กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 822.2 ภูเขาลั่วพั่วร่วมงานพิธีภูเขาตะวันเที่ยง
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 822.2 ภูเขาลั่วพั่วร่วมงานพิธีภูเขาตะวันเที่ยง
ทางฝั่งของหอถิงเจี้ยน เยี่ยนฉู่เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “รออีกไม่ได้แล้ว! ข้าจะเป็นคนคุมค่ายกลใหญ่ของภูเขาบรรพบุรุษเอง”
เซี่ยหย่วนชุ่ยและเถาแยนโปต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
เยี่ยนฉู่มองกลุ่มยอดเขาที่นอกเหนือจากยอดเขาอีเซี่ยนด้วยอารมณ์อันหนักอึ้ง อยู่ดีๆ ก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “เหตุใดถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้นะ?”
วานรเฒ่าชุดขาวไม่พูดไม่จา แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันถลึงตาทั้งคู่ จิตสังหารเข้มข้น ปราณชั่วร้ายพุ่งทะยานฟ้า เรือนกายกระโจนโผนจากพื้นดินจนหอถิงเจี้ยนทั้งหลังสะเทือนตามไปด้วย ทว่าผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนนี้กลับไม่ได้ไปที่ยอดกระบี่ แต่ตรงไปที่ยอดเขาสะพายกระบี่แทน!
หากเลือกที่จะไม่มาร่วมงานพิธีเลย อย่างสำนักกระบี่หลงเฉวียน ศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ ไม่ไว้หน้าภูเขาตะวันเที่ยงเลยแม้แต่น้อย
แต่ในเมื่อมาแล้วต่างก็เข้าพักในจวนของยอดเขาทั้งหลาย พอถึงเวลาเข้าจริงกลับจากไป นี่เป็นเรื่องที่ละเมิดกฎเกณฑ์แห่งขุนเขาสายน้ำอย่างยิ่ง เทียบกับการถามกระบี่สองครั้งจากหวงเหอและหลิวเสี้ยนหยางแล้วยิ่งไม่สอดคล้องกับกฎบนภูเขามากกว่า
ฉีเจินเทียนจวินแห่งสำนักโองการเทพคือผู้นำผู้ฝึกตนของหนึ่งทวีปในนาม และสำนักโองการเทพก็ตั้งอยู่ตรงชายแดนแคว้นหนันเจี้ยน ในฐานะผู้นำตระกูลเซียนมากมายของแจกันสมบัติทวีป แต่ไหนแต่ไรมาเขามักจะทำอะไรสุขุมรอบคอบอยู่เสมอ สำหรับบุญคุณความแค้นมากมายบนภูเขาก็ยิ่งไม่เคยลำเอียงเข้าข้างใคร สำนักโองการเทพไม่เพียงได้ครอบครองพื้นที่มงคลชิงถานเพียงลำพัง เจ้าสำนักฉีเจินก็ยิ่งควบตำแหน่งเจินจวินของสี่แคว้น ดังนั้นการจากไปของเรือลำที่เทียนจวินลัทธิเต๋าท่านนี้โดยสารอยู่จึงทำให้แขกทั้งหลายที่มาเยือนรู้สึกอกสั่นขวัญผวากันที่สุด เพราะด้วยวิชาอภินิหารของฉีเจินแล้ว คิดจะจากไปอย่างเงียบเชียบก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ฉีเจินกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่าง พูดถึงแค่จักรพรรดิและเหล่าขุนนางสำคัญที่อยู่บนยอดเขาเพียนเซียน บวกกับการเตือนจากจิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางก่อนหน้านี้ คนที่จากไปก็มีมากถึงครึ่งหนึ่งแล้ว
ผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดีจากสำนักเจินจิ้งก็ยิ่งกลับไปกันหมด หลิวเหล่าเฉิงเจ้าสำนักขอบเขตเซียนเหรินกับเกาเหมี่ยนเจ้าประมุขผู้เฒ่าแห่งพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน สหายเก่าสองคนก็ยิ่งจับมือกันเดินทางจากไปไกล
หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง หลี่ฝูฉวีผู้ถวายงานอันดับรองก็ยิ่งฉีกหน้าภูเขาตะวันเที่ยง ขุดมุมกำแพงบ้านพวกเขา ถึงกับพาหยวนป๋ายผู้ฝึกกระบี่จากไปภายใต้สายตาของคนมากมาย ส่วนหยวนป๋ายก็ป่าวประกาศว่าตนเองหลุดพ้นจากภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว นอกจากนี้เทพภูเขาไฉ่จือจากภูเขาทายาทของขุนเขาใต้ เทพวารีแม่น้ำยงเจียง ต่างก็พาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำกลุ่มใหญ่ใต้บังคับบัญชาของตัวเองหดย่อพื้นที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ยิ่งมีเจียวเฒ่าจากถ้ำเฟิงสุ่ยแม่น้ำเฉียนถังที่โดยสารเรือข้ามฟากลำหนึ่งซึ่งมาจากราชวงศ์ต้าสุย ติดตามเฉิงหลงโจวเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาต้าฝูที่ได้เลื่อนขั้นจากรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋น จากไปพร้อมกัน
เฉาจวิ้นที่บอกว่าภูมิลำเนาของตัวเองมาจากตรอกหนีผิง เป็นคนบ้านเดียวกับหลิวเสี้ยนหยาง หลังจากที่ส่งกระบี่ใส่ยอดเขาฉงจือสามครั้ง คงยังรู้สึกไม่สาแก่ใจมากพอจึงแอบกลับมาที่อาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยง ไปยังยอดเขาเซียนเหรินสะพายกระบี่แล้วเรียกเอากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ผ่านการหล่อหลอมซ่อมแซมมานานหลายปีออกมา วนรอบตีนเขาสี่ด้านของยอดเขาสะพายกระบี่ พริบตาเดียวดอกบัวก็เบ่งบานทั่วทุกหนแห่ง จากนั้นเฉาจวิ้นก็ถือกระบี่พกไว้ในมือแล้วฟันจากบนลงล่าง แสงกระบี่เปล่งวาบตามวิถีโคจร ฟันยอดเขาสะพายกระบี่ที่ไม่มีคนเฝ้าพิทักษ์ออกเป็นสองส่วน มารดามันเถอะ ใครใช้ให้ปีนั้นบรรพจารย์ย้ายขุนเขาอย่างเจ้าเหยียบหลังคาบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงของท่านปู่เฉาพังกันเล่า
หลังจากที่เฉาจวิ้นใช้กระบี่หนึ่งฟันภูเขาแล้วถึงได้ขี่กระบี่จากไปอย่างกร่างๆ อีกครั้ง ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “ผู้ที่เปิดยอดเขา คือท่านปู่เฉาเอง!”
ภูเขาเมฆาเรืองที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับภูเขาตะวันเที่ยง อาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งเถียงกันไม่หยุด เซียนซือผู้เฒ่าเจ้าขุนเขาถึงกับคิดว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนี้ถูกผีบังใจแล้วหรือไม่ ถึงได้ไม่บอกกล่าวสาเหตุเอาแต่โน้มน้าวให้ตนไปจากภูเขาตะวันเที่ยง ไม่ต้องเข้าร่วมงานพิธีแสดงความยินดีแล้ว เซียนซือผู้เฒ่าโมโหจนกลายเป็นขำ ถามไช่จินเจี่ยนว่ารู้หรือไม่ว่าหากทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าตัดขาดความสัมพันธ์ควันธูปทั้งหมดกับภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว? หรือว่าเพียงแค่เพราะการถามกระบี่ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของสำนักกระบี่หลงเฉวียน จากนั้นก็มีกระบี่บินส่งข่าวที่มีปริศนาน่าสงสัยโผล่มาอีกหลายเล่ม ภูเขาเมฆาเรืองก็จะสละทิ้งทุกอย่างไม่ต้องการ กลายเป็นปรปักษ์กับภูเขาตะวันเที่ยงนับแต่นี้ไป?
บรรพจารย์หญิงก่อกำเนิดที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาสิบสองยอดเขาของภูเขาเมฆาเรืองบอกว่าศิษย์รู้ดี แต่ก็เพราะว่าเหตุนี้ ถึงได้จำเป็นต้องไปจากสถานที่แห่งนี้
เจ้าขุนเขาผู้เฒ่าเป็นคนสุขุมรอบคอบ บอกว่าขอดูอีกหน่อย เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เจียงซานวิญญูชนของสำนักศึกษาที่ยัง ‘สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว’ ต่างก็ยังอยู่บนยอดเขาหม่านเยว่
ไช่จินเจี่ยนพูดโน้มน้าวอาจารย์ผู้มีพระคุณแล้วแต่ไร้ผล นางจึงได้แต่จากไปเพียงลำพัง
ผลคือครู่หนึ่งต่อมา เซียนซือผู้เฒ่ากลับไล่ตามมาทันไช่จินเจี่ยน เพราะเมื่อครู่นี้เพิ่งจะได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งบอกว่าเฉาผิงทูตผู้ตรวจการของต้าหลีได้จากไปแล้ว ทิ้งไว้แค่รองเจ้ากรมพิธีการที่มาจากเมืองหลวงเท่านั้น
บนยอดเขาหม่านเยว่ เจียงซานเดินออกมาจากจวนที่พัก มาที่ศาลา ถึงได้สังเกตเห็นว่าเจียงอวิ้น เหวยเลี่ยงและฝูหนันหัวต่างก็จากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงน้องสาวที่ ‘เรือนกายอ้วนฉุ’ ของตนให้อยู่คนเดียวเท่านั้น
เจียงเซิงถาม “พี่ใหญ่ ท่านก็ได้รับจดหมายกระบี่บินแล้วหรือ?”
เจียงซานส่ายหน้า
เจียงเซิงถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “เหวยเลี่ยงบอกว่าครั้งนี้มาที่นี่ก็เพื่อมาขอความรู้เรื่องศาสตร์การรื้อถอนกับผู้อื่น เขาพูดจาลึกลับยิ่งนัก ท่านรู้หรือไม่ว่าหมายความว่าอะไร?”
เจียงซานยื่นนิ้วชี้ไปยังเรือข้ามฟากของแต่ละฝ่ายที่พากันแล่นออกไปจากภูเขาตะวันเที่ยงแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “นี่ก็ชัดเจนดีแล้วไม่ใช่หรือ?”
เจียงเซิงทำหน้าเหลอหรา “หา? ไม่ได้หมายถึงรื้อถอนศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงหรอกหรือ? ข้ายังนึกว่าจะรื้อจนกลายมาเป็นบุปผาดอกหนึ่งเลยนะ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็หัวเราะกับตัวเอง “ก่อนหน้านี้มีกระบี่บินพุ่งออกมาแน่นขนัดเหมือนบุปผาบานบนยอดเขา เป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง”
ถึงอย่างไรแจกันสมบัติทวีปก็ไม่ใช่อุตรกุรุทวีป เรื่องอย่างการรื้อถอนศาลบรรพจารย์นี้ มีให้เห็นไม่บ่อยนัก
เจียงซานยื่นนิ้วมาขยี้หว่างคิ้ว เอ่ยว่า “ใช่แล้วก็ไม่ใช่”
เหวยเลี่ยง ไม่เปิดเผยตัวตนโจ่งแจ้ง แต่ก็เพราะคนผู้นี้ที่ตั้งกฎระเบียบขุนเขาสายน้ำของราชสำนักต้าหลีขึ้นมาอย่างลับๆ เองกับมือ สุดท้ายตั้งป้ายศิลาไว้บนยอดเขา ทำให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาของทั้งทวีปต่างก็รู้จักที่จะเคารพกฎ ทำอะไรตามคำสั่ง
ส่วนหลิ่วชิงเฟิงที่รับหน้าที่เป็นเจ้ากรมพิธีการของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีก็ยิ่งเป็นผู้ที่เรียบเรียงระดับขั้นทำเนียบวงศ์ตระกูลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในหนึ่งทวีปของทุกวันนี้ขึ้นมา
พูดง่ายๆ ก็คือสองคนนี้ต่างก็ไม่ใช่คนท้องถิ่นของต้าหลี แต่กลับสามารถนั่งครองตำแหน่งขุนนางระดับสูงในราชสำนักต้าหลีได้ ดังนั้นต่างก็ถือว่าเป็น ‘ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ’ ที่ราชครูชุยฉานให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ก็แค่ว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อเท่านั้น คนทั่วไปในวงการขุนางของต้าหลีย่อมไม่รู้เรื่องวงในระดับนี้
เจียงเซิงถาม “พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านอยู่ต่อ ก็คงคิดว่าอีกเดี๋ยวจะไปร่วมงานพิธีที่ยอดเขาอีเซี่ยนสินะ?”
เจียงซานยังคงเอ่ยประโยคเดิม “ใช่แล้วก็ไม่ใช่”
เจียงเซิงเอ่ยอย่างคนอับอายที่พานเป็นความโกรธ “แต่ละคน นับตั้งแต่เจียงอวิ้นจนมาถึงพี่ใหญ่เช่นท่าน ช่วยพูดภาษาคนกันหน่อยได้ไหม?!”
เจียงซานยิ้มกล่าว “ยอดเขาหม่านเยว่อยู่ใกล้กับยอดเขาอีเซี่ยนขนาดนี้ มีทัศนียภาพแบบใดบ้างที่จะมองไม่เห็น ไม่จำเป็นต้องดึงดันจะไปชมเรื่องสนุกบนยอดกระบี่หรอก”
บนยอดเขาสุ่ยหลง เถียนหว่านบรรพจารย์หญิงของยอดเขาจู๋อวี๋พลันพลิ้วกายลงมายังเรือนแห่งหนึ่ง นางแอบมาหาผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งอย่างลับๆ เวลานี้เจ้าหมอนี่ทำท่าเศร้าโศกเสียใจราวกับบิดาเสีย บนโต๊ะยังมีปูดองสุราจานหนึ่งวางอยู่ กินไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะไม่มีอารมณ์กินแล้วจริงๆ
หลังจากเขาสังเกตเห็นเถียนหว่านก็เห็นเพียงว่าสตรีผู้นั้นเหมือนคนเสียสติ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสีหน้าซาบซึ้ง โบกชายแขนเสื้อสะบัดอย่างแรง “พี่เทียนไฉ พี่เทียนไฉ ในที่สุดก็โชคดีได้พบท่านแล้ว! การถามกระบี่ครั้งนี้ต้องจดเป็นคุณความชอบให้ท่านด้วยครั้งหนึ่ง!”
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นอึ้งค้างอยู่กับที่ ทั้งไม่รู้ว่าเหตุใดเถียนหว่านผู้นี้ถึงต้องมาหาตนในเวลานี้ แล้วยังพูดจาเหลวไหลไร้ต้นสายปลายเหตุ ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดตั้งแต่สายตา สีหน้าไปจนถึงคำพูดล้วนดูเหมือนว่าบรรพจารย์หญิงของยอดเขาจูอวี้ผู้นี้จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เถียนหว่านในความทรงจำของเขา ไม่ว่าเจอใครล้วนมีรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าอย่างนอบน้อม ทว่าคนตรงหน้าผู้นี้กลับดูเหมือนว่าจะยิ้มสดใสมากไปสักหน่อย
อันที่จริงคนที่รับหน้าที่ดูแลรายงานขุนเขาสายน้ำของภูเขาตะวันเที่ยงในนามคือเถียนหว่านที่มาจากภูเขานกไม่บินมาเกาะตรงหน้าเขาคนนี้ เพียงแต่ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจของผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่ ได้รับความสำคัญและความเชื่อใจจากบรรพจารย์เป็นอย่างมาก ตลอดหลายปีมานี้จึงสามารถทำให้สตรีเถียนหว่านมีตำแหน่งที่ว่างเปล่าได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงถึงขั้นรู้สึกว่าเถียนหว่านมีเก้าอี้อยู่ในศาลบรรพจารย์อย่างเสียเปล่า นางช่างโง่เง่าเหลือเกิน ราวกับว่าไม่ต้องเปลืองแรงสักกะผีก ใช้สติปัญญาเพียงครึ่งส่วนจากสิบส่วน เขาก็ได้อำนาจใหญ่ด้านการรายงานข่าวที่สำคัญอย่างถึงที่สุดมาครองแล้ว
และหลายปีที่ผ่านมานี้ ลำพังเพียงแค่เรื่องการสืบหาข่าวเกี่ยวกับภูเขาลั่วพั่ว เขาต้องเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก ทุ่มเทความมานะพยายามทั้งหมดที่มี ฝีมือมีเท่าไรก็ใช้ออกไปเท่านั้น ผลเก็บเกี่ยวที่ได้มาจึงอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ไม่เพียงแต่มีการไปมาหาสู่กับสกุลสวี่นครลมเย็นที่ได้ครอบครองเตาเผามังกรแห่งหนึ่ง ยังมีการส่งจดหมายให้กันอย่างลับๆ กับพวกแซ่ใหญ่ทั้งหลายซึ่งมีแซ่หลูของถนนฝูลวี่เป็นหนึ่งในนั้น รวมถึงตระกูลเซียนอีกหลายแห่งที่อยู่ทางภูเขาใหญ่ทิศตะวันตก เขายังถึงขั้นสานสะพานความสัมพันธ์กับเหนียงเนียงแม่น้ำชงตั้นแล้ว
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ดูเหมือนหลิวเสี้ยนหยางจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนจะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง หรือว่ารายงานข่าวของตนผิดพลาดไปจริงๆ?
ทางฝั่งของหอถิงเจี้ยน เพียงเวลาแค่ชั่วพริบตา เซียนกระบี่ผู้เฒ่าสามคนที่รวมเซี่ยหย่วนชุ่ยเป็นหนึ่งในนั้นล้วนเส้นเอ็นหัวใจหดตัวขึงตึง ประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
นาทีถัดมา หลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นก็มายืนอยู่ระหว่างคนสองคนอย่างเถาแยนโปและเยี่ยนฉู่ มือข้างหนึ่งวางพาดไว้บนไหล่ของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าคนหนึ่ง แต่กลับใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยกับเซี่ยหย่วนชุ่ย “อย่าขยับ ขยับแล้วจะตาย”
เซี่ยหย่วนชุ่ยฝืนกลืนเลือดสดๆ ลงลำคอไป มองเซียนกระบี่หนุ่มที่คล้ายถามกระบี่ต่อคนสามคนในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของเขานั้นเริ่มมีเลือดสดเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาแล้ว
แต่เซี่ยหย่วนชุ่ยที่ขอบเขตสูงที่สุดในบรรดาคนทั้งสามกลับไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอะไรก็ล้มเลิกความคิดที่จะออกกระบี่ตัดสินเป็นตายกับคนผู้นี้ไปอย่างรวดเร็ว
ไม่รีบร้อน ที่ยอดเขาเซียนเหรินสะพายกระบี่ยังมีหยวนเจินเย่ และในศาลบรรพจารย์บนยอดกระบี่ก็ยังมีเจ้าสำนักจู๋หวง
ส่วนเถาแยนโปกับเยี่ยนฉู่ก็ดูเหมือนจะถูกร่ายเวทกักร่าง ทว่าแท้จริงแล้วจิตวิญญาณได้จมจ่อมเข้าไปในฟ้าดินขนาดเล็กแล้ว
สองมือของหลิวเสี้ยนหยางจับไหล่ของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าสองคน หันหน้ามายิ้มเอ่ยกับเซี่ยหย่วนชุ่ยว่า “ยิ่งอายุมาก ความกล้าก็ยิ่งน้อยลงหรือ? ยิ่งลำดับศักดิ์สูง หนังหน้าก็ยิ่งหนามากขึ้น?”
เซียนซือสามสิบสี่สิบคนที่มายังหอถิงเจี้ยนเพื่อรอร่วมงานพิธี ไม่มีใครสักคนที่พูดจาทวงความเป็นธรรม หรือจะด่าหลิวเสี้ยนหยางสักคำสองคำ ทุกคนเอาแต่เงียบงันเหมือนกันหมด แต่ละคนพากันขยับเท้าถอยห่างจากเซียนกระบี่ทั้งสี่ท่านเงียบๆ
เซี่ยหย่วนชุ่ยใช้เสียงในใจเอ่ย “หลิวเสี้ยนหยาง ในเมื่อเจ้าได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ลี้ลับเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ควรมาที่นี่ในวันนี้ หากไม่ระวังจะทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาเอาได้”
แม้ว่าจะไม่ได้เลือกออกกระบี่สู้สุดชีวิต แต่แท้จริงแล้วเซี่ยหย่วนชุ่ยก็คอยเพ่งสมาธิจับตามองทุกการกระทำของหลิวเสี้ยนหยางอยู่ตลอดเวลา การถามกระบี่เพียงชั่วเวลาประกายไฟแลบก่อนหน้านี้ เป็นตนที่พ่ายแพ้จริงๆ แต่คนหนุ่มผู้นี้ถึงกับกล้าถามกระบี่ต่อคนสามคนในเวลาเดียวกัน เวลานี้ยังมีเลือดไหลไม่หยุดจนร่างทั้งร่างโชกไปด้วยเลือดสดแล้ว ดูจากท่าทางคงจะทนได้อีกไม่นานแล้วกระมัง?
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “ดูเหมือนว่าซือถูเหวินอิงจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าด้วย? แรกเริ่มข้ายังไม่ค่อยเข้าใจการทุ่มไหแตกให้แหลกของนาง เวลานี้ในที่สุดก็เข้าใจเสียที มาเจอกับอาจารย์ถ่ายทอดวิชาเช่นเจ้า ช่างเถิด กับเจ้านั้นไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยอยู่แล้ว เอาเป็นว่าวันหน้ายอดเขาหม่านเยว่ของพวกเจ้าคงต้องเปลี่ยนชื่อแล้วล่ะ”
เรือข้ามฟากของทางการต้าหลีลำนั้นยังคงจอดอยู่นอกยอดเขาอีเซี่ยน แต่เฉาผิงกลับนั่งเรือยันต์จากไปแล้ว ทั้งไม่ได้จงใจทำให้อึกทึกครึกโครม แล้วก็ไม่ได้จงใจอำพรางร่องรอย ขอแค่เป็นคนที่ฉลาดพอ ย่อมเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
หากว่ากันในระดับใหญ่ เฉาผิงเข้าร่วมงานพิธีมีน้ำหนักมากกว่าการมาร่วมแสดงความยินดีของสกุลเจียงอวิ๋นหลินมากนัก นอกจากนี้บนเรือข้ามฟากของราชสำนักต้าหลีลำนี้ ขุนนางที่ร่วมเดินทางมาพร้อมกับทูตผู้ตรวจการท่านนี้ยังเป็นแค่รองเจ้ากรมพิธีการคนหนึ่งเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ใต้เท้าเจ้ากรมที่เป็นผู้ดูแลทำเนียบขุนเขาสายน้ำของหนึ่งแคว้น อีกทั้งต่อให้เป็นเจ้ากรมหยวนแห่งกรมพิธีการของเมืองหลวงยอมแหกกฎวงการขุนนางต้าหลีที่บอกว่า ‘เฉาหยวนไม่ร่วมทาง’ ยินดีมาเยี่ยมเยือนภูเขาตะวันเที่ยงพร้อมกับเฉาผิงที่มีชาติกำเนิดจากสกุลเสาค้ำยันแคว้นเหมือนกันจริงๆ ภูเขาตะวันเที่ยงก็ยังไม่กล้ามีความลำเอียงให้ใครเป็นพิเศษ
รองเจ้ากรมพิธีการที่ ‘ถูกบีบ’ ให้ต้องอยู่บนเรือข้ามฟากเพียงลำพังได้แต่รีบร้อนส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังเมืองหลวงต้าหลี หวังว่าเจ้ากรมหยวนของที่ว่าการบ้านตนจะบอกกล่าวมาอย่างชัดเจน หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนทำเรื่องผิดหรือพูดจาผิด
ลูกหลานตระกูลชั้นสูงที่มาจากตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์อย่างกวนอี้หรานและหลิวสวินเหม่ยมาชมความครึกครื้นบนระเบียงเรือข้ามฟากด้วยกัน หลูซานฝางที่อยู่ด้านข้างถูกชีฉีถองเข้าที่ชายโครง จึงได้แต่เปิดปากถามกวนอี้หราน “เป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดจากฝีมือเจ้าเด็กนั่นจริงๆ หรือ?”
ในอดีตตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน มีนักบัญชีที่ใบหน้าผอมตอบ แต่ดวงตากลับสว่างเจิดจ้าคนหนึ่งเคยดื่มเหล้าบนโต๊ะสุราร่วมกับผู้ฝึกยุทธบนสนามรบอย่างพวกเขา ทั้งความคอแข็งทั้งพฤติกรรมในการดื่มของเจ้าหมอนั่นล้วนยอดเยี่ยม ความสามารถในการยุคนให้ดื่มเหล้าก็ยิ่งเข้าขั้นเชี่ยวชาญ คนอื่นดื่มจนเมาแล้วต่างก็พยายามแหกปากร้องตะโกนว่าข้าผู้อาวุโสไม่เมา แต่เจ้าหมอนั่นกลับดีนัก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนว่าแค่ดื่มเพิ่มอีกครึ่งชามก็จะลงไปนอนกลิ้งใต้โต๊ะได้แล้ว แต่ผลกลับกลายเป็นว่าดันดื่มได้อีกชามแล้วชามเล่า แล้วก็เป็นคนผู้นั้นที่ดื่มไปเยอะที่สุดจริงๆ แต่กระนั้นกลับยังเดินออกไปจากโต๊ะเหล้าได้ทุกครั้ง
กวนอี้หรานเพียงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
ห่างจากเรือข้ามฟากไปไม่ไกล อวี๋ฮุ่ยถิงผู้ฝึกตนหญิงแห่งศาลลมหิมะยืนอยู่ข้างกายบุรุษรูปงามที่หากนับกันตามลำดับศักดิ์ก็คืออาจารย์อาของนาง สตรีที่มักจะมีสีหน้าเย็นชา สังหารศัตรูอย่างไร้ปราณีจนเลื่องชื่อในกลุ่มของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีคนนี้ เวลานี้กลับหน้าแดงระเรื่อ ถามเสียงอ่อนโยนว่า “อาจารย์อาเว่ย ท่านมาได้อย่างไร?”
บุรุษตอบอย่างเฉยเมย “อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เลยออกมาผ่อนคลายอารมณ์”
——