กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 821.6 แยกร่างภูเขาตะวันเที่ยง
อะไรคือสันดานมนุษย์
คือการที่ทุกครั้งพอได้ข้าวถุงเล็กกลับไปบ้าน หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้ว ในใจของตัวเองก็ยังคงมีคำขอบคุณที่ไม่ชวนให้คนรังเกียจครั้งแล้วครั้งเล่า
คือยามที่เด็กหนุ่มรู้ว่าคนวัยเดียวกันข้างบ้านกำลังจะไปจากบ้านเกิด ต่อให้ตอนนั้นปากจะยังพูดจาระคายหู ก็ยังคงเอ่ยประโยคเรียบง่ายที่มาจากใจจริงว่า เดินทางปลอดภัย
คือยามที่สหายรักหลิวเสี้ยนหยางนอนป่วยอยู่บนเตียง เป็นตายไม่รู้แน่ชัด ขอร้องเถ้าแก่ร้านตระกูลหยางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไร้ประโยชน์ กระนั้นก็ยังค้อมตัวขอบคุณ ก่อนจะออกไปจากประตู
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องราวที่งดงามอย่างมาก
โจวจื่อไม่คิดจะปฏิเสธ ถึงขั้นที่ว่ายังเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
สันดานมนุษย์ที่แท้จริง อันที่จริงแล้วก็คือสถานการณ์อย่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นได้บนตัวของคนทุกคน คือการชักคะเย่อกันระหว่างสันดานฝ่ายดีของมนุษย์กับสันดานฝ่ายสัตว์ร้ายของมนุษย์ นานวันเข้าจึงกลายเป็นการฝึกตน ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้
แต่ช่วยไม่ได้ ในสายตาของเขา วิถีทางโลกใบนี้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ สามารถยอมรับผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ที่มีมาดสง่างามมีชื่อเสียงโด่งดังได้มากมาย
มีเพียงไม่อาจยอมรับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบห้าที่ในอดีตไม่เคยมีและในอนาคตก็อาจจะไม่ปรากฏได้ และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับดีหรือเลว
เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยตามธรรมชาติ ไม่ได้เป็นชะตาฟ้าลิขิต มันคือความจำเป็นที่บังเอิญซึ่งได้มาเพราะมีคนร้องขอไม่หยุด อย่างน้อยหากดูจากตอนนี้ ในบรรดาตัวเลือกหลายคน อิ่นกวานหนุ่มที่กลับคืนบ้านเกิดได้อย่างปลอดภัย ยิ่งนานก็ยิ่งเดินเข้าใกล้คำว่า ‘หนึ่ง’ ที่ใหญ่ที่สุดนั้นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ในอนาคตอาจจะมีการชะลอฝีเท้าชั่วคราว บ้างก็เดินอ้อมไป อาจจะหยุดพักกลางทาง แต่สุดท้ายก็จะต้องเดินไปทางเส้นนั้นอยู่ดี
ดังนั้นเดิมทีโจวจื่อจึงคิดว่าจะให้คนถามกระบี่กับเฉินผิงอันในวันนี้
นาทีที่ภูเขาตะวันเที่ยงไม่เห็นใครอยู่ในสายตามากที่สุด ก็จะถูกคนที่เป็นดั่งเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางจับมือกันมาผลักอีกฝ่ายให้หล่นร่วงจากยอดเขาของหนึ่งทวีปลงไปคลุกฝุ่นดิน
ขอแค่เฉินผิงอันรู้สึกตัวช้ากว่านี้อีกสักนิดก็จะต้องมีจุดจบแบบเดียวกัน
แต่ในเมื่อเฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้ ด้วยนิสัยที่จะลงมือทำก็ต่อเมื่อวางแผนมาดีแล้วของเขา จะต้องยังมีแผนการอีกมากมายเตรียมไว้อย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น ‘เถียนหว่าน’ ผู้นั้น และยังมีเจียงซ่างเจิน ถึงขั้นที่ว่าอาจจะเป็นหลิวเสี้ยนหยางที่คีบยันต์สามภูเขาออกมาหลายแผ่น แล้วค่อยอาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขามาร่วมมือกับนกในกรงของเฉินผิงอัน ป๋ายอวี้จิงจำลองที่ราชสำนักทิ้งไว้ที่ลำน้ำใหญ่เพื่อไว้ใช้รับมือกับผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาโดยเฉพาะ
ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง หน้าไม้อยู่ในมือข้า
ภูเขาตะวันเที่ยง เฉินผิงอัน ผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉ โจวจื่อ
นอกจากภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์ อันที่จริงล้วนอยู่ในสภาพการณ์อันลี้ลับที่ต่างฝ่ายต่างเป็นเหยื่อล่อของกันและกัน แค่ต้องดูว่าใครวางแผนได้ยาวไกลกว่า กลยุทธรัดกุมรอบคอบมากกว่า
เฉินผิงอันต่างหากจึงจะเป็นแขกใหญ่ที่สุดในพิธีฉลองของภูเขาตะวันเที่ยงครั้งนี้ และเมื่อเขานั่งลงในศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยนก็จะยิ่งเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน
วันนี้หลิวเสี้ยนหยางมารื้อถอนศาลบรรพจารย์ เฉินผิงอันก็รับหน้าที่ ‘แยกร่าง’ ภูเขาตะวันเที่ยง จากบนลงล่าง จากภายในสู่ภายนอก
ดังนั้นหลิวเสี้ยนหยางแค่ต้องเดินขึ้นเขา ถามกระบี่อย่างสง่างามอย่างเดียวก็พอ เพราะว่ามีเฉินผิงอันรับผิดชอบถามกระบี่กับใจคนของภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว
ในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาอีเซี่ยน ยังคงมีแค่คนสองคนที่นั่งอยู่ด้านใน บังเอิญอย่างยิ่ง คนทั้งสองต่างก็เป็นเจ้าขุนเขากับเจ้าขุนเขา เจ้าสำนักกับเจ้าสำนัก ขอบเขตหยกดิบเจอกับขอบเขตหยกดิบ
คนชุดเขียวที่ดื่มชา อยู่ดีๆ ก็ยิ้มเอ่ยออกมาว่า “แย่แล้วๆ”
จู๋หวงขมวดคิ้วน้อยๆ ไอ้หมอนี่ยังจะแสร้งทำเป็นหลอกผีหลอกเจ้าอีกหรือ?
แต่ก็ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวหลิวเสี้ยนหยางที่ขึ้นเขามาก็จะรับกระบี่ถัดไปไม่ได้แล้ว
ถึงเวลานั้นก็มาดูกันอีกทีสิว่าเจ้าเฉินผิงอันยังมีอารมณ์ดื่มชาอีกไหม
……
ในนครของแคว้นเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมชายแดนของภูเขาตะวันเที่ยง อาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ชาวบ้านในพื้นที่ รวมไปถึงเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาที่เป็นพวกปลายแถว ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร สามารถมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ อาศัยสมบัติพิทักษ์ภูเขาชิ้นหนึ่งของยอดเขาโปอวิ๋นภูเขาตะวันเที่ยงมาชมงานพิธีอยู่ไกลๆ ได้
สถานที่ที่คล้ายกับเขตหยวนโจวนี้ยังมีอีกสามแห่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศเหนืออย่างละแห่ง โอบล้อมอยู่รอบภูเขาตะวันเที่ยงพอดี
สองแคว้นเหนือใต้ต่างก็ดึงเอาตัวทหารกองทัพชายแดนมากฝีมือมาหลายกอง ให้ร่วมมือกับผู้ฝึกตนของภูเขาตะวันเที่ยง รับผิดชอบคอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ แต่เอาเข้าจริงก็เป็นแค่การทำท่าให้พอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่เพียงแต่เพราะภูเขาตะวันเที่ยงมีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆและฐานะของสำนักยังเป็นดั่งตะวันกลางนภา แต่สาเหตุที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปต่างก็เคยชินกับกฎหมายอันเข้มงวดที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีตั้งไว้ในปีนั้นแล้ว หากใครละเมิดกฎล้วนไม่เคยมีปลาที่หลุดรอดไปจากแหได้ เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลเองไม่เพียงแต่ต้องโดนลงโทษ ยังจะลามเดือดร้อนไปถึงศาลบรรพจารย์ด้วย ผู้ฝึกตนอิสระจะถูกไล่ล่าจับกุม ถึงขั้นที่อาจโดนสังหารให้ตายคาที่ ทุกวันนี้ต่อให้กฎบางอย่างของต้าหลีได้ทยอยยกเลิกแล้ว แต่ด้วยความเคยชิน ผู้คนจึงอยู่ในความสงบมากเป็นพิเศษ
พูดถึงแค่เรื่องเดียว ผู้ฝึกกระบี่ของสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากภูเขาลูกไหน หลายปีมานี้ในอาณาเขตของหนึ่งทวีปก็แทบไม่เคยมีใครชนคนบนถนนอย่างกำเริบเสิบสานหรือขี่กระบี่อย่างกำแหงตามถนนใหญ่ตามตลาดของหมู่ชาวบ้านอีกแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่ยังเป็นเช่นนี้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนอื่นๆ เลย
เพียงแต่ว่างานพิธีเฉลิมฉลองของวันนี้ยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็ทำให้คนมองตาค้างแล้ว ถึงอย่างไรก็มีแค่ไม่กี่คนที่มองต้นสายปลายเหตุและความตื้นลึกออก คนส่วนใหญ่แค่มองดูแล้วรู้สึกว่าสนุกสนานตื่นตาตื่นใจเท่านั้น
เพียงแต่ว่ามีผู้ฝึกตนของภูเขาตะวันเที่ยงเดินลาดตระเวนอยู่ในเมือง จึงไม่มีใครกล้าไชโยโห่ร้อง เพราะถึงอย่างไรคนต่างถิ่นที่มาถามกระบี่คนนั้นชนะไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็ได้ทำให้พวกเทพเซียนผู้เฒ่าทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงสีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุดไปแล้ว
ต่งกู่ สวีเสี่ยวเฉียว เซี่ยหลิง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสำนักแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนสามคนนี้ เวลานี้ก็กำลังชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอยู่ในเหลาสุราแห่งหนึ่งเช่นกัน
ต่งกู่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ความหมายของอาจารย์ก็คือ ไม่ว่าวันนี้ศิษย์น้องหลิวจะก่อเรื่องเช่นไร ต่อให้ถามกระบี่แพ้ สุดท้ายพวกเราก็ต้องพาศิษย์น้องหลิวกลับไปให้ได้ หากอยู่ในการถามกระบี่ ขอแค่จับคู่เข่นฆ่ากัน จะตัดสินแพ้ชนะหรือตัดสินเป็นตายก็ไม่ต้องสนใจ ต่อให้ศิษย์น้องหลิวตายอยู่บนภูเขาก็ไม่ต้องสนใจเขา แต่หากเป็นนอกเหนือจากการถามกระบี่ จะไม่ยอมให้ผู้ฝึกตนของภูเขาตะวันเที่ยงอาศัยว่ามากคนมากอำนาจมาบังคับรั้งตัวศิษย์น้องหลิวไว้ที่นี่เด็ดขาด”
พูดง่ายๆ ก็คือหลิวเสี้ยนหยางถามกระบี่ของเขาไป หลังจากถามกระบี่เสร็จสิ้น สำนักกระบี่หลงเฉวียนก็จะรับตัวหลิวเสี้ยนหยางกลับไป เป็นต้องพบตัวคน ตายต้องได้เห็นศพ
สรุปก็คือภูเขาตะวันเที่ยงอย่าได้คิดว่าจะรั้งตัวหลิวเสี้ยนหยางเอาไว้ได้
ต่งกู่ยื่นยันต์กระบี่ที่ไม่รู้ที่มาชัดเจนให้กับสวีเสี่ยวเฉียวและเซี่ยหลิงคนละแผ่น สามารถหดย่อพื้นที่ได้ จะไปถึงตีนเขาของยอดเขาอีเซี่ยนได้ในชั่วพริบตา
เอ่ยมาถึงตรงนี้ ต่งกู่ก็มองไปทางศิษย์น้องชายหญิงสองคน เอ่ยว่า “พวกเราสามารถไปที่นั่นได้แล้ว”
สวีเสี่ยวเฉียวพยักหน้ารับเงียบๆ
เซี่ยหลิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกเขากล้ากักตัวศิษย์น้องหลิวเอาไว้ ก็ต้องเจอกับการถามกระบี่จากข้า”
อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครที่ไม่ชอบหลิวเสี้ยนหยาง ไอ้หมอนี่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร ไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอม ชอบพูดจาหยอกล้อ ไม่ว่าเจอใครก็หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
ขนาดเซี่ยหลิงที่หยิ่งทระนงก็ยังยอมรับในสถานะศิษย์พี่ศิษย์น้องระหว่างตนกับหลิวเสี้ยนหยาง ถึงขั้นที่ว่าส่วนลึกในจิตใจ เซี่ยหลิงยังรู้สึกว่าหลิวเสี้ยนหยางจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ หรือไม่หากวันหน้าจะรับตำแหน่งเจ้าสำนักก็ยังได้ เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายเกียจคร้านไปสักหน่อย ไม่ขยันขันแข็งเฉกเช่นศิษย์พี่ต่งกู่ ส่วนตัวเซี่ยหลิงเอง แค่สงบจิตใจฝึกตนไปก็พอ
ทางทิศเหนือของภูเขาตะวันเที่ยง ในอำเภอขนาดเล็กแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้ไม่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่ภูเขาตะวันเที่ยงจัดตั้งเอาไว้
แต่ว่าผู้ฝึกตนบนภูเขากลุ่มหนึ่งจงใจไม่ขยับเข้าใกล้ภูเขาตะวันเที่ยง แค่มาดื่มเหล้าอยู่ที่นี่ แล้วก็มาเจอเข้ากับความครื้นเครงเล็กๆ น้อยๆ เข้าพอดี คนต่างถิ่นซื่อบื้อกลุ่มหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นมังกรข้ามแม่น้ำอะไร แต่กลับกล้าแย่งชิงพื้นที่กับงูเจ้าถิ่น ผลคือถูกคนล้อมเป็นไส้เกี้ยว คนในยุทธภพหลายสิบคนที่หุ่นก้านองอาจเปี่ยมพละกำลังล้อมโต๊ะเหล้าเอาไว้แน่น จากนั้นก็มีปัญญาชนวัยกลางคนชุดขาวพลิ้วไสวคนหนึ่งเดินออกมา ในมือถือพัด ไม่สนใจบรรยากาศตึงเครียดที่การต่อสู้พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อของสองฝ่าย เพราะถึงอย่างไรความสามารถที่แท้จริงก็แตกต่างกัน ลูกกระต่ายน้อยกลุ่มนั้นใจฝ่อไปก่อนนานแล้ว ปัญญาชนชุดขาวยิ้มพลางใช้พัดที่หุบแล้วดันขวานสั้นของลูกพี่ต่างถิ่นคนหนึ่งออกเบาๆ แล้วนั่งลงเพียงลำพัง ผลคือถูกเด็กหนุ่มหัวทึบคนหนึ่งที่ไม่ดูตาม้าตาเรือเอามีดผ่าฟืนมาวางพาดไว้บนลำคอ บนใบหน้าของปัญญาชนชุดขาวยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถามคนหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่เพียงลำพังฝั่งตรงข้ามว่ารู้หรือไม่ว่าตนคือใคร ฝ่ายหลังพยักหน้า ปัญญาชนชุดขาวจึงยกพัดพับขึ้น เคาะลงบนมีดผ่าฟืนที่อยู่บนไหล่โดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ยิ้มถามคนหนุ่มร่างสูงใหญ่ว่า ในเมื่อรู้แล้ว แล้วยังไงต่อ?
เอ่ยประโยคนี้จบ ปัญญาชนชุดขาวพลันยกถ้วยเหล้าขึ้นสาดเหล้าใส่หน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง
ไม่รอให้คนหนุ่มร่างสูงใหญ่ข่มกลั้นความเจ็บแค้น ก้มหัวยอมรับผิด เด็กหนุ่มที่ในมือถือมีดผ่าฟืนก็ใช้มีดปาดคอของปัญญาชนชุดขาวจนอีกฝ่ายหัวหลุดเอียงกะเท่เร่
สองฝ่ายที่คุมเชิงกันหันมามองหน้ากันตาปริบๆ
กลุ่มผู้ฝึกตนบนภูเขาที่นั่งอยู่ในมุมมีสตรีรูปโฉมงดงามอย่างมากอยู่ด้วย คงเป็นเพราะนางคิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้จึงกลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่ แต่นางก็หยุดเสียงไว้ได้ทันควัน
คนสี่คนที่นั่งอยู่
มาจากภูเขาเจินอู่
หม่าขู่เสวียน อวี๋สืออู้ที่หากอิงตามลำดับศักดิ์แล้วต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อา ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของหม่าขู่เสวียนคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นทั้งผู้ฝึกตนสำนักการทหารและเป็นทั้งผู้ฝึกยุทธเต็มตัว มีชื่อว่าวั่งจู่ และสาวใช้สู่เตี่ยน
หม่าขู่เสวียนยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนม้านั่งยาว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ร่ายเวทกักร่างใส่งูเจ้าถิ่นกลุ่มนั้น จากนั้นก็หันไปยิ้มเอ่ยกับพวกคนหนุ่มทึ่มทื่อที่อายุไม่มากกลุ่มนั้น “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม ฆ่าคนแล้วยังไม่รีบเผ่นหนีอีกหรือ?”
พวกเด็กหนุ่มแตกฮือหนีกระเจิงกันไปคนละทิศคนละทาง
หม่าขู่เสวียนใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่มที่วิ่งหนีพลางไม่ลืมยกมีดผ่าฟืนที่อยู่ในมือเช็ดคราบเลือดลงบนร่างของคนอื่นไปด้วย “หากกลับไปพี่ใหญ่เจ้าด่าว่าเจ้าก่อเรื่อง และเจ้าก็โมโหมาก ทั้งยังมีความกล้าพอที่จะกลับมาที่นี่ ข้าก็จะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ วันหน้าติดตามข้าขึ้นเขาไปเป็นเทพเซียน”
หม่าขู่เสวียนมองไปยังทิศทางของภูเขาตะวันเที่ยง คีบถั่วลิสงโรยเกลือเม็ดหนึ่งโยนใส่ปาก “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นท่าทีของทูตลาดตระเวนเฉา หญ้าเหนือกำแพงอย่างรองเจ้ากรมพิธีการคนนั้นคิดจะลงมือทำอะไรยังต้องมองสีหน้าของคนผู้นี้ หากเฉาผิงเลือกที่จะเข้าข้างภูเขาตะวันเที่ยงก็คงสนุกแล้ว วั่งจู่ คนที่วันหน้าเจ้าต้องถามหมัดด้วย ตอนนี้ก็อยู่บนภูเขาตะวันเที่ยงนี่เอง แต่ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะต้องถามหมัด”
หม่าขู่เสวียนดื่มเหล้า หางตาเหลือบมองไปยังอวี๋สืออู้
อู๋สืออวี้ยิ้มอธิบายกับเด็กหนุ่มที่เงียบขรึม “ครั้งนี้ขึ้นเขามาถามกระบี่ หากไม่ผิดไปจากที่คาดล่ะก็ แรกเริ่มเฉินผิงอันต้องไม่มีทางลงมือแน่นอน ส่วนหลิวเสี้ยนหยางก็อาศัยขอบเขตและวิชาอภินิหารที่แปลกประหลาดของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเขาเดินไปถึงบนยอดเขาได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างมากก็แค่ถูกพวกเซียนกระบี่ที่เป็นกลุ่มบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงล้อมวงโจมตีเท่านั้น แต่หากคิดจะรื้อศาลบรรพจารย์ต้องอาศัยเฉินผิงอันที่ไม่ได้มาถามกระบี่พร้อมกับหลิวเสี้ยนหยาง เพราะการถามกระบี่ที่แท้จริงส่วนใหญ่มักไม่ต้องออกกระบี่กับใคร แค่รื้อใจคนออกมาได้ นั่นต่างหากถึงจะเป็นเวทกระบี่ชั้นสูงที่สุด”
หม่าขู่เสวียนหัวเราะร่า “พวกเซียนกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงทำให้คนตกใจกลัวแทบตายแล้ว”
อวี๋สืออู้หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ถอนหายใจ แบฝ่ามือออก มือหนึ่งทำมุทรา สุดท้ายรวบสองมือกลับมา มือหนึ่งถือถ้วย มือหนึ่งคีบถั่วลิสงขึ้นมาหนึ่งเม็ด เคี้ยวเบาๆ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “พวกเราไปกันได้แล้ว”
หม่าขู่เสวียนสีหน้ามืดทะมึน “อวี๋สืออู้! ก่อนจะมาเจ้าพูดว่าอย่างไร นี่คือโอกาสในการเก็บตกเพียงหนึ่งเดียวของข้า! แต่เจ้ากลับมาบอกให้ข้ากลับไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”
อวี๋สืออู้พยักหน้า “ใช่แล้ว ไปได้แล้ว”
หม่าขู่เสวียนจ้องเจ้าคนที่มีสีหน้าสงบนิ่งผู้นั้นเขม็ง ครู่หนึ่งต่อมาถึงถามว่า “โอกาสเพียงหนึ่งเดียวจริงหรือ? หากพลาดครั้งนี้ไปก็ไม่มีอีกแล้ว?”
อวี๋สืออู้ยังคงพยักหน้า “อย่างน้อยที่สุดตามความเห็นข้าก็เหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้”
คนที่ความบ้าระห่ำเลื่องลือไปหลายทวีปอย่างหม่าขู่เสวียนเผยสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างที่หาได้ยาก
เขาลงจากภูเขามาครั้งนี้ก็เพื่อมาแลกชีวิตกับเฉินผิงอัน เพราะหากอิงตามคำกล่าวของอวี๋สืออู้ก่อนหน้านี้ มีความเป็นไปได้มากว่าเฉินผิงอันจะต้องสูญเสียสถานะผู้ฝึกกระบี่ไป คิดไม่ถึงว่าพอถึงเวลาเข้าจริงอีกฝ่ายกลับบอกให้เขากลับ เพียงแต่ว่าไม่นานสายตาของหม่าขู่เสวียนก็ฉายประกายเหี้ยมเกรียม คลี่ยิ้มดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วย่อมมีสาเหตุ แต่นั่นกลับไม่แน่ว่าจะเป็นผลลงเอยสุดท้ายเสมอไป ก็ดีเหมือนกัน ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องอะไรที่แน่นอน เดิมทีหม่าขู่เสวียนก็ไม่ใช่คนที่ชอบดึงดันอยู่แล้ว จึงกลับมามีท่าทีเกียจคร้านเฉยเมยอีกครั้ง “รอให้เจ้าเด็กมีดผ่าฟืนคนนั้นกลับมาก่อน ในที่สุดข้าก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ไม่ใช่เศษสวะกับเขาสักคนแล้ว”
ภูเขาที่อยู่ห่างไกลในป่าลึกทางทิศใต้ของภูเขาตะวันเที่ยง
มีสตรีสองคนยืนอยู่บนยอดเขา
คนหนึ่งคือหนิงเหยาที่ไม่ได้หวนกลับไปยังภูเขาลั่วพั่วจริงๆ อีกคนคือเซอเยว่ที่แอบเดินทางออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว
ท่ามกลางราตรีที่แสงจันทร์ส่องสว่างของเมื่อวาน แม่นางหน้ากลมแค่มองปราดๆ ไปไม่กี่ครั้งก็มองเห็นหนิงเหยาที่นั่งอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง เซอเยว่ลังเลอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็คิดว่าควรจะเป็นฝ่ายทักทายนางสักหน่อย คนรักของเพื่อนของเพื่อน ก็คือเพื่อนของตนนี่นะ
——