กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 815.1 คู่ควร
ซุ้มประตูท่าเรือของลำน้ำแห่งนี้มีตัวอักษรเขียนไว้ตัวใหญ่ว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้น้ำ’ ผิวน้ำของลำน้ำใหญ่แห่งนี้กว้างขวาง กว้างถึงสามร้อยลี้ คราวก่อนที่เฉินผิงอันมาที่นี่ก็แต่งตัวด้วยชุดเขียวสะพายกระบี่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดใบหนึ่ง เพียงแต่ว่าคราวก่อนสะพายเจี้ยนเซียน คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นเย่โหยว อีกทั้งในมือยังขาดไม้เท้าเดินป่าสีเขียวไปอันหนึ่ง
ท่าเรือมู่หนูของสำนักมังกรน้ำมีต้นส้มตระกูลเซียนพันกว่าต้นที่บรรพจารย์เปิดภูเขาปลูกกับมือตัวเอง ก่อนที่เขาจะสละร่างตายจากโลกนี้ไปได้ยิ้มเอ่ยว่าชีวิตนี้ฝึกตนได้ธรรมดาสามัญ มีเพียงต้นส้ม (มู่หนู) พันต้นที่มอบให้แก่ลูกหลาน
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงสวินยวนบรรพจารย์ผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกขึ้นมา ได้ยินเจียงซ่างเจินเล่าให้ฟังว่าคำสั่งเสียสุดท้ายที่ตาเฒ่าสวินเอ่ยไว้ในชีวิตนี้ อันที่จริงก็มีแค่คำสามคำที่เขาพึมพำกับตัวเองเท่านั้นเอง เป็นคำว่า ‘บ้านข้ายากจน’
ดูเหมือนว่าสำนักบนภูเขาทุกแห่งที่การสืบทอดเป็นระบบระเบียบ ควันธูปสืบทอดยาวนานล้วนจะต้องมีเก้าอี้อันดับหนึ่งที่ผ่านการคิดคำนวณมาอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยขออภัยกับหนิงเหยาว่า “อยู่ที่สำนักสั่วอวิ๋นเสียเวลากว่าที่คาดการณ์ไว้หลายวัน ดังนั้นข้าคงไม่เดินเล่นในถ้ำสวรรค์วังมังกรกับเกาะเป็ดน้ำเป็นเพื่อนพวกเจ้าแล้ว ข้าจำเป็นต้องตรงไปที่หน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน ไปพูดคุยเรื่องบางอย่างกับฮ่องเต้สกุลหลูและราชครูหยางชิงข่ง จากนั้นไปพบกับซุนเจี๋ยและเส้าจิ้งจือแห่งสองสำนักเหนือใต้ของสำนักมังกรน้ำ พูดคุยเรื่องขอเช่าหรือไม่ก็ขอซื้อเกาะเป็ดน้ำ พวกเจ้ารอข้าที่เกาะเป็ดน้ำแล้วกัน ทัศนียภาพของถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนี้งดงามมาก เดินเล่นสองสามวันก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ข้าจะพยายามรีบไปรีบกลับ”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ เห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทีจะขยับตัวก็เอ่ยว่า “ทางฝั่งของเซียนกระบี่ลี่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ข้าช่วยพูดเรื่องนี้แทนเจ้าแล้ว นางบอกว่าไม่มีปัญหา ถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนี้ เดิมทีนางก็ได้ครอบครองอยู่สามส่วน เกาะเป็ดน้ำที่ไร้เจ้าของมานานหลายปี ไม่ต้องพูดเรื่องเช่าด้วยซ้ำ นางบอกว่าหากเจ้าต้องการจริงๆ คิดจะสร้างเป็นที่ท่องเที่ยวสำหรับหลบร้อนบนภูเขาต่างถิ่นก็ซื้อเอาไว้ได้เลย สำนักมังกรน้ำไม่มีเหตุผลให้ต้องขัดขวาง หากพูดคุยเรื่องราคากันไม่สำเร็จก็ปล่อยทิ้งไว้ เดี๋ยวนางจะเป็นคนหั่นราคาให้เอง”
หมี่ลี่น้อยเอามือป้องข้างปาก ยิ้มเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ลี่คือผู้กล้าที่ห้าวหาญแห่งยุทธภพเลยล่ะ นางโบกมือเป็นวงกว้าง บอกว่าเรื่องใหญ่เท่ากัน หากคุยง่ายก็หั่นราคา หากคุยยากก็ฟันคน เช่ากะผายลมอะไรเล่า นั่นเท่ากับมีคนตบหน้านางแล้ว”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย ชำเลืองตามองกลุ่มคนที่เข้าแถวเรียงยาวเป็นมังกรแล้วยิ้มเอ่ยกับหนิงเหยาว่า “ข้าจะช่วยพวกเจ้าซื้อเอกสารผ่านด่านเข้าไปในถ้ำสวรรค์เล็กเสียก่อนค่อยไป เป็นตราประทับไม้ส้มเซียน มีความพิเศษอย่างมาก น่าเสียดายที่เอากลับไปไม่ได้ ต้องคืนให้กับสำนักมังกรน้ำ ผ่านซุ้มประตูไปแล้ว ศิลาจารึกหลายสิบแผ่นที่อยู่ด้านหน้า หากพวกเจ้าสนใจก็สามารถลองไปอ่านดูได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจารึกการสร้างสะพานหินของเหล่าปราชญ์และศิลาหอมังกรโยนลงน้ำในรัชสมัยต้าผิงที่แนะนำเรื่องการสร้างสะพานหินและต้นกำเนิดการบุกเบิกถ้ำสวรรค์วังมังกรเอาไว้”
หนิงเหยาเหลือบตามองเฉินผิงอัน ถามว่า “เพราะว่ามโนธรรมในใจไม่อาจสงบก็เลยต้องทำความดีชดใช้ความผิดงั้นรึ?”
เฉินผิงอันทำหน้าเหลอหรา
หนิงเหยายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรือนเล็กกุยม่ายบนเกาะกุ้ยฮวา หน้าผาอวี้อิ๋งที่สวนน้ำค้างวสันต์ บวกกับเกาะเป็ดน้ำของวังมังกรใต้น้ำแห่งนี้อีก ล้วนเป็นสถานที่ที่ดีในการดื่มชาดื่มสุรา ไม่แน่ว่าอาจยังมีนครหลิงซีของเรือราตรีอีกแห่งหนึ่ง ดูแลไหวหรือ?”
จวนตระกูลเซียนทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าขุนเขาหนุ่ม
เผยเฉียนตามองจมูกจมูกมองใจ เด็กชายผมขาวทำท่ากุมท้องหัวเราะก๊ากแบบไร้เสียง หมี่ลี่น้อยยังเด็กจึงไม่ค่อยเข้าใจนัก เจ้าขุนเขาคนดีหาเงินได้เยอะ คบหาสหายมากมาย ไม่ใช่เรื่องดีหรือ?
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “เรือนเล็กกุยม่ายกับหน้าผาอวี้อิ๋งล้วนปล่อยว่างไว้มานานหลายปีแล้ว”
หนิงเหยานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “หรงช่างผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงยินดีทำหน้าที่เป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของจวนไฉ่เชวี่ยนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นเรื่องดี”
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขาพาตี้ ได้ไปเยี่ยมเยือนยอดเขาจื่อเสวียน หยวนหลิงเตี้ยนเองก็ตอบตกลงเรื่องนี้แล้ว
เพราะคราวก่อนที่เฉินผิงอันมาเที่ยวเยือนถ้ำสวรรค์เล็ก ตรงกับวันที่สิบเดือนสิบและวันที่สิบห้าเดือนสิบพอดี สำนักมังกรน้ำมีเทศกาลผีและเทศกาลขุนนางน้ำขจัดเคราะห์ภัย จึงมีการจัดพิธีกรรมยันต์หยก ยันต์ทองซึ่งสำคัญอย่างถึงที่สุดในหนึ่งปีขึ้นมา ดังนั้นตอนนั้นนักท่องเที่ยวจึงเยอะมากเป็นพิเศษ เฉินผิงอันต้องรอเกือบครึ่งชั่วยามถึงจะซื้อแผ่นป้ายไม้ผ่านด่านได้ คราวนี้ทางสำนักมังกรน้ำไม่ได้มีการจัดพิธีกรรมขึ้น ดังนั้นเวลาที่เสียไปตอนเข้าแถวจึงไม่ได้มากมายอย่างคราวก่อน ทุกคนจ่ายเงินคนละสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เช่าแผ่นไม้ตราประทับแผ่นหนึ่งมาจากสำนักมังกรน้ำ แต่ว่าไม่เหมือนกับตัวอักษรที่แฝงความหมายอันไพเราะดีงามอย่างคราวก่อน ครั้งนี้ตัวอักษรที่ใช้เหมือนจะเป็นบทกลอนมากกว่า
หลังจากที่ผู้ฝึกตนหญิงของสำนักมังกรน้ำยื่นตราประทับสี่ชิ้นมาให้ก็คลี่ยิ้มหวาน เอ่ยเตือนว่า “คุณชาย ทุกวันนี้สามารถซื้อขายตราประทับของพวกเราได้แล้วนะ”
เวลาผ่านมานานหลายปี เห็นได้ชัดว่านางยังคงจดจำมือกระบี่ชุดเขียวที่มาเยือนถ้ำสวรรค์เล็กอีกครั้งตรงหน้าได้เป็นอย่างดี ก็นางความจำดีนี่นะ
ยังคงสวมชุดเขียวสะพายกระบี่ ยังคงรัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้างกายยังมีคนที่ถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตด้วย ด้วยความสามารถที่เห็นอะไรผ่านตาแล้วไม่เคยลืมของนาง พอเห็นอย่างนี้คิดจะลืมก็ยังยาก คราวก่อนลูกค้าท่านนี้ถามว่าขายตราประทับหรือไม่ ตอนนั้นยังทำให้คนรู้สึกตลกขบขันด้วยซ้ำ
เล่นงานข้าเสียแล้ว เฉินผิงอันยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน แข็งใจย้อนถามว่า “ขอถามแม่นาง หากเป็นการซื้อ จะราคาเท่าไร?”
เด็กชายผมขาวมือหนึ่งกุมท้อง อีกมือหนึ่งวางบนบ่าของหมี่ลี่น้อย หัวเราะจนท้องแข็งไปหมด
โอ้ย ขำ
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม เจ้าขุนเขาคนดีนี่เป็นอย่างไรนะ ตอนที่ไม่พาตนออกท่องยุทธภพถึงได้ชอบพูดคุยเรื่องการค้ากับสตรีแปลกหน้าเช่นนี้? โชคดีที่ตอนอยู่กับพี่หญิงหนิงตนได้ช่วยพูดถ้อยคำดีๆ กระบุงแล้วกระบุงเล่า
เฉินผิงอันมองตราประทับหลายชิ้นในมือก็สังเกตเห็นว่าตรงริมขอบล้วนมีการประเมินความสูงต่ำของนักประพันธ์แต่ละคนในหนึ่งทวีป ตำราเล่มใดเหมือนจักรพรรดิผู้สร้างความรุ่งโรจน์ สถานะสูงส่งทั้งยังเฉลียวฉลาด หนังสือเล่มใดเหมือนม้าเร็วทะลวงขบวนรบ คมดาบฟาดฟัน ธนูแข็งง้าวยิง นกตกตะลึงบินหนี ตำราเล่มใดเหมือนเซียนดินผู้บรรลุมรรคาในภูเขาลึก สดชื่นปลอดโปร่ง เห็นคนก็อยากจะถอยกลับเข้าไปในก้อนเมฆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำกล่าวที่ดี แต่ก็มีคำวิจารณ์ที่ไม่ใคร่จะเกรงใจกันอยู่บ้างเช่นกัน แทบจะเรียกได้ว่าชี้หน้าด่าคนด้วยซ้ำ บอกว่านักประพันธ์คนใดเขียนตัวอักษรข่ายซูเหมือนเศรษฐีในหมู่ชาวบ้าน รูปโฉมหยาบกระด้าง ตัวอักษรแบบหวัดเหมือนสาวใช้ที่วางตัวเป็นฮูหยิน แม้รูปโฉมจะงามเย้ายวน แต่กลับไม่มีสง่าราศี
ผู้ฝึกตนหญิงยิ้มเอ่ย “ตราประทับสองชิ้นจ่ายแค่เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ซื้อสองแถมอีกหนึ่ง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ราคาแพงเกินไปจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่ในด้านของการแกะสลักหินทอง ทุกวันนี้เฉินผิงอันถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญครึ่งตัวแล้ว อีกอย่างบนร่างของตนก็มีเทียบตัวอักษรที่ซูจื่อและหลิ่วชีเขียนเองกับมือซึ่งอาจารย์ขอมาให้ จะซื้อของพวกนี้มาทำไม
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างอดไม่อยู่ หรือว่าสำนักมังกรน้ำเจอกับสถานการณ์เร่งด่วนอะไรที่ต้องรีบใช้เงินเทพเซียน ไม่อย่างนั้นลำพังแค่อ่างเก็บสมบัติอย่างถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะหาเงินเช่นนี้ อีกอย่างนี่ก็หมายความว่าในเรื่องของการซื้อขายเกาะเป็ดน้ำกับสำนักมังกรน้ำ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องเสียเปรียบในเรื่องราคาเพิ่มเติม
ปฏิเสธผู้ฝึกตนหญิงของสำนักมังกรน้ำไปอย่างละมุนละม่อมแล้วเฉินผิงอันก็มอบตราประทับทั้งหลายให้กับพวกหนิงเหยา เล่าให้พวกนางฟังถึงขั้นตอนของการถามกระบี่ที่สำนักสั่วอวิ๋นคร่าวๆ จากนั้นก็เตรียมจะออกไปจากท่าเรือมู่หนู เดินทางไปยังเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าหยวน
ตั้งแต่ต้นจนจบหนิงเหยาไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ
รอกระทั่งเฉินผิงอันเดินฝีเท้าเร่งร้อนหายเข้าไปในกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันแออัดแล้ว นางมองแผ่นหลังของคนที่เหมือนตกใจเผ่นหนีไปนั้นแล้วก็หัวเราะ อันที่จริงเรื่องเล็กแบบนี้ มีหรือที่นางจะไม่เชื่อใจเฉินผิงอัน คนชอบเงินไปอยู่ที่ไหนจะไม่ชอบเงินบ้างเล่า ตอนที่ได้ภาพเทพหญิงของนครปี้ฮว่ามาก็ยังไปเป็นแค่ร้านผ้าห่อบุญไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันเดินออกมาจากท่าเรือ เดินก้าวหนึ่งออกจากริมฝั่งที่เงียบเชียบของลำน้ำเข้าไปในน้ำ โคจรตราประทับอักษรน้ำที่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ร่ายเวทหลบน้ำแหวกน้ำเดินทางไกล
หน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน ก่อนหน้านี้ได้รับกระบี่บินส่งข่าวฉบับหนึ่งมาจากท่าเรือจินจวินที่ส่งตรงมาให้ราชครูหยางชิงข่ง บอกว่าหวังว่าจะมาเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ของสกุลหลู ลงชื่อคำเดียวว่า เฉิน
ราชวงศ์สกุลหลูของต้าหยวน ที่ตั้งของหน่วยฉงเสวียนแห่งราชวงศ์ อันที่จริงก็คือตำหนักนภากาศของสกุลหยาง อีกทั้งตำหนักเต๋าที่โอ่อ่าอลังการแห่งนี้ยังเป็นตำหนักตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอุตรกุรุทวีป เมื่อเอาสำนักของเทียนจวินเซี่ยสือมาเปรียบเทียบแล้วก็เรียกได้ว่าเป็นตระกูลตกยากข้นแค้นของบนภูเขาเลยทีเดียว
หลังจากที่ราชครูหยางชิงข่งได้รับจดหมายลับก็รีบออกจากหน่วยฉงเสวียน เดินทางเข้าวังรอบหนึ่งเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้
ช่วงแรกที่ราชวงศ์สกุลหลูของต้าหยวนก่อตั้งแคว้นได้มองตัวเองว่าเป็นผู้ที่ได้รับการดูแลจากน้ำ แค่ดูจากชื่อของรัชสมัยก็สามารถมองออกแล้ว
วันนี้ฮ่องเต้อยู่ในห้องอุ่นเล็กๆ ที่หันหน้าเข้าหาแสงแดดแห่งหนึ่ง พบเจอกับเด็กอัจฉริยะสามสิบกว่าคนที่มาจากท้องถิ่น ก็หนีไม่พ้นพูดคุยให้กำลังใจผู้มีพรสวรรค์ที่จะเป็นเสาคานของบ้านเมืองในอนาคต จากนั้นก็เลือกคนสองสามคนมาตอบคำถามแล้วให้รางวัล ส่วนรายชื่อตัวเลือกที่แน่นอน ตำแหน่งที่ยืนอยู่ ทางฝั่งของกรมพิธีการมีการกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว หากฮ่องเต้อารมณ์ดี ก็แน่นอนว่าอาจจะถามคนเพิ่มอีกสองสามคน หลังจบเรื่องก็หนีไม่พ้นประทานของมอบรางวัลเพิ่มให้อีกสองสามชิ้นเท่านั้น
ห้องอุ่นแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก วันนี้พอมีคนมากเข้าจึงดูแออัดอย่างเห็นได้ชัด ทว่าพวกเด็กอัจฉริยะทั้งหลายกลับรู้สึกตกตะลึงที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน หลายคนที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลยากจนปากสั่นอยู่ตลอด พยายามฝืนตัวเองให้สงบนิ่ง กว่าจะวางตัวถูกหลักมารยาทไม่เสียกิริยาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพวกเขาต่างก็เคยได้ยินมาว่าฮ่องเต้จะเลือกสถานที่แห่งนี้เพื่อพบเฉพาะขุนนางคนสำคัญในสำนักเท่านั้น ตามคำกล่าวของวงการขุนนางในเมืองหลวงแล้ว ที่นี่คือสถานที่ที่ฮ่องเต้ชอบพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับคนอื่น
สุดท้ายวันนี้ฮ่องเต้สกุลหลูก็เลือกเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากเมืองชายแดนมาคนหนึ่ง แล้วถามคำถามว่า ‘รู้แต่คำสั่งของตระกูลสูงศักดิ์ ไม่รู้กฎหมายของบ้านเมือง ควรจะทำอย่างไร’ เด็กหนุ่มร้อนใจจนใบหน้าแดงก่ำ ในสมองเหมือนมีแต่แป้งเปียก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรถึงจะเหมาะสม
โชคดีที่ราชครูช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยปลอบใจเด็กหนุ่มที่กระวนกระวายไปสองสามคำ บอกว่าวันหน้าหากมีความคิดเห็นอย่างไรก็สามารถส่งความคิดในใจมาให้กับที่ว่าการของกรมพิธีการได้
ภายใต้การนำของขันทีผู้คุมตราประทับกองซือหลี่เจียน เด็กอัจฉริยะกลุ่มนี้ก็พากันเดินแถวด้วยฝีเท้าแผ่วเบาออกไปจากห้องอุ่นแห่งนี้
หยางชิงข่งคารวะฮ่องเต้ตามขนบของลัทธิเต๋า บอกให้ฟังเรื่องที่อิ่นกวานเฉินผิงอันจะมาพบ
ฮ่องเต้ยิ้มเอ่ย “เร็วขนาดนี้เชียว? หรือว่าอิ่นกวานท่านนี้พอออกจากศาลบุ๋นก็ตรงมาที่อุตรกุรุทวีปของพวกเราเลย?”
หยางชิงข่งพยักหน้าเอ่ยว่า “เกินครึ่งคงเป็นเช่นนี้ หน่วยฉงเสวียนเพิ่งจะได้รับเทียบขอพบจากเฉินผิงอันก็ได้ข่าวบนภูเขามาทันที เมื่อห้าวันก่อนมีผู้ฝึกกระบี่แซ่เฉินคนหนึ่งที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้จับมือกับหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยไปถามกระบี่ที่สำนักสั่วอวิ๋น เดินขึ้นเขากันไปตลอดทางจนไปถึงยอดเขาหย่างอวิ๋น แล้วก็รื้อถอนศาลบรรพจารย์ของอีกฝ่ายโดยตรง เจ้าสำนักหยางเชว่ไม่ได้ลงมือขัดขวาง ชุยกงจ้วงที่เป็นเค่อชิงเกิดความขัดแย้งกับพวกเขาจึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนเซียนเหรินเว่ยจิงชุ่ยก็ถึงกับเรียกกระจกเปินเยว่บานนั้นออกมา แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสภายใต้คมกระบี่ของหลิวจิ่งลง แต่นี่ก็เพราะว่าหน่วยฉงเสวียนได้วางสายลับไว้ที่สำนักสั่วอวิ๋นถึงได้รู้ข่าวเร็วกว่าสำนักทั่วไปสองสามวัน”
ฮ่องเต้บอกเป็นนัยให้ราชครูนั่งลงพูดคุย บนโต๊ะชามีกล่องอาหารใบหนึ่งวางอยู่ ในกล่องที่แบ่งออกเป็นช่องๆ จัดเตรียมขนมหลากหลายประเภทไว้จนเต็ม ฮ่องเต้ผลักกล่องอาหารไปที่ราชครู ก่อนจะคีบขนมซิ่งฮวาชิ้นหนึ่งขึ้นมาเคี้ยวอย่างละเอียด ยิ้มถามว่า “หากพบเขาที่นี่จะไม่ค่อยเหมาะสมหรือไม่?”
หยางชิงข่งพยักหน้ารับ “ฝ่าบาทท่านเพิ่งพบเขาอย่างเป็นทางการครั้งแรก ไม่ควรทำตัวสนิทสนมเช่นนี้จริงๆ อีกทั้งของตกแต่งมากมายที่อยู่ในนี้ยัง…”
ราชครูท่านนี้กวาดตามองไปรอบด้าน ยิ้มเอ่ยว่า “เปิดเผยความคิดของฝ่าบาทมากเกินไป”
ฮ่องเต้ถามอย่างใคร่รู้ “สำนักสั่วอวิ๋นเป็นสำนักที่ใหญ่ขนาดนั้น อีกทั้งยังอยู่ในถิ่นของบ้านตัวเอง ถึงกับขัดขวางเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบสองคนที่ค่อยๆ เดินขึ้นเขาไปไม่ได้เชียวหรือ?”
“สำนักสั่วอวิ๋นมีเซียนเหรินหนึ่งคนหยกดิบหนึ่งคน จำนวนผู้ฝึกตนเซียนดินค่อนข้างมาก มองปราดๆ ก็เรียกได้ว่ารากฐานลึกล้ำ เพียงแต่ว่าเว่ยจิงชุ่ยและหยางเชว่ต่างก็มีความคิดไปคนละทาง มองดูเหมือนกลมเกลียวแต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ แน่นอนว่าต้องเป็นแค่ทรายที่กระจัดกระจายถาดหนึ่ง พลังที่แท้จริงบนหน้ากระดาษ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นแค่ความเลื่อนลอยอย่างหนึ่ง นี่ก็คือข้อห้ามใหญ่สำหรับทุกสำนัก”
หยางชิงข่งเบี่ยงตัวนั่งหันข้าง หันหน้าเข้าหาฮ่องเต้ เทียนจวินลัทธิเต๋าท่านนี้ถือประคองหางกวางไว้ในมือ ตรงด้ามหยกขาวแกะสลักตัวอักษรแปดคำว่า ปัดเป่าสิ่งสกปรกกำจัดความร้อนปลอบประโลมจิตใจ ลงท้ายสองคำว่าเทพวาโย
ฮ่องเต้ได้ฟังแล้วก็พยักหน้า หยิบขนมอีกชิ้นโยนเข้าปาก เคี้ยวช้าๆ แล้วกลืนลงไป ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปรับแขกที่หน่วยฉงเสวียนของเจ้า?”
หยางชิงข่มยิ้มกล่าว “หน่วยฉงเสวียนของฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ปัดมือ เอ่ยว่า “คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน”
ฮ่องเต้สกุลหลูที่เป็นดั่งน้ำไหล ตำหนักนภากาศของสกุลหยางที่เป็นดั่งเหล็ก
คำกล่าวที่ผิดขนบธรรมเนียมเช่นนี้ อันที่จริงแพร่อยู่ในราชสำนักมาหลายปีแล้ว แต่ก็จำต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะหน่วยฉงเสวียนก็ดี หรือตำหนักนภากาศก็ช่าง ล้วนเป็นเพราะอยู่บนมือของฮ่องเต้สกุลหลูเช่นเขาถึงสามารถพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นได้
ตำหนักนภากาศคือศาลลูกหลาน (จื่อซุนเมี่ยว เป็นคำเรียกอารามเต๋าอีกอย่างหนึ่ง) ตามแบบฉบับ หนึ่งตระกูลหนึ่งสกุลคล้ายได้รับบรรดาศักดิ์สืบทอดต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า คล้ายคลึงกับภูเขามังกรพยัคฆ์ อันที่จริงสองพี่น้องอย่างหยางหนิงเจินกับหยางหนิงซิ่งที่ไปอยู่ใต้หล้าแห่งที่ห้า ฮ่องเต้ก็ฝากความหวังไว้มากเหมือนกัน
วันที่สอง ฮ่องเต้ก็ได้เจอกับอิ่นกวานหนุ่มที่มาถึงตามเวลานัดหมายที่หน่วยฉงเสวียน ไม่ได้ให้ฮ่องเต้รอนานเกินควรแม้แต่น้อย
อันที่จริงที่ว่าการหน่วยฉงเสวียนที่มีนักพรตเต๋าของราชสำนักมาประจำการอย่างแท้จริง กินอาณาบริเวณไม่มาก ฮ่องเต้จึงรับรองเซียนกระบี่ชุดเขียวในลานเรือนที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งของหน่วยฉงเสวียน ในลานบ้านมีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า นอกจากราชครูหยางชิงข่งและองค์ชายเด็กหนุ่มแล้วก็ไม่มีคนนอกอยู่อีก
เฉินผิงอันติดตามหยางชิงข่งเดินเข้าไปในลานเรือนแล้วก็กุมหมัดคารวะ
ฮ่องเต้สกุลหลูลุกขึ้นยืนรอต้อนรับอยู่นานแล้ว เขากุมหมัดคารวะกลับคืน ส่วนองค์ชายเด็กหนุ่มข้างกายก็เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์เฉินแล้วคารวะอย่างนอบน้อม หลังจากที่เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้ว สายตาที่มองไปยังเซียนกระบี่ชุดเขียวก็เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และความเพ้อฝัน และยังมีความเคารพเลื่อมใสยำเกรงอยู่อีกหลายส่วน
ครั้งนี้เฉินผิงอันมาเยือนหน่วยฉงเสวียนด้วยเรื่องสามเรื่อง อันดับแรกคือมาขอบคุณราชวงศ์สกุลหลูที่เคยเปิดทางปกป้องเฉินหลิงจวินแห่งภูเขาลั่วพั่วในอดีต การที่เผ่าพันธ์เจียวหลงมาเดินลงน้ำที่นี่ก็เท่ากับได้นำโชคชะตาน้ำส่วนหนึ่งไปด้วย สำหรับราชวงศ์ใหญ่อย่างสกุลหลูแล้วนี่คือความเสียหายที่จริงแท้แน่นอน เป็นเหตุให้แคว้นใต้อาณัติแต่ละยุคแต่ละสมัยที่หากพูดถึงเรื่องของการเดินลงน้ำในอาณาเขตแล้ว อย่าว่าแต่การเปิดทางการคุ้มกันเลย กลับกันยังมีแต่จะขัดแข้งขัดขาสร้างความลำบากใจให้ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ก็คือพูดคุยเรื่องการทำการค้าข้ามทวีปกับฮ่องเต้สกุลหลู สุดท้ายถึงเป็นเรื่องการซื้อขายเกาะเป็ดน้ำ
คุยไปคุยมา อันที่จริงก็เป็นแค่เรื่องของเงินนั่นเอง
——