กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 821.1 แยกร่างภูเขาตะวันเที่ยง
หลิวเสี้ยนหยางหยุดเดิน หันตัวกลับมายืนอยู่บนขั้นบันได มองผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงที่รับผิดชอบมารับกระบี่ครั้งที่สามนี้
ดูจากร่องรอยแสงกระบี่ สตรีน่าจะมาจากภูเขาเดียวดายเล็กหนึ่งในยอดเขาคู่รัก นางสวมชุดเดินทางยามค่ำคืน ใบหน้าเย็นชา สุขุมเยือกเย็น แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน
ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่านางชมศึกอยู่ที่ภูเขาเดียวดายเล็กอย่างละเอียด โดยเฉพาะครั้งที่สอง อวี่หลิ่นพ่ายแพ้อย่างแปลกประหลาดเกินไป แทบจะกลายเป็นว่าขอแค่เข้าใกล้หลิวเสี้ยนหยางก็จะหล่นเข้าไปในตราผนึกค่ายกลบางอย่าง ดังนั้นนางจึงไม่ได้ขี่กระบี่ตรงไปหยุดอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับยอดเขาอีเซี่ยน แต่หยุดอยู่ระหว่างภูเขาบรรพบุรุษกับยอดเขาหม่านเยว่ ขี่กระบี่หยุดลอยตัวนิ่ง นางกับหลิวเสี้ยนหยางที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมหัศจรรย์ลึกล้ำจึงเพียงแค่คุมเชิงกันอยู่ไกลๆ เท่านั้น
ถึงอย่างไรการถามกระบี่ระหว่างผู้ฝึกกระบี่ เรื่องของระยะห่างก็ไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงอยู่แล้ว
ลมบนท้องฟ้าพัดโชยมา ชุดสีดำของสตรี ลำแสงสีขาวหิมะที่ลากยาวออกมาจากกระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้า ยอดเขาหม่านเยว่ด้านหลังเป็นสีเขียวขจี ทำให้นางราวกับเทพธิดาหญิงที่ขี่กระบี่ออกมาจากภาพวาดภูเขาเขียวธารน้ำใส
หลิวเสี้ยนหยางมองสตรีที่หน้าตาไม่งดงาม ทว่าท่วงท่าของการขี่กระบี่กลับโดดเด่นอย่างถึงที่สุดแล้วก็รู้สึกว่าตนเองได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย คราวหน้าไปถามกระบี่ที่ศาลบรรพจารย์บ้านใครจะไม่ยอมฟังการจัดการจากเฉินผิงอันอีกเด็ดขาด พลิ้วกายลงหน้าประตูภูเขาอย่างโง่งม แล้วยังต้องเดินเท้าขึ้นเขาอีก ควรต้องเรียนรู้จากผู้อาวุโสท่านนี้ เหยียบอยู่บนกระบี่ยาว ทะยานร่างดุจสายรุ้ง จากนั้นพลันหยุดลอยตัวนิ่ง แก่นแท้ที่สำคัญก็คือจุดที่ปรากฏตัวจะต้องเลือกสถานที่ที่ทัศนียภาพงดงาม จะได้กลายเป็นคนในภาพวาดในสายตาของพวกคนที่ชมศึกอยู่ด้านข้าง
สตรีชุดดำใช้สองมือทำมุทรากระบี่ ปลายนิ้วก็มีพระจันทร์เสี้ยวสีทองอ่อนจางดวงหนึ่งลอยขึ้นมา ผู้ฝึกกระบี่ที่เก็บตัวอย่างสันโดษอยู่ในภูเขาเดียวดายลูกเล็กมาหลายร้อยปีคนนี้ ถือว่าได้ใช้สิ่งนี้มาแสดงตัวตน บอกว่านางมาจากยอดเขาหม่านเยว่ (จันทร์เต็มดวง) ของภูเขาตะวันเที่ยง ใช้สิ่งนี้มาบอกกล่าวสถานะแก่คนที่มาถามกระบี่ก็ถือว่ามีมารยาทอย่างยิ่งแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางรีบคารวะกลับคืนทันใด ใช้ฝ่ามือข้างเดียวทำมุทรากระบี่ แต่ไม่ได้แนะนำตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดจากสำนักกระบี่หลงเฉวียน เพียงแค่บอกชื่อแซ่และภูมิลำเนาของตัวเองเท่านั้น “หลิวเสี้ยนหยางแห่งอำเภอไหวหวง ถ้ำสวรรค์หลีจูเก่า”
นางพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “แบ่งเป็นตาย?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แบ่งแพ้ชนะหรือแบ่งเป็นตายก็ตามแต่ใจ อยากจะสัมผัสกับวิถีแห่งกระบี่ที่ทอดสู่ที่สูงแต่ละเส้นของภูเขาตะวันเที่ยงพวกเจ้ามานานแล้ว อยากรู้นักว่าจะสูงสักเท่าใด”
นางเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา”
ระหว่างยอดเขาอีเซี่ยนกับยอดเขาหม่านเยว่มีเมฆขาวอ่อนจางก้อนหนึ่งล่องลอยผ่าน แต่กลับเป็นฝ่ายอ้อมผ่านเรือนกายอรชรที่ขี่กระบี่นั้นไป
เห็นได้ชัดว่านางได้เรียกเวทคุ้มกันกายเพื่อป้องกันการลอบโจมตีจากกระบี่บินซึ่งไม่ทราบชื่อของหลิวเสี้ยนหยางมาไว้ก่อนนานแล้ว
จากนั้นภูเขาบรรพบุรุษก็เปิดค่ายกลใหญ่ปกป้องขุนเขา ตลอดทั้งยอดเขาอีเซี่ยน นอกจากยอดกระบี่แล้ว สี่ทิศล้วนมีเมฆหมอกลอยอวล ขั้นบันไดกลายมาเป็นเหมือนน้ำไหลที่ไร้เสียง หลิวเสี้ยนหยางก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าขั้นบันไดทั้งเส้นเหมือนถูกปูด้วยพรมสีเขียวที่เซียนซือถักทอขึ้นมาชั้นหนึ่ง เมื่อถูกแสงแดดสาดส่องก็เป็นเงาวับแวม ค่ายกลนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อเล่นงานหลิวเสี้ยนหยาง แค่ป้องกันขุนเขาสายน้ำของยอดเขาอีเซี่ยนเท่านั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้การถามกระบี่ที่รุนแรงระหว่างเซียนกระบี่บนยอดเขามาทำลายทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาอย่างกำเริบเสิบสาน
ร่างของผู้ฝึกกระบี่หญิงไม่ทราบชื่อพลันหายวับไป ขณะเดียวกันตรงจุดสูงของยอดเขาอีเซี่ยนก็มีกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่งโผล่ออกมากลางอากาศ คือสมบัติพิทักษ์ภูเขาของยอดเขาเก่าบางแห่งที่ถูกตัดชื่อออกไปแล้วของภูเขาตะวันเที่ยง
จากนั้นตัวกระบี่ก็บิดเบือนกลายเป็นเส้นโค้งหลายเส้น แสงสายฟ้าตัดสลับคล้ายแส้ยาวสีทองที่แม่ทัพเทพกรมสายฟ้าตนหนึ่งฟาดโบยลงมายังโลกมนุษย์ บนม่านฟ้ามีเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น พริบตานั้นกระบี่โบราณที่ผิดแผกจากกระบี่ทั่วไปเล่มนี้ก็พลันสะบัดลากเส้นแสงสีทองยาวหลายร้อยจั้ง วาดวงโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยวอยู่กลางอากาศสูงแล้วฟาดเปรี้ยงลงมายังบุรุษร่างสูงใหญ่ที่อยู่บนขั้นบันไดของยอดเขาอีเซี่ยนอย่างอำมหิต
หลิวเสี้ยนหยางทำมุทรากระบี่ด้วยมือข้างเดียว ปลายนิ้วมีแสงสีทองจุดหนึ่งผุดวาบ สองนิ้วประกบกันวาดวงกลมเบาๆ แสงสีทองจุดนั้นก็ลากยาวออกไป ข้างกายหลิวเสี้ยนหยางมีเส้นวงกลมเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น พอหลิวเสี้ยนหยางดีดนิ้วหนึ่งที เส้นวงกลมก็เปลี่ยนมาเป็นลูกกลมสีทองที่ปกคลุมหลิวเสี้ยนหยางไว้ภายใน ประหนึ่งดวงตะวันที่ถูกหล่อหลอมกักเก็บเอาไว้จึงกลายมามีขนาดเล็กน่ามอง ราวกับถูกเซียนเหรินจับมาวางไว้บนขั้นบันได แสงทองเข้มข้นดุจน้ำ ส่องประกายระยิบระยับพร่าตา มีลางว่าจะบินทะยานได้ทุกเมื่อ
ผู้ฝึกกระบี่หลิวเสี้ยนหยางยืนอยู่ตรงกลาง ชายแขนเสื้อพลิ้วสะบัด
แส้ฟาดโบยลงมาบนพื้น จากเส้นทางเทพเดินขึ้นเขาไปจนถึงซุ้มหินประตูภูเขามีพรมสีเขียวที่รวมตัวกันจากริ้วคลื่นค่ายกลผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ สุดท้ายก็ถูกเส้นสายฟ้าวงโค้งเส้นนั้นเจาะทะลวงเป็นรอยแตกลึกหลายจั้ง
ภูเขาอีเซี่ยนนับจากกึ่งกลางภูเขาลงไป ท่ามกลางแส้สายฟ้าที่หนาใหญ่ราวปากบ่อน้ำมีงูยาวสายฟ้าสีทองหลายร้อยตัวกระจายออกมาแล้วพุ่งแฉลบออกไปไม่หยุด
หากไม่เป็นเพราะมีรากภูเขาและโชคชะตาน้ำของค่ายกลใหญ่ภูเขาบรรพบุรุษคอยปกป้องอยู่ ลำพังเพียงแค่แส้นี้ที่ฟาดลงมา เส้นทางเทพขึ้นเขาก็คงพังยับไปแล้ว ซุ้มประตูก็ยิ่งต้องถูกผ่าออกเป็นสองส่วน
เพียงแต่ว่าแส้ยาวสายฟ้าที่พลานุภาพน่าครั่นคร้ามเส้นนี้กลับไม่อาจกระแทกให้ค่ายกลสีทองทรงกลมของหลิวเสี้ยนหยางแตกออกได้ ตลอดทั้งตีนเขาของยอดเขาอีเซี่ยนล้วนมีแต่สายฟ้าแส้ยาวจำนวนนับไม่ถ้วนตัดสลับถักทอกันเป็นตาข่าย ประหนึ่งมีเทพสายฟ้าที่เรือนกายผลุบโผล่อยู่กลางทะเลเมฆคอยถือแส้ฟาดสะเปะสะปะไปทั่ว
ผู้ฝึกตนที่ชมศึกอยู่บนยอดเขาทั้งหลาย ทุกคนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลขอบเขตเซียนดินต่างก็ต้องกลั้นหายใจทำสมาธิ อกสั่นขวัญผวากันอย่างยิ่ง
ปราณวิญญาณฟ้าดินของพื้นที่หนึ่งกระเพื่อมเบาๆ สตรีเผยเรือนกายล่องลอยของตัวเองออกมา ยกมือซ้ายที่ใสแวววาวขึ้น เส้นชีพจรกระดูกและเส้นเอ็นที่เซียนดินบนภูเขาเรียกขานว่า ‘กิ่งทองใบหยก’ ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
มือขวาของนางทำท่ากำหลวมๆ แล้วชักออกมาช้าๆ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้ฝึกตนผีตนนี้คล้ายกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดจากจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนชักดาบอาคมแคบยาวสีเขียวมรกตเล่มหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือซ้าย ดาบแคบเล่มนี้คล้ายเกิดจากการหล่อหลอมแม่น้ำลำคลองสีเขียวเข้มสายหนึ่ง บนตัวดาบแกะสลักอักษรโบราณสองคำว่าปิ่งเตา ตัวดาบเหมือนสายน้ำที่กระเพื่อมไหวส่ายโอน
หลิวเสี้ยนหยางชำเลืองตามองภาพเหตุการณ์ประหลาดที่สตรีชักดาบ ‘ออกจากฝัก’
จากยอดเขาอีเซี่ยนไปจนถึงยอดเขาหม่านเยว่ อยู่ดีๆ ก็มีเส้นตรงสีขาวหิมะเส้นหนึ่งถูกลากออกมาในแนวเฉียง เส้นตรงแสงกระบี่พลันแทงทะลุเรือนกายของสตรีผู้นั้น แสงกระบี่พุ่งไปอย่างดุดันไม่หยุดนิ่ง ตรงไปเจาะทะลวงหน้าผาแถบหนึ่งของยอดเขาหม่านเยว่ให้เป็นรู จากนั้นเส้นยาวแสงกระบี่ก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้า เนิ่นนานก็ยังไม่จางหาย
เรือนกายของผีหญิงหายไปกลายเป็นลมหยินสกปรกกลุ่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าตรงหัวใจจุดที่ถูกแสงกระบี่แทงทะลุกลับมีน้ำวนปราณกระบี่ขนาดเท่ากำปั้นปรากฎอยู่
ไม่ว่าจะศีรษะ ลำตัว หรือแขนขาทั้งสี่ของผีที่ถือดาบล้วนถูกแยกออกจากกัน ทว่าปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ในร่างของนางกลับเหมือนก้านบัวที่ถูกตัดขาดแต่ยังเหลือใย จึงพอจะฝืนประคับประคองร่างมนุษย์เอาไว้ได้
กระบี่ยาวสีทองที่จิตของนางควบคุมไว้พุ่งตวัดไปมากลางอากาศไม่หยุดนิ่ง สายฟ้าสีทองจึงผุดขึ้นมาเป็นระลอก ยังคงฟาดโบยลงบนเส้นทางภูเขาของตีนเขายอดเขาอีเซี่ยนอยู่เหมือนเดิม ทุกครั้งที่แส้ยาวฟาดลงพื้นก็จะมีเสียงฟ้าร้องสะเทือนเลือนลั่น
ภูเขาบรรพบุรุษของภูเขาตะวันเที่ยงที่กว้างใหญ่คล้ายสวนกระถางใบหนึ่งที่พลันมีดอกไม้สีทองซึ่งสามารถมองเห็นเส้นสายของดอกชัดเจนผลิบานออกมา
นางใช้ดาบหนึ่งฟันผ่าอยู่ไกลๆ ไม่มีประกายแสงดาบเจิดจ้าพร่างพราวให้เห็น ระหว่างฟ้าดินมีเพียงสีเทาเล็กบางเหมือนเส้นด้ายเส้นหนึ่ง
หลิวเสี้ยนหยางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยืนนิ่งไม่ขยับ เพียงแค่ใช้สองนิ้วปาดไปในแนวขวาง เอ่ยเสียงเบาว่า “น้ำหยดลงสู่กุยซวี”
กลางอากาศระหว่างผู้ฝึกกระบี่ผีกับหลิวเสี้ยนหยางมีแม่น้ำยาวที่เป็นภาพมายาสายหนึ่งลอยขึ้นมา และเส้นสีเทานั้นก็ถึงกับถูกกระชากดึงเข้าไปข้างใน
จากนั้นแสงดาบก็เหมือนน้ำทะลักทำนบ เพียงแต่ว่าพากันไหลทะลักซัดหล่นลงไปกลาง ‘กุยซวี’ แห่งนั้น สุดท้ายแม้แต่สายฟ้าสีทองเส้นนั้นก็ถูกเก็บรวบเข้ามาไว้ด้วยกัน
ราวกับว่าความห่างชั้นเพียงหนึ่งลำธารที่กางกั้นระหว่างสองฝ่ายซึ่งถามกระบี่ต่อกันก็คือความต่างราวฟ้ากับเหว
การถามกระบี่สามครั้งก่อนหลัง ตั้งแต่ต้นจนจบ หลิวเสี้ยนหยางล้วนไม่ได้ใช้เวทกระบี่ที่เรียนรู้มาจากสำนักกระบี่หลงเฉวียน
เรื่องที่มาถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยง เขาไม่ได้บอกกล่าวกับช่างหร่วนที่ตีเหล็กมาก่อน ถึงอย่างไรหร่วนฉงก็ไม่มีทางขัดขวางอยู่แล้ว หลิวเสี้ยนหยางจึงคิดไปว่าเขาตอบตกลงแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางเหลือบตามองเหนือศีรษะแวบหนึ่ง เมฆจากสี่ทิศมารวมตัวกัน อีกทั้งยังไล่ระดับสีดำสีหมึกแตกต่างกันไป ขอแค่ไม่ใช่คนตาบอดก็ต้องรู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น หลิวเสี้ยนหยางรู้ว่าเวทกระบี่วิชานี้ก็คือสุดยอดเคล็ดวิชาขึ้นชื่อของสำนักโปอวิ๋น ทะลุเมฆ
ยามเที่ยงวัน แสงแดดแรงจ้าสาดส่องลงมาทะลุผ่านม่านเมฆดำ ราวกับว่ามีแสงกระบี่แปดเส้นส่องจากฟ้าลงมา ปลายกระบี่ล้วนชี้ตรงมาที่หลิวเสี้ยนหยาง
จิตของหลิวเสี้ยนหยางขยับไหวเล็กน้อย พื้นที่แปดทิศโดยรอบยอดเขาอีเซี่ยนก็มีลำคลองปราณกระบี่ยาวแปดสายพรั่งพรูออกมา ทะลุสูงขึ้นไปยังชั้นเมฆ ห่างไปไกลมีกระบี่ยาวหลายเส้นที่รวมตัวกันแน่นขนัดเป็นแม่น้ำลำคลองที่ไหลเชี่ยวกรากเส้นหนึ่ง ปราณกระบี่เฉียบคมอึมครึม อ้อมผ่านด้านหลังภูเขาของยอดเขาอีเซี่ยน ลากเส้นแนวรบหลายเส้น คล้ายขบวนทัพม้าติดอาวุธเบากองแล้วกองเล่าที่พากันกระโจนสู่สนามรบซึ่งเป็นจุดที่แสงกระบี่ทั้งหลายลอดทะลุเมฆดำ สุดท้ายกลางอากาศ แม่น้ำค่ายกลกระบี่ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็ปะทะเข้าชนกับกระบี่ที่หล่นลงจากก้อนเมฆซึ่งสตรีก่อกำเนิดเป็นผู้ควบคุม ประหนึ่งกองทัพม้าเหล็กแต่ละกองที่พุ่งเข้าชนกันบนสนามรบ
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างแท้จริงคนหนึ่ง นำกวีบรรยายกระบี่จากบทประพันธ์อันเลื่องชื่อของเหล่าอริยะปราชญ์ทั้งหลายมาใช้ หลิวเสี้ยนหยางยังพอจะทำเป็นอยู่บ้าง
สตรีผู้ฝึกตนผีไม่คิดจะมองค่ายกลกระบี่ทะลุเมฆนั่นแม้แต่น้อย เรือนกายพลันกระจายกลายเป็นรุ้งยาวเส้นเจ็ด แสงรุ้งเหมือนลูกธนูที่สาดกระจายออกไป สุดท้ายมารวมตัวกันกลายเป็นคนถือกระบี่ที่เป็นภาพมายาแปดคน ทั่วทั้งร่างเกิดจากเส้นแสงสีขาวหิมะถักทอกัน แต่ละคนส่งกระบี่ออกไปหนึ่งครั้ง แสงกระบี่กลายเป็นม้าขาวน่าอัศจรรย์ ระหว่างที่พวกมันพากันควบตะบึงไปเบื้องหน้า ร่างเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ร่องรอยไม่ชัดเจน ดาหน้ากระโจนเข้าหาหลิวเสี้ยนหยางที่อยู่บนยอดเขาอีเซี่ยน
เป็นเวทกระบี่ก้นกรุของยอดเขาเพียนเซียน เวลาคล้ายลูกธนู ม้าขาวเริงระบำ (เพียนเซียน)
เวทจำแลงกายของผู้ฝึกลมปราณ แต่ไหนแต่ไหนมาก็มักจะเป็นเวทปลายแถว ไม่ถือว่าเป็นวิชานอกรีตด้วยซ้ำ ระดับล่างสุดก็คือแปลงกายเป็นสัตว์ปีกสัตว์บก หรือไม่ก็พวกนกกระเรียน นกหลวนของตระกูลเซียน หรือไม่ก็สามารถเผยร่างของเจียวหลงที่ใหญ่โตราวขุนเขาได้ บ้างก็อาจเป็นสัตว์ประหลาดยุคบรรพกาลที่ดุร้ายผิดสามัญ อีกทั้งยังสามารถครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่เกี่ยวข้องอีกชนิดสองชนิดได้ด้วย นั่นจึงจะถือว่าเป็นระดับสูง ศาสตร์จำแลงกายของยอดเขาเพียนเซียนนี้ถือว่าไม่ธรรมดา สามารถทำให้พวกผู้ฝึกตนจำพวกเซียนดินเลียนแบบม้าขาวสัตว์วิเศษในตำนานที่บอกว่าสามารถกระโดดข้ามแม่น้ำแห่งกาลเวลาขึ้นมาได้ แล้วยังสามารถชักนำเอาปณิธานกระบี่กลุ่มหนึ่งมาสังหารศัตรูได้
หลิวเสี้ยนหยางใช้ปราณกระบี่สร้างกระบี่ยาวเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วโบกกระบี่สองสามทีอย่างง่ายๆ ฟันม้าขาวหลายตัวที่วิถีโคจรแปลกประหลาดให้แหลกสลายอยู่กลางอากาศ แต่มีม้าขาวที่สว่างไสวดุจแสงจันทร์ตัวหนึ่งพลันลดร่างฮวบ หลบพ้นแสงกระบี่เส้นนั้นม้าได้ กีบม้ากระทืบพื้นดินเบาๆ พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ด้านหลังขั้นบันไดของยอดเขาอีเซี่ยน หลิวเสี้ยนหยางไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมองก็เสือกกระบี่ไปด้านหลังหนึ่งที ม้าขาวที่วิ่งควบตะบึงลงมาด้านล่างตามขั้นบันไดแตกสลายเหมือนเครื่องกระเบื้อง สุดท้ายก็ยังมีม้าขาวกาลเวลาสี่ตัวที่กระแทกลงบนค่ายกลกระบี่สีทองของหลิวเสี้ยนหยาง แสงสีขาวหิมะพลันระเบิดย่อยยับไปพร้อมกับแสงสีทอง
ผู้ฝึกตนหญิงรอคอยช่วงเวลานี้มานานแล้ว ในที่สุดก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ปราณวิญญาณฟ้าดินในอาณาเขตทั่วทั้งยอดเขาหม่านเยว่ถูกสูบดึงไปจนเกลี้ยง พริบตาเดียวรอบด้านก็ดำมืด ประหนึ่งทิวาที่ตกลงสู่ห้วงราตรีในเสี้ยววินาที ม่านราตรีหนาหนักแผ่ขยายเข้าปกคลุม
ทางฝั่งยอดเขาอีเซี่ยน ค่ายกลพื้นพรมเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีเขียวเข้มในทันใด
กลางอากาศเหนือยอดเขาหม่านเยว่ มีดวงจันทร์กลมโตสุกสกาวดวงหนึ่งลอยขึ้นมา แล้วใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูร่วงกระแทกจมสู่มหาสมุทรสีมรกตอย่างรวดเร็ว
จุดที่ดวงจันทร์หล่นลงสู่โลกมนุษย์ตรงกับจุดที่หลิวเสี้ยนหยางยืนอยู่พอดี
หลิวเสี้ยนหยางยังคงไม่ขยับเท้าหลบหนี เพียงแค่ว่าสีหน้าดูเหยเกอยู่บ้างเล็กน้อย
การถามกระบี่ครั้งนี้น่าจะพอสมควรได้แล้ว หากยังถ่วงเวลาต่อไปก็ไม่มีความหมายใดๆ
ดวงจันทร์ยังคงจมสู่มหาสมุทร ไม่มีการชะงักติดขัดใดๆ ทว่าเพียงเสี้ยววินาที สตรีผู้ฝึกตนผีที่มีเวทกระบี่เตรียมรอไว้รับมือผู้นั้นกลับจิตหลุดออกจากร่าง ประหนึ่งจมลงสู่ห้วงเมฆหมอก ภาพฉากในชีวิตที่บ้างก็เป็นขาวดำบ้างก็เป็นสีสันแล่นผ่านไปดุจควบม้าชมบุปผา
ความผิดปกติที่ไม่อาจหาเหตุผลมาบรรยายได้เช่นนี้ นอกจากสองฝ่ายที่ถามกระบี่กันแล้ว ต่อให้เป็นเทียนจวินลัทธิเต๋าขอบเขตเซียนเหรินอย่างฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพที่ใช้ฝ่ามือมองขุนเขาสายน้ำชมศึกอยู่ตลอดเวลา ไม่พลาดรายละเอียดเล็กๆ ใดไป ก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึง
และผู้ถวายงานเบื้องหลัง ผีก่อกำเนิดที่อันที่จริงถือว่าเป็นขอบเขตหยกดิบครึ่งตัวคนนี้ ตัวนางเองก็ถึงกับไม่รู้เลยว่ากำลังท่องอยู่ในภาพฉากแต่ละเรื่องราวของชีวิตตัวเอง
นี่ก็คือความน่ากลัวของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวเสี้ยนหยาง
ออกกระบี่ในความฝัน ฆ่าคนได้ตามใจปรารถนา
ไม่ว่าใครก็ตามล้วนหนีการหลับใหลไม่พ้น และการหลับของทุกคนก็คือแม่น้ำยาวเส้นหนึ่ง
และทุกครั้งที่หลิวเสี้ยนหยางหลับใหลก็คือการเดินทางไกลที่ทวนกระแสน้ำขึ้นไป ประเด็นสำคัญคือไม่ว่าเขามองใครก็ตาม แม้จะแค่แวบเดียว ต่อจากนั้นก็สามารถไปเยือนแม่น้ำยาวแห่งชีวิตของคนผู้นั้นได้ดังใจ
ดังนั้นใครก็ตามที่มีการช่วงชิงในขอบเขตเดียวกับหลิวเสี้ยนหยางก็จะต้องตกอยู่ในสภาพการณ์ที่อันตรายอย่างถึงที่สุด
หนิงเหยา เฝ่ยหราน เฉินโซ่ว เฉินผิงอัน บางทีอาจมีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่จิตแห่งกระบี่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดไม่กี่คนนี้ที่ถึงจะพอมีกำลังให้เอาคืนในขณะที่อยู่ขอบเขตเดียวกันได้ ต่างคนต่างอาศัยวิชาอภินิหารของตัวเอง ก็พอจะมีโอกาสชนะได้อยู่บ้าง
เพราะ ‘ข้อบกพร่อง’ เพียงหนึ่งเดียวของการถามกระบี่ในความฝันของหลิวเสี้ยนหยางก็คือ หลิวเสี้ยนหยางที่พบใครสักคนในความฝัน ถือเป็นการไหลตามกระแสน้ำของหลิวเสี้ยนหยางเอง แต่กลับเป็นการย้อนเวลากลับของคนผู้นั้น ซึ่งก็หมายความว่าผู้ฝึกกระบี่อย่างหนิงเหยา เฝ่ยหรานที่บ้างก็คุณสมบัติไร้ศัตรูทัดเทียม บ้างก็จิตแห่งกระบี่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด หรืออาจถึงขั้นมีครบทั้งสองอย่าง นี่จึงเป็นเหตุให้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพวกเขาจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติได้ตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรก เหมือนคนที่มึนงงอยู่ในความฝัน แต่กลับยังพอรู้ตัวว่าตัวเองกำลังฝันไป หากในเวลานั้นคนที่ถูกถามกระบี่ในความฝันมีจิตแห่งกระบี่ที่ใสกระจ่างมากพอ อาศัยสิ่งนี้ใช้กระบี่ฟันผ่าอาณาเขตแห่งความฝันก็จะสามารถหลบเลี่ยงการออกกระบี่ที่ยิ่งนานก็ยิ่งเฉียบคมของหลิวเสี้ยนหยางไปได้
นี่ก็คือสาเหตุที่หลิวเสี้ยนหยางยินดีถ่วงรั้งเวลาไม่มาถามกระบี่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงเสียที ขอแค่ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบ ข้าผู้อาวุโสก็ยังไม่ถือว่าไร้พ่าย
ไม่อย่างนั้นเจ้าเด็กเฉินผิงอันแค่พูดจ้ำจี้จ้ำไชก็จะสามารถรั้งเขาไว้ได้แล้วจริงหรือ? แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่หลิวเสี้ยนหยางที่สอนเฉินผิงอันทำเรื่องต่างๆ ต่างหากเล่า
——