กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 816.1 แสงจันทร์
ได้ยินว่าสตรีตรงหน้าชื่อหนิงเหยา ต่อให้ใต้หล้านี้จะมีคนที่แซ่เดียวชื่อเดียวกันอยู่ไม่น้อย แต่หลี่หยวนก็ไม่ได้โง่ อย่างน้อยที่สุดกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เฉินผิงอันไปหาประสบการณ์ก็ไม่ได้มีหนิงเหยาสองคน
สองขาของหลี่หยวนสั่นสะท้าน ต้องรีบคว้าแขนของเฉินผิงอันเอาไว้ วิชาอภินิหารในการล้อมคอกเมื่อวัวหายของนายท่านสุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำใหญ่ในอดีตท่านนี้ เรียกได้ว่าสุดยอด เพราะว่าใจฝ่อจึงไม่กล้ามองหนิงเหยา หลี่หยวนจึงเพียงแค่เอ่ยกับเฉินผิงอันด้วยประโยคของคนที่โชคดีมาเยือนความฉลาดจึงบังเกิดว่า “เฉินผิงอัน พี่น้องส่วนพี่น้อง ความจริงส่วนความจริง เจ้าไม่คู่ควรกับเซียนกระบี่หนิงจริงๆ”
แม่นางหนิงสามารถเรียกได้ตามใจชอบหรือ? ต้องเรียกว่าเซียนกระบี่หนิง!
ส่วนเซียนกระบี่หนิงจะรับน้ำใจหรือไม่ หลี่หยวนไม่รู้ ไม่อยากคาดเดา แต่โชคดีที่เฉินผิงอันยังยิ้มอย่างอารมณ์ดีมาก รอยยิ้มจริงใจยิ่ง คงเพราะรู้สึกว่าประโยคที่หลี่หยวนเอ่ยมานี้ไม่ได้มีปัญหาใดๆ
หลี่หยวนจึงรู้สึกเหมือนได้กินยาสงบใจเข้าไป หันตัวกลับไปอย่างระมัดระวัง จัดระเบียบชุดวารีที่อยู่บนร่างให้เรียบร้อยแล้วประสานมือคารวะ “หลี่หยวนแห่งลำน้ำจี่ตู๋คารวะเซียนกระบี่หนิง”
หนิงเหยาทำมุทรากระบี่ด้วยมือข้างเดียวเป็นการคารวะกลับคืน เอ่ยว่า “หนิงเหยาแห่งนครบินทะยานคารวะหลี่โหวแห่งจี่ตู๋”
หลี่หยวนได้เลื่อนขั้นเป็นหลิงถิงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ เมื่อหลายปีก่อนก็ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากศาลบุ๋น คำว่าเลื่อนขั้นไปตามลำดับขั้นตอนของกงโหวอันดับหนึ่งบนภูเขาซึ่งคล้ายคลึงกับวงการขุนนางก็เป็นเช่นนี้เอง
ดังนั้นหนิงเหยาเรียกอีกฝ่ายว่าหลี่โหวก็ถือว่าเป็นการแสดงความให้เกียรติที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
รอยยิ้มเจิดจ้าเต็มใบหน้าของหลี่หยวนนั้นเป็นของจริง แต่ความเจ็บปวดหัวใจกลับจริงแท้แน่นอนยิ่งกว่า
เหตุใดภาพแห่งความมีเกียรตินี้ถึงไม่มีคนใช้คาถาเซียนมาคัดลอกเอาไว้นะ ไม่อย่างนั้นวันหน้าเขาก็คงสามารถเอาภาพวาดไปตั้งบูชาไว้ให้ดีๆ แขวนไว้ในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักที่ใช้รับรองแขกของจวนบ้านตน ใช้แทนกรอบป้ายหน้าโถงไปเลย
เกี่ยวกับเรื่องเล่าและข่าวลือของหนิงเหยา อันที่จริงมีทางแยกอยู่สายหนึ่ง ก่อนที่สงครามใหญ่ซึ่งหอบม้วนไปทั่วใต้หล้าไพศาลครั้งนั้นจะเกิดขึ้น คำพูดที่เกี่ยวกับหนิงเหยา หลักๆ แล้วมีเพียงเรื่องเดียว คำกล่าวถึงผู้มีพรสวรรค์ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่แห่งใต้หล้า แท้จริงแล้วแบ่งออกเป็นแค่สามประเภท ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้ภายในหกสิบปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ โอสถทองร้อยปีแห่งใต้หล้าไพศาล ประเภทสุดท้าย แน่นอนว่าก็คือหนิงเหยาคนเดียว
รอกระทั่งใต้หล้าแห่งที่ห้าถูกบุกเบิกอีกทั้งยังเปิดประตูแล้ว ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของหนิงเหยากระโดดข้ามขั้นบันไดขั้นใหญ่ไปหลายขั้น อันที่จริงก่อนที่ศาลบุ๋นจะปิดประตูก็มีข่าวลือเล็กๆ บนภูเขาบางส่วนแพร่มายังไพศาล ยกตัวอย่างเช่นหนิงเหยาฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกันดุจผ่าลำไม้ไผ่ไปอย่างไม่มีข้อให้ต้องสงสัย ทำให้คนได้แต่มองตาไม่กะพริบ นี่หมายความว่าหนิงเหยาได้รับการยอมรับจากมหามรรคาของใต้หล้าแห่งนั้น เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของไพศาลแน่ใจกันมานานแล้วว่าผู้ฝึกกระบี่หญิงอ่อนเยาว์คนนี้จะต้องกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งนั้นในอนาคตอย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่คำว่ามีความหวังบนมหามรรคาอะไรเลย เพราะหนิงเหยาได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเดินไปยังยอดบนสุดของมหามรรคา อีกทั้งในอนาคตช่วงเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่ง จุดที่สูงที่สุดบนภูเขาของใต้หล้าแห่งนั้นจะเป็นทัศนียภาพของนางเพียงคนเดียว ข้างกายไม่มีใครมายืนเคียงคู่
นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวบนภูเขาที่ลี้ลับอีกอย่างหนึ่ง ทุกวันนี้ใครกล้าสังหารหนิงเหยา ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็อย่าหวังว่าจะได้ไปใต้หล้าห้าสีเลย จะต้องตายแน่นอน อีกทั้งยังจะตายอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอีกด้วย
หลี่หยวนเชื่อมั่นในชะตากรรมอย่างยิ่ง
หมี่ลี่น้อยแอบผ่อนลมหายใจโล่งอก ยังดีๆ วันนี้คนที่โผล่หน้ามาพร้อมเจ้าขุนเขาคนดีไม่ใช่สตรี นางได้ยินมาว่าหลิงหยวนกงของลำน้ำใหญ่คือสตรีที่งดงามคนหนึ่งเชียวนะ
แต่ดูเหมือนว่านอกจากป๋ายโส่วแห่งยอดเขาเพียนหรานแล้ว จะมีคนที่เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเจ้าขุนเขาคนดีเพิ่มมาอีกคนหนึ่งแล้ว
เผยเฉียนเอ่ยขอบคุณหลี่หยวนหนึ่งคำ เรื่องที่คราวก่อนเฉินหลิงจวินเดินลงน้ำ หลี่หยวนออกแรงไปมากที่สุด อีกทั้งมรสุมที่จวนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์แห่งนั้น หลงถิงโหวท่านนี้ก็แสดงความมีน้ำใจในยุทธภพอย่างเต็มที่ เฉินหลิงจวินกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วแล้วก็มักจะพร่ำพูดเรื่องนี้ให้หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยฟังเป็นประจำ บอกว่าในเรื่องของการคบหาสหายนี้ ไม่ใช่ว่าเขาโม้จริงๆ นะ ต้องเรียกว่าสายตาของเขาดีเหมือนเบิกเนตรสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
ใต้หล้านี้นอกจากนายท่านบ้านตนที่สามารถยึดครองอันดับหนึ่งบนกระดานได้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว เขาเฉินหลิงจวินก็คืออันดับที่สอง จากนั้นจึงจะเป็นหน่วนซู่กับหมี่ลี่ที่สามารถอยู่อันดับสามด้วยกัน เพราะคนโง่ก็มีโชคของคนโง่ ถึงได้โชคดีรู้จักกับอันดับที่หนึ่งและอันดับที่สองอย่างไรล่ะ
ผลคือกลายเป็นว่าหมี่ลี่น้อยเอาเรื่องนี้ไปพูดอวดกับเผยเฉียน ถ้าอย่างนั้นจุดจบของนายท่านใหญ่จิ่งชิงจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องคิดก็รู้ได้
หนิงเหยาถาม “เกาะเป็ดน้ำแห่งนี้ สำนักมังกรน้ำเรียกราคาเท่าไร? กี่เหรียญเงินฝนธัญพืช?”
ถ้ำสวรรค์วังมังกรคือพื้นที่ยอดเยี่ยมในการฝึกตนแห่งหนึ่งที่คนของอุตรกุรุทวีปให้การยอมรับ สี่ฤดูกาลเหมือนวสันต์ฤดู ฤดูร้อนไม่ร้อนระอุ ฤดูหนาวไม่หนาวเหน็บ เพียงแค่มีฝนตกบ่อย คนที่ฝึกตนอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนเซียนดินที่ไม่ขาดเงินเทพเซียน อีกทั้งยังฝึกวิชาน้ำ ทุกครั้งที่ฝนตกลงมาก็จะใช้วัตถุแห่งชะตาชีวิตประเภทต่างๆ มารองน้ำฝนเก็บเข้าไปไว้ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ อันที่จริงการฝึกตนบนภูเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ นอกจากโชควาสนาแล้วก็ต้องอาศัยความค่อยเป็นค่อยไปที่ต้องสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ผู้ฝึกตนสองขอบเขตอย่างก่อกำเนิดและบินทะยานถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นตะพาบพันปีเต่าหมื่นปี พูดถึงแค่ขอบเขตบินทะยาน นอกจากจะไม่แตะต้องธุลีในโลกโลกีย์ หลบเลี่ยงทัณฑ์สวรรค์แล้ว ก็ยิ่งต้องการการพัฒนาในด้านการฝึกตนทีละเล็กทีละน้อยเพื่อนำมาเพิ่มโอกาสในการฝ่าทะลุคอขวด
บนเกาะนอกจากจวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่เจ้าของแต่ละรุ่นคอยดูแลซ่อมแซมอยู่ตลอดซึ่งเดิมทีก็มีมูลค่าเป็นเงินเทพเซียนไม่น้อยแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีซากปรักเซียนสี่แห่งอย่างบ่อโยนน้ำ ถ้ำหินภูเขาหย่งเล่อ ซากโรงเหล็กและป้ายศิลาองค์หญิงเซิงเซียน ตอนที่รอเฉินผิงอัน หนิงเหยาได้พาพวกเผยเฉียนไปเดินเล่นมาหมดแล้ว เผยเฉียนสนใจป้ายศิลาเซิงเซียนอย่างมาก หมี่ลี่น้อยชอบบ่อโยนน้ำที่โชคชะตาน้ำเข้มข้นอย่างมาก กำลังคิดว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ที่นั่น เด็กชายผมขาวก็พูดแล้วว่าถ้ำหินกับโรงเหล็กใครก็อย่าได้มาแย่ง ล้วนเป็นของมันหมดแล้ว ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันยังไม่ทันซื้อเกาะเป็ดน้ำ อาณาเขตก็ถูกแบ่งไปหมดสิ้นเรียบร้อยแล้ว
เฉินผิงอันใช้เท้าขยี้พื้นเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เดิมทีเกาะเปิดน้ำแห่งนี้ก็อยู่ในถ้ำสวรรค์เล็ก นอกจากเกาะของนครหลักแล้ว หนึ่งในสามสถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับการฝึกตน ตามการประมาณการณ์ของทางฝั่งสำนักมังกรน้ำ ราคาเดิมคือสองร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช เพราะว่าถ้ำสวรรค์วังมังกรมีกลุ่มอิทธิพลสามฝ่ายครอบครองร่วมกัน หน่วยฉงเสวียนและทะเลสาบกระบี่ฝูผิงต่างก็ไม่ได้เก็บเงิน สำนักมังกรน้ำได้ครอบครองสี่ส่วน ดังนั้นจึงเปิดราคาไว้ที่แปดสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช ข้าไม่กล้าต่อราคา จึงส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังภูเขาลั่วพั่วให้ส่งเงินมาทันทีแล้ว”
อันที่จริงแรกเริ่มสุดสำนักมังกรน้ำไม่ค่อยยินดีจะขายเกาะเป็ดน้ำให้นัก การประชุมในศาลบรรพจารย์ครั้งหนึ่งที่มีจำนวนคนน้อยมากก็ยิ่งมีแนวโน้มให้เป็นการเช่ามากกว่าการขาย ต่อให้จะกำหนดเวลาเป็นสามร้อยห้าร้อยปีก็ไม่เป็นไร เพียงแต่เพราะไม่อาจต้านทานจดหมายลับสามฉบับที่ส่งมาติดต่อกันจากทะลสาบกระบี่ฝูผิง หน่วยฉงเสวียนและจวนหลิงหยวนกงได้จริงๆ ถึงได้ยอมแหกกฎให้กับเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ ไม่ใช่ว่าสำนักมังกรน้ำขี้เหนียวจึงคิดเล็กคิดน้อยกับจำนวนเงินเทพเซียนว่ามากหรือน้อยอะไรจริงๆ แต่เป็นเพราะนี่เกี่ยวพันไปถึงโชคชะตาบนมหามรรคาของถ้ำสวรรค์เล็กแห่งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ที่พูดคุยเรื่องการค้ากันในศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำ เฉินผิงอันถึงเพิ่งจะรู้ว่าหลี่หยวนที่เป็นสุ่ยเจิ้ง ถึงกับนั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรกทางฝั่งขวามือ อีกทั้งขอบเขตหยกดิบสองคนแห่งสำนักเหนือและใต้อย่างซุนเจี๋ยและเส้าจิ้งจือก็ดูเหมือนว่าจะไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย
หนิงเหยาลังอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “ตอนที่ข้ามาที่นี่ได้พกเงินมาด้วยบางส่วน”
ทางฝั่งของนครบินทะยานในใต้หล้าห้าสี จวนเฉวียนฝู่ได้มีการคิดคำนวณคุณความชอบด้านการสู้รบที่แม่นยำให้กับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนตามเกณฑ์ที่กำหนด นอกจากนี้แล้วทุกครั้งที่ผู้ฝึกกระบี่ฝ่าทะลุขอบเขตก็จะได้ทรัพย์สินที่จำเป็นสำหรับหลอมกระบี่ที่ทางเฉวียนฝู่นครบินทะยานจะมอบให้ เพียงแต่ว่าพอมาถึงหนิงเหยานี้จะคิดกันอย่างไร? เกาเหย่โหวและตลอดทั้งจวนเฉวียนฝู่ยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่แข็งใจคิดคำนวณกันไป ยกตัวอย่างเช่นหนิงเหยาเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนแรกของนครบินทะยานและของใต้หล้าใหม่เอี่ยม แล้วยังเป็นขอบเขตเซียนเหรินคนแรก บินทะยานคนแรก…แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังต้องบวกคุณูปการในการสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพตาเดียวที่อยู่ในตำแหน่งสิบสองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงยุคบรรพกาลเข้าไปด้วย บวกกับเงินเดือนของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน…สุดท้ายผู้ฝึกตนของเฉวียนฝู่มองสมุดบัญชีที่แยกไว้ให้หนิงเหยาโดยเฉพาะด้วยความรู้สึกที่ทั้งเป็นเกียรติ และทั้งรวดร้าวปานจะขาดใจ
ดังนั้นหนิงเหยาในทุกวันนี้จึงกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของนครบินทะยาน พูดง่ายๆ ก็คือนางเป็นคนที่มีเงินเยอะมาก
เฉินผิงอันบ่นว่า “พูดอะไรกัน ไม่มีเหตุผลเช่นนี้”
หนิงเหยามองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง แล้วค่อยมองหลงถิงโหวที่แสร้งทำสีหน้าเซ่อซ่าไม่เข้าใจ แต่กลับเงี่ยหูตั้งใจฟังเต็มที่ นางพลันคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก ทำไมตอนที่เจ้าพูดไม่ถือโอกาสขมวดคิ้วถลึงตาตะคอกเสียงดังไปด้วยเล่า แบบนี้ยามอยู่กับเพื่อนก็จะมีบารมีของประมุขตระกูลมากกว่าไม่ใช่หรือ?
คนทั้งกลุ่มเดินทางไปยังจวนเซียนแห่งหนึ่งที่สร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
ถ้ำสวรรค์วังมังกรของอุตรกุรุทวีปแห่งนี้ บวกกับยอดเขาสิงโตและหลุมน้ำลู่บนทะเล ในอดีตต่างก็เคยเป็นหนึ่งในคฤหาสน์หลบร้อนของหลี่หลิ่วมาก่อนทั้งสิ้น
หลี่หยวนเองก็ไม่แน่ใจนักว่าทุกวันนี้เฉินผิงอันรู้เรื่องนี้หรือไม่ ถึงอย่างไรคราวก่อนที่หลี่หลิ่วมาปรากฎตัวที่นี่ เฉินผิงอันที่เป็นคนบ้านเดียวกัน ตอนนั้นก็ดูเหมือนจะยังถูกปิดหูปิดตาอยู่
หลี่หยวนหยิบป้ายหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นลายมังกรเลื้อย อีกด้านหนึ่งแกะสลักตัวอักษรโบราณว่า ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ ทุกวันนี้เฉินผิงอันเป็นเจ้าของเกาะเป็ดน้ำแล้ว ตามเหตุตามผล ไม่ว่าจะด้านส่วนรวมหรือส่วนตัว หลี่หยวนก็ควรมอบแผ่นหยกที่เป็นตัวควบคุมจุดศูนย์กลางของค่ายกลบนเกาะแผ่นนี้ไปให้ เขาเอ่ยว่า “หากเพียงแค่โคจรค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขา ไม่จำเป็นต้องหลอมแผ่นหยก คราวก่อนเคยบอกเรื่องนี้ให้เจ้าฟังแล้ว แต่ความมหัศจรรย์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่คาถาน้ำบรรพกาลบทหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ในแผ่นหยก หากถูกผู้ฝึกตนนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จก็จะสามารถอัญเชิญเทพลงมา ต้อนรับกายธรรมตนหนึ่งที่เท่าเทียมกับผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิด หากเข่นฆ่ากับคนในลำน้ำใหญ่ลำคลองหรือแม่น้ำ พลังการต่อสู้ของกายธรรมจะสามารถมองเป็นขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งได้เลย เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์เก่าที่ดูแลกรมน้ำประทานฝนเป็นหลัก ตำแหน่งขุนนางไม่ต่ำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีชื่อจริงว่า ‘จวิ้นชิง’ อวี่เซียง อวี่เซียง (แปลตรงตัวคือเสนาบดีสายฝน) แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นขุนนางใหญ่”
เฉินผิงอันเก็บมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เขาย่อมวางแผนไว้แล้วว่าจะทำเช่นไร อันที่จริงลำพังเพียงแค่แผ่นหยกอวี่เซียงนี้ คาดว่าคงมีมูลค่ามากกว่าเกาะเป็ดน้ำทั้งเกาะมากนัก จึงเอ่ยสัพยอกว่า “การค้าที่ข้าทำกับสำนักมังกรน้ำครั้งนี้ ก็ไม่เท่ากับว่าทำให้เจ้าต้องเสียสมบัติหนักวิชาน้ำที่มีระดับเป็นอาวุธกึ่งเซียนไปชิ้นหนึ่งหรอกหรือ?”
หลี่หยวนกลอกตามองบน “ผู้ฝึกตนธรรมดาซื้อเกาะเป็ดน้ำไปแล้วอย่างไร ข้าจะมอบของชิ้นนี้ให้หรือ? ต้องไม่ทันระวังทำหายไปแน่นอน คิดอยากจะโคจรค่ายกลก็ให้พวกเขาอาศัยความสามารถไปตามหาสมบัติหนักตระกูลเซียนที่แทนที่ของชิ้นนี้ได้กันเอาเองเถอะ แต่กับเจ้าจะต้องเกรงใจอะไร อีกอย่างปีนั้นหากไม่เป็นเพราะเจ้าไม่ยินดีรับของชิ้นนี้ไว้ แผ่นหยกก็ต้องเป็นของเจ้าไปนานแล้ว ของชิ้นนี้สำหรับข้าแล้วคือซี่โครงไก่ ปีนั้นเป็นสุ่ยเจิ้งของลำน้ำใหญ่กลับกลายเป็นว่าไม่เหมาะให้หลอมวัตถุชิ้นนี้ ก็เหมือนเสมียนปลายแถวของที่ว่าการในท้องถิ่นแห่งหนึ่งของวงการขุนนาง ไหนเลยจะกล้าเจ้ากี้เจ้าการไปสั่งการขุนนางใหญ่ในราชสำนักของเมืองหลวง”
เฉินผิงอันนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็พลันถามว่า “เพียงแต่ว่ากายธรรมของ ‘จวิ้นชิง’ ต่อให้เจ้าหลอมไปแล้ว อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นปัญหามากกระมัง?”
หลี่หยวนเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันเข้าใจได้ในทันที สิ่งศักดิ์สิทธิ์กรมน้ำแห่งสวรรค์ที่มีชื่อว่าจวิ้นชิงคนนี้ เมื่อหมื่นปีก่อนยังไม่ตายดับไป แต่คล้ายคลึงกับพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่ ‘เชิญลงมา’ ที่ยังคงอยู่ภายใต้การบัญชาการณ์ของศาลบุ๋น ตามกฎที่หลี่เซิ่งกำหนดไว้ จึงแฝงกายอยู่เบื้องหลังเพื่อทำหน้าที่ควบคุมโชคชะตาน้ำของมหามรรคาส่วนหนึ่งต่อไป ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสุ่ยเจิ้งของลำน้ำหนึ่งในอดีตหรือหลงถิงโหวที่เลื่อนสู่ตำแหน่งสูงในทุกวันนี้ ก็ล้วนไม่เหมาะสม
นั่งลงในห้องโถงใหญ่ เผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อยรู้งานคล่องแคล่ว จึงไปหิ้วถังน้ำกับผ้ามาช่วยกันปัดกวาดเช็ดฝุ่นที่นี่ให้สะอาดเรียบร้อยนานแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ย “พวกเรานั่งอยู่ที่นี่กันแค่ครู่เดียวก็จะต้องจากไปแล้ว ดังนั้นมีเรื่องหนึ่งที่ยังอยากจะขอให้เจ้าช่วย”
หลี่หยวนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยว่า “เจ้าหมายถึงงานพิธีกรรมยันต์ทองยันต์หยกในเดือนสิบกระมัง? ก่อนหน้านี้เจ้าก็ให้เงินฝนธัญพืชข้ามาสองเหรียญไม่ใช่หรือ แล้วยังทิ้งสมุดเล่มที่บันทึกชื่อแซ่เอาไว้ด้วย ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ข้าทำตามที่เจ้าบอกอยู่ตลอด หากเป็นเรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้กลายเป็นกำหนดการแน่นอนในทุกปีของเกาะเป็ดน้ำไปแล้ว ทางฝั่งของสำนักมังกรน้ำเองก็ใส่ใจมาก ไม่มีทางกล้าละเลยแม้แต่น้อย”
วันที่สิบเดือนสิบ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าดินและเทพผีทั้งหลายล้วนอยู่ประจำตำแหน่ง คนธรรมดาในโลกมนุษย์จึงมักจะนำเสื้อผ้าฤดูหนาวมามอบให้กับผู้ล่วงลับ เซ่นไหว้บรรพชนที่จากไป ผู้ฝึกตนของสำนักมังกรน้ำยังตั้งใจตัดชุดกระดาษห้าสีออกมา แต่ละร้านยังแถมกระถางไฟใบเล็กไปให้ด้วยหนึ่งใบ แต่เรื่องของการเผากระดาษนี้กลับทำตามประเพณีดั้งเดิม นั่นคือเผาสองวันก่อนหลังวันที่สิบเดือนสิบ เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทั้งไม่รบกวนการพักผ่อนของผู้ล่วงลับ แล้วยังสามารถให้บรรพบุรุษของแต่ละตระกูลและพวกเทพผีทั้งหลายที่ผ่านทางมาได้ใช้ประโยชน์มากที่สุดด้วย
ต่อจากนั้นวันที่สิบห้าเดือนสิบก็จะเป็นพิธีกรรมขุนนางน้ำขจัดเคราะห์ ถือเป็นการปัดเป่าเคราะห์ภัยให้กับผู้ล่วงลับ ช่วยสั่งสมบุญกุศลให้กับคนที่จากไปแล้ว สำนักมังกรน้ำจัดพิธีการนี้ยิ่งใหญ่มากกว่า แน่นอนว่าต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากกว่า นอกจากผู้ฝึกตนบนภูเขาที่มาจากสถานที่ต่างๆ ของในหนึ่งทวีปแล้ว ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นพวกแม่ทัพอัครเสนาบดีของราชวงศ์อย่างราชวงศ์ต้าหยวนที่ถึงจะมาเข้าร่วมงานนี้ จะขอให้ยอดฝีมือของสำนักมังกรน้ำช่วยเขียนชื่อ ภูมิลำเนาของคนรู้จักหรือไม่ก็บรรพบุรุษที่จากไปแล้วลงบนกระดาษยันต์ ราชวงศ์ใหญ่บางแห่งที่มีทรัพย์สมบัติมาก ทุกครั้งที่สงครามสิ้นสุดลงก็จะให้ขุนนางชั้นสูงของกรมพิธีการเดินทางมาที่แห่งนี้เพื่อเซ่นไหว้เหล่าวีรชนทั้งหลาย ช่วยขอพร จุดธูปจุดตะเกียง สะสมบุญกุศลให้พวกเขาไว้สำหรับชาติหน้าโดยเฉพาะ
——