยนตัวเจ้าสำนักคนใหม่ ถึงเวลานั้นกระจกเปินเยว่ก็ยังไม่ใช่ว่าเว่ยจิงชุ่ยแค่ส่งมอบไปให้จากมือซ้ายแล้วก็รับกลับมาด้วยมือขวา ทำท่าทางแค่ให้พอเป็นพิธีเท่านั้นหรอกหรือ?
เฉินผิงอันมาหยุดอยู่ข้างกายชุยกงจ้วง ชุยกงจ้วงหมายจะถอยกรูดขยับออกห่างไปหลายก้าว ไม่รอให้เขาได้ใช้คำพูดอะไรปกปิดความกระอักกระอ่วน คนผู้นั้นก็เหมือนเงาตามติดมาที่ถึงข้างกายของชุยกงจ้วง ประกบสองนิ้วเคาะลงไปบนไหล่ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าเบาๆ เพียงแค่การกระทำที่เรียบง่ายสบายๆ เช่นนี้กลับทำเอาไหล่ข้างหนึ่งของชุยกงจ้วงทรุดลงครั้งแล้วครั้งเล่า เท้าข้างหนึ่งจมลึกลงไปในดินแล้ว ชุยกงจ้วงไม่กล้าหลบเลี่ยงอีก ปวดไหล่ร้าวระบมสุดขีด ได้ยินเพียงคนผู้นั้นเอ่ยชื่นชมว่า “เสื้อเกราะจินอูสำนักการทหาร แค่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นก็เพราะว่าสถานะของผู้ฝึกกระบี่ หลอมกระบี่สิ้นเปลืองเงินทองเกินไป ในกระเป๋าฟีบแบน จึงไม่เคยมีช่วงเวลาที่ได้ใช้เงินมือเติบเสียที คาดว่าต่อให้ได้เห็นแล้วก็ยังซื้อไม่ไหวอยู่เหมือนเดิม”
หน้าผากชุยกงจ้วงมีเหงื่อผุดซึม ข่มกลั้นความเจ็บปวดที่ไหล่เหมือนจะร้าวเอาไว้ พูดเสียงสั่นว่า “หากเซียนกระบี่เฉินชอบ ผู้เยาว์ก็ยินดีมอบให้ผู้อาวุโสเป็นของขวัญพบหน้า”
เฉินผิงอันบ่น “มอบ? ไม่ได้หรอก ได้แต่ยืมเอาไปเท่านั้น วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของคนอื่น แค่ให้ข้ายืมมาเชยชมสองสามวัน วันหน้าต้องคืนให้เจ้าแน่นอน”
ชุยกงจ้วงยิ้มกระอักกระอ่วน ในใจคิดว่าทางที่ดีที่สุดพวกเราสองคนอย่าได้พบหน้ากันอีกเลย จ่ายเงินฟาดเคราะห์ ข้าผู้อาวุโสจะถือเสียว่าใช้เม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารเม็ดหนึ่งมาส่งเทพเจ้าแห่งโรคระบาดผู้นี้จากไปก็แล้วกัน
กฎเกณฑ์ในยุทธภพน้อยนิดแค่นี้ ชุยกงจ้วงยังเข้าใจอยู่บ้าง คืนนี้เสื้อเกราะของสำนักการทหารบนร่างชิ้นนี้จากไปอย่างไร ตอนนั้นเขาก็ได้มันมาเช่นนั้นเหมือนกัน
ดังนั้นชุยกงจ้วงจึงทำสีหน้าเด็ดเดี่ยว ไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย เสื้อเกราะจินอูที่เป็นสีทองมลังเมลืองพลันรวมตัวกันกลายเป็นเม็ดเสื้อเกราะหนึ่งเม็ดทันที เขาค้อมตัวก้มหน้าลง สองมือประคองส่งมอบมันให้เซียนกระบี่เฉิน
เฉินผิงอันเก็บมาไว้ในชายแขนเสื้อ “ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน วันหน้าก็มาบ่อยๆ นะ หนึ่งมาสองไป เดี๋ยวก็กลายเป็นเพื่อนกันได้เอง”
ชุยกงจ้วงยิ้มขื่น
เฉินผิงอันมองเขาไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่หางตาเหลือบมองไปยังเสื้อเกราะหลิงเป่าของศาลซานหลางชิ้นนั้น
ชุยกงจ้วงกังขาไม่แน่ใจ ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ คิดแล้วก็รู้สึกว่าเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่กำแพงเมืองปราณกระบี่คนหนึ่ง คงไม่หน้าหนาถึงขั้นนี้ ยืมเอาเสื้อเกราะจินอูไปตัวหนึ่งแล้ว ยังจะมีความคิดต่อเสื้อเกราะหลิงเป่าของศาลซานหลางอีก ทุกคนต่างก็ออกจากบ้านมาท่องยุทธภพ เป็นคนก็ควรเหลือที่ว่างไว้สักเสี้ยวไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันกล่าว “ฟังไม่เข้าใจภาษาคนหรือ? หนึ่งมาสองไป ความหมายตามตัวอักษร เอาแต่ฝึกหมัดไม่อ่านหนังสือจะได้อย่างไร วันนี้ข้ามาที่ยอดเขาหย่างอวิ๋นคือหนึ่งมา ถูกหรือไม่? เม็ดเสื้อเกราะชิ้นนี้ก็คือหนึ่งไป ใช่หรือไม่?”
ตอนที่เซียนกระบี่ต่างถิ่นที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่เอ่ยประโยคเหล่านี้ สองนิ้วก็วางลงบนไหล่ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าเบาๆ แล้วพูดเจื้อยแจ้วต่ออย่างคนหวังดี “อีกอย่างเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แล้วยังเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเก้าที่หนึ่งหมัดกดทับเท้ากระทืบขุนเขาสายน้ำของหลายแคว้นได้แล้ว มีโชคชะตาบู๊อยู่ติดตัวก็เท่ากับว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องคุ้มครอง จะต้องการของนอกกายมากมายขนาดนั้นไปทำไม ไม่เพียงแต่เหมือนซี่โครงไก่ ยังเป็นภาระ ถ่วงรั้งปณิธานหมัดด้วย กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี”
ชุยกงจ้วงข่มกลั้นความสะท้านสะเทือนในใจและความเจ็บปวดตรงหัวไหล่ ยื่นมือไปจับปลายชุดคลุมอาคมกระตุกเบาๆ เสื้อเกราะศาลซานหลางหดตัวกลายเป็นยันต์ผ้าแพรที่ทำจากวัสดุสีทอง พยักหน้าเอ่ยกับเซียนกระบี่แซ่เฉินว่า “ผู้อาวุโสกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เป็นผู้เยาว์ที่โง่เขลาเอง”
เฉินผิงอันรับยันต์เสื้อเกราะที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นมา เปลี่ยนจากนิ้วเป็นฝ่ามือที่ตบลงบนไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ “ข้าคนนี้หากไม่เจอกับคนที่ถูกชะตาด้วย โดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีทางมอบหลักการเหตุผลให้เปล่าๆ คืนนี้มาพบเจอกัน ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน จึงขอมอบคำพูดเก่าแก่ในยุทธภพประโยคหนึ่งให้กับเจ้า ในชีวิตอย่าทำเรื่องละอายใจจนต้องขมวดคิ้ว ไม่เชื่อก็ลองย้อนกลับไปทบทวนตัวเองดู”
ชุยกงจ้วงโอดครวญในใจไม่หยุด ไม่จบไม่สิ้นเสียที เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดกันเล่า?
หรือว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนมีนิสัยชอบใช้วาจาดุจกระบี่บินแทงใจคนแบบนี้เสมอ?
ห้านิ้วของฝ่ามือข้างนั้นของเฉินผิงอันพลันงอเป็นตะขอกุมลำคอของชุยกงจ้วงเอาไว้ จากนั้นก็ยกอีกฝ่ายขึ้นสูงได้อย่างง่ายดาย ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าคิดผิดแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีใครนิสัยดีอย่างข้า เป็นเจ้าที่โชคดี วันนี้ถึงได้มาพบข้า ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนเป็นพวกเซียนกระบี่ผู้เฒ่าฉี เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ เวลานี้เจ้าคงได้เดินไปบนเส้นทางของการไปเกิดใหม่แล้ว จ่ายเงินฟาดเคราะห์ ผิดแล้ว เป็นเงินซื้อชีวิตเจ้าต่างหาก วันหน้าภายในเวลาร้อยปี ข้าจะขอให้เจ้าสำนักหยางช่วยจับตามองเจ้า หากยังทำเรื่องที่ขาดแคลนคุณธรรมอย่างวันนี้อีก ข้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะไปหาปรมาจารย์ใหญ่ชุยที่แคว้นอวิ๋นเยี่ยนเอง”
——