กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 817.2 ปลาใหญ่เหมือนมังกร
ในห้อง เฉินผิงอันออกหมัดอย่างเชื่องช้า เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างก็คอยฝึกตามไป
กระบวนท่าหมัดเป็นสิ่งที่ตายตัว ทว่า ‘วิถีหมัด’ ที่อยู่ในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์กลับมีชีวิต ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ควรจะโคจรอย่างไร ควรจะข้ามภูเขาลงน้ำอย่างไร ควรจะจัดกำลังทหารโยกย้ายกำลังพลอย่างไร ให้ลมปราณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งปณิธานหมัดบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นกุญแจสำคัญที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นกระบวนท่าหมัดที่ดีแค่ไหนก็ล้วนจะกลายเป็นเพียงนักสู้ในยุทธภพที่เป็นแค่หมอนปักลายบุปผาเท่านั้น
ชุยเฉิงสอนหมัดอยู่บนชั้นสอง พูดจาหยาบกระด้างแต่เหตุผลกลับไม่หยาบ ฝีมือการต่อสู้แบ่งออกเป็นสูงต่ำ หนึ่งคือหมัดเท้าของข้าหนักมากพอ หากตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะแบ่งเป็นตาย หนึ่งหมัดปล่อยออกไปก็สามารถส่งคนไปยังประตูผีเพื่อไปเกิดใหม่ อีกหนึ่งคือเรือนกายของข้าไม่ใช่กระดาษเปียก พูดง่ายๆก็คือสามารถต่อยให้คนล้มคว่ำ แล้วก็สามารถต้านรับการต่อยตี และในระหว่างนี้ยังมีอักษรคำว่า ‘เป็น’ อีกหนึ่งตัวที่เป็นแก่นสำคัญอย่างถึงที่สุด ต่อยให้คู่ต่อสู้ล้มลง แบ่งแพ้ชนะแบ่งเป็นตาย หลักการเหตุผลอยู่ที่ข้า ต้านรับการโดนต่อยไว้ได้ หมัดไม่พ่ายแพ้ การถูกตี ‘เป็น’ ก็จะกลายเป็นการช่วยขัดเกลาเรือนกายของตัวเอง ไม่เพียงแต่ไม่ทำร้ายรากฐาน ไม่มีภัยแฝงทิ้งเอาไว้ ยังสามารถขัดเกลาขอบเขตได้อีกด้วย
หมัดเขย่าภูเขาอะไร หากรู้แต่ปล่อยหมัด ไม่รู้จักเลี้ยงหมัด ข้าผู้อาวุโสพลิกเปิดอ่านแค่ไม่กี่หน้าก็ได้กลิ่นเหม็นสาบบ้านนอกโชยมาปะทะใบหน้าแล้ว…
ในอดีตตอนที่เรียนวิชาหมัดอยู่ในเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันก็เคยเอ่ยประโยคทวงความเป็นธรรมแทนตำราหมัดเขย่าภูเขาอยู่หลายประโยค แต่พอถูกต่อยเยอะเข้าก็ไม่มีความกล้าพอให้พูดอะไรมากอีกแล้ว ถูกผู้เฒ่าใช้ปลายเท้าขยี้ที่หัวใจแล้วเตะเสยขึ้นทั้งอย่างนั้น หลังทั้งแผ่นกระแทกเข้ากับเพดาน ช่างสมกับ ‘อย่าได้มีรสชาติอื่นใดติดอยู่ในใจอีกเลย’ จริงๆ
จะให้ป้อนหมัดให้เผยเฉียนแบบนี้ เฉินผิงอันตัดใจทำไม่ลง ไม่อาจลงมืออำมหิตเช่นนั้นได้
ถึงขั้นที่ว่าจนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยถามถึงขั้นตอนการเรียนหมัดบนเรือนไม้ไผ่จากเผยเฉียนอย่างละเอียด แค่คิดก็ยังไม่กล้าคิดมาก
ดังนั้นในหลายๆ ครั้งเฉินผิงอันที่ทดสอบเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว เขาก็มักจะต้องรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสอนหมัดจริงๆ ใช่หรือไม่?
เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องเก็บหมัดหยุดหมัด เอ่ยว่า “การถามหมัดที่ศาลบุ๋น โอกาสแพ้ชนะไม่ถือว่าห่างชั้นกันมาก แต่สิ่งที่อาจารย์พ่อแพ้ให้แก่เฉาสือไม่ใช่แค่เรื่องของความต่างด้านขอบเขตเท่านั้น”
ขอบเขตปลายทางมีสามขั้นที่สำคัญ ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน
เฉาสือสามารถเลื่อนขั้นสู่เทพมาเยือนได้ทุกเมื่อ
การช่วงชิงระหว่างเขียวขาวครั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ผลลัพธ์ก็ชัดเจนอย่างยิ่ง เฉาสือได้รับบาดเจ็บน้อยมาก แค่รอยปูดเขียวน้อยนิดแค่นั้น อย่างมากสุดสี่ห้าวันก็สลายหายไปแล้ว หันกลับมามองเฉินผิงอันที่กลับกลายเป็นว่าต้องเป็นอ่างเก็บยาอยู่หลายเดือน
นี่ก็คือความต่าง
เผยเฉียนยังคงเดินนิ่งไปเรื่อยๆ พลางถามเสียงเบาว่า “อาจารย์พ่อ ท่านคิดว่าข้าควรจะฝ่าทะลุขอบเขตที่ไหนดี ควรจะเลือกใบถงทวีปถึงจะดีกว่าหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “คิดเรื่องไร้สาระพวกนี้ทำไม ขอบเขตเก้าเลื่อนเป็นขอบเขตสิบคือธรณีประตูที่ใหญ่มากก้าวหนึ่ง เจ้าจะฝ่าทะลุขอบเขตที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ฝ่าทะลุขอบเขตไปให้ได้ก็พอ”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที แล้วถามอีกว่า “อาจารย์พ่อ ถ้าอย่างนั้นหากข้าฝ่าทะลุขอบเขตที่ภูเขาลั่วพั่วจะไปแย่งโชคชะตาบู๊มาจากพ่อครัวเฒ่าและอาจารย์จ้งหรือไม่? ได้ยินคนบอกว่า ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของหนึ่งทวีปก็เหมือนการแย่งกันข้ามฟาก เรือใหญ่เพียงเท่านั้น ใครที่ได้ขึ้นเรือมาครองพื้นที่ก่อน คนที่มาทีหลังก็ไม่อาจขึ้นเรือมาได้อีก”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกออกไปโดยตรง “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนยอมให้ได้ มีเพียงเรื่องการฝึกวรยุทธเดินขึ้นสู่ที่สูงที่ไม่อาจหลีกทางให้ใครได้ ถามหมัดกับคนอื่น เบื้องหน้าต้องไร้ผู้คน เรียนวรยุทธเดินขึ้นสู่จุดสูงสุด ต้องไม่ปล่อยให้ข้างกายมีใครอยู่”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
กลับไปภูเขาลั่วพั่วก็จะฝ่าทะลุขอบเขต
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “มั่นใจแล้วหรือว่าจะฝ่าคอขวดได้?”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที
เฉินผิงอันหัวเราะร่าแล้วเขกมะเหงกอีกครั้ง “หมัดก็สอนไปแล้ว กลับไปฝึกในห้องตัวเองเถอะ”
จะสอนวิชาหมัดไปทำไมอีก
พอเผยเฉียนจากไป เด็กชายผมขาวก็เดินอาดๆ มาเยือนถึงห้อง
เด็กชายผมขาวอยู่บนเรือข้ามฟากไม่มีเรื่องอะไรให้ทำจริงๆ ช่วงนี้จึงเป็นฝ่ายเสนอทำการค้ากับบรรพบุรุษอิ่นกวานด้วยตัวเองอีกรอบ ยังคงอิงตามกฎเดิมเหมือนตอนที่อยู่ในคุก มันอยากจะรวบรวมเงินฝนธัญพืชให้ครบหนึ่งเหรียญ ส่วนเรื่องที่ว่ารวมเงินครบแล้วจะเอาไปใช้ทำอะไร มันยังไม่ได้คิดไว้
ยกตัวอย่างเช่นที่ร้านน้ำชาท่าเรือดอกท้อ มันช่วยเสริมเนื้อหามากมายให้กับชุดคลุมอาคมที่มีชื่อชั่วคราวว่า ‘ทางน้ำ’ ตัวนั้น
บรรพบุรุษอิ่นกวานยังคงมีคุณธรรมน้ำใจเหมือนเดิม ไม่ได้เอาความชอบมาชดใช้ความผิด แต่มอบเงินให้มันหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย อีกทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า หากในอนาคตชุดคลุมอาคมที่ยังไม่ได้ถักทอกลายเป็นชิ้นสำเร็จรูปตัวนี้ขายได้ดีในทวีปต่างๆ ของไพศาลเว้นจากศาลบุ๋นจริงๆ ยังจะมอบเงินเพิ่มให้อีกหนึ่งเหรียญด้วย
นอกจากนี้มันยังเริ่มเรียบเรียงตำราหมัดขึ้นมาหนึ่งเล่ม ตัวมันตั้งชื่อให้ว่า ‘หมัดข้าวร้อยบ้าน’ รู้สึกว่าเป็นชื่อที่ไพเราะยิ่ง
ในตำราหมัดมีบันทึกถึงกระบวนท่าหมัดสามสิบกว่ากระบวนท่าซึ่งเป็นความสามารถประจำตัวของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางในใต้หล้ามืดสลัวเอาไว้อย่างละเอียด ในบรรดานั้นก็มีท่าไม้ตายที่หายสาบสูญไปแล้วอยู่ไม่น้อย
ได้เงินร้อนน้อยมาอีกหนึ่งเหรียญ
หน้าปกของตำราหมัดเขียนตัวอักษรสี่คำว่า ‘หมัดข้าวร้อยบ้าน’ ไว้ตัวใหญ่มาก ตรงช่วงล่างของอักษรคำว่าหมัดยังมีตัวอักษรสองตัวว่า ‘เล่มบน’ ตัวเล็กๆ เขียนไว้
เฉินผิงอันก็ได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แสร้งทำเป็นไม่รู้ถึงแผนการเล็กๆ น้อยๆ ที่มันวางไว้
มีเล่มบน แน่นอนว่าต้องมีเล่มกลาง เล่มล่างอีกสองเล่ม ด้วยนิสัยของเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีเล่มบนกลาง เล่มกลางล่างอีกก็เป็นได้ ดูสิ แค่นี้ก็ได้เงินฝนธัญพืชครึ่งเหรียญมาอยู่ในมือแล้วไม่ใช่หรือ?
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางปล่อยให้นางอาศัยแค่ตำราหมัดก็ได้เงินร้อนน้อยห้าเหรียญมาครองง่ายๆ เช่นนี้ ใต้หล้านี้มีเงินร้อนน้อยที่ไหนหากันได้ง่ายดายแบบนี้เล่า? ไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ อยากได้เงินจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไร?
ใต้หล้ามืดสลัวมี ‘ผู้ฝึกตนอิสระ’ อยู่สิบประเภทที่ไม่ได้รับการยอมรับจากป๋ายอวี้จิง
แบ่งออกเป็นโจรข้าวสารที่เป็นพวก ‘นอกรีต’ มือเรียวแดงม้วนม่านที่เชี่ยวชาญการแก้ไขชะตาชีวิตให้กับผู้ฝึกตน คนหาบของที่ใครจ่ายเงินก็สามารถขอยืมขอบเขตใดขอบเขตหนึ่งของเขามาใช้ได้ชั่วคราว คนยกโลงศพที่เดินอยู่ท่ามกลางโลกคนเป็นและโลกคนตาย ทูตตระเวนภูเขาที่ขโมยโชคชะตาขุนเขาสายน้ำไปได้โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น หญิงนักแต่งตัวที่สามารถเรียบเรียงเส้นสายขุนเขาสายน้ำในร่างกายมนุษย์ได้ คนจับมีดที่เล่นงานผู้ฝึกยุทธเต็มตัวโดยเฉพาะ อาจารย์คำเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงตำราลับลัทธิเต๋าได้อย่างเงียบเชียบ นอกจากนี้ก็ยังมีเซียนสละศพและทาเหลี่ยวฮั่น
เกี่ยวกับรากฐานมหามรรคาของพวกเขา เด็กชายผมขาวได้เขียนตำราขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม ได้เงินร้อนน้อยไปเปล่าๆ อีกหนึ่งเหรียญ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ด้านหนึ่งก็ศึกษาโพ่จื่อลิ่งของลัทธิขงจื๊อไปเงียบๆ กำลังทำความเข้าใจกับวิธีลงจากเรือซึ่งต้องไขกรงขังตัวอักษรขุนเขาสายน้ำของเรือราตรี พลางเปิดตำราที่หนามากหลายเล่มข้างมือไปด้วย เด็กชายผมขาวยื่นหัวไปเหลือบมองสองสามที ดูเหมือนจะเป็นรายงานข่าวของทางฝั่งภูเขาตะวันเที่ยง มันไม่สนใจเรื่องนี้ เพียงแค่ถามเสียงเบาว่า “บรรพบรุษอิ่นกวาน วันหน้าเมื่อภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามีรายงานขุนเขาสายน้ำและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเป็นของตัวเองแล้ว ให้ข้าเป็นคนดูแลหลักได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษา เลิกคิดได้แล้ว ประสบการณ์เจ้ายังตื้นเขินเกินไป เป็นแค่ลูกศิษย์นักการที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อก็พอ หากได้อยู่ตำแหน่งสูงทันทีก็ง่ายที่จะทำให้คนอื่นเกิดอคติ”
เรื่องรายงานขุนเขาสายน้ำของแต่ละทวีป ในอดีตล้วนมีสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งของลัทธิขงจื๊อคอยตรวจสอบ มีข้อบังคับไม่มาก ในสำนักศึกษาจะมีวิญญูชนและนักปราชญ์คอยรับหน้าที่รวบรวมรายงานของภูเขาแต่ละลูกในหนึ่งทวีปโดยเฉพาะ เรื่องนี้หาเงินได้ไม่มาก ดังนั้นจึงไม่ใช่ตระกูลเซียนทุกแห่งที่จะเลี้ยงคนว่างงาน ถึงขั้นที่ว่าสำนักอักษรจงหลายแห่งยังคร้านจะสนใจจัดการเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
เหมือนอย่างอุตรกุรุทวีปนี้ สำนักทั้งหลายที่มียอดเขาพาตี้ สำนักกระบี่ไท่ฮุย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ไม่มีคนทำหน้าที่ฝ่ายนี้ ส่วนหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน สำนักมังกรน้ำ สวนน้ำค้างวสันต์ ตระกูลเซียนที่มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์ล่างภูเขาแนบแน่นมากที่สุดเหล่านี้กลับให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
เด็กชายผมขาวหมดอาลัยตายอยาก เอามือปาดผิวโต๊ะ เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “ข้ายังนึกว่าลูกศิษย์นักการจะเป็นแค่คำพูดล้อเล่นเท่านั้น”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วเจ้าห้ามลอบมองใจคนส่งเดช หากข้าจับได้ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตล่ะ”
เด็กชายผมขาวยังคงเช็ดโต๊ะต่อเนื่อง “บรรพบุรุษอิ่นกวานว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแหละ ข้าเป็นแค่คนต่างถิ่นที่ไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง ยังจะทำอย่างไรได้อีก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องมาแสร้งทำเป็นน่าสงสารให้ข้าดู วางใจเถอะ เรื่องของการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างในใบถงทวีป ต้องให้เจ้าช่วยวางแผนอยู่เบื้องหลังอีกมากนัก”
เด็กชายผมขาวเงยหน้าขึ้น สีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา “มอบตำแหน่งขุนนางใหญ่ให้ข้าหน่อยสิ เป็นแค่ตำแหน่งที่ว่างเปล่าก็ได้”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “ในอนาคตจะตั้งตำแหน่งรองเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างให้เจ้าโดยเฉพาะเลยดีไหม?”
เด็กชายผมขาวหัวเราะดังลั่น “ตกลงตามนี้”
เรือข้ามทวีปกำลังจะเข้าสู่อาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป
วันนี้เผยเฉียนแอบมาหาเฉินผิงอัน ถามว่า “อาจารย์พ่อ เมื่อไหร่ถึงจะสู่ขออาจารย์แม่ล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนที่อยู่ศาลบุ๋นข้าได้บอกเรื่องนี้แก่อาจารย์แล้ว อาจารย์แค่รอได้รับกระบี่บินส่งข่าวก็จะมาเยือนภูเขาลั่วพั่วทันที”
อันที่จริงตอนอยู่ที่ท่าเรือจินจุนของอุตรกุรุทวีป เฉินผิงอันได้แอบส่งจดหมายลับออกไป บอกถึงเวลาคร่าวๆ ว่าตนจะกลับไปถึงบ้านเกิดเมื่อไหร่แล้ว
เผยเฉียนถามเสียงเบา “เรื่องแบบนี้ควรต้องพูดต่อหน้าอาจารย์แม่ด้วยกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “อาจารย์พ่อย่อมอยากทำอย่างนั้นอยู่แล้ว เจ้าไม่เห็นหรือว่าอาจารย์พ่อต้องดื่มเหล้าทุกๆ สามวันห้าวันเพื่อปลุกความกล้าให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะอย่างไร รับรองว่าก่อนที่อาจารย์จะปรากฏตัวจะต้องพูดเรื่องนี้แน่”
……
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในร้านฉ่าวโถวตรอกฉีหลง พอเห็นห่านขาวใหญ่ เฉินหลิงจวินก็รีบหาโอกาสเผ่นหนีเพื่อความเป็นมงคลทันที
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยจึงรับหน้าที่รับรองแขก เขาเอาเหล้าออกมาอีกหลายกา อีกทั้งยังเข้าครัวทำกับแกล้มสองสามจานด้วยตัวเอง
ชุยตงซานยืนอยู่บนม้านั่งเล็ก เจียงซ่างเจินยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน เด็กสาวฮวาเซิงมองขนมสารพัดสีพวกนั้นแล้วก็รู้สึกน้ำลายสออยู่บ้าง
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “พอคิดถึงว่าอาจารย์จะต้องไปเยี่ยมเยือนจวนวารีด้วยตัวเอง ข้าก็เริ่มสงสารเหนียงเนียงเทพวารีของแม่น้ำชงตั้นผู้นั้นเสียแล้ว”
เจียงซ่างเจินถามอย่างใคร่รู้ “ซักไซ้เอาความผิด? จะเกินไปหน่อยหรือไม่? จะดูว่าภูเขาลั่วพั่วของพวกเราบีบบังคับคนอื่นเกินไปหรือไม่?”
เขาผู้แซ่เจียงมีวาสนากับสตรีดีจะตายไป แล้วยังเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งด้วย เรื่องแบบนี้ตามหลักแล้วก็ควรช่วยกำจัดทุกข์คลายความกังวลให้เจ้าขุนเขาสิ แอบไปหาเหนียงเนียงเทพวารีที่จวนวารีสักรอบ เบื้องหน้าบุปผาเบื้องใต้จันทราก็เป็นแค่เรื่องของสุราไม่กี่จอกเท่านั้น นั่นจะไม่ประหยัดแรงกายแรงใจหรอกหรือ แล้วยังไม่ต้องเหลือจุดอ่อนให้คนอื่นจับได้ด้วย
ชุยตงซานกลอกตามองบน “อาจารย์ของข้าเป็นใคร เป็นบัณฑิตนะ! ฆ่าแกงกันจะนับเป็นอะไรได้ จะต้องทำลายบรรยากาศอันดีขนาดนี้ด้วยหรือ? ซักไซ้เอาความผิดอะไรกัน ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง อาจารย์ก็แค่ไปเยี่ยมหาเท่านั้น ศาลเทพวารีแม่น้ำชงตั้นทำเรื่องสีเทาแบบนั้น อาจารย์ก็แค่เลือกเรื่องเล็กๆ มาเรื่องเดียว จากนั้นค่อยไปพูดคุยต่อหน้าเหนียงเนียงเทพวารี สุดท้ายจึงให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า ‘ข้อนี้คล้ายจะไม่เหมาะสม’ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“ถือว่าไว้หน้านางแล้ว แล้วภูเขาลั่วพั่วยังแสดงออกถึงความจริงใจยอมปล่อยให้เรื่องที่แล้วแล้วกันไป นางเองก็ไม่ใช่คนโง่ ต้องฟังความนัยของอาจารย์ข้าออกแน่นอน แต่สรุปก็คือไม่เกี่ยวอะไรกับนางมากนัก แต่หลังจากนี้นับตั้งแต่ขุนนางน้อยใหญ่ในจวนวารีไปจนถึงสามสำนักเก้าสาขาอาชีพที่เคยชินกับการหาเงินจากที่นั่น ก็จะต้องมีชีวิตที่ยากลำบากกันแล้ว”
เป็นวิธีการที่พอๆ กับเฉินผิงอันใช้จัดการกับเค่อชุยกงจ้วงตอนอยู่บนยอดเขาหย่างอวิ๋น
ข้าจับตามองเจ้าคนเดียว เจ้าไปจับตามองคนกลุ่มใหญ่ใต้การปกครองของตัวเอง คนเบื้องล่างทำเรื่องที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ หากไม่ทันระวังถูกข้าไปได้ยินหรือไปเจอเข้า ข้าไม่คิดจะโกรธเคืองลงมือกับพวกเขา แต่จะเอาผิดกับเจ้าคนเดียวเท่านั้น
นี่คือเส้นสายที่ชัดเจนมากเส้นหนึ่ง เป็นการอธิบายหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายอย่างมากข้อหนึ่ง
ประสบการณ์ในที่ว่าการขุนนาง ฝึกฝนอบรมตนกับงานส่วนรวม
ที่ไหนบ้างที่ไม่ใช่ยุทธภพ ที่ใดบ้างที่ไม่ใช่วงการขุนนาง
ชุยตงซานควักสมุดเล่มหนึ่งออกมา ตอนที่กองกำลังแคว้นของต้าหลีอยู่ในช่วงรุ่งเรืองถึงขีดสุดก็เคยนำเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปที่ก็คือหนึ่งแคว้นมาเรียบเรียงทำเนียบหยกทองเสียใหม่ แบ่งออกเป็นระดับขั้นต่างๆ
อันดับหนึ่ง ดูจากท่าทางแล้วคงต้องเว้นว่างไปตลอด เพราะแม้แต่ห้าขุนเขาที่มีภูเขาพีอวิ๋นเป็นหนึ่งในนั้นก็ยังได้อยู่แค่อันดับที่สองเท่านั้น
กงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ฉีตู้สายนั้น ตอนนี้ตำแหน่งยังว่างอยู่ ทว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่า เลือกแค่คนเดียวก็ดี หรือจะให้เหมือนกับลำน้ำจี้ตู๋ที่อยู่ทางเหนือ เลือกออกมาสองคนก็ช่าง ล้วนจะมีระดับสูงอยู่แค่ระดับสองเท่านั้น
ภูเขาทายาทของห้าขุนเขาอยู่ในอันดับที่สาม หยางฮวาเทพวารีแห่งแม่น้ำเถี่ยฝูคือเทพวารีซึ่งเป็นคนท้องถิ่นของต้าหลีเพียงหนึ่งเดียวที่เลื่อนขั้นเป็นระดับสาม
นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำเฉียนถังที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป คือสถานที่ฝึกตนของเจียวหลงเฒ่าตนนั้น ตั้งอยู่ในอำเภอเฉียนถัง มีชื่อว่าถ้ำเฟิงสุ่ย รวมไปถึงแม่น้ำยงเจียงสายหนึ่งที่อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า ใน ‘คัมภีร์น้ำ’ ที่เทพเซียนผู้เฒ่าลี่เขียนไว้ได้บอกไว้ว่า สี่ทิศที่มีน้ำเรียกว่ายง
ก่อนหน้านี้ชุยตงซานและเจียงซ่างเจินเดินทางไปยือนท่าเรือป๋ายลู่ของภูเขาตะวันเที่ยง ก็ได้เจอกับคนเลี้ยงมังกรกลุ่มหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำเฉียนถัง
นอกจากนี้ก็คือเทพอธิบาลเมืองที่อยู่ในเมืองหลวงของแต่ละแคว้น แต่มีความต่างในด้านระดับขั้น เทพอภิบาลเมืองของเมืองหลวงต้าหลีอยู่ในขั้นสูงคือขั้นสาม ส่วนแคว้นใต้อาณัติแต่ละแห่งก็มีทั้งขั้นสี่และขั้นห้า
อาณาเขตของหนึ่งทวีป สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นขั้นสามได้มีไม่มาก
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาอยู่ในขั้นสี่ เย่ชิงจู๋ของแม่น้ำชงตั้น หลี่จิ่นเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ ล้วนเป็นแค่ขั้นห้า
เทพแห่งผืนดิน พ่อปู่ลำคลอง แม่ย่าลำคลองที่มีจำนวนมากที่สุด ตำแหน่งเทพล้วนอยู่ในอันดับสามขั้นล่างสุด ยังคงอยู่ในการปกครองของเทพภูเขาและเทพลำคลอง ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนขั้นหรือลดขั้นก็ล้วนต้องอยู่บนเส้นทางสายนี้ แต่ศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเมืองประจำอำเภอและศาลบุ๋นบู๊ต่างก็มีอำนาจในการตรวจสอบ กลับกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำเองก็เป็นสามารถทำเช่นนี้กับเทพอธิบาลเมืองขั้นต่างๆ ได้เช่นกัน
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “เจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคนนี้ น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตน”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างจนใจ “เขาถึงขั้นปฏิเสธเรื่องที่จะทดลองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับทางราชสำนัก บอกว่าเมล็ดพันธ์บัณฑิตอย่างเขาโดนด่าได้ มีเพียงไม่อาจทนรับความเจ็บปวดได้ไหว ร่างเหลือแต่โครงกระดูกยืนอยู่อะไรนั่น แค่ฟังก็ขนพองสยองเกล้าแล้ว แทนที่จะต้องเป็นดั่งหมอกควันที่สลายหายไปอีกครั้งก็ไม่สู้พอหลับตาฟ้าก็มืด ชีวิตนี้จบลงทั้งอย่างนี้ยังดีเสียกว่า”
คนที่รับหน้าที่เรียบเรียง ‘ระดับขั้นทำเนียบตระกูล’ ของภูเขาสายน้ำในหนึ่งทวีปให้กับราชสำนักต้าหลี ก็คือเจ้ากรมพิธีการเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี บัณฑิตที่แก่หง่อมเต็มที หลิ่วชิงเฟิง
เล่าลือกันว่าการกระทำที่เป็นการบุกเบิกเส้นทางใหม่ให้กับราชสำนักต้าหลีนี้ ได้รับคำชมเชยจากอริยะปราชญ์ของศาลบุ๋น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะผลักดันให้ใช้ทั่วใต้หล้าไพศาล ไม่ต้องทำตามวิธีของใครของมันในแต่ละแคว้นของหนึ่งทวีปอีกต่อไป จักรพรรดิและที่ว่าการกรมพิธีการของหนึ่งแคว้นก็จะสามารถเลื่อนขั้นและลดระดับขั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในแคว้นของตัวเองได้ตามใจ
สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดก็คือคุณูปการคุณความดีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำตนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นหัวข้อที่สำคัญที่สุดของการประเมิน จะไม่ได้ดูแค่ขอบเขตร่างทอง ความกว้างขวางของอาณาเขตหรือภูเขามากน้อยเท่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือภูเขาลูกเล็กสามารถเลื่อนสู่ตำแหน่งสูง แม่น้ำใหญ่ก็สามารถถูกลดระดับลงต่ำได้
อีกทั้งระดับขั้นของภูเขาสายน้ำจะไม่ได้ถูกกำหนดไว้แน่นอนอีกต่อไป เป็นเหตุให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละพื้นที่ไม่สามารถนอนเสวยสุขบนสมุดคุณความชอบได้แล้ว
เจียงซ่างเจินกล่าว “น่าเสียดาย”
ชุยตงซานถอนหายใจ ปิดสมุดลง “อาจารย์หลิ่วท่านนี้ หลังเดินออกจากห้องหนังสือก็เป็นขุนนางมาทั้งชีวิต อุทิศทั้งแรงกายแรงใจ ให้เขาได้พักผ่อนก็ดี”
——