กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 817.3 ปลาใหญ่เหมือนมังกร
เจียงซ่างเจินถามอย่างใคร่รู้ “เรื่องที่ก่อนหน้านี้เจ้าอยากคุยกับอาจารย์ของเจ้ามาโดยตลอด? ทุกวันนี้ยังพูดไม่ได้อีกหรือ?”
ชุยตงซานส่ายหน้า “เมื่อก่อนอยากจะรอไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้กลับไม่มีความจำเป็นแล้ว”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องจิบเหล้าคำเล็กๆ ลองฟังดูสักหน่อยแล้ว”
ชุยตงซานพยักหน้า “เจ้ากับอาจารย์รู้จักกันที่พื้นที่มงคลดอกบัว ตอนนั้นอาจารย์ข้าขอบเขตไม่สูง อยู่ในยุทธภพที่รอบด้านมีแต่ศัตรู เจ้ารู้สึกว่าเขาท่องยุทธภพอย่างไร?”
เจียงซ่างเจินคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ระวังตัวมากและมั่นคงมาก”
ระวังคือสาเหตุ มั่นคงคือผลลัพธ์
ชุยตงซานถอนหายใจ “ครั้งแรกที่อาจารย์ออกจากบ้านเกิดก็เป็นแบบนี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวเองคือคนที่ไม่เคยเล่าเรียนเขียนอ่านมาก่อน ออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งแรก ท่องอยู่ในยุทธภพยังต้องระวังขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นคนอื่นๆ ล่ะ? คนที่ประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชนมากกว่า คนที่อ่านหนังสือมามากมายล่ะ?”
“ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุให้เกิดผลลัพธ์อย่างหนึ่ง ในบางเรื่อง อาจารย์จึงค่อนข้างเหมือนกับเจิ้งจวีจง”
เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “คนฉลาด ต่อให้ปฏิบัติต่อความดีและความเลวก็ยังมองเห็นความจริงอย่างชัดเจน ง่ายที่จะมองเห็นเส้นสายต่างๆ มีเพียงอย่างเดียวคือจะดูแคลนคนที่มีสมองแต่ไม่ยอมใช้”
เจียงซ่างเจินรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ไม่ใช่ว่าดูแคลน แต่เป็นไม่อาจเข้าใจได้”
ชุยตงซานส่ายหน้า “ก็ดูแคลนนั่นแหละ ไม่มีอะไรให้ยอมรับไม่ได้ เพียงแต่ว่าอาจารย์ที่วางตัวอยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่นยังคงมีจิตใจที่หวังดี ยิ่งเป็นผู้ที่อ่อนแอมากเท่าไร เขาก็ยิ่งยินดีมอบความหวังดีที่บริสุทธิ์ให้มากเท่านั้น ทว่าระหว่างนี้ก็เหมือนกับว่ามีอาจารย์อีกคนหนึ่งคอยมองดูทุกอย่างอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา”
เจียงซ่างเจินจิบเหล้าหนึ่งอึก “นี่หากเอาไปวางไว้กับหลักการเหตุผล นอกจากจะเข้มงวดกับตัวเองมากกว่าเดิมแล้ว ก็ยังง่ายที่จะเรียกร้องให้คนดีทำความดี โชคดีที่เฉินผิงอันแค่มีความคิดเช่นนี้ แต่กลับไม่เคยพูดมากหรือทำอะไรที่มากเกินจำเป็นต่อคนอื่น ทว่านานวันเข้าก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ในอดีตแม้แต่ตัวของอาจารย์เองก็ยังไม่เคยตระหนักถึงข้อนี้ ยกตัวอย่างเช่น ในส่วนลึกของจิตใจอาจารย์จะต่อต้านการกระทำผดุงคุณธรรมในนิยายอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงขั้นรู้สึกอคติต่อการกระทำที่มองดูเหมือนมีน้ำใจด้วยซ้ำ เพราะเขาจะรู้สึกว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะพอมากนัก จะทิ้งภัยแฝงไว้เบื้องหลังมากมาย ถึงขั้นที่ว่าจะเป็นเรื่องเละเทะที่ผลลัพธ์แย่ยิ่งกว่า พวกเป่าผิงน้อยและเผยเฉียนจะอ่านอย่างเพลิดเพลิน แต่ในสายตาของอาจารย์ อ่านแล้วก็ผ่านไป มีแต่จะรู้สึกว่า…”
เจียงซ่างเจินต่อคำ “เป็นบ้านหลังหนึ่งที่มีรูโหว่ลมพัดจากแปดทิศ ฟ้าดินเยียบเย็น”
ชุยตงซานดื่มเหล้าหนึ่งอึก หันหน้าไปมองม่านฝนขมุกขมัวสีเทาที่อยู่นอกร้าน พึมพำว่า “แต่ว่า ใครเล่าที่บอกพวกเราว่าจอมยุทธทำเรื่องดีเรื่องหนึ่งแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด จะต้องคอยช่วยดูแลคนอ่อนแออย่างยาวนานจนกว่าพวกเขาจะหลุดพ้น? มีเหตุผลแบบนี้ด้วยหรือ? ไม่มี หากทุกคนเป็นเช่นนี้ ยิ่งนานวันคนดีจะยิ่งลังเลใจ เรื่องดีก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ โลกใบนี้ย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ที่โคจรไม่หยุดนิ่งด้วยตัวเอง ทุกคนล้วนมีเส้นทางของตัวเองให้เดินไป นี่ก็คือวิถีทางโลก ซิ่วไฉเฒ่าเคยบอกว่าวิถีทางโลก วิถีทางโลก ก็คือเส้นทางที่พวกเราต้องเดิน เดินได้ง่าย เดินได้ยาก เดินได้ง่ายแต่กลับเป็นทางผิด เดินได้ยากแต่กลับเป็นทางถูก คำว่าโชคดีก็คือเส้นทางใต้ฝ่าเท้าทั้งถูกต้องทั้งเดินง่าย โชคไม่ดีก็คือเดินได้ยากอีกทั้งยังเป็นทางที่ผิด”
ชุยตงซานใช้นิ้วแต้มสุราแล้ววาดเส้นสี่เส้นลงบนโต๊ะ จากต่ำมาสูง วาดเรียงกันพลางเอ่ยว่า “เรื่องร้าย เรื่องผิด ไม่ผิด เรื่องดี นี่ก็คือเรื่องที่อยู่ในใจของอาจารย์ เป็นลำดับขั้นสูงต่ำที่แท้จริง”
เจียงซ่างเจินเหลือบตามองแล้วทอดถอนใจ “เฉินผิงอันคิดผิดแล้ว คำว่าไม่ผิดยากว่าเรื่องดีมากนัก”
ชุยตงซานพยักหน้า “เป็นเช่นนี้แหละ เดิมทีก็ยากอยู่แล้ว คิดผิดก็ยิ่งยาก ยากเพิ่มยากเข้าไปอีก”
คนทั้งสองพากันเงียบงันไป ชุยตงซานก็ไม่ดื่มเหล้าแล้ว ถามเสียงเบาว่า “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดอาจารย์ถึงคิดเช่นนี้?”
เจียงซ่างเจินกล่าว “มองโลกในแง่ร้าย”
ชุยตงซานพยักหน้า “อาจารย์มีความหวังต่อการเดินทางไกล แต่อาจารย์เอง นับตั้งแต่เป็นเด็กน้อยจนเป็นเด็กหนุ่ม กระทั่งมาถึงวันนี้ ล้วนมองโลกในแง่ร้ายมาโดยตลอด ความฝันทั้งหมดของอาจารย์ เขายอมทุ่มความมานะอุตสาหะอย่างไม่รู้จักเสียดาย ไม่เคยบ่นว่ายากลำบาก แต่ข้ารู้ดีว่าในใจของอาจารย์เขาก็เหมือนคนที่รอคอยจะปั้นตุ๊กตาหิมะในหน้าร้อนอยู่ตลอดเวลา”
เจียงซ่างเจินยิ้มถาม “ทำไมทุกวันนี้ถึงไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว?”
ชุยตงซานยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว บิดหมุนถ้วยเหล้าเบาๆ “ง่ายมากเลยล่ะ อาจารย์ในทุกวันนี้ทั้งกายและใจล้วนผ่อนคลาย ในที่สุดก็มีเวลาว่างมากพอที่จะพักผ่อนอยู่บ้าน เดินทางไกลอย่างเอ้อระเหย หวนกลับคืนบ้านเกิดอย่างเอ้อระเหย”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “ผ่อนคลาย? ไม่แน่เสมอไปกระมัง ลำพังแค่เรื่องเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างก็มีสารพัดสารพันเรื่องราวให้เขาต้องจัดการด้วยตัวเอง ไม่มีทางเรื่องน้อยได้แน่”
ชุยตงซานกระตุกมุมปาก ตบรางลูกคิด “จะยกตัวอย่างให้ฟัง ให้เจ้าที่เป็นเจ้าของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆามาเป็นเถ้าแก่ทุกวัน ต่อให้ทุกวันในร้านจะมีคนขวักไขว่ แต่ความคิดของเจ้าจะผ่อนคลายหรือไม่?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “หลักการเหตุผลนี้พูดได้ตรงจุดเลย”
ชุยตงซานทิ้งเด็กสาวฮวาเซิงไว้ที่ร้านฉ่าวโถว
ร้านที่อยู่ติดกันในตรอกฉีหลงก็มีร้านยาสุ้ยอีกร้านหนึ่ง สือโหรวเถ้าแก่คนปัจจุบันบวกกับเจ้าใบ้น้อยที่ชื่อโจวจวิ้นเฉินซึ่งเป็นลูกจ้างตัวน้อยทำงานเบ็ดเตล็ด เด็กชายที่มือเท้าคล่องแคล่ว นิสัยแปลกแยกรักสันโดษ ต่อให้อยู่กับเผยเฉียนผู้เป็นอาจารย์ก็ยังไม่เคยยิ้มให้เห็นกลับอยู่ร่วมกับสือโหรวได้เป็นอย่างดี
ชุยตงซานออกจากร้านฉ่าวโถวมาที่นี่ มาฟุบตัวนอนคว่ำบนโต๊ะคิดเงิน เปิดสมุดบัญชีอ่าน กิจการของร้านยาสุ้ยที่ขายขนมดีกว่ามาก ส่วนร้านฉ่าวโถวของเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยนั้น คาดว่าครึ่งปีมานี้ บัญชีหนึ่งหน้ายังเขียนได้ไม่เต็มด้วยซ้ำ
แต่นี่จะโทษว่าเทพเซียนผู้เฒ่าไม่มีความสามารถไม่ได้จริงๆ หลักๆ แล้วเป็นเพราะภูเขาบ้านตนตีกันเอง ร้านผ้าห่อบุญที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว ร้านฉ่าวโฉวที่อยู่ในตรอกของเมืองเล็ก ไม่ได้ยึดครองชัยภูมิที่ดีเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งข้าวของที่วางอยู่บนชั้นในร้านก็ไม่เหลือโอกาสที่จะให้คนได้เก็บตกของดีอีกแล้ว เซียนซือที่มาเที่ยวเล่นที่เมืองเล็ก ส่วนใหญ่ล้วนมาเพื่อดื่มเหล้าของบ้านหวงซื่อเหนียง กินขนมของตรอกฉีหลง ดูโรงเรียนที่สกุลเฉินหลงเว่ยเป็นผู้ก่อตั้ง ตรอกเถาเย่ที่เป็นบ้านของเทียนจวินเซี่ยสือ เหล่านี้คือสถานที่ที่ต้องไปเยือนแน่นอน นอกจากนี้ยังมีตรอกเอ้อหลางที่ตั้งบ้านบรรพบุรุษตระกูลหยวน ตรอกหนีผิงที่ตั้งบ้านบรรพบุรุษสกุลเฉา…
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วก็มีความคิดเห็นเช่นกัน คิดว่าควรจะไปบอกกล่าวที่จวนเจ้าเมืองและที่ว่าการของอำเภอไหวหวงดีหรือไม่ว่าจะปิดตรอกหนีผิงที่เป็นที่ตั้งบ้านบรรพบุรุษของเจ้าขุนเขาเอาไว้ ชาวบ้านของเมืองเล็กเดินผ่านได้ไม่มีปัญหา แต่เซียนซือบนภูเขาอย่าคิดจะเดินผ่านกันง่ายๆ เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ตอบตกลง เรื่องนี้จึงจบลงอย่างค้างคา
ชุยตงซานใช้นิ้วเคาะสมุดบัญชี เงยหน้าขึ้นตะโกนเรียก “เถ้าแก่สือ”
สือโหรวเอ่ยเสียงสั่น “อยู่นี่”
ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “ยี่สิบปีผ่านไป เถ้าแก่สือตื่นเช้ากลับค่ำ ทำงานเหนื่อยยากโดยไม่ปริปากบ่น เรียกได้ว่าหาเงินเก่งนัก ถึงกับช่วยหาเงินให้กับภูเขาลั่วพั่วพวกเราได้มากขนาดนี้”
อันที่จริงกิจการของที่ร้านมองดูเหมือนไม่แย่ แต่ถึงอย่างไรก็ขายแค่ขนม จะได้เงินเทพเซียนสักเท่าไรกันเชียว? หากจะพูดถึงกำไรจริงๆ ย่อมไม่อาจเทียบกับร้านที่อยู่ติดกันได้
ชุยตงซานมองสือโหรวที่มีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ แล้วปิดสมุดบัญชี ยิ้มเอ่ย “ทุกคำจริงใจ ทุกประโยคล้วนเป็นถ้อยคำที่ดี ไม่ได้พูดจาเหน็บแนมเจ้า ทำไม มีพิรุธในใจหรือ?”
หนึ่งประโยคสองความหมาย
สือโหรวไม่กล้าโต้เถียง ภูเขาลั่วพั่วทั้งลูก นางกลัวคนผู้นี้ที่สุด
เจ้าใบ้น้อยกลับไม่กลัวห่านขาวใหญ่ตัวนี้เลยสักนิด เขาเปิดปากพูดอย่างที่หาได้ยาก น้ำเสียงที่พูดแหบพร่าเหมือนหินกรวดเสียดสีกัน “เถ้าแก่สือทำการค้าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย หาเงินได้น้อยก็โทษที่ร้านไม่ได้ ต้องโทษที่ขนมไม่อาจขายราคาสูง หากพวกเจ้ารังเกียจว่าเงินน้อยเกินไปก็เปลี่ยนไปขายอย่างอื่นซะสิ”
สือโหรวคิดอยากจะดึงเจ้าใบ้น้อยให้มาอยู่ด้านหลัง คิดไม่ถึงว่าดึงไม่ไหว เจ้าใบ้น้อยยืนนิ่งไม่ขยับ กลับเป็นฝ่ายกุมแขนของสือโหรวไว้แทนเสียอีก
ชุยตงซานยิ้มตาหยี “เจ้าเป็นใครกัน ข้าถามเจ้าแล้วหรือ?”
เจ้าใบ้น้อยเงยหน้าขึ้น “โจวจวิ้นเฉิน ลูกศิษย์ของเผยเฉียน ตอนนี้เจ้ารู้แล้วหรือยัง?”
เดิมทีเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยนั่งยองดูเรื่องสนุกอยู่หน้าประตูร้าน เวลานี้ได้ยินว่าเจ้าลูกกระต่ายน้อยนี่โต้เถียงโดยไม่รู้จักกลัวตายก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว รีบโบกมือบอกเป็นนัยให้เด็กชายพูดน้อยๆ ลงหน่อย
ชุยตงซานเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร เอานิ้วดันปลายคาง
เจ้าใบ้น้อยพูด “หากเจ้าเป็นลูกผู้ชาย แน่จริงก็หาเรื่องข้าคนเดียว อย่าลากเถ้าแก่สือมาเกี่ยวข้องด้วย ถึงอย่างไรหากใครทำตัวไร้เหตุผล แอบเล่นงานพวกเรา ข้าก็จะไปฟ้องอาจารย์ของอาจารย์ข้าให้ดู”
เจียงซ่างเจินจุ๊ปากอย่างประหลาดใจ เจ้าตัวน้อยนี่มองคนมองเรื่องราวได้ชัดเจนมากเลยนะนี่
ชุยตงซานจากไปแล้ว สือโหรวก็ถอนหายใจโล่งอก ลูบศีรษะของเจ้าใบ้น้อย “วันหน้าอย่าพูดแบบนี้อีก ถูกคนผูกใจเจ็บเพื่อข้า ไม่ควรเลย”
เจ้าใบ้น้อยยกสองแขนกอดอก “คนอื่นไม่หาเรื่องข้า ข้าก็ไม่หาเรื่องใคร แต่หากใครกล้าหาเรื่องร้านของพวกเรา วันหน้ารอให้ข้าเรียนหมัดจากเผยเฉียนเป็นเมื่อไหร่ หนึ่งหมัดต่อยออกไป ทั้งคนทั้งหลุมมีพร้อมกันหมด ประหยัดทั้งโลงทั้งป้ายหน้าหลุม”
เป็นลูกจ้างอยู่ในตรอกฉีหลงนานวันเข้า จึงได้เรียนรู้ภาษาในหมู่ชาวบ้านจากชาวบ้านในพื้นที่ โดยเฉพาะพวกสตรีออกเรือนแล้วทั้งหลายมาไม่น้อย
เด็กชายไม่เรียกเจ้าขุนเขาว่าอาจารย์ปู่ เรียกแค่อาจารย์ของอาจารย์
โจวจวิ้นเฉินครุ่นคิด รู้สึกว่าวันหลังคงต้องพาตัวไปให้อาจารย์ปู่เจ้าขุนเขาคุ้นหน้าคุ้นตาบ่อยๆ บ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นวันหน้าตนขึ้นเขาไปฟ้อง แล้วเฉินผิงอันลำเอียงเข้าข้างลูกศิษย์ของตัวเอง ไม่ช่วยทวงความเป็นธรรมให้จะทำอย่างไร?
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็อ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดที่หลังโต๊ะคิดเงินด้วยกัน ตอนที่สือโหรวเปิดหน้าหนังสือ เด็กชายก็ถามว่า “เถ้าแก่สือ เจ้าขุนเขาเฉินเป็นคนอย่างไรหรือ?”
สือโหรวคิดแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “คนดี มีเหตุผลอย่างมาก”
โจวจวิ้นเฉินเอ่ยอย่างอัดอั้น “แต่ข้าไม่รู้เหตุผลของเขานี่นา”
สือโหรวหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ เอ่ยว่า “เจ้าแค่มีเหตุผลของตัวเองก็พอแล้ว ไม่ต้องจงใจพูดเหตุผลของเขา เจ้าพูด เขาจะตั้งใจฟังอย่างมาก ต่อให้ไม่พูด เขาก็ยังเห็นอยู่ในสายตา”
โจวจวิ้นเฉินพูดอย่างกังขา “มีคนดีแบบนี้อยู่จริงหรือ?”
สือโหรวพยักหน้าเบาๆ ฟุบตัวอยู่ตรงโต๊ะคิดเงิน ในดวงตามีรอยยิ้ม “ที่อื่นมีหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามีก็แล้วกัน”
โจวจวิ้นเฉินเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ถ้าอย่างนั้นเขามีลูกศิษย์ที่ไร้เหตุผล ดีแต่จะข่มขู่คนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร ข้าว่าเขาคงไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก”
สือโหรวหลุดหัวเราะพรืด “บางทีอาจเป็นเพราะข้าวหนึ่งอย่างเลี้ยงคนได้ร้อยรูปแบบกระมัง”
จากนั้นสือโหรวก็กดเสียงลงต่ำ แอบกระซิบว่า “อันที่จริงข้าแสร้งทำเป็นกลัวคนผู้นั้นไปอย่างนั้นเอง ที่จริงแล้วไม่ได้กลัวขนาดนั้นหรอก”
โจวจวิ้นเฉินยิ้มกว้าง พยักหน้ารับ “มองออกแล้ว”
สือโหรวอ่านหนังสือต่อ
จู่ๆ ตรงหน้าประตูก็มีเด็กสาวเรือนกายสะโอดสะองคนหนึ่งปรากฏตัว นางเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “พี่ชายข้าให้ข้านำความมาบอกแก่เถ้าแก่สือ บอกว่ารอให้เขาจากไปไกลแล้ว ค่อยให้ข้ามาหาท่านที่นี่”
เส้นเอ็นหัวใจของสือโหรวพลันบีบรัดตัว
ฮวาเซิงกล่าว “พี่ชายข้าบอกแล้วว่า อันที่จริงเถ้าแก่สือกลัวเขาแต่แสร้งทำเป็นไม่กลัวเขาขนาดนั้นก็ไม่สู้แสร้งทำเป็นว่ากลัวเขาอย่างมากแต่แท้จริงแล้วไม่กลัวเขายังดีกว่า”
รอกระทั่งเด็กสาวจากไปแล้ว โจวจวิ้นเฉินจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าก็เริ่มกลัวเขาขึ้นมาบ้างแล้ว”
ทางฝั่งของร้านฉ่าวโถว เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยสีหน้าเมตตาปราณี ในที่สุดก็มีความกล้าพอที่จะเอ่ยกับเด็กสาว จึงหัวเราะร่าถามว่า “แม่นางน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ? มีความเกี่ยวข้องบนภูเขากับชุยเซียนซือของพวกเราหรือไม่?”
เด็กสาวเอ่ยเสียงเบา “ตอบเถ้าแก่ ข้าแซ่ชุย เหมือนกับพี่ชายข้า ชื่อว่าฮวาเซิง”
หัวใจของเทพเซียนผู้เฒ่าสั่นสะท้าน มารดามันเถอะ แม่นางน้อยมองดูเหมือนบอบบางขี้ขลาด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนอำมหิตที่มีเส้นสาย ถึงกับเป็นน้องสาวของ…ชุยเซียนซือเลยหรือ?
ทันใดนั้นแรงบันดาลใจในการร่ายบทประพันธ์ของเทพเซียนผู้เฒ่าก็พรั่งพรูดุจน้ำพุ ลูบหนวดพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เป็นชื่อที่ดีนะ ชุยฮวาเซิง ฮวาเซิง กระตุ้นให้บุปผาก่อเกิดบุปผาผลิบาน (ชุยที่เป็นแซ่พ้องเสียงกับคำว่าชุยที่แปลว่าเร่ง/กระตุ้น ฮวาเซิงแปลว่าถั่วลิสง แต่ในอีกความหมายจะหมายถึงดอกไม้ผลิบาน) แฝงไว้ด้วยการรอคอย มีความหมายดีเยี่ยม เป็นชื่อที่ไพเราะมาก แค่ผินเต้าได้ยินก็เดาออกว่าต้องเป็นน้องสาวของชุยเซียนซือแน่นอน”
เด็กสาวพลันคลี่ยิ้มหวานดุจดอกไม้บาน
วันนี้เรือข้ามทวีปจอดเทียบท่าช้าๆ คนกลุ่มหนึ่งเดินลงจากเรือที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว
ชุยตงซานมารออยู่ที่นี่นานแล้ว แต่กลับเห็นแค่เผยเฉียน หมี่ลี่น้อยและเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้น
ชุยตงซานถาม “อาจารย์ล่ะ?”
เผยเฉียนตอบ “อาจารย์พ่อรังเกียจที่ความเร็วของเรือช้าเกินไป เลยพาอาจารย์แม่ไปที่แคว้นซูสุ่ยและแคว้นไฉ่อีก่อนรอบหนึ่ง ไปไม่นานก็กลับมาแล้ว”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ขอแค่จ่ายเงิน เรือข้ามฟากลำนี้ก็แล่นได้เร็วมาก”
เรือข้ามทวีปบางลำที่ระดับขั้นสูง หากทุ่มเงินเทพเซียนอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนต้นทุน ความเร็วก็เร็วได้มาก
เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เจ้าเป็นคนจ่ายรึ”
ชุยตงซานค้อมเอวลงหัวเราะร่าถามเด็กชายผมขาว “มาขอข้าวกินเปล่าๆ หรือ?”
เด็กชายผมขาวหัวเราะพรืด “ใช้เงินของเจ้าหรือไร เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “ภูเขาลั่วพั่วได้รับจดหมายจากอาจารย์แล้ว คิดว่าจะให้เจ้าเลือกตำแหน่งอันโดดเด่นที่สำคัญในสำคัญอีกทีจากสองตำแหน่ง หนึ่งคืออยู่ที่ร้านยาสุ้ยที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่เคยอยู่มาก่อน เนื้อหนังมังสาของเถ้าแก่คนปัจจุบันคือคราบร่างของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง คนผู้นั้นรังเกียจว่าชีวิตยืนยาวจึงดึงดันจะเป็นปรปักษ์กับอาจารย์ข้าให้ได้ ก็เลยถูกภูเขาลั่วพั่วของพวกเราจัดการ อีกหนึ่งคือร้านฉ่าวโถวที่อยู่ด้านข้าง มีเทพเซียนผู้เฒ่าที่มรรคกถาลึกล้ำสูงส่งเกินจะคาดเดาคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์”
เด็กชายผมขาวถาม “สูงแค่ไหนล่ะ?”
ชุยตงซานใช้เสียงในใจตอบ “เคยเป็นคนพิฆาตมังกรของใต้หล้าไพศาลมาก่อน เจ้าว่าสูงหรือไม่เล่า?”
เด็กชายผมขาวใจสั่นสะท้าน ภูเขาลั่วพั่วคือสถานที่อะไรกันนะ หากไม่สังหารขอบเขตบินทะยานง่ายๆ ก็มีคนพิฆาตมังกรเป็นเถ้าแก่ร้าน?
ดีๆๆ นี่ต่างหากจึงจะเป็นพลังอำนาจที่สำนักของบรรพบุรุษอิ่นกวานควรจะมี ตนมาขอกินขอดื่มอยู่ที่นี่ก็ถือว่าไม่ลดตัวเกินไป
แต่เด็กชายผมขาวก็ยังเลือกร้านยาสุ้ย คิดว่าจะลองไปสืบเสาะเบื้องลึกเบื้องหลังของ ‘อดีตคนพิฆาตมังกร’ ผู้นั้นดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับสมัครอีกฝ่ายมาเป็นลูกสมุนดีหรือไม่
มันหัวเราะฮ่าๆ “ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่วันนี้ไป ข้าก็คือเถ้าแก่คนใหม่ของร้านยาสุ้ยแล้ว”
ชุยตงซานยิ้มตาหยี “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว เป็นได้แค่ลูกจ้างร้านเท่านั้น”
มันหัวเราะหยันเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่คนตัดสินใจ”
ชุยตงซานกล่าว “ไม่บังเอิญเลย อาจารย์บอกไว้ในจดหมายแล้วว่าไม่ว่าเจ้าจะไปอยู่ร้านไหนก็เป็นได้แค่ลูกจ้างร้านก่อนเท่านั้น”
เด็กชายผมขาวตีอกชกตัว “ข้าช่วยยึดครองขุนเขาสายน้ำมาให้บรรพบุรุษอิ่นกวานอย่างยากลำบาก สร้างคุณความชอบอันเลอเลิศ คิดไม่ถึงว่าพอถึงเวลาเข้าจริงก็ยังทำให้ทหารหมดขวัญกำลังใจอยู่ดี!”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “บอกไว้ก่อนว่าพอไปถึงตรอกฉีหลงแล้ว เจ้าห้ามก่อเรื่อง ไม่อย่างนั้นต้องรับผลลัพธ์ที่ตามมาเอาเอง”
พูดจบก็ยื่นมือไปกดหัวเด็กชายผมขาว เทวบุตรมารนอกโลกที่ชื่อจริงคือเทียนหรานยิ้มอย่างรู้ทัน เจ้าพวกไม่รู้จักกลัวตาย พาตัวเองมาส่งถึงที่อีกแล้ว
——