กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 819.6 เด็กหนุ่มข้ามแม่น้ำ
บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลาที่หมี่อวี้เป็นหนุ่มได้มีหน้ามีตาอย่างมาก โดยเฉพาะประสบการณ์การสังหารปีศาจตอนที่อยู่สองขอบเขตอย่างโอสถทองและก่อกำเนิด ความมีหน้ามีตาก็ยิ่งไร้ที่สิ้นสุด แม้แต่เซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อนก็ยังต้องมองหมี่อวี้เสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างความอำมหิตของวิธีการที่หมี่อวี้ใช้สังหารเผ่าปีศาจ ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ อันที่จริงอู๋เฉิงเพ่ย เถาเหวินต่างก็มีความประทับใจที่ยอดเยี่ยมต่อหมี่อวี้ เพียงแต่ว่าไม่เคยเปิดปากพูดแทนหมี่อวี้ก็เท่านั้น
ดังนั้นคำเย้ยหยันเหน็บแนมที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่อหมี่อวี้ โดยส่วนมากแล้วกลับเป็นความรู้สึกผิดหวังอย่างหนึ่งมากกว่า เป็นความเศร้าที่อีกฝ่ายโชคไม่ดี และขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายไม่เอาไหน ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ซึ่งอายุน้อยๆ ก็ถูกเรียกขานว่าเป็นตัวเลือกสำรองของคนบนยอดเขาเช่นนี้ เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายเป็นเศษสวะนุ่มนิ่มเหมือนหมอนปักลายบุปผา เหตุใดการฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดถึงได้ยากขนาดนั้น เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ออกกระบี่ก็ยิ่งมีมาดได้ไม่ถึงครึ่งของในอดีตตอนที่เป็นก่อกำเนิดเลยด้วยซ้ำ
จิตแห่งกระบี่ถูกทำลายไปแล้ว
ไม่อย่างนั้นคนแก่ คนรุ่นเยาว์หรือแม้กระทั่งเด็กๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คงไม่ถึงขั้นหาข้อตำหนิจากตัวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งถึงเพียงนั้น พวกซุนจวี้เฉวียน เกาขุยก็ไม่ได้เป็นขอบเขตหยกดิบเหมือนกันหรอกหรือ? ทำไมถึงไม่มีใครด่าพวกเขาบ้างเล่า?
เฉินหลิงจวินกล่าว “อวี๋หมี่ หากรู้สึกว่าบนภูเขาอุดอู้ ข้าก็สามารถพาเจ้าออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้นะ แม่น้ำอวี้เจียงของแคว้นหวงถิงนั่น เจ้ารู้จักไหม? กินดื่มอิ่มหนำจะนับเป็นอะไรได้ ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงฉลอง พวกนางกำนัลทั้งหลายของจวนวารี จุ๊ๆ เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น กรีดกรายดุจบุปผาผลิบาน เอวบางๆ ก้นใหญ่ๆ แน่นอนว่าข้าไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรดี แต่ละคนสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเช่นนั้น ไม่ว่าร้านผ้าร้านไหนในใต้หล้าก็คงเปิดกิจการต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ทุกครั้งที่ดื่มเหล้า พวกบุรุษตัวโตที่เมามายทั้งหลายกลับมีสายตาเหมือนกระบี่บิน พุ่งสวบๆๆ ไปแนบติด ฮ่าๆ อวี๋หมี่ เจ้าก็คือผู้ฝึกกระบี่…”
คนจิ๋วควันธูปเริ่มกุมท้องหัวเราะก๊ากอีกครั้ง
เฉินหลิงจวินถลึงตาใส่ หัวเราะร่าเริงอย่างโง่งมทำบ้าอะไร นายท่านใหญ่เฉินกำลังพูดเรื่องจริงจังกับพี่น้องอยู่นะ
คนจิ๋วควันธูปเก็บเสียงหัวเราะด้วยความเร็วเหมือนฟ้าผ่าไม่ทันป้องหู มารดามันเถอะ ให้การสนับสนุนอย่างเสียเปล่าซะแล้ว
วงการขุนนางช่างอยู่ได้ยากเสียจริง
หมี่อวี้ยิ้มเอ่ย “น้ำใจนี้รับไว้แล้ว แต่ไม่ต้องออกจากบ้าน ข้าเป็นคนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน ไม่ชอบย้ายถิ่นฐาน อยู่บนภูเขาก็ดีแล้ว”
สถานที่ที่อยากไป อันที่จริงก็มีอยู่แค่สองแห่ง จวนไฉ่เชวี่ยทางทิศเหนือที่เคยไปอยู่มาหลายปี นครมังกรเฒ่าทางทิศใต้ ได้ยินมาว่าทุกวันนี้เหล่าเซียนซือได้ย้ายภูเขาลงทะเล ตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่มีตระกูลฝูเป็นหนึ่งในนั้นลงมือสร้างนครมังกรเฒ่าขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่ทำให้หมี่อวี้รู้สึกคิดถึงคำนึงหาไม่ลืมก็คือสระบัวทางทิศใต้สุดของนครมังกรเฒ่าแห่งนั้น นั่นคือความเสียดายที่ใหญ่ที่สุดของหมี่อวี้
นึกจะหายก็หายไปเสียอย่างนั้น
นั่นคือพื้นดินของใต้หล้าไพศาลแห่งแรกที่เขาได้เหยียบย่างเข้ามา คือทัศนียภาพแห่งแรกที่เขาได้เห็น
เฉินหลิงจวินถาม “ทำไมนายท่านถึงไปที่ทิศใต้เสียแล้วล่ะ?”
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “มีกระบี่ต้องปล่อยออกไป”
เฉินหลิงจวินจึงไม่พูดอะไรมากความอีก
……
ซ่งเหอฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าหลีเดินทางออกจากเมืองหลวงลงใต้ไปพักอยู่ที่เมืองหลวงแห่งที่สองเป็นครั้งแรก เพียงไม่นานก็เดินทางมาถึงขุนเขากลาง จากนั้นก็จะไปเซ่นไหว้เหล่าวีรชนผู้กล้าที่ซากปรักนครมังกรเฒ่า
วันนี้ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองได้ออกจากเมืองไปพร้อมกับฮ่องเต้ด้วย สองพี่น้อง ฮ่องเต้กับอ๋องเจ้าเมืองที่สลับชื่อกันบนทำเนียบของฝ่ายกองงานเชื้อพระวงศ์ เวลานี้เดินอยู่ริมลำน้ำฉีตู้ด้วยกัน
ผู้ถวายงานและองค์รักษ์ของต้าหลีต่างก็ตามมาอยู่ไกลๆ
ซ่งจี๋ซินเอ่ยสัพยอกว่า “เหตุใดฝ่าบาทไม่ไปเข้าร่วมการประชุมที่ศาลบุ๋นเล่า ได้เห็นเทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขาของไพศาลพร้อมกันรวดเดียว โอกาสเช่นนี้พลาดแล้วก็ไม่มีอีกแล้วนะ น่าเสียดายยิ่งนัก”
ซ่งเหอยิ้มกล่าว “อยากไปน่ะอยากไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเสด็จอาเหมาะจะออกเสียงแทนต้าหลีอยู่ที่นั่นมากกว่า หากเป็นตอนที่ข้าเพิ่งได้เป็นฮ่องเต้ ในใจย่อมต้องบ่นอย่างไม่พอใจสองสามประโยค แต่ตอนนี้ช่างเถิด”
ทางฝั่งของเมืองหลวง นายท่านผู้เฒ่ากวนเจ้ากรมผู้เฒ่าของกรมขุนนาง บัณฑิตที่มีชื่อว่ากวนอิ๋งเช่อ มนุษย์ธรรมดาที่มีชีวิตอยู่นานถึงร้อยปี ได้จากไปหลายปีแล้ว
และยังมีผู้เฒ่าที่เป็นแซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้นอยู่อีกหลายคนที่ต่างก็เป็นหัวใจสำคัญของตรอกอี้ฉือ ตรอกฉือเอ๋อร์ที่ยิ่งเป็นขุนนางคนสำคัญเป็นเสาหลักของราชวงศ์ต้าหลี ช่วยให้สกุลซ่งต้าหลีทำสงครามเอาชนะราชวงศ์สกุลหลู ยึดครองขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปมาได้ สุดท้ายตัวพวกเขาเองกลับไม่อาจเอาชนะวันเวลาที่ไร้ปราณีได้
เจ้ากรมผู้เฒ่าของกรมพิธีการในเมืองหลวงแห่งที่สองอย่างหลิ่วชิงเฟิงก็ล้มป่วยลุกไม่ขึ้นแล้ว
คนแก่หลายคนในราชสำนักต้าหลี ต่อให้จะเป็นขุนนางบุ๋นที่ไม่จำเป็นต้องลงสนามรบล้วนแก่ชรากันลงทุกที จากนั้นก็มีคนแก่ที่เดินไม่ไหว ไม่อาจเข้าร่วมการประชุมขุนนาง จำต้องออกจากวงการขุนนาง ดูเหมือนว่ามีเพียงต้นไม้ดอกไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองหลวงอย่างต้นชิงถงที่อยู่นอกห้องหนังสือของตระกูลกวน ดอกเถิงฮวา (ดอกวิสทีเรีย) ที่เหมือนเมฆสีม่วงห้อยย้อย ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทุกหัวถนนของบ้านตระกูลหัน ดอกโบตั๋นในวัดเป้ากว๋อเท่านั้นที่ยังคงโชคดีได้พบเจอกับลมวสันต์ทุกปี
จวนที่พักของราชครูชุยฉานในเมืองหลวง เรือนกว้างใหญ่ จวนของกั๋วกงในอดีต ด้านในกลับเรียบง่ายอย่างยิ่ง มีหอหนังสือเล็กๆ สองชั้นอยู่หอหนึ่งที่ถูกราชครูตั้งชื่อให้ว่าหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น (คนอื่นว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ไม่มีความคิดเห็น)
ทุกวันนี้ก็ไม่มีเจ้าของแล้ว
ฮ่องเต้ยิ้มเอ่ย “ลมและน้ำผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ทำให้คนมองตามไม่ทันจริงๆ”
ในอดีตตอนที่ยังเป็นแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลู บัณฑิตมากมายของราชวงศ์สกุลซ่งต้าหลีเคยเขียนบทกวี เขียนบันทึกท่องเที่ยวแซ่ซ้องสรรเสริญแคว้นที่เป็นแคว้นเหนือหัวแห่งนี้มากมายยิ่งนัก เหมือนชาวบ้านสกุลหลูมากกว่าคนสกุลหลูในพื้นที่ของราชวงศ์สกุลหลูเสียอีก ยามที่เขียนถึงบุคคลในบ้านเกิดอย่างต้าหลีกลับไม่มีโวหารใดๆ ทว่าพอเขียนถึงราชวงศ์สกุลหลู แรงบันดาลใจในการประพันธ์กลับพรั่งพรูราวน้ำพุไหลทะลัก ต่อให้จะต้องกวาดไส้คว้านท้อง (เปรียบเปรยว่าเค้นทุกรอยหยักในสมอง ทุ่มสุดความคิด) ตัวเองออกมาก็ต้องเขียนให้ได้
บอกว่าพ่อค้าหาบเร่หรือคนตัดฟืนของราชวงศ์สกุลหลูล้วนสามารถท่องบทกวีได้ แต่ละหนแต่ละแห่งมีแต่ตระกูลปัญญาชน บนภูเขามีกลิ่นอายแห่งเซียน ในยุทธภพมีคุณธรรมองอาจ ของหล่นตกพื้นก็ยังไม่มีคนเก็บเอาไปเป็นของตน
บทประพันธ์ของต้าหลีในเวลานั้นล้วนอยู่ท่ามกลางพายุทรายของชายแดนทั้งสิ้น ถูกเขียนขึ้นด้วยเสียงกีบเท้าม้าที่ดังเป็นระลอกของกองทัพม้าเหล็ก บทกวีบทขับร้องล้วนคือลมหิมะที่เยียบเย็น
ซ่งเหอยิ้มถาม “มีเพียงแจกันสมบัติทวีปของพวกเราหรือไม่ที่ภูเขาไม่สูง น้ำไม่ลึก คนฝึกตนไม่ได้เป็นเทพเซียนถึงเพียงนั้น?”
ราชวงศ์ต้าหลีล่างภูเขาเคยตั้งป้ายศิลาไว้บนยอดเขา ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ละเมิดข้อห้าม ฆ่าหมดไม่มียกเว้น
ซ่งจี๋ซินตอบ “ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะกีบม้าของม้าเหล็กต้าหลีดังมากพอ ครึ่งหนึ่งเพราะคุณความชอบของราชครู”
ซ่งเหอถามอีก “ลำดับขั้นผิดไปหน่อยหรือไม่?”
ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ฮ่องเต้ตรัสได้ถูกต้องแล้ว”
ซ่งเหอคือลูกศิษย์ของชุยฉาน ส่วนซ่งจี๋ซินคือลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุน
ซ่งเหอหยุดเดินแล้วหันหน้ามามองอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีที่คุณูปการเลิศล้ำ น้องชายในนาม แต่แท้จริงแล้วคือพี่ชายคนนี้ เอ่ยว่า “ข้าติดค้างเจ้ามากมายนัก แต่ข้าไม่มีทางชดเชยใดๆ ให้กับเจ้าในเรื่องนี้”
ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ฝ่าบาท คำพูดทำนองนี้อย่าได้ตรัสอีกเลย วันนี้ข้าเองก็จะถือซะว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ซ่งเหอเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ต้าหลีมีเสด็จอาถือเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงของบ้านเมือง”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้า “ไม่ต้องสงสัยเลย”
ซ่งเหอหัวเราะตามไปด้วย “อันที่จริงปัญหาก็ไม่ซับซ้อน ขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่าข้าก็พอแล้ว สามปีห้าปี สิบปีล้วนไม่เป็นปัญหา เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
อ๋องเจ้าเมืองต้าหลีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน ขอบเขตเส้นเอ็นหลิวหรือ? หรือจะเป็นขอบเขตรั้งคนจริงๆ? แต่เรียนรู้วิชาหมัดมวยเพียงแค่เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้น?
ซ่งจี๋ซินหัวเราะร่าย้อนถาม “หากมีชีวิตยาวนานกว่าไม่ใช่แค่สิบปีจะทำอย่างไร?”
ซ่งเหอยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที?”
ซ่งจี๋ซินยิ้มบางๆ “ในฐานะขุนนาง แน่นอนว่าย่อมต้องเชื่อฟังฝ่าบาท”
ซ่งเหอถาม “ทำไมอาจารย์ถึงมั่นใจว่าสองใต้หล้าจะต้องทำสงครามใหญ่กันอีกครั้งอย่างแน่นอน?”
ซ่งจี๋ซินส่ายหน้า “ความคิดของราชครู คนธรรมดาอย่างข้าไม่อาจเข้าใจได้หรอก”
ฮ่องเต้เรียกชุยฉานว่าอาจารย์ อ๋องเจ้าเมืองเรียกชุยฉานด้วยความเคารพว่าราชครู มีความต่างระหว่างความใกล้ชิดและห่างเหิน
ราชวงศ์ต้าหลีคือราชวงศ์เพียงหนึ่งเดียวของใต้หล้าไพศาลที่พอสงครามใหญ่ปิดฉากลงก็ได้เริ่มลงมือเตรียมพร้อมสำหรับสงครามครั้งถัดไป
ในสัญญาบนหน้ากระดาษที่ฮ่องเต้ต้าหลีแจกจ่ายไปทั่วแคว้น ตัวอักษรดำกระดาษขาวได้เขียนไว้ชัดเจนว่า ขอแค่เป็นสถานที่ที่มีคุณความชอบทางการสู้รบมากพอ หลังสงครามผ่านไปต้าหลีจะมอบขุนเขาสายน้ำกลับคืนไปให้ ให้ฟื้นคืนชะตาแคว้น และสกุลซ่งต้าหลีก็ทำตามสัญญาจริงๆ ทุกวันนี้ถึงได้มีแผ่นดินเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุด ไม่ใช่หนึ่งแคว้นหนึ่งทวีปอีกต่อไป และในประวัติศาสตร์หมื่นปีของใต้หล้าไพศาล ผู้ที่สามารถสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ อันที่จริงก็มีเพียงสกุลซ่งต้าหลีเท่านั้น
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเบา “ดูเหมือนว่าพวกเราจะแก่ตัวกันอย่างรวดเร็ว”
ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ได้ยินมาว่าใต้หล้ามืดสลัวและใต้ห้าหล้าสีที่เป็นใต้หล้าใหม่ล่าสุดล้วนไม่มีกฎเกณฑ์นี้”
ขุนนางในราชวงศ์ของใต้หล้ามืดสลัว นับตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงท้องถิ่น ถึงขั้นที่ว่าจำต้องมีทำเนียบนักพรตเต๋าถึงจะสามารถเป็นขุนนางได้
ส่วนคนที่เป็นฮ่องเต้ก็มักจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตสูงมาก ดังนั้นเมื่อเทียบกับราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติของใต้หล้าไพศาลแล้ว ใต้หล้ามืดสลัวจึงมีราชวงศ์ที่ ‘อายุของแคว้นยาวนานพันปี’ มากกว่า
สุดท้ายฮ่องเต้ถามคำถามข้อหนึ่ง “หากกลายเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าและข้าควรจะทำเช่นไร?”
ซ่งจี๋ซินยิ้มตอบ “ทุกวันนี้สงครามใหญ่กำลังจะปะทุขึ้น ฮ่องเต้จะสนใจบุญคุณความแค้นบนภูเขาพวกนี้ไปทำไม?”
พลทหารอายุน้อยคนหนึ่งติดตามกองทัพออกจากค่าย มุ่งหน้าไปยังเรือข้ามฟากของขุนเขาลำหนึ่ง
ได้ยินว่าจะต้องทำสงครามอีกแล้ว
ส่วนจะไปที่ใด จะต่อสู้กับใคร ล้วนไม่สำคัญ กองทัพม้าเหล็กต้าหลีย่อมต้องมีการโยกย้ายสั่งการ จุดที่กีบเท้าม้าควบไป จุดที่คมอาวุธชี้ไป ล้วนเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่
ชีวิตสามารถหายไปได้ แต่สงครามไม่อาจแพ้ได้
แม่ทัพบู๊ต้าหลีที่เอ่ยประโยคห้าวหาญประโยคนี้มีชื่อว่าซูเกาซาน ทูตลาดตระเวนแห่งต้าหลีที่มีตำแหน่งสูงสุดในตำแหน่งขุนนางบู๊ท่านนี้ พูดแล้วก็ทำได้จริง
กองทัพม้าควบผ่านหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง
พลทหารม้าหนุ่มหันหน้าไปมองเนินเขาแห่งหนึ่ง มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นสนุกกันอยู่ที่นั่นอย่างลิงโลด เริ่มวิ่งไล่ตามกองทัพม้าเหล็กของพวกเขามา
คนหนุ่มที่อันที่จริงเพิ่งเข้าร่วมกองทัพได้แค่ไม่กี่ปียิ้มตาหยียกมือขึ้นทุบหน้าอกแรงๆ
เมื่อหลายปีก่อน เขาเองก็เคยวิ่งตะบึงไปบนสันเขา ตอนนั้นล่างภูเขาก็มีพลทหารของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีทำท่าทางเช่นนี้เหมือนกัน
มีเพียงต้าหลีของข้าที่ขุนนางผู้มีชื่อเสียงมากมายดุจก้อนเมฆ ทหารกล้ามากมายดุจสายฝน กองทัพม้าเหล็กสวมเกราะแห่งไพศาล
……
ยามเที่ยงวัน โรงเตี๊ยมตระกูลเซียน ตรงราวระเบียง
ก้อนเมฆอยู่ใต้ฝ่าเท้า
หลิวเสี้ยนหยางยืดแขนบิดขี้เกียจ บิดหมุนข้อมือ กระโดดขึ้นลงสองที
เฉินผิงอันม้วนชายแขนเสื้อขึ้นช้าๆ กระทืบเท้าเบาๆ กวานดอกบัว ชุดคลุมเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวอะไร ล้วนสลายหายไปหมด
คนชุดเขียวสะพายกระบี่
หลิวเสี้ยนหยางมองตรงไปเบื้องหน้า ยิ้มเอ่ย “ตัวเจ้าเองก็ระวังด้วย นายท่านใหญ่เช่นข้าจะเดินขึ้นเขาไปทีละก้าวแล้ว”
เมื่อก่อนเคยคิดไว้ว่าควรจะเลือกคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวง ท่องอยู่ในความฝันมาถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยงเพียงลำพังดีหรือไม่
เพียงแต่ว่าการถามกระบี่ครั้งนี้ดียิ่งกว่า เพราะคนเยอะกว่า
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ยังมีเวลาอีกประมาณเกือบครึ่งชั่วยามก็จะถึงงานเลี้ยงเฉลิมฉลองของภูเขาตะวันเที่ยง ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยต่างก็อยู่บนยอดเขาอีเซี่ยนซึ่งเป็นภูเขาบรรพบุรุษ หรือไม่ก็อยู่ระหว่างเดินทางไป
ท่ามกลางกลุ่มยอดเขามีแสงกระบี่แสงแวววาวเหมือนแสงหิ่งห้อยอยู่นับไม่ถ้วน พวกมันต่างพากันกรูเข้าหายอดเขาอีเซี่ยน
หลิวเสี้ยนหยางสอดนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกัน “ไม่ทันระวังข้าก็เป็นขอบเขตหยกดิบเสียแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “บังเอิญจริง ข้าก็เพิ่งเปลี่ยนจากปราณโชติช่วงเป็นคืนความจริง”
หลิวเสี้ยนหยางคลี่ยิ้มเจิดจ้า “วันนี้ก็ให้ผู้ฝึกตนใหญ่ของหนึ่งทวีปได้รู้จักว่านายท่านใหญ่เช่นข้าชื่อแซ่อะไรก็แล้วกัน ให้แต่ละคนเบิกตามองให้ดี สอนให้พวกเขารู้ว่าคนที่มีคุณสมบัติในการฝึกกระบี่ดีที่สุดและหล่อเหลาที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ที่แท้ก็แซ่หลิวชื่อเสี้ยนหยาง”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี พยักหน้าเอ่ยว่า “ดีเลยๆ ร้ายกาจๆ”
ผู้ฝึกกระบี่สองคนในเวลานี้ก็เหมือนเด็กหนุ่มสองคนที่เป็นสหายรักกันซึ่งเตรียมจะกระโดดสูงข้ามลำคลองหลงซวีในปีนั้น
หลิวเสี้ยนหยางยกฝ่ามือขึ้นสูง เฉินผิงอันตีมือกับอีกฝ่ายหนักๆ
หลิวเสี้ยนหยางกระโดดดีดตัวขึ้นก่อน เรือนกายเหมือนรุ้งยาวแหวกอากาศพุ่งตรงไปพลิ้วกายอยู่ตรงตีนเขาของยอดเขาอีเซี่ยน เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ผู้ที่มาถามกระบี่ หลิวเสี้ยนหยาง!”
ภูเขาบรรพบุรุษของภูเขาตะวันเที่ยง ผู้ฝึกตนหลายคนหันมามองหน้าสบตากัน บรรยากาศเงียบกริบ
หลิวเสี้ยนหยางหยุดไปพักหนึ่ง คงจะรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ฟังดูสุภาพ ไม่น่าสนใจเกินไป จึงเปลี่ยนมาเอ่ยประโยคที่เรียบง่ายซื่อตรงยิ่งกว่า “ข้าผู้อาวุโสชื่อหลิวเสี้ยนหยาง วันนี้จะมารื้อศาลบรรพจารย์ของพวกเจ้า!”
——