กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 823.3 ยกภูเขา
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า แต่จากนั้นก็พยักหน้าอีก คลี่ยิ้มเจิดจ้า ให้คำตอบที่อยู่เหนือความคาดหมายของหลิวเสี้ยนหยางแต่กลับสมเหตุสมผล เป็นคำพูดที่เฉินผิงอันจะพูด เป็นเรื่องที่เฉินผิงอันจะทำได้จริงๆ
‘ปีนั้นมันเกือบฆ่าเจ้าตายเชียวนะ ดังนั้นนับตั้งแต่วันแรกที่ข้าเรียนหมัดก็เริ่มจดจำความแค้นแล้ว ข้าผู้อาวุโสจะต้องทำให้สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นตายทั้งกายและใจให้จงได้!’
มรสุมลูกแล้วลูกเล่าถาโถม
เจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็น ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตหยกดิบผู้ยิ่งใหญ่ที่มีฝีมือครบทั้งรุกและรับ ถึงกับถูกหลิวเสี้ยนหยางมองแค่ปราดเดียวก็ถูกทำร้ายบาดเจ็บแล้ว กลิ่นอายความองอาจห้าวหาญ ความกล้าหาญมิกลัวตายของก่อนหน้านี้หมดสิ้นไม่มีเหลือ ต้องจากไปอย่างหม่นหมองพร้อมบาดแผล
เป็นเหตุให้ทั้งในและนอกภูเขาตะวันเที่ยงมีความคิดหนึ่งที่เหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ใครเป็นคนประเมินคนรุ่นเยาว์สิบคนและตัวสำรองสิบคนของแจกันสมบัติทวีปกันนะ ยังมีตาอยู่ไหม? เหตุใดถึงไม่มีคนอย่างหลิวเสี้ยนหยางติดอันดับอยู่ด้วย?!
ส่วน ‘คนตาบอด’ ที่เป็นตัวการสำคัญอย่าง ‘เถียนหว่าน’ แห่งยอดเขาจูอวี๋นั้น เวลานี้กำลังยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนเก้าอี้ยาวในเรือนหลังหนึ่งของยอดเขาสุ่ยหลง กำลังแทะปูดองเหล้าที่เหลืออีกครึ่งจาน คนที่ยืนอยู่ด้านข้างคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ใกล้บ้าเต็มที ในฐานะลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของบรรพจารย์ผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่ มีบทบาทสำคัญในการดูแลรายงานของหนึ่งภูเขา ต่อให้คิดจนหัวแตกก็ยังไม่เข้าใจว่าวันนี้บรรพจารย์หญิงผู้นี้เป็นอะไรกันแน่ เดี๋ยวก็เรียกตนว่า ‘พี่เทียนไฉ’ เดี๋ยวก็ชมตนว่าเป็น ‘ผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ พันปีก็ยากจะพานพบ’ จากนั้นก็เริ่มพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อนไร้ต้นสายปลายเหตุ บอกว่าพี่หลิวท่านไม่ได้ติดอันดับ จะโทษข้าในอดีตไม่ได้นะ ไม่เป็นไร วันหน้าได้เจอกับพี่ใหญ่หลิวอีกครั้ง ข้าจะตบปากตัวเองสิบเจ็ดสิบแปดทีเป็นการขออภัยเอง
หลิวเสี้ยนหยางไม่ติดอันดับสิบคนรุ่นเยาว์ ดูเหมือนว่าจะเสียเปรียบในด้านอายุที่มากไปสักหน่อย แต่แท้จริงแล้วนี่เป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจของสตรีอย่างเถียนหว่านผู้นี้ คนที่ติดอันดับ อายุมากสุดคือสี่สิบปี ปีนั้นหลิวเสี้ยนหยางเพิ่งจะสี่สิบเอ็ดพอดี
โจวจื่อผู้เป็นศิษย์พี่ทำการประเมินคนรุ่นเยาว์สิบคนและตัวสำรองสิบคนของหลายใต้หล้าอยู่เบื้องหลัง
เถียนหว่านผู้เป็นศิษย์น้องจึงเอาเยี่ยงอย่าง จงใจเลือกช่วงเวลาที่หลิวเสี้ยนหยางอายุสี่สิบเอ็ดปี ถึงเพิ่งจะตั้งใจคัดเลือกรายชื่อคนที่ติดอันดับสองฉบับให้กับภูเขาตะวันเที่ยงอย่างมีจุดประสงค์ซ่อนเร้น
ผู้ฝึกตนที่ดูแลเรื่องรายงานข่าวของภูเขาตะวันเที่ยงถามเสียงสั่น “วันนี้บรรพจารย์เถียนมาที่นี่เพราะมีเรื่องจะปรึกษากับผู้เยาว์หรือ?”
เมื่อก่อนเขามักจะเรียกชื่อเถียนหว่านตรงๆ เสมอ ทว่าเถียนหว่านในวันนี้แทบไม่ต่างอะไรจากหญิงบ้า ทำให้เขาใจคอไม่ดี
เถียนหว่านเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง น้ำเสียงยังคงเป็นเสียงของนาง เพียงแต่ว่านับตั้งแต่สายตาไปจนถึงสีหน้ากลับไม่ปกติเอาเสียเลย “พี่เทียนไฉ รังเกียจที่จะดื่มหล้ากินปูร่วมโต๊ะกับข้าหรือ? ทำไม ดูแคลนกันแล้ว? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะวิ่งออกไปเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ตะโกนบอกว่าท่านละโมบในความงาม พอเมาเหล้าก็เกิดตัณหา ทำตัวไร้มารยาทกับข้า?”
ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนนั้นจึงได้แต่นั่งลงอย่างหวาดเกรง รินเหล้าให้เถียนหว่านหนึ่งจอกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวังว่า “บรรพจารย์เถียน เจ้าสำนักมีคำสั่ง พวกเราต้องไปที่ยอดเขาอีเซี่ยนแล้ว”
เห็นเพียงว่าเถียนหว่านพลันจีบมือเป็นท่าดรรชนีดอกกล้วยไม้ คลี่ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “จะรีบร้อนไปไย ดื่มเหล้าก่อนแล้วค่อยจากไปก็ยังไม่สาย”
ทำเอาเขาสะอิดสะเอียนแทบแย่
ทางฝั่งของหน้าประตูภูเขายอดเขาอีเซี่ยน เซียนกระบี่ชุดเขียวที่บอกว่ายินดีรออีกหนึ่งก้านธูปกวาดตามองไปรอบด้าน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากอยู่ในกฎเกณฑ์ แต่ละคนสามารถทำเรื่องตามที่ตัวเองชื่นชอบได้”
หมี่อวี้เหลือบตามองยอดเขาฉงจือที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สตรีที่ยังอยู่ในภูเขาต่างก็เงยหน้ามองมาที่ตน ดวงตาแต่ละคู่นั้นชุ่มฉ่ำคล้ายสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง
หมี่อวี้โมโหไม่เบา แต่ละคนคิดว่าข้าผู้อาวุโสคือชายโสดที่กินไม่เลือกอย่างนั้นหรือ? ไม่ลองสืบข่าวมาบ้างเล่าว่าตอนอยู่บ้านเกิด การที่ชื่อเสียงของข้าผู้อาวุโสย่ำแย่ขนาดนั้น อย่างน้อยก็มีครึ่งหนึ่งที่เกิดจากความอิจฉาริษยาที่พวกชายโสดทั้งเด็กและแก่ทั้งหลายช่วยกันกระพือข่าว
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋เยว่ได้ยินก็ให้ปิติยินดียิ่งนัก กำหมัดถูมืออย่างคึกคัก
หลังจากที่หลิ่วอวี้ออกมาจากยอดเขาฉงจือ นางก็ไม่ได้ติดตามอาจารย์ไปที่หอถิงเจี้ยนของภูเขาบรรพบุรุษโดยตรง แต่รีบทิ้งตัวดิ่งลงหน้าประตูภูเขาอีเซี่ยน ไปประคองอวี่หลิ่นที่ลมปราณอ่อนแอจึงเพิ่งจะฟื้นตื่นขึ้นมาอย่างเชื่องช้า หน้าผากนางเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ถามเสียงสั่นว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน พวกเราเดินไปได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “แน่นอน”
อวี่หลิ่นและหลิ่วอวี้ อันที่จริงต่างก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถามกระบี่ครั้งนี้ คนทั้งสองก็แค่ถูกเซียนกระบี่ผู้เฒ่าอย่างพวกจู๋หวงจับโยนออกมา จงใจสร้างความสะอิดสะเอียนให้กับหลิวเสี้ยนหยางและสำนักกระบี่หลงเฉวียนเท่านั้น
แต่หลิ่วอวี้มีจิตใจที่ไม่เลวร้าย ทว่าอวี่หลิ่นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่อาจนับได้ เพราะถูกชะตากับภูเขาตะวันเที่ยงมากจริงๆ ควรมาฝึกตนอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดคุยกับเจ้ายอดเขาหนุ่มของยอดเขาอวี่เจี่ยวว่า “แค่แสร้งทำท่าก็ยังทำได้ไม่เหมือน มิน่าเล่าถึงถูกขับออกมาจากสำนักกระบี่หลงเฉวียน วันหน้าอยู่ในภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนี้ก็พยายามให้มากเข้าหน่อย เลียนแบบเอาอย่าง พยายามฝึกฝนให้ได้ขอบเขตก่อกำเนิดเสียก่อน จากนั้นค่อยออกกระบี่เอาอย่างเทพเจ้าแห่งโชคลาภเถา ผู้คุมกฎเยี่ยน ต่อมาเมื่อฝึกจนได้หยกดิบก็จะสามารถเอาอย่างบรรพจารย์ผู้เฒ่าเซี่ยได้แล้ว”
อวี่หลิ่นริมฝีปากสั่นระริก สีหน้าเขียวคล้ำ
ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ ต่อให้เขาถูกหมิ่นเกียรติดูแคลนตอนอยู่สำนักกระบี่หลงเฉวียน แต่พอมาถึงภูเขาตะวันเที่ยง เขาก็ยังคงเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ลำดับหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่าได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง กลายเป็นเซียนกระบี่หนุ่มอายุสี่สิบปีคนหนึ่งแล้ว และยังได้เปิดยอดเขาอวี่เจี่ยว สามารถรับลูกศิษย์ผู้สืบทอด ผู้ฝึกกระบี่สายของยอดเขาอวี่เจี่ยวได้แตกกิ่งก้านสาขาไปนับแต่นี้ เต็มไปด้วยความหวัง และสักวันหนึ่งเขาก็จะต้องไปถามกระบี่ต่อสำนักกระบี่หลงเฉวียน ถามกระบี่ต่อภูเขาเสินเซิ่วให้จงได้!
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “ยังไม่ไปอีกหรือ? ตอนเดินไป จำไว้ว่าต้องแสดงละครให้ถึงที่สุด ไม่อย่างนั้นหากทำท่ากระโดดโลดเต้นมีชีวิตชีวา ทั้งๆ ที่มีเรี่ยวแรงถามกระบี่แต่กลับไม่ยอมถามกระบี่ วันหน้าชื่อเสียงจะไม่ฉาวโฉ่แย่หรอกหรือ? จะกลายเป็นว่าแม้แต่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนี้ก็จะอยู่ไม่ได้เอานะ”
สำหรับผู้ฝึกตนของฝ่ายต่างๆ ในแจกันสมบัติทวีปที่ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกับเรื่องครั้งนี้ วันนี้เพียงแค่ชมเรื่องสนุกอยู่ไกลๆ ก็เต็มอิ่มแล้ว อิ่มจนเกือบจะท้องแตกตายแล้วด้วยซ้ำ
อันดับแรกก็เป็นหวงเหอเจ้าสวนลมฟ้าที่ปรากฏตัวตรงท่าเรือป๋ายลู่ ส่งกระบี่อยู่ไกลๆ หนึ่งครั้ง แสงกระบี่ก็กระจัดกระจายออกไปหล่นลงตามยอดเขาทั้งหลายในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าเป็นการเปิดฉากให้กับคนนอกที่มาร่วมงานของภูเขาตะวันเที่ยง ช่วยเปิดฤกษ์อันดีให้กับงานพิธีของวันนี้
เดิมทีได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ถือว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว ต่อให้เป็นพวกผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาที่ไม่อาจไปนั่งลงดื่มเหล้าบนยอดเขาอีเซี่ยนก็ยังถือว่ามาเยือนอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงอย่างไม่เสียเปล่า
เหล้าหมักตระกูลเซียนในงานเลี้ยงคือเหล้า เหล้าในหมู่ชาวบ้านก็เป็นเหล้าเหมือนกัน ราคาไม่เหมือนกัน หนึ่งคือดื่มเงินเทพเซียน แต่อีกหนึ่งก็สามารถดื่มความครึกครื้นได้จนเกินพอเหมือนกัน
จากนั้นก็มีหลิวเสี้ยนหยางผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียนมาปรากฏตัวที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาบรรพบุรุษ การถามกระบี่แต่ละครั้งเกิดเรื่องไม่คาดฝันติดกันต่อเนื่อง ทำให้คนนอกรู้สึกเพียงว่าไม่อาจกะพริบตาได้เลย ในใจรู้สึกเสพติดความรู้สึกนี้ หลิ่วอวี้แห่งยอดเขาฉงจือ อวี่หลิ่นแห่งยอดเขาอวี่เจี่ยว ผีหญิงแห่งยอดเขาหม่านเยว่ ต่างคนต่างรับกระบี่ ผลคือก็ยังไม่อาจสกัดขวางฝีเท้าในการเดินขึ้นเขาของหลิวเสี้ยนหยางได้ ไม่เพียงเท่านี้ ค่ายกลกระบี่สองแห่งจากยอดเขาโปอวิ๋นและยอดเขาเพียนเซียน เมื่อเผชิญหน้ากับการถามกระบี่ของหลิวเสี้ยนหยางกลับไม่ต่างอะไรจากกระดาษเปียก มิอาจต้านทานการโจมตีได้เลย หลังจากนั้นผู้ฝึกกระบี่สองกลุ่มจากภูเขาชิวลิ่งและยอดเขาสุ่ยหลงก็ยิ่งบาดเจ็บล้มตายกันไปหนักกว่า คนที่ขอบเขตถดถอยก็ขอบเขตถดถอย คนที่กระบี่หักก็กระบี่หัก และยังมีศพของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่ยิ่งถูกหลิวเสี้ยนหยางโยนทิ้งไว้ตรงตีนเขาด้านหลังตัวเอง
อีกทั้งไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่เมื่อก่อนไร้ชื่อเสียงอยู่ในแจกันสมบัติทวีปคนนี้ ไม่เพียงแต่เดินขึ้นเขาสำเร็จ ไม่มีใครสามารถขัดขวางเขาได้ แม้แต่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าสามคนที่รับผิดชอบเฝ้าหอถิงเจี้ยนก็ยังไม่อาจขัดขวางการเดินขึ้นสู่ยอดเขาสูงของหลิวเสี้ยนหยาง ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าแห่งยอดเขาหม่านเยว่ที่ชื่อเสียงคุณธรรมดีงามอย่างเซี่ยหย่วนชุ่ยก็ยังมีสภาพไม่ต่างจากอวี่หลิ่น ถึงกับถูกหลิวเสี้ยนหยางลากขึ้นไปบนยอดกระบี่
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ก็ราวกับว่าเกิดการขานรับกับการถามกระบี่พวกนี้อยู่ไกลๆ เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำแล้วลำเล่า ผู้ฝึกตนบนยอดเขาคนแล้วคนเล่า ต่างทยอยกันไปจากอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยง บ้างก็เปิดเผย บ้างก็เงียบเชียบ
ใต้หล้ามีการร่วมงานพิธีเช่นนี้ด้วยหรือ?
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เซียนกระบี่แต่ละท่าน ต่างก็ทะยานลมหยุดลอยอยู่กลางอากาศสูง แยกกันอยู่ตามยอดเขาทั้งหลาย
นี่ไม่ใช่ว่าต้องการจะย้ายภูเขาหรือไร? ภูเขาที่ภูเขาลั่วพั่วจะย้ายวันนี้ก็คือภูเขาตะวันเที่ยง
ส่วนเซียนกระบี่ชุดเขียวที่เป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่วคนนั้น ปรากฏตัวที่หน้าประตูภูเขา สรุปแล้วจะถามกระบี่อย่างไรกันแน่?
ไม่อาจจินตนาการได้เลย
มีหลิวเสี้ยนหยางถามกระบี่หลายต่อหลายครั้งนำหน้าไปก่อน พวกแขกที่ชมอยู่ตามยอดเขาทั้งหลายจึงยากที่จะจินตนาการได้ถึงเรื่องไม่คาดฝันที่มากกว่านี้
หลังจากหลิ่วอวี้และอวี่หลิ่นจากไป
เฉินผิงอันแหงนหน้ามองไปทางยอดกระบี่ ออกเสียงเอ่ยเตือนพวกคนที่ประชุมศาลบรรพจารย์อย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “หนึ่งก้านธูปผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
ระหว่างที่พูด
กลางอากาศเหนือยอดกระบี่ปรากฏเป็นแสงกระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดจุดหนึ่ง
แม้แต่เว่ยจิ้นก็ยังแหงนหน้ามอง รวบรวมสมาธิเพ่งมองแสงกระบี่จุดนั้น คล้ายจะรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
เห็นเพียงว่าแสงกระบี่ที่ตอนแรกเล็กเท่าเมล็ดงา พริบตาเดียวก็ลากยาวกลายเป็นแสงกระบี่พร่างพราวที่มีพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม กลายเป็นเส้นตรงดิ่งที่แผ่ลามไปสี่ด้านแปดทิศอย่างรวดเร็ว
จากนั้นแสงกระบี่ทั้งหลายก็หยุดชะงักในเวลาเดียวกัน เส้นตรงสีขาวหิมะรวมทั้งสิ้นสิบเส้นพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าตรงจุดที่หยุดชะงัก มีปราณกระบี่รวมตัวกันเป็นตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันแยกเป็นคำว่าเจี่ย อี่ ปิ่ง…เหริน กุ่ย (การเรียงลำดับจากหนึ่งถึงสิบ) รวมทั้งหมดสิบตัว สีทองส่องประกายระยิบระยับ เจิดจ้าพร่าตา
ตัวอักษรสีทองสิบตัวที่ปณิธานกระบี่เข้มข้นเริ่มหมุนวนช้าๆ เส้นยาวแสงกระบี่สิบเส้นจึงหมุนตามไปด้วย เมื่ออยู่เหนือยอดเขาอีเซี่ยนของภูเขาตะวันเที่ยงจึงก่อให้เกิดเงาเล็กๆ เส้นแล้วเส้นเล่าทอดตัวลงมา
หลังจากนั้นก็เป็นแสงกระบี่เส้นที่สองที่สาดยิงไปสี่ด้าน ครั้งนี้เป็นการจำแลงวิถีกระบี่ของสิบสองแผนภูมิดิน แล้วแบ่งออกเป็นแสงกระบี่เล็กๆ อีกสิบสองเส้น แต่ละเส้นต่างก็มีตัวอักษรที่คอยบังคับเส้นยาวแสงกระบี่ที่เมื่อเทียบกับแผนภูมิฟ้าแล้วมีระยะห่างอยู่หลายจั้ง เริ่มหมุนวนอย่างเป็นระเบียบ เป็นเหตุให้บนยอดเขาอีเซี่ยนเกิด ‘ร่มเงาเย็นสบาย’ สิบสองเส้นที่เล็กจนสามารถมองข้ามไปได้เลย ทว่ากลับทำให้จิตวิญญาณของคนสะท้านสะเทือน
ตามมาติดๆ ด้วยแสงกระบี่ตรงใจกลางที่สาดยิงเส้นตรงแสงกระบี่ออกไปอีกยี่สิบสี่เส้น และตรงปลายบนสุดของแสงกระบี่ก็มีตัวอักษรสีทองของยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลที่หยุดลอยนิ่ง อีกทั้งเมื่อเทียบกับเส้นตรงที่บริสุทธิ์ของแผนภูมิฟ้าและแผนภูมิดินแล้ว หลังจากที่ตัวอักษรพวกนี้ปรากฎก็มีวิถีกระบี่ที่คล้ายกับบรรลุถึงขอบเขตที่คนและฟ้าขานรับกันและกัน จำแลงออกมาเป็นภาพปรากฎการณ์ของช่วงอากาศยี่สิบสี่ชนิดที่ไม่เหมือนกันในหนึ่งปีสี่ฤดูกาล
หลังจากนั้นก็ยังมีแสงกระบี่อีกยี่สิบแปดเส้นถูกดึงออกมาเหมือนกลุ่มดาวยี่สิบแปดดวงที่เคลื่อนโคจรอยู่บนฟ้า สุดท้ายกลายมาเป็นธารดวงดาวทรงกลมเส้นหนึ่ง
ต่อมาก็คือยอดเขาสามสิบหกแห่งที่ถือกำเนิด ประหนึ่งภาพมายาที่ตั้งตระหง่านอยู่ในอาณาเขตที่แสงกระบี่แต่ละเส้นแบ่งออกมาบนท้องฟ้า
ตามมาด้วยตารางบันทึกเหตุการณ์หกสิบปี ประหนึ่งนักบัญชีประหลาดคนหนึ่งช่วยจัดเรียงลำดับปีท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนานให้กับฟ้าดิน
ยังคงมีแสงกระบี่อีกเจ็ดสิบสองเส้นที่ราวกับคัดลอกแม่น้ำของสามทวีปมา จากนั้นก็ถูกเซียนเหรินใช้วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่บีบบังคับให้แม่น้ำใหญ่ที่คดเคี้ยวแต่ละสายถูกลากออกเป็นเส้นตรง
หลังจากนั้นก็เป็นแสงกระบี่เส้นตรงที่สั้นที่สุดหนึ่งร้อยแปดเส้นลอดทะลุตัวอักษรสีทองที่คล้ายกับไข่มุกวิเศษหนึ่งร้อยแปดเม็ดที่อยู่ยอดบนสุด แล้วร้อยเรียงกันเป็นวงกลม
วงกลมแสงกระบี่แต่ละวงทับซ้อนกันเป็นชั้นแน่นขนัด ปราณกระบี่ดุจก้อนเมฆหนาชั้นมืดฟ้ามัวดิน ปณิธานกระบี่ยิ่งใหญ่ไพศาล เป็นระเบียบเรียบร้อย
คนผู้หนึ่งถามกระบี่ ขบวนรบอยู่บนฟ้า
เป็นเหตุให้ภูเขาบรรพบุรุษทั้งลูกของภูเขาตะวันเที่ยง ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่อยู่บนยอดกระบี่และหอถิงเจี้ยนล้วนถูกปกคลุมอยู่ภายในเงาของแสงกระบี่
หากจะพูดถึงเรื่องของการคิดค้นกระบวนท่าหมัด เมื่อเทียบกับเฉาสือที่หมัดใหม่ ‘ไม่ถึงสามสิบ’ ในการถามหมัดที่สวนกงเต๋อแล้ว เฉินผิงอันย่อมเป็นรองอยู่เล็กน้อย
แต่ข้าผู้อาวุโสคือผู้ฝึกกระบี่นะ เจ้าเฉาสือแน่จริงก็ลองคิดค้นกระบวนท่ากระบี่ขึ้นมาเองดูสิ?
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ดูเหมือนว่าแบบนี้ออกจะหน้าไม่อายเกินไป อย่าได้ลากสหายรักเฉาสือมาเปรียบเทียบด้วยจะดีกว่า
จู่ๆ ก็ขยับเดินไปด้านข้างหนึ่งก้าว คนชุดเขียวพลิ้วกายลงบนพื้น เฉินผิงอันยกมือขึ้นประกบสองนิ้ว สัมผัสกับปิ่นหยกขาวที่ปักอยู่บนมวยผมเบาๆ
ทางฝั่งของยอดกระบี่ อันที่จริงได้เริ่มการประชุมกันแล้ว เรื่องของการประชุมก็เรียบง่ายมาก ต่างคนต่างแสดงท่าที พยักหน้า เพื่อแสดงว่าเห็นด้วยกับการตัดชื่อของหยวนเจินเย่ออกจากทำเนียบหยกทองของภูเขาตะวันเที่ยง ส่ายหน้าเพื่อแสดงการปฏิเสธ
แต่ก็มีพวกบรรพจารย์บางคนที่สองจิตสองใจ ไม่อาจตัดสินใจได้อย่างฉับไว
เฉินผิงอันถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ยื่นมือไปกุมด้ามกระบี่เย่โหยว
เพิ่งจะมารู้เอาตอนหลังว่า ปีนั้นอาจารย์ฉีเคยพูดกับวานรย้ายภูเขาตัวนั้นว่า หากเป็นตอนยังหนุ่ม ออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูจะกระทืบภูเขาตะวันเที่ยงด้วยเท้าเดียว
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก เรือนกายงองุ้มลงเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้กลับทำให้เขาผ่อนคลายมากกว่า เขาพึมพำว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสักที?”
มือถือเย่โหยว หนึ่งกระบี่ปาดออกไปในแนวขวาง แสงกระบี่สาดประกายเจิดจ้า เส้นแนวนอนเส้นหนึ่งฟันผ่าที่ตีนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง สะบั้นรากภูเขาของภูเขาบรรพบุรุษไปโดยตรง
ไม่เพียงเท่านี้ มือขวาของเฉินผิงอันถือกระบี่ ปลายกระบี่ชี้ไปที่ประตูภูเขา มือซ้ายเคาะลงบนด้ามกระบี่
ยอดเขาอีเซี่ยนทั้งลูกก็ถูกยกขึ้นลอยสูงจากพื้นหลายจั้ง!
ตามมาด้วยค่ายกลกระบี่บนท้องฟ้าที่ขนาดหดเล็กลงมาเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูร่วงดิ่งลงมา พริบตาเดียวก็กระแทกใส่ศาลบรรพจารย์ที่ตั้งอยู่ยอดกระบี่จนศาลแหลกเละ ฝุ่นผงคลุ้งกระจายไปทั่ว ชวนประหวั่นขวัญผวา
พวกเจ้าประชุมกันต่อไปได้เลย
ข้าเปิดภูเขาก่อน แล้วค่อยยกภูเขา รื้อศาลบรรพจารย์
——