กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 814.2 นักดื่ม
สองเท้าของชุยกงจ้วงลอยพ้นพื้น สองตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงก่ำ สภาพน่าขนพองสยองเกล้าไม่น้อย สองเท้าชักกระตุกอยู่หลายทีเหมือนตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วงที่กระโดดเด้ง
ทำเอาหยางเชว่ที่มองดูอยู่ด้านข้างหนังตากระตุก
คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกกระบี่จริงหรือ? ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำหรือไร?
รากฐานขอบเขตเก้าของเค่อชิงชุยกงจ้วง ในบรรดาผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาของอุตรกุรุทวีป ไม่ถือว่าดีนัก แต่ก็ไม่ถือว่าแย่เกินไป
การที่สามารถเป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งของสำนักสั่วอวิ๋นได้ก็เพราะเว่ยจิงชุ่ยมองเห็นความหวังในอนาคตของชุยกงจ้วง เห็นว่าเขามีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางในตำนาน
เฉินผิงอันขมวดคิ้วกล่าว “ไม่พูดก็แสดงว่าไม่ตอบตกลงรึ?”
ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกที่ชุยกงจ้วงฝืนดึงเอาไว้ถึงกับแหลกสลายคาที่ เป็นเหตุให้สีหน้าเปลี่ยนจากแดงมาเป็นม่วงแล้วค่อยเปลี่ยนไปเป็นเขียว สองมือสองเท้าห้อยตกต่องแต่ง เริ่มรู้สึกตาลายขึ้นมาบ้างแล้ว
เฉินผิงอันคลายนิ้วออก ชุยกงจ้วงที่เวียนหัวตาลายกระแทกลงพื้น คุกเข่าอยู่กับดิน ก้มหน้าไอโขลกๆ ไม่หยุด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แสดงละครอะไรกัน ฝีมืออ่อนด้อยจนข้าแทบทนมองไม่ได้ หากยังไม่ลุกขึ้นมาอีกข้าก็จะมอบเท้าหนึ่งให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดอย่างเจ้ากลับคืนเป็นของขวัญแล้ว”
ชุยกงจ้วงรีบลุกขึ้นทันที สูดลมหายใจเข้าลึก ถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว ก้มหน้าลงกุมหมัดเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสไม่สังหาร ข้าซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ร้อยปีต่อจากนี้เมื่อลงจากเขา ชุยกงจ้วงจะเก็บหางทำตัวสำรวม จะปิดประตูตั้งใจฝึกวรยุทธฝึกหมัดให้ดี ไม่ให้คำสั่งสอนในวันนี้ของผู้อาวุโสต้องเสียเปล่า”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
ทางฝั่งของหลิวจิ่งหลงเก็บกระบี่ลงไปแล้ว
เซียนเหรินผู้เฒ่าเว่ยจิงชุ่ยถูกตรอกตรึงไว้กลางผนังหินแห่งหนึ่งของยอดเขาโล่วเยว่
หลิวจิ่งหลงใช้เสียงในใจถาม “กระจกเปินเยว่บานนั้น เจ้าต้องการเอากลับไปด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “มันสมควรแล้วหรือ? วันนี้พวกเรามาถามกระบี่ ไม่ได้มาฆ่าคนเพื่อแย่งชิงสมบัติสักหน่อย เรื่องประเภทนี้หากเล่าลือออกไป เจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยเช่นเจ้ายังต้องการชื่อเสียงอีกหรือไม่”
หลังจากนั้นก็เป็นชุยกงจ้วงที่หมดสิ้นซึ่งความกล้าหาญ เจ้าสำนักหยางเชว่หลีกทางให้ เป็นฝ่ายถอนตราผนึกศาลบรรพจารย์ของยอดเขาหย่างอวิ๋นออก ปล่อยให้หลิวจิ่งหลงเก็บปราณกระบี่ที่แผ่ไปตามยอดเขาแห่งต่างๆ มา เพียงแค่ใช้กระบี่ฟันในแนวตั้งหนึ่งทีแนวขวางหนึ่งที ผ่าศาลบรรพจารย์แห่งนั้นออกเป็นสี่ส่วน
ส่วนเฉินผิงอันก็ชักกระบี่ยาวออกจากฝักด้านหลัง ถือเย่โหยวไว้ในมือ ปาดกระบี่ไปในแนวขวาง ฟันศาลบรรพจารย์สำนักสั่วอวิ๋นแบ่งบนกับล่างออกเป็นสองส่วน
เวลานี้ชุยกงจ้วงหมดอาลัยตายอยากเต็มทีแล้ว คนชุดเขียวเป็นเซียนกระบี่จริงๆ เสียด้วย
เงาร่างทั้งสองกลายร่างเป็นรุ้งยาวจากไป
ทั้งบนและล่างสำนักสั่วอวิ๋น เหล่าผู้ฝึกตนรู้สึกเศร้าใจเหมือนบิดาเสีย สำนักเจอกับหายนะใหญ่ถูกหมิ่นเกียรติรุนแรงเช่นนี้ ถึงกับถูกเซียนกระบี่สองคนเดินขึ้นเขามารื้อศาลบรรพจารย์ นับแต่วันนี้ไปจะต้องถูกผู้ฝึกตนทั้งทวีปเห็นเป็นตัวตลกอีกกี่ปี?
มีเพียงเจ้าสำนักหยางเชว่ที่มีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ไม่มีความขุ่นเคืองเสียใจแม้แต่น้อย หยิบหยกพกลายเมฆชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ความคิดขยับไหวก็หมายจะเปิดศูนย์กลางของค่ายกล ลงมือซ่อมแซมศาลบรรพจารย์ คิดไม่ถึงว่าค่ายกลของศาลบรรพจารย์จะคล้ายถูกถามกระบี่อีกรอบ เสียงลั่นเปรี๊ยะลากยาวเป็นเส้นแนวขวางจากเสาคานไปจนถึงตัวผนัง ประหนึ่งเสียงประทัดที่ดังรัวติดต่อกัน หยางเชว่ขมวดคิ้วมุ่น เพ่งสายตามองไปก็สังเกตเห็นว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ชื่อเฉินผิงอันคนนั้นใช้กระบี่ฟันผ่ากลางศาลบรรพจารย์ไปทีเดียวก็ถึงกับทำให้ศาลบรรพจารย์ทั้งแห่งเกิดรอยร้าวเส้นหนึ่งอย่างน่าอัศจรรย์ รอยร้าวนี้ยากจะสังเกตเห็น เพราะแสงกระบี่รวมตัวนิ่งอยู่ตลอดเวลาคล้ายถือประคองศาลบรรพจารย์ครึ่งท่อนบนเอาไว้
ในใจหยางเชว่เคร่งเครียด
ชุยกงจ้วงลูบลำคอ ในใจยังหวาดผวาไม่คลาย ช่างแม่งเค่อชิงอันดับหนึ่งนี่เถอะ วันหน้าให้ตายอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็จะไม่ลงมาเหยียบบ่อน้ำขุ่นที่สำนักสั่วอวิ๋นนี่อีกแล้ว
หยางเชว่หันหน้ามาใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ชุยอันดับหนึ่ง ดอกไม้สองกลีบเบ่งบานไม่เหมือนกัน หลักการเดียวกัน แสงกระบี่หนึ่งเส้นก็ไม่มีทางหล่นลงบนจุดเดียวกัน เห็นด้วยไหม?”
ชุยกงจ้วงลังเลอยู่เล็กน้อย ด้วยไม่อยากจะแยกทางกับสำนักสั่วอวิ๋นทั้งอย่างนี้ เพราะจะทำให้ทั้งหยางเชว่และเว่ยจิงชุ่ยเสียหน้า จึงหาวิธีที่เป็นการพบกันครึ่งทางด้วยการรวมเสียงให้เป็นเส้น กระซิบกระซาบเอ่ยว่า “ตำแหน่งเค่อชิงของข้าสามารถเก็บรักษาไว้ได้ เพียงแต่ว่าในช่วงระยะเวลาร้อยปีนี้ข้าคงไม่เข้าร่วมการประชุมใดๆ ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาหย่างอวิ๋นแล้ว”
หยางเชว่พยักหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่มีปัญหา”
ชุยกงจ้วงทอดถอนใจเอ่ย “หยางเชว่ หากเจ้าเป็นเจ้าสำนักได้สมตำแหน่งจริงๆ ก็ดีน่ะสิ”
หยางเชว่ยิ้มอย่างสง่างาม “ยากมาก แต่จะพยายาม”
ชุยกงจ้วงมองขอบเขตหยกดิบผู้นี้อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วพยักหน้ารับความนัย ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าที่ในอดีตไปมาหาสู่กับเว่ยจิงชุ่ยมากกว่าตัดสินใจไว้แล้วว่า วันหน้าจะต้องคบค้ากับหยางเชว่ให้มากหน่อย
หยางเชว่มองศาลบรรพจารย์แวบหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจปล่อยไว้อย่างนั้นชั่วคราว ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็อาจมีการเปลี่ยนเจ้าสำนักคนใหม่ ไยต้องทำเรื่องที่เกินความจำเป็นด้วยเล่า
หลังจากที่เฉินผิงอันและหลิวจิ่งหลงออกมาจากอาณาเขตขุนเขาสายน้ำของสำนักสั่วอวิ๋นแล้ว หลิวจิ่งหลงก็ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย ตามความต้องการของเฉินผิงอัน จะไม่ไปเจอกันที่นั่น แต่จะให้กลุ่มของหนิงเหยาตรงไปที่ถ้ำสวรรค์วังมังกร เฉินผิงอันจึงเรียกนกในกรงออกมา หวนกลับไปยังกลางอากาศสูงในอาณาเขตของยอดเขาหย่างอวิ๋นพร้อมกับหลิวจิ่งหลงอย่างเงียบเชียบ หลิวจิ่งหลงู้สึกว่ายันต์แบกศิลาที่เฉินผิงอันได้มาจากตำหนักขวานผีเอามาใช้อำพรางร่องรอยได้ไม่ดีนัก เขาจึงวาดค่ายกลแห่งหนึ่งขึ้นมา จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มหลุบตาลงมองขุนเขาสายน้ำคล้ายเฝ้าตอรอกระต่าย
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแล้วเริ่มดื่มเหล้า
หลิวจิ่งหลงนั่งขัดสมาธิ ถึงอย่างไรจุดที่สายตามองไปเห็นก็ล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์ของกระบี่บินอยู่แล้ว
เฉินผิงอันยิ้มถาม “กระบี่บินแจ้งข่าวของบนภูเขา เจ้าและข้าไล่ตามไปได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าตราผนึกนั้นยากจะเปิดออก แล้วนับประสาอะไรกับที่สำนักใหญ่อย่างสำนักสั่วอวิ๋นนี้ อย่าทำให้ข้าต้องรออย่างเสียเวลาเปล่าเลย”
หลิวจิ่งหลงกล่าว “เรื่องของการคลายตราผนึกค่ายกล ข้ายังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง”
ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายถามกระบี่กันเสร็จสิ้นก็ขี่ลมทะยานออกมาจากยอดเขาหย่างอวิ๋น เฉินผิงอันบอกว่าหยางเชว่ผู้เป็นเจ้าสำนักทำตัวผิดปกติแสดงว่าต้องมีอะไรปิดบังไว้แน่นอน ไม่อาจจากไปทั้งอย่างนี้ได้ ต้องดูว่าคนผู้นี้มีทางหนีทีไล่ซ่อนไว้หรือไม่
หลิวจิ่งหลงจึงมาที่นี่เป็นเพื่อนเฉินผิงอัน รอคอยว่ายอดเขาทั้งหลายของสำนักสั่วอวิ๋นจะมีกระบี่บินส่งข่าวเล่มสองเล่มออกไปจากภูเขาหรือไม่
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก ถามว่า “หยางเชว่ผู้นี้มีกลอุบายลึกล้ำยิ่ง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนยอดเขาหย่างอวิ๋น ข้าลองหยั่งเชิงไปครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ผล จึงปล่อยให้เขารู้สึกว่าข้าเชื่อว่าเป็นความจริงไปเสียเลย ค่อนข้างคล้ายคลึงกับวิธีที่ใช้ความสงสัยมาทำลายความสงสัย จงใจวาดงูเติมขา ข้าเกือบจะเชื่อเสียแล้ว เกือบเข้าใจผิดคิดว่าเป็นวิธีนอกรีตของเซียนซือบนภูเขา แต่การมาเยือนสำนักสั่วอวิ๋นครั้งนี้ น้ำและดินของพื้นที่หนึ่งเลี้ยงคนของพื้นที่หนึ่ง ข้าไม่รู้สึกว่ามีแค่เว่ยจิงชุ่ยคนเดียวแล้วจะสามารถทำให้ขนบธรรมเนียมของสำนักสั่วอวิ๋นเส็งเคร็งแบบนี้ได้”
หลิวจิ่งหลงส่งตำราเล่มหนามาให้เล่มหนึ่ง “นอกจากสำนักฉงหลินแล้วยังมีเป้าหมายที่น่าสนใจบางส่วนที่ต่างก็อยู่ในตำราเล่มนี้ ในนั้นบันทึกไว้ว่าหยางเชว่มีวิชาเข็มทิศหลอมตัวอักษร วิชานี้ไม่ใช่วิชาในศาลบรรพจารย์สำนักสั่วอวิ๋น ถูกป่าวประกาศแก่ถายนอกว่าเป็นวิชาตรวจสอบมังกรที่ช่วยตามหาพื้นที่ลับอย่างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตก เป็นวิชาที่หยางเชว่ได้มาโดยบังเอิญตอนเป็นหนุ่ม สำหรับเรื่องนี้ข้าเคยมีการอนุมานมาแล้วหลายครั้ง มันไม่ได้เรียบง่ายเท่านั้น คาดว่ามันสามารถระบุตัวตนของผู้ฝึกตนได้ดีที่สุดด้วย ยกตัวอย่างเช่นพอเห็นข้า ข้าเดาว่าในเข็มทิศแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นของหยางเชว่ก็จะมีตัวอักษรอย่างคำว่าสำนักกระบี่ไท่ฮุย หลิวจิ่งหลง ฯลฯ ลอยขึ้นมา จากนั้นก็ร้อยเรียงต่อกันกลายเป็นความจริงอย่างหนึ่ง แต่เวทลับนี้จะต้องมีกฎเกณฑ์เป็นขีดจำกัดแน่นอน ไม่มีทางที่จะไม่มีช่องโหว่เลย ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่เวทลับนี้ก็อาจชักนำหายนะปลิดชีพมาให้หยางเชว่ได้”
“เวทคาถาบทนี้เรียกได้ว่าเป็นวิชาที่ต้องมีไว้สำหรับท่องยุทธ หากมีโอกาสจะต้องขอความรู้จากเจ้าสำนักหยางสักหน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้า พลิกตำราเปิดไปถึงหน้าของสำนักสั่วอวิ๋นโดยตรง อ่านชีวิตการฝึกตนของหยางเชว่อย่างละเอียด มีไม่มาก แค่ไม่กี่พันตัวอักษรเท่านั้น
พอดีกับที่วิถีแห่งการหลอมตัวอักษร ตนก็พอจะมีความรู้อยู่บ้างเล็กน้อย ตอนที่อยู่สวนกงเต๋อก็ยังได้เรียนคาถาไขคำ (โพ่จื่อลิ่ง) ของลัทธิขงจื๊อที่ยังใช้ได้ไม่คุ้นมือมาบทหนึ่ง
หลิวจิ่งหลงถาม “คิดว่าจะอยู่ที่นี่สักกี่วัน?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ประมาณสามวันแล้วกัน ข้ารีบกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป”
หลิวจิ่งหลงกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะดีจะชั่วเจ้าก็เป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง จะปล่อยให้เรื่องส่วนตัวมาทำงานส่วนรวมพังไม่ได้”
หลิวจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ยังไม่รู้จักอาจารย์และอาจารย์ปู่ข้าดีพอ ตอนที่พวกเขายังหนุ่ม เพื่อสหายแล้วเคยเอาเวลาส่วนตัวมาเบียดบังเรื่องส่วนรวมอย่างไร หลังจากจบเรื่องยังต้องถูกลงโทษในศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย แล้วพวกบรรพจารย์ทั้งหลายด่าต่อหน้า พอหันหลังกลับหัวเราะพวกเขาอย่างไร เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในเอกสาร คนนอกจึงไม่รู้ ล้วนเป็นคนในบ้านที่เล่ากันมาปากต่อปากรุ่นแล้วรุ่นเล่า”
หลิวจิ่งหลงพลันหรี่ตาลง “มาแล้ว ข้าอยู่จับตามองที่นี่ต่อแล้วกัน ป้องกันไม่ให้มีปลาตัวอื่นหลุดรอดจากตาข่ายไป”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หลิวจิ่งหลงมองทิศทางที่กระบี่บินส่งข่าวเล่มนั้นพุ่งไปก็บอกทิศทางคร่าวๆ แก่เฉินผิงอัน เลือกสถานที่ลงมือเป็นภูเขาลูกหนึ่ง ให้เฉินผิงอันใช้วิชาอสนีสร้างภาพเหตุการณ์ประหลาดลมกระโชกฝนตกแรงมาดักสกัดกระบี่บิน หลังจากนำกลับมาที่นี่แล้ว หลิวจิ่งหลงจะช่วยคลายตราผนึกของกระบี่บินให้เอง จะไม่ทำลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำแม้แต่น้อยก็สามารถอ่านเนื้อหาในจดหมายได้ พออ่านเนื้อหาเสร็จแล้วค่อยปล่อยกระบี่บินจากไป
ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ มีผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาบางส่วนที่ได้ครอบครองวิชาลับเฉพาะ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเทพเซียนพสุธาที่ขอบเขตไม่ต่ำ มักจะถูกด่าว่าเป็น ‘คนจับปลา’ บนภูเขา เรื่องที่พวกเขาทำก็คือฉวยโอกาสดักจับกระบี่บินส่งข่าว พูดเสียน่าฟังว่าสามปีไม่เปิดกิจการ เปิดกิจการทีกินได้สามปี เพียงแต่ว่าหลังจากทำสำเร็จแล้ว กระบี่บินย่อมถูกทำลายลง จึงเป็นการทิ้งเบาะแสไว้ไม่มากก็น้อย ไม่มีทางทำได้อย่างหลิวจิ่งหลงที่ ‘ของกลับคืนสู่เจ้าของอย่างสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย’ แน่นอน
เฉินผิงอันจากไปไกลอย่างเงียบเชียบ ประมาณเกือบๆ ครึ่งชั่วยามก็กลับมาแล้ว ในมือเขากักกระบี่บินเล็กจิ๋วแกะสลักลายเมฆเล่มหนึ่งไว้อย่างระมัดระวัง
หลิวจิ่งหลงใช้นิ้ววาดยันต์ แบ่งสมาธิก้มหน้ามองขุนเขาสายน้ำของสำนักสั่วอวิ๋นพลางคลายตราผนึกหลายชั้นของกระบี่บินไปด้วย การสาวเส้นไหมหาเบาะแสทำได้อย่างราบรื่นเหมือนน้ำมาคลองสำเร็จ
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อนั่งยองอยู่ด้านข้าง มองตาไม่กะพริบ หลิวจิ่งหลงก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าวิชาอภินิหารสายยันต์บทนี้จะถูกขโมยเรียนหรือไม่ ผลคือเฉินผิงอันเบิกตากว้างมองอยู่นานก็ยังส่ายหน้าเอ่ยว่า “เรียนไม่เป็น”
หลิวจิ่งหลงยิ้มกล่าว “สายของยันต์ ยันต์ใหญ่ที่ใช้ในการโจมตีทั้งหลาย มองดูเหมือนขั้นตอนถี่ยิบ แต่แท้จริงแล้วเส้นสายของพวกมันเรียบง่ายยิ่ง ก็แค่ต้องใช้คาถาเฉพาะที่สืบทอดอย่างลับๆ ของสำนัก นี่ก็คือปราการธรรมชาติที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง ส่วนยันต์ขุนเขาสายน้ำสายของกระบี่บินส่งข่าว จำเป็นต้องให้คนที่แกะเนื้อหามีความรู้หลากหลาย ไม่อาจเดามั่วในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งได้ นอกจากนั้นก็เป็นส่วนเนื้อหาที่สำคัญ แค่นี้ก็สามารถคลี่คลายปัญหาทุกอย่างได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่นกระบี่บินส่งข่าวของสำนักสั่วอวิ๋นเล่มนี้ ความมหัศจรรย์ของมันไม่ได้อยู่แค่ที่ลวดลายการ ‘ห้อยแขวน’ จิตวิญญาณดวงจันทร์ของยอดเขาโล่วเยว่เท่านั้น ยังรวมถึงภาพสะท้อนกลับลายน้ำบ่อมังกรเก่าแก่แห่งนั้น รวมไปถึงปณิธานแท้จริงของลายพู่กันที่เขียนไว้บนผนังของภูเขาชิงจือเล็กด้วย ด่านยากที่แท้จริงยังคงเป็นการสอดแทรกยันต์ลับเฉพาะนอกเหนือจากของสำนักอีกหลายบท ข้าชอบอ่านตำราเบ็ดเตล็ดก็เลยพอจะเข้าใจบ้างเล็กน้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้าอืมๆๆ “บังเอิญๆ เซียนสุราหลิวพูดได้ง่ายเสียจริง”
หลิวจิ่งหลงหยุดการคลายตราผนึกบนมือลง เงยหน้ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลิวอะไรนะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ “เซียนกระบี่หลิวไม่ชอบดื่มเหล้า คนอื่นไม่รู้ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?”
หลิวจิ่งหลงคลายตราผนึกทั้งหมดได้แล้วก็หยิบจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมา เป็นของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของยอดเขาโล่วเยว่สำนักสั่วอวิ๋นที่มีชื่อว่าจงสุย คือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรพจารย์เฒ่าก่อกำเนิด ส่งไปให้กับผู้ฝึกตนของสำนักฉงหลินคนหนึ่งที่ชื่อว่าหันเฉิง จงสุยผู้นี้ไม่ได้ใช้ห้องกระบี่ของสำนักบนยอดเขาโล่วเยว่ นับว่ายังระมัดระวังตัวอย่างมาก
หลิวจิ่งหลงเอ่ยเตือน “ที่หน้าสามสิบเก้ามีบันทึกถึงหันเฉิงอยู่คร่าวๆ วันหน้าข้าจะระวังคนผู้นี้ให้มาก หาโอกาสเสริมเนื้อหาบางอย่างเข้าไป”
เฉินผิงอันเปิดไปถึงหน้านั้น
เอาจดหมายลับใส่กลับไป หลิวจิ่งหลงก็เหมือนนักเดินทางที่มาเที่ยวในสวนยามค่ำคืน หลังจากเปิดประตูกระบี่บินส่งข่าวก็ปิดประตูลงอีกครั้ง ไม่มีช่องโหว่ในจุดที่เล็กละเอียดใดๆ ไม่มีแม้แต่รอยมือรอยเท้าสักรอย
สามวันให้หลัง เฉินผิงอันไปๆ มาๆ ยุ่งอย่างมาก คอยดักกระบี่บินส่งข่าว ส่วนหลิวจิ่งหลงก็รับหน้าที่เปิดจดหมาย คนทั้งสองอ่านด้วยกันจบ เฉินผิงอันก็ค่อยเอากระบี่บินส่งไปอีกครั้ง จดหมายส่วนใหญ่ล้วนเป็นการแจ้งข่าวระหว่างผู้ฝึกตนสำนักสั่วอวิ๋นกับสหายรักบนภูเขา เป็นฝ่ายเล่าเรื่องมรสุมจากถามกระบี่บนสำนักสั่วอวิ๋นในครั้งนี้ ต่างคนต่างมีแผนการ ถึงขั้นที่ว่าผู้ถวายงานก่อกำเนิดคนหนึ่งของศาลบรรพจารย์ที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาได้คิดไว้แล้วว่าจะออกจากสำนักสั่วอวิ๋นเพื่อตัดขาดความสัมพันธ์ให้ชัดเจน หลีกเลี่ยงไม่ให้เดือดร้อนติดร่างแหไปด้วย แล้วยังต้องหาโอกาสแสดงความเป็นมิตรกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยด้วยการเอ่ยคำพูดดีๆ บนภูเขาสักสองสามคำ… ผู้คนบนโลกมนุษย์นิสัยหลากหลาย การเปลี่ยนแปลงของใจคนคล้ายจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนในจดหมายลับสิบฉบับนั้น
จดหมายลับสองฉบับในนั้นไม่ได้ลงชื่อ ส่วนภูเขาที่รับจดหมายคือตระกูลเซียนเล็กบนภูเขาที่แม้แต่หลิวจิ่งหลงก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่หลังจากนี้หลิวจิ่งหลงต้องไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองเสียหน่อย
กระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งในนั้นเขียนอย่างกระชับเรียบง่าย แค่สามประโยคเท่านั้น
อิ่นกวานมาถึงสำนักสั่วอวิ๋นแล้ว จับมือกับหลิวจิ่งหลงมาถามกระบี่ เฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบจริงๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าคนผู้นี้สามารถสังหารเซียนเหรินที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ได้
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่หลิวจิ่งหลงเรียกออกมาบนภูเขาหย่างอวิ๋นระดับขั้นสูงมาก สามารถสร้างฟ้าดินเล็กด้วยตัวเอง ปณิธานกระบี่อึมครึมมีภาพบรรยากาศหลากหลาย เพียงแต่ยังไม่รู้วิชาอภินิหารที่มากไปกว่านั้น พลังการต่อสู้ต้องมองเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง
รีบมาช่วยข้าชิงกระจก ฉวยโอกาสนี้โยนความผิดให้สำนักกระบี่ไท่ฮุย
เฉินผิงอันกล่าว “อาศัยอะไรพวกเราสองคนขอบเขตเท่ากัน แต่ดูเหมือนว่าข้าจะสู้เจ้าไม่ได้? สรุปแล้วเจ้าสำนักหยางผู้นี้สายตาเป็นอย่างไรกันแน่ มิน่าเล่าถึงสู้เว่ยเฟยชิงผู้นั้นไม่ได้”
——