กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 821.2 แยกร่างภูเขาตะวันเที่ยง
หลิวเสี้ยนหยางที่อยู่บนขั้นบันไดไม่ได้เงื้อกระบี่ฟันออกไปเพื่อสกัดขวางดวงจันทร์ซึ่งหล่นลงสู่มหาสมุทร เขาขยับเท้าถอยเป็นครั้งแรก ร่ายเวทหดย่อพื้นที่ ไปยังกึ่งกลางภูเขา ดวงจันทร์กลิ้งหลุนๆ ลงพื้น บดขยี้ขึ้นไปบนบันไดตลอดทาง ติดตามเรือนกายของหลิวเสี้ยนหยางไป หลิวเสี้ยนหยางจึงไม่อำพรางขอบเขตอีกต่อไป กายธรรมสูงร้อยจั้งพลันเผยกาย ยกชายแขนเสื้อขึ้น ใช้จักรวาลชายแขนเสื้อของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบมาเก็บดวงจันทร์ที่ ‘เดินขึ้นเขา’ ดวงนั้นไว้ภายในชายแขนเสื้อ ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สะบัดพึ่บพั่บ เสียงผ้าฉีกขาดดังแคว่กๆ ไม่หยุด ดวงจันทร์เหมือนลูกกลมที่กลิ้งชนรอบด้านอย่างสะเปะสะปะ หลิวเสี้ยนหยางยื่นนิ้วไปคีบชายแขนเสื้อเอาไว้ ดวงจันทร์ที่อยู่ในชายแขนเสื้อจึงค่อยๆ สงบลง สุดท้ายเพราะสูญเสียการควบคุมจากดวงจิตของผีหญิง จึงเหมือนน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด พลันระเบิดแตกกระจายอยู่ในชายแขนเสื้อ สลายกลายเป็นแสงจันทร์สีขาวหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในฟ้าดินเล็ก แสงจันทร์ซึมออกมาจากชายแขนเสื้อเล็กน้อย ช่างสมกับคำว่าตะวันจันทราคงนานในกาเหล้าของเซียนซือบนภูเขาจริงๆ
ส่วน ‘หลิวเสี้ยนหยาง’ อีกคนนั้นก็เดินอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาเป็นเพื่อนผีหญิง คนทั้งสองเดินตามกระแสน้ำไปด้วยกัน มองดูภาพเหตุการณ์ในอดีตตลอดชีวิตของนาง
ผู้ฝึกกระบี่หญิงของยอดเขาหม่านเยว่ ในชีวิตการฝึกตนห้าหกร้อยปีของนาง มองดูเหมือนกาลเวลายาวนาน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเพียงเวลาชั่วขณะเดียวในใจของแต่ละคน อีกทั้งหากไม่เป็นเพราะจิตของหลิวเสี้ยนหยางขยับเปลี่ยนความคิด ด้วยสภาพการณ์ที่ไม่ตระหนักรู้เสียทีว่าตัวเองอยู่ในความฝันของนาง หลิวเสี้ยนหยางออกกระบี่ง่ายๆ ในความฝันหนึ่งที อย่างน้อยที่สุดนางก็ต้องถูกหนึ่งกระบี่ลดทอนตบะไปร้อยปี อีกทั้งยังจะต้องถูกฟันจนจิตวิญญาณแตกออกเป็นเศษเสี้ยว แล้วนับประสาอะไรกับจิตวิญญาณที่เดิมทีก็เสื่อมโทรมไม่เหลือสภาพดี ราวกับว่าได้แค่ประคับประคองตัวเองไปอย่างยากลำบากเท่านั้นของนาง แล้วจะต้านทานกระบี่ในความฝันของหลิวเสี้ยนหยางได้สักกี่ครั้งกัน?
หลิวเสี้ยนหยางถอนหายใจ หยุดเดิน เอ่ยเรียกชื่อนางออกมาเบาๆ แม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่งก็หยุดชะงักตามไปด้วย ผีหญิงที่กำลังย้อนมองชีวิตของตัวเองพลัน ‘ตกใจสะดุ้งตื่น’ กวาดตามองรอบด้านถึงสังเกตเห็นว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ฝึกตนหญิงที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตประตูมังกร และข้างกายก็ไม่มีศิษย์น้องหญิงที่เพิ่งจะวาดฝันถึงอนาคตอยู่ด้วยกัน ยิ่งไม่ใช่ยอดเขาหม่านเยว่อะไร นางอยากจะโคจรกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แต่กลับพบว่า ‘เหอเจ๋อ’ ที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับเจ้าของเล่มนั้นยังคงอยู่ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิต แต่ไม่ว่าดวงจิตของนางจะชักนำอย่างไร กลับเหมือนมีขุนเขาใหญ่ปิดตายอยู่หน้าประตูใหญ่ของช่องโพรงลมปราณ ไม่ว่าอย่างไรกระบี่บินก็ออกจากประตูมาสังหารศัตรูไม่ได้
หลิวเสี้ยนหยางมองไปยัง ‘นอกฟ้า’ แวบหนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “ยังพอมีเวลาเหลือ จะพาเจ้าไปชมทัศนียภาพบนยอดเขาที่แท้จริงก็แล้วกัน”
การที่ยอมแหกกฎก็เพราะว่าผีหญิงตนนี้อาจเป็น ‘หลิ่วอวี้’ ในอนาคตของภูเขาตะวันเที่ยง
นาทีถัดมานางก็รู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพรอบด้านเปลี่ยนแปลงไป จากนั้นเส้นเอ็นหัวใจก็พลันขึงตึง หายใจไม่ออกขึ้นมาโดยพลัน
ทว่าเพียงเสี้ยววินาที ผีที่จะดีจะชั่วจิตแห่งกระบี่ก็ยังเป็นขอบเขตก่อกำเนิดกลับจิตแห่งมรรคาแตกสลายคาที่
บนสนามรบที่กว้างใหญ่มองไปเหมือนไร้ที่สิ้นสุดนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่สูงขึ้นไปบนฟ้า เผ่าปีศาจเหลือคณานับอยู่บนพื้นดิน ระหว่างฟ้าดินเกิดการเข่นฆ่ากันไม่หยุดหย่อน โครงกระดูกกลาดเกลื่อนไปทั่วบริเวณ ประหนึ่งเทือกเขาที่ทอดตัวยาวไกล
ส่วนพื้นที่ที่นางกับหลิวเสี้ยนหยางยืนอยู่กลับเป็นปลายดาบของดาบอาคมที่ปีศาจใหญ่ตนหนึ่งถืออยู่ในมือ ปีศาจใหญ่ที่เรือนกายสูงใหญ่ไม่รู้กี่พันจั้งยกเท้าเหยียบลงบนขุนเขา ควงแขนตวัดดาบ สองตาเป็นสีเลือดแดงฉานฉายประกายเร่าร้อน มันแหงนหน้าขึ้นฟ้า ปณิธานแห่งการต่อสู้เหิมทะยาน
หลิวเสี้ยนหยางถามอย่างเฉยเมยว่า “ซือถูเหวินอิง เห็นแก่ที่เจ้าไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยง ข้าถึงได้พาเจ้ามาที่นี่ สุดท้ายนี้เจ้ายังมีอะไรอยากพูดอีกหรือไม่?”
จุดที่สายตาของคนทั้งสองมองไปเห็นมีแต่การสู้รบที่ดุเดือดโหดร้าย
เพียงแต่ว่าหลิวเสี้ยนหยางเห็นมาจนชินแล้ว ทว่าผู้ฝึกกระบี่ผีที่ชื่อว่าซือถูเหวินอิงกลับอกสั่นขวัญผวา แค่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็เวียนหัวตาลาย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สวมเสื้อเกราะหลากสีดวงตาสีทองยืนตระหง่านอยู่บนพื้นดิน กางฝ่ามือดึงเอาธารดวงดาวพร่างพราวเส้นหนึ่งมาจากท้องฟ้า กำเอาไว้ในมือต่างแส้ยาว แล้วตวัดเหวี่ยงขึ้นสูง แส้โบยลงบนพื้นดิน พื้นดินก็ปริแตกแยกยับ ร่องลึกแผ่ลามตัดสลับกัน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างใหญ่โตมโหฬารลักษณะเป็นสตรีตนหนึ่ง ตอนที่นางทะยานร่างลงสู่พื้น ทะเลเมฆในจุดสูงมารวมตัวกันแน่นขนัด สายฟ้าสีทองนับหมื่นพากันร่วงตกลงมายังพื้นดินราวกับต้องการทำให้ฟ้าและดินเชื่อมโยงถึงกัน
มีเรือนกาย ‘เล็กจ้อย’ ของปีศาจใหญ่ที่ใช้มือหนึ่งกระชากร่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแล้วฉีกออก จากนั้นก็โยนครึ่งร่างทิ้งไป อีกครึ่งที่เหลือยัดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ แต่กลับถูกง้าวยาวสีทองด้ามหนึ่งที่หล่นลงมาจากฟ้าแทงทะลุหน้าอก มันกลับแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วเอนตัวไปด้านหน้า ฉีกทึ้งร่างของตัวเองแล้วพลิกกลับมาเป็นฝ่ายคว้าง้าวยาวเอาไว้ กระทืบพื้นหนักๆ หนึ่งที ขว้างง้าวกลับคืนไปให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองตนหนึ่งที่อยู่บนฟ้า ก่อนที่ฝ่ายหลังจะรับเอาไว้ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายสิบตนที่อยู่ในระดับต่ำลงมาก็ถูกง้าวแทงทะลุไปด้วย พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าของง้าวรับง้าวมาไว้ในมือก็ไม่แม้แต่จะชายตามองซากศพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กองกันอยู่บนง้าวยาว เพียงแค่สะบัดข้อมือเบาๆ สลาย ‘ถังหูลู่’ ที่เรียงกันอยู่บนศาสตราวุธในมือทิ้งไป…
นางเอ่ยเสียงสั่น “นี่ก็คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้าหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางกระตุกมุมปาก “ไม่งั้น? อยู่ดีๆ ก็มีขอบเขตหยกดิบหล่นลงมาจากฟ้าแล้วถูกข้าหลิวเสี้ยนหยางคว้าไว้ในมือได้พอดีอย่างนั้นรึ?”
นางอึ้งงันไร้คำพูด เงียบไปนานมาก สุดท้ายนางที่รู้ดีว่าต้องตายแน่แล้วกลับกลายเป็นว่าหัวเราะได้ “ปิดฉากอย่างนี้ก็ถือเป็นความน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน”
หลิวเสี้ยนหยางทรุดตัวลงนั่งยอง เอ่ยว่า “ในที่สุดข้าก็เข้าใจความหมายของคำพูดพวกนั้นแล้ว”
เมื่อวานตอนอยู่ที่หอกั้วอวิ๋น ดื่มเหล้าพลางคุยเล่นกับสหายบนเก้าอี้หวาย ถึงอย่างไรอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ สหายรักสองคนจึงพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สรรหามาคุยกันหมด
สุดท้ายดื่มเหล้าจนเริ่มเมากรึ่มๆ เฉินผิงอันยิ้มตาหยีมองม่านฟ้า เอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจบางอย่าง
เขาบอกว่าเรื่องที่น่าสนใจ เรื่องที่มีความหมาย ล้วนทำได้ไม่ง่าย
เรื่องยากที่น่าสนใจ เมื่อทำสำเร็จกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะมีความหมายอะไร แต่เรื่องที่มีความหมายเรื่องหนึ่ง ทำสำเร็จแล้วกลับต้องน่าสนใจมากอย่างแน่นอน
……
เซียนซือหลายกลุ่มที่มาเข้าร่วมงานพิธีบนยอดเขาหม่านเยว่ถึงกับสามารถสัมผัสได้ถึงท่วงทำนองที่เหลืออยู่ของแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินบนยอดเขาอีเซี่ยนได้อย่างชัดเจน
ส่วนสองสถานที่อย่างยอดเขาโปอวิ๋นกับยอดเขาสุ่ยหลง มีเทพภูเขาเทพวารีสองกลุ่มที่มาจากสถานที่ต่างๆ ในหนึ่งทวีปมารวมตัวกันอยู่ พวกเขาสัมผัสได้ถึงรากภูเขาและโชคชะตาน้ำได้เฉียบคมมากยิ่งกว่า เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนทั่วไปแล้วจึงยิ่งแน่ใจมากกว่าว่าผลลัพธ์ที่จะตามมาในการถามกระบี่ครั้งนี้ต้องมากพอจะเปลี่ยนแปลงพื้นที่ภูมิศาสตร์ได้อย่างยาวนานแน่นอน
เจียงอวิ้นบุตรอนุภรรยาของสายรองของสกุลเจียงหลินอวิ๋นกับฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่าต่างก็เป็นคนต่างถิ่นที่ปีนั้นเคยไปค้นหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์หลีจู บวกกับที่ทั้งสองฝ่ายเคยเจอกันบนสนามรบของลำน้ำใหญ่ ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกันครึ่งตัว เวลานี้ยืนเคียงบ่ากัน มองภาพการถามกระบี่ที่พลานุภาพน่ากริ่งเกรงนั้นด้วยกัน ฝูหนันหัวถามเสียงเบาว่า “คนทั้งสองต่างก็เป็นเซียนกระบี่ก่อกำเนิด?”
เจียงอวิ้นพยักหน้ารับ “ไม่ต้องสงสัยเลย”
แต่บางทีหลิวเสี้ยนหยางอาจไม่ใช่ขอบเขตนี้
ทว่าความสนใจของเจียงอวิ้นไม่ได้อยู่ที่การถามกระบี่ แต่อยู่ที่ค่ายกลใหญ่ของภูเขาบรรพบุรุษภูเขาตะวันเที่ยงมากกว่า ลักษณะของมันคล้ายเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่อย่างน้อยก็ต้องมีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน ถึงจะสามารถป้องกันไม่ให้ยอดเขาอีเซี่ยนถูกแสงกระบี่ที่กระเด็นมาหรือเวทคาถาที่ทุ่มกระแทกใส่จนกลายเป็นหลุมเป็นรูระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายถามกระบี่กัน ไม่อย่างนั้นรอให้สงครามใหญ่ปิดฉากลง หลังจากนี้แขกบนยอดเขาทั้งหลายที่ขึ้นเขามาร่วมพิธีการเห็นหลุมบ่ออยู่ทั่วทุกหนแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจวนตระกูลเซียนที่อยู่ต่ำกว่ากึ่งกลางภูเขาลงไปที่เป็นกำแพงหักเรือนถล่มอยู่ทั่วทุกที่ ก็คงน่าดูชมแล้ว
คิดไม่ถึงว่าการเข้าร่วมงานพิธีบนภูเขาที่ไร้รสชาติน่าเบื่อ จะเปลี่ยนมาเป็นน่าสนใจเช่นนี้ได้
มีเรื่องกับใครก็ไม่ควรไปมีเรื่องกับ ‘คนรุ่นเยาว์’ ที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูจริงเสียด้วย
ไม่พูดถึงซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงที่เป็นอ๋องเจ้าเมืองต้าหลี ยังมีหม่าขู่เสวียนที่มีชาติกำเนิดจากตรอกซิ่งฮวา จากนั้นก็เซี่ยหลิงแห่งตรอกเถาเย่ที่เมื่อหลายปีก่อนระหว่างเดินทางหาประสบการณ์เพียงลำพังได้กำจัดปีศาจปราบมาร ใช้เวทคาถามากมายไร้ที่สิ้นสุด เด็ดขาดเฉียมคบ แล้วยังมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนของร้านยาตระกูลหยางที่ตอนอยู่ซากปรักสนามรบโบราณแห่งหนึ่งก็สร้างคลื่นมรสุมที่ไม่เล็กบนภูเขา ส่วนจ้าวเหยาแห่งตรอกฝูลวี่ที่พอหวนกลับบ้านเกิดมารับหน้าที่เป็นขุนนางต้าหลี ยามที่จัดการกับปัญหาความขัดแย้งบนภูเขาก็ยิ่งลงมืออย่างอำมหิตไร้ปราณี คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีหลิวเสี้ยนหยางเพิ่มมาอีกคน
ภรรยาร่างอ้วนฉุของฝูหนันหัวนั่งอยู่ในศาลาชมทิวทัศน์อยู่กับเหวยเลี่ยง เจียงเซิงถามว่า “หลิวเสี้ยนหยางจะเดินขึ้นมาถึงยอดกระบี่ได้ตอนไหน”
เหวยเลี่ยงใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “เสี่ยวเซิงเจียง (เซิงเจียงแปลว่าขิง เสี่ยวเซิงเจียงก็คือขิงน้อย) จะร้อนใจอะไร ใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้หรอกนะ อดทนรอดูไปเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นออมแรงไว้เยอะมาก
เจียงเซิงดวงตาเป็นประกาย “ยังจะมีเต้าหู้ร้อนให้กินอีกหรือ?”
เหวยเลี่ยงพยักหน้า “ไม่แน่ว่าจะต้องร้อนปากอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าถ้วยที่ถือก็ร้อนลวกมือด้วย”
เจียงเซิงส่ายหน้า “ไม่มีทางหรอก ต่อให้คนแซ่หลิวเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ แต่เขาสามารถเดินขึ้นมาถึงยอดกระบี่ได้ก็ถือว่าบังเอิญโชคดีมากแล้ว”
เกี่ยวกับรากฐานของภูเขาตะวันเที่ยง ทางฝั่งสกุลเจียงอวิ๋นหลินย่อมรู้ชัดเจนดี และนางเองก็เป็นหลานรักที่สุดของบรรพจารย์สกุลเจียง บวกกับเรื่องที่ปีนั้นบีบให้นางได้รับความอยุติธรรมแต่งไปอยู่นครมังกรเฒ่า บรรพจารย์จึงละอายใจมาโดยตลอด ทุกครั้งที่นางกลับไปบ้านเดิม เจ้าประมุขสกุลเจียงที่งานรัดตัวท่านนั้นก็มักจะหาเวลามาผ่อนคลายอารมณ์เป็นเพื่อนเจียงเซิงเสมอ
เหวยเลี่ยงยิ้มเอ่ย “ตระกูลเซียนใต้หล้านี้มีแค่สองประเภทเท่านั้น ภูเขากับทรายกระจัดกระจาย ต่อให้เป็นตระกูลชั้นสูงบนภูเขาที่ได้รับอักษรจง อันที่จริงขอแค่ถึงจุดวิกฤติบางอย่างก็จะกลายเป็นใจคนกระจัดกระจาย ฝ่ายแรกก็มีสำนักกุยหยก ภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีป ศาลลมหิมะ ภูเขาเจินอู่แจกันสมบัติทวีป ส่วนอย่างหลังก็มีมากนักล่ะ แต่บ้างก็อำพรางได้อย่างตื้นเขิน บ้างก็อำพรางได้อย่างลึกล้ำ ภูเขาตะวันเที่ยงถือเป็นอย่างหลังของอย่างหลัง”
“หากวันนี้มีแค่หลิวเสี้ยนหยางมาถามกระบี่คนเดียว ก็คงทำได้ไม่ถึงจุดวิกฤตินั่นจริงๆ ก็เหมือนอย่างที่เสี่ยวเซิงเจียงพูดนั่นแหละ จะต้องหยุดอยู่แค่ที่ยอดกระบี่ของยอดเขาอีเซี่ยน อย่างมากสุดก็แค่อาละวาดก่อกวน หากไม่ถูกภูเขาตะวันเที่ยงรั้งตัวไว้ได้ก็ถูกใครบางคนของสำนักกระบี่หลงเฉวียนพาตัวลงไปจากภูเขา ถือว่าเป็นการเพิ่มเรื่องพูดคุยที่น่าสนใจในมื้อน้ำชาหลังอาหารให้กับบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีป”
เหวยเลี่ยงกล่าวมาถึงตรงนี้ก็หันไปมองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดของยอดเขาอีเซี่ยน “แน่นอนว่าหลิวเสี้ยนหยางร้ายกาจมากแล้ว เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่อายุไม่ถึงห้าสิบปี ก่อนหน้านี้มีแค่สองคนเท่านั้นที่ทำได้”
เจียงเซิงได้ยินแล้วก็ตะลึงพรึงเพริด หลิวเสี้ยนหยางคือเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว? เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่าตะลึงมากกว่านั้นยังคงเป็นคำกล่าวที่ว่า ‘สองคนก่อนหน้านี้’ นางจึงอดไม่ไหวถามว่า “สองคน? ไม่ใช่ว่ามีแค่เว่ยจิ้นจากศาลลมหิมะเท่านั้นหรือ?”
เหวยเลี่ยงหัวเราะร่า “ดูท่าบรรพจารย์สกุลเจียงของพวกเจ้าจะยังรักใคร่เอ็นดูเสี่ยวเซิงเจียงไม่มากพอนะ”
เจียงเซิงถามอย่างใคร่รู้ “ใครกัน? ทุกวันนี้อยู่ที่ไหน? เซียนกระบี่ที่อ่อนเยาว์เช่นนี้เหตุใดถึงไม่มีชื่อเสียงเลยสักนิด?”
เหวยเลี่ยงอมพะนำ “อยู่ไกลสุดขอบฟ้า อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า ตอนนี้เขาก็อยู่ในภูเขาลูกใดลูกหนึ่งนี่แหละ เจ้าหมอนี่ก็เหมือน…ยกเต้าหู้ร้อนลวกมาถ้วยใหญ่มาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน ผลคือเจ้าบ้านไม่กินก็ต้องกิน หากไม่ระวังจะไม่เพียงแค่ลวกปากเท่านั้น อาจจะยังร้อนลวกกระเพาะลำไส้ด้วย”
เจียงเซิงกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังประหลาดใจว่าเหตุใดท่านอาเหวยถึงยินดีปลีกตัวจากงานที่ยุ่งวุ่นวายมาสิ้นเปลืองเวลาอย่างเสียเปล่าที่ภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนี้”
เหวยเลี่ยงพยักหน้า หรี่ตาเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “จำต้องมา เพราะจำเป็นต้องเรียนรู้วิชาการรื้อวิเคราะห์สิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด”
เหวยเลี่ยงที่ ‘ปู่ ลูกชาย หลานชาย ล้วนเป็นคนคนเดียวกันนี้’ เขาที่เป็นผู้ฝึกตนสำนักนิติธรรมซึ่งเป็นผู้บัญชาการณ์ใหญ่ของแคว้นชิงหลวนมารุ่นแล้วรุ่นเล่านิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพลันหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง “ช่างชวนให้คนโมโหตายจริงๆ ปีนั้นเจ้าเด็กนั่นเป็นคนซื่อบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น ดีนักนะ ทุกวันนี้ถึงกับทำให้ข้าต้องกลั้นใจมาขอความรู้วิชานี้จากเขาอย่างนอบน้อมเสียแล้ว”
ทางฝั่งหอถิงเจี้ยนบนยอดเขาอีเซี่ยน เจ้าสำนักจู๋หวงเห็นผีหญิงที่มีคุณความชอบใหญ่หลวงต่อสำนักผู้นั้นแล้ว ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความสงสารและความละอายใจ สงสารที่นางเป็นสตรี แต่ชาติกำเนิดกลับน่าสังเวช ต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ ละอายใจที่ตนเป็นเจ้าสำนักและเป็นขอบเขตหยกดิบ ทว่าทุกวันนี้กลับยังต้องให้นางออกมาจากยอดเขาเดียวดายเล็กเพื่อรับกระบี่จากหลิวเสี้ยนหยาง
ส่วนเซี่ยหย่วนชุ่ยก็มีสีหน้าซับซ้อน ในเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องวงในของสำนักที่ถูกปิดตายมายาวนาน ต่อให้เป็นผู้เฒ่าที่กุมอำนาจสำคัญของภูเขาตะวันเที่ยงอย่างเถาแยนโปและเยี่ยนฉู่ก็ยังได้แค่คาดเดากับตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดถึงง่ายๆ รู้แค่ว่าสตรีผู้นั้น มีผู้ฝึกตนผีหญิงขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งที่ปิดบังชื่อแซ่มารับตำแหน่งเถียนโหยวเวิงแทนนาง
วานรเฒ่าชุดขาวเห็นนางแล้วสีหน้าก็ไม่สบอารมณ์ ใช้เสียงในใจพูดกับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าทั้งหลาย “ชีวิตต่ำต้อยด้อยค่าของนางไม่ใช่ชีวิตของนางคนเดียว เกี่ยวพันไปถึงค่ายกลใหญ่ของภูเขาบรรพบุรุษ หากจิตวิญญาณของนางแหลกสลายก็จะได้รับความเสียหายจากรากฐานไปจนถึงแกนกลางค่ายกลใหญ่ ไม่เพียงแต่ต้องผลาญเงินเทพเซียนเท่านั้น ไยเจ้าสำนักต้องเหยียบย่ำโชคชะตาของภูเขาเช่นนี้ หลังจบเรื่องใครจะเป็นคนชดใช้ให้?”
——