กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 824.2 เจ้าก็ลองดู
อวี๋ฮุ่ยถิงยืนอยู่ข้างกายเว่ยจิ้น ใช้เสียงในใจสอบถาม “อาจารย์อาเว่ย? เขาคือหมี่ผ่าเอวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นจริงๆ หรือ?”
เจ้าหมอนั่น นางรู้จัก ครั้งแรกสุดได้เจอกันท่ามกลางขุนเขาสายน้ำ ตอนนั้นคนผู้นี้อยู่กับสตรีจากตำหนักฉางชุน แล้วยังบอกว่าตัวเองรู้จักอาจารย์อาเว่ย ตอนนั้นนางเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือพวกเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก ภายหลังคนผู้นี้แอบไปเยือนหอเทพเซียนของอาจารย์อาเว่ย ไปขโมยกิ่งไม้ของต้นสนหมื่นปีต้นนั้น ทั้งๆ ที่เจ้าขุนเขาจับได้ แต่กลับไม่ได้ขัดขวาง อีกทั้งฟังจากคำพูดของเขาแล้วยังคล้ายจะกริ่งเกรงผู้ฝึกกระบี่คนนี้อย่างมาก มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งแน่นอน ตอนนี้อวี๋ฮุ่ยถิงยังกึ่งเชื่อกึ่งกังขา ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจจะรู้จักอาจารย์อาเว่ยจริงๆ ก็ได้
เว่ยจิ้นพยักหน้า “ใช่แล้ว หมี่อวี้ที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ คุณสมบัติด้านการฝึกตนล้วนถือว่าโดดเด่นอย่างมาก เพียงแต่ว่าการออกกระบี่ในอดีตของหมี่อวี้ล้วนชอบหาเรื่องใส่ตัว หมี่อวี้ตอนที่อยู่สองขอบเขตของเซียนดินกับหมี่อวี้ตอนอยู่ขอบเขตหยกดิบ หนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือดิน”
อวี๋ถิงฮุ่ยอดไม่ไหวมองไปยังสตรีที่อยู่ตรงท่าเรือป๋ายลู่ “อาจารย์อาเว่ย นางคือ?”
เว่ยจิ้นกล่าวอย่างเฉยเมย “หากไม่เชื่อก็ไปถามเอาเอง”
อวี๋ฮุ่ยถิงทำท่าจะทะยานลมจากไป อาจารย์อาเว่ยไม่สะทกสะท้าน นางจึงได้แต่เก็บริ้วคลื่นลมปราณส่วนนั้นมาอย่างขลาดๆ
นางได้แต่ถามเสียงเบา “อาจารย์อาเว่ยจะออกกระบี่ด้วยหรือ?”
เว่ยจิ้นกล่าวอย่างจนใจ “จำเป็นด้วยหรือ?”
อวี๋ฮุ่ยถิงถามอย่างกังขา “ถึงอย่างไรที่ยอดกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงก็ยังมีเซียนเหรินที่เกิดจากการรวมตัวกันของวิถีกระบี่มากมายอยู่ด้วย”
เว่ยจิ้นส่ายหน้า “ขอแค่หนิงเหยาออกกระบี่ แค่ดีดนิ้วก็แหลกสลาย”
เว่ยจิ้นที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้เท้าอิ่นกวานที่ไม่เคยดื่มเหล้าแพ้ใครคนนี้ก็ไม่มีทางมอบโอกาสนี้ให้ภูเขาตะวันเที่ยง”
จิตใจอวี๋ฮุ่ยถิงสั่นสะท้าน “อิ่นกวาน?!”
เว่ยจิ้นกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้หรือ?”
ใบหน้าของอวี๋ฮุ่ยถิงเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ จะไปรู้ได้อย่างไร
เว่ยจิ้นไม่พูดอะไรอีก เพราะรู้สึกรำคาญมากแล้วจริงๆ ควรไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้เร็วหน่อยดีกว่า ไปขอให้อาจารย์จั่วช่วยสอนเวทกระบี่ให้ แบบนั้นถึงจะได้หายหงุดหงิด
ก่อนหน้านี้อู๋ถีจิงซ่อนตัวอยู่ในมุมลับ ออกกระบี่อย่างเด็ดเดี่ยว พอหลิวเสี้ยนหยางไปถึงหอถิงเจี้ยน อู๋ถีจิงก็แทบจะออกกระบี่พร้อมกับเซี่ยหย่วนชุ่ยที่เป็นขอบเขตหยกดิบ
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ตอนนี้ขอบเขตยังเป็นแค่โอสถทองไม่เพียงแต่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีชื่อว่ายวนยางออกมา ยังเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองที่ได้ครอบครองวิชาอภินิหารสองอย่างออกมาพร้อมกันด้วย
วิชาอภินิหารสองอย่างล้วนไร้เหตุผล ทั้งสามารถช่วยให้ตนฝ่าทะลุขอบเขตได้ชั่วคราว แล้วยังสามารถสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่ลี้ลับมหัศจรรย์แห่งหนึ่งขึ้นมาได้ด้วย
ก่อนหน้านี้เท่ากับว่าอู๋ถีจิงได้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่เป็นภาพมายาล่องลอยแห่งหนึ่งขึ้นมาระหว่างตัวเองกับเถาแยนโปและเยี่ยนฉู่สองคน ดังนั้นหากใครก็ตามเจอการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตก็สามารถเฉลี่ยบาดแผลไปให้ผู้อื่นได้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต สำหรับการถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ที่ความเป็นและความตายมีเพียงเส้นบางๆ กางกั้นแล้ว นี่เรียกว่าเป็นการลงมืออย่างไร้เหตุผลที่สามารถสับเปลี่ยนแพ้ชนะและเป็นตายได้เลย
คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังคงทำไม่สำเร็จ หลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นยังคงเดินขึ้นเขาต่อไปได้
อู๋ถีจิงเช็ดใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด นี่เป็นบาดแผลที่เกิดจากการสะท้อนกลับของกระบี่บินยวนยาง บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่ทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคา อู๋ถีจิงจึงไม่เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาเป็นกังวลอย่างแท้จริงก็คือเขาอาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ทำให้มองเห็นสตรีสองคนนั้น
ชั่วพริบตานั้นราวกับว่าอู๋ถีจิงถูกดึงวิญญาณออกจากร่าง คนหนึ่งเรือนกายอยู่ท่ามกลางทะเมฆ แหงนหน้ามองไป เผชิญกับดวงตาสีทองคู่นั้นของมังกรที่แท้จริง ต่อให้จะหรี่ตา ทว่าปราณแห่งมหามรรคาที่อยู่บนร่างซึ่งมีโชควาสนาลึกล้ำของมัน หรือควรจะเรียกว่านาง ก็ยังคงทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออกได้อยู่ดี
ตนอีกคนหนึ่งราวกับอยู่ในดวงจันทร์บนท้องฟ้า ใต้ฝ่าเท้าคือใต้หล้าที่ไม่คุ้นเคย คนที่มองเห็นคือสตรีหน้ากลมที่ทั้งใบหน้าและเรือนกายล้วนเห็นได้อย่างชัดเจน นางไม่ได้ขุ่นเคือง ก็แค่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง กะพริบตาปริบๆ คล้ายกำลังถามว่าเจ้าคือใคร
ดังนั้นวินาทีที่อู๋ถีจิงออกกระบี่จึงเก็บกระบี่กลับมาแทบจะในทันที
การออกกระบี่ครั้งนี้เดิมทีก็ผิดต่อเจตจำนงเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในฐานะผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ ทำให้เขาจำต้องออกกระบี่เพื่อสำนักสองครั้ง รอกระทั่งจู๋หวงป่าวประกาศอยู่บนยอดกระบี่ว่าจะตัดชื่อวานรเฒ่าชุดขาวออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูล อู๋ถีจิงก็รู้สึกผิดหวังอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ไม่คู่ควรจะเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาของตน
ไปยังยอดเขาจูอวี๋ อู๋ถีจิงกลับไม่เจอกับเถียนหว่านที่พาตนขึ้นเขา เขาจึงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ เอ่ยขอบคุณนาง ถือเป็นการขอบคุณที่เถียนหว่านพาตนขึ้นเขามาฝึกตน
จากนั้นจึงไปที่ยอดเขาเดียวดายเล็ก ไปพบซูเจี้ยครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่านางคุ้นเคยกับตนยิ่งนัก แม้ว่านิสัยของอู๋ถีจิงจะรักสันโดษ แต่กับเรื่องการฝึกตน เขากลับมีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ราวกับว่าเกิดมาก็ได้ครอบครองมันอยู่แล้ว รู้ว่านี่คือความปรารถนาและโชควาสนาอย่างหนึ่งบนภูเขา มีความเกี่ยวข้องกับภพชาติก่อน แต่อู๋ถีจิงกลับไม่รู้สึกว่าสตรีคนหนึ่งจะทำให้การฝึกกระบี่ของตนถูกถ่วงเวลาให้ล่าช้าได้
สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่มากพรสวรรค์ที่เพิ่งจะอายุยี่สิบปีคนนี้จึงถือโอกาสนี้ออกไปจากภูเขาตะวันเที่ยงอย่างเงียบเชียบ คิดว่าจะไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีชีวิตเสรี
ฝึกกระบี่อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน จู๋หวงถ่ายทอดเวทกระบี่ เดิมทีอู๋ถีจิงก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความสูงส่งลี้ลับตรงไหน แค่เรียนรู้ก็เป็นแล้ว เรียนเป็นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีประโยชน์ใหญ่หลวงใดๆ
ส่วนเรื่องที่ว่าจู๋หวงจะเก็บงำความรู้ มีเวทกระบี่ชั้นสูงที่เป็นวิชาก้นกรุแต่ไม่ยอมถ่ายทอดให้เขาหรือไม่ อู๋ถีจิงไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ไม่ได้เรียนก็ไม่เห็นจะเป็นไร
เรือนกายของอู๋ถีจิงกลายเป็นแสงกระบี่เล็กบางเส้นหนึ่งที่จากไปอย่างเงียบเชียบ
แต่จู่ๆ เขาก็ต้องหยุดชะงัก เพราะอู๋ถีจิงสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่าท่ามกลางเงาต้นไม้จุดหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้ามีแสงผิดปกติจุดหนึ่งโผล่ขึ้นมา คือแสงจันทร์ที่ไม่สมควรจะโผล่มาเวลานี้เด็ดขาด
ทางฝั่งของท่าเรือป๋ายลู่ แม่นางหน้ากลมคนหนึ่งที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงใช้ต้นอ้อวักน้ำพลางถามชวนคุยไปด้วย “เจ้าคือใคร? จะไปที่ไหน?”
อู๋ถีจิงปรากฏกาย ตอบรับฉับไว “อู๋ถีจิง เตรียมจะออกจากภูเขาไปหาประสบการณ์”
สตรีผู้นั้นร้องอ้อแค่หนึ่งทีแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
อู๋ถีจิงรออยู่นาน ผลคือแสงจันทร์น้อยนิดนั่นสลายหายไป แล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ทว่าขณะที่อู๋ถีจิงเตรียมจะออกเดินทางต่ออีกครั้งนั้นเอง กลับมีแสงจันทร์อีกจำนวนหนึ่งมารวมตัวกันในเงาไม้จุดอื่น “เหตุใดเจ้าถึงยืนนิ่งไม่ขยับ ข้าไม่ได้ขวางเจ้าสักหน่อย ไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน ก็แค่ต้องเตือนเจ้าสักคำว่า วันหน้าเจ้าก็คือคนที่ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก อย่าได้ออกกระบี่อย่างส่งเดชแบบนี้อีกเด็ดขาด โชคดีนะที่ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ว่าไหม?”
อู๋ถีจิงไม่ใช่คนที่ขี้ระแวง หากอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยคำพูดพวกนี้ อู๋ถีจิงคิดจะไปก็คงไปเลย แต่คำพูดประโยคนี้ของอีกฝ่าย ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนว่าไม่คิดจะเลิกราแต่โดยดี อู๋ถีจิงจึงจำต้องรวบรวมสมาธิ เตรียมจะประลองฝีมือกับอีกฝ่าย เพราะถึงอย่างไรก็เป็นอีกฝ่ายที่เป็นฝ่ายมีเหตุผล แบ่งแพ้ชนะหรือแบ่งเป็นตาย อู๋ถีจิงล้วนรู้สึกว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว อู๋ถีจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแสงกระบี่ทิ้งตัวดิ่งลงมา ท่ามกลางเงาต้นไม้ เงาก้อนหินทั้งหมด ทุกจุดล้วนมีแสงกระบี่สลายร่มเงาจนแหลกเละไม่เว้นว่างเลยสักที่
สุดท้ายแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่ชะลอความเร็วคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนาก็หล่นลงมาในเงาของตน
เซอเยว่ที่อยู่ท่าเรือป๋ายลู่เอ่ยอย่างกังขา “เจ้าสมองมีปัญหาหรือไร? เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วร้ายกาจนักหรือ?”
อู๋ถีจิงขมวดคิ้ว “สรุปว่าเจ้าจะขวางข้าหรือไม่?”
เซอเยว่โยนต้นอ้อที่อยู่ในมือทิ้ง ลุกขึ้นพูดกลั้วหัวเราะอย่างฉุนๆ “เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม รีบลงจากภูเขาไปซะ!”
อู๋ถีจิงไม่เหลือความลังเลอีก เรือนกายกลับคืนมาเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่ออกไปจากภูเขาตะวันเที่ยง
หนิงเหยาสังเกตเห็นเหตุการณ์ทางฝั่งของเซอเยว่จึงใช้เสียงในใจถาม “มีเรื่องหรือ?”
แม่นางหน้ากลมรีบโบกมือ หัวเราะร่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”
หนิงเหยากล่าว “มีอะไรก็บอก ไม่ต้องเกรงใจ”
เซอเยว่รีบพูด “นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
หนิงเหยารู้สึกว่าเซอเยว่ผู้นี้เหมาะสมกับหลิวเสี้ยนหยางยิ่งนัก ต่างก็ใจใหญ่ แล้วยังไม่ชอบทำตัวห่างเหินด้วย
เจ้าขุนเขาผู้เฒ่าของภูเขาเมฆาเรืองที่ถอยออกมาจากอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงนานแล้วคอยมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออยู่ตลอดเวลา ภาพที่สวี่หุนร่วงหล่นลงพื้นบนยอดกระบี่ ทำให้คนมองขนลุกขนชันอย่างแท้จริง เซียนซือผู้เฒ่าลูบหนวดถอนหายใจ “จินเจี่ยน โชคดีที่อาจารย์ฟังคำแนะนำของเจ้า ไม่อย่างนั้นคงต้องเดินตามรอยสวี่หุนแห่งนครลมเย็นแล้ว ความเป็นความตาย เกียรติยศหรือความอัปยศของข้าคนเดียวยังไม่เท่าไร ไม่ได้สำคัญอะไร แต่หากเดือดร้อนภูเขาเมฆาเรืองให้ติดร่างแหไปด้วย ไม่แน่ว่าทุกอย่างที่ทำมาล้วนต้องเสียเปล่า ไม่มีความหวังที่จะเลื่อนเป็นสำนักอักษรจงอีก อันตรายยิ่งนัก โชคดีแล้ว โชคดีแล้ว”
ไช่จินเจี่ยนเพียงแค่อืมรับเบาๆ หนึ่งที สีหน้าของนางซับซ้อน ยกมือขึ้นลูบลำคอ
ในอดีตตอนอยู่ในตรอกเล็ก นางไม่ทันระวัง จึงเคยถูกเด็กหนุ่มจากตรอกเก่าโทรมคนหนึ่งใช้เศษกระเบื้องสังหาร
หลังจากที่นางมีชีวิตรอดออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูได้ก็เจอกับโอกาสอันดีติดต่อกัน อันดับแรกก็โชคดีได้เลื่อนเป็นโอสถทองสำเร็จอย่างเหนือการคาดคิดของทุกคน ได้เปิดยอดเขา กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของศาลบรรพจารย์ภูเขาเมฆาเรือง จากนั้นก็ใช้สถานะของผู้ฝึกตนเซียนดินไปเยือนหอบินทะยานที่ราชสำนักต้าหลีเป็นผู้เปิด ได้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นก่อกำเนิด บนภูเขาล่างภูเขาล้วนถูกผู้คนเรียกขานอย่างให้ความเคารพว่าบรรพจารย์ อีกทั้งที่ภูเขาของสำนักมีการ ‘ชมทะเลเมฆ’ ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด แสงเรืองรองบนก้อนเมฆงามเหนือสามัญ ซุกซ่อนปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินเอาไว้จึงถูกขนานนามให้เป็น ‘สมบัติล้ำค่าบนฟ้า’ ไช่จินเจี่ยนก็ได้รับโชควาสนาอีกครั้งหนึ่ง ทุกวันนี้จึงเป็นว่าที่เจ้าขุนเขาคนถัดไปของภูเขาเมฆาเรืองอย่างไม่มีข้อกังขาแล้ว เพราะอาจารย์ได้ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากเข้าร่วมงานพิธีครั้งนี้ก็จะปิดด่านเป็นตาย หากไม่ฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนเป็นหยกดิบก็ต้องสละร่างตายจากโลกนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องช่วงชิงอักษรจงมาให้สำนักให้จงได้ ดังนั้นไช่จินเจี่ยนจึงสามารถอาศัยโอกาสนี้รับตำแหน่งเจ้าขุนเขามาครองได้
เวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามสิบปี ไช่จินเจี่ยนรู้สึกราวกับฝันไปอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่ว่านางมักจะคิดถึงคนคนหนึ่งบ่อยๆ ราวกับว่าไม่เต็มใจคิดถึงน้อยไป แต่ก็ไม่กล้าคิดถึงมากไปด้วยเช่นกัน
รองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายของกรมพิธีการที่มาจากเมืองหลวงต้าหลี ต่งหูยืนอยู่ตรงระเบียงชมทัศนียภาพของเรือข้ามฟากด้วยความกังวลใจ พอทูตผู้ตรวจการเฉาจากไป ผู้เฒ่าก็ไม่เหลือที่พึ่งทางใจแล้ว
อันที่จริงเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าท่านนี้แม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ ผู้เฒ่ามีความทรงจำที่ลึกล้ำต่อเด็กหนุ่มจากเมืองเล็กในอดีตสองคนนี้อย่างมาก
ปีนั้นเขาก็คือขุนนางของกรมพิธีการที่ได้เป็นตัวแทนราชสำนักไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู รองเจ้ากรมฝ่ายขวาในเวลานั้นรับผิดชอบคัดลอกซุ้มป้าย ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนตัวอักษรคำเดียว เปลี่ยนจากขวาเป็นซ้าย เวลาปีแล้วปีเล่าที่ผ่านไปจึงกลายมาเป็นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าแล้ว ชั่วชีวิตนี้ของผู้เฒ่าล้วนถือว่ามอบไว้ให้ที่ที่ว่าการของกรมพิธีการแล้ว ในอดีตเคยเป็นเทียนกวนของกรมขุนนางเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีอยู่นานหลายปี ไม่ถือว่าได้เลื่อนขั้น แค่โยกย้ายไปรับตำแหน่งที่เท่ากันในวงการขุนนาง ถือว่าให้คนแก่ในกรมพิธีการเมืองหลวงที่สุขุมมากประสบการณ์อย่างเขาไปนำพาคนรุ่นเยาว์ที่เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม จึงดูไม่ค่อยเหมาะสมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ภายหลังหลิ่วชิงเฟิงมารับตำแหน่ง เขาจึงยกหน้าที่นั้นให้ รอกระทั่งสงครามปิดฉากลง ต่งหูก็ได้ยศมหาบัณฑิตมาครอง น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ในหกตำหนักหกหอเรือน
ไม่ว่าจะเป็นภูเขาลั่วพั่วหรือตรอกหนีผิง ผู้เฒ่าล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ปีนั้นครั้งแรกที่ได้พบกับเด็กหนุ่มสองคนนั้นก็เป็นที่ร้านตีเหล็กริมลำคลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินผิงอันที่ปีนั้นยังเป็นแค่เด็กหนุ่มผอมดำ แต่เขาในเวลานั้นกลับสามารถอาศัยเหรียญทองแดงแก่นทองสองสามถุงที่ได้มาไม่ง่ายกลายมาเป็นเจ้าของภูเขาห้าลูกทางทิศตะวันตก แต่ตอนที่เด็กหนุ่มซึ่งสะพายดินเป็นตะกร้าปีนออกมาจากหลุม คาดว่าคงเพราะเห็นขุนนางผู้เฒ่าแปลกหน้ากลุ่มหนึ่ง ตอนนั้นก็เลยยังมึนงงอยู่บ้าง เด็กหนุ่มตรอกเก่าโทรมในเวลานั้นยังมีท่าทางซื่อบริสุทธิ์อยู่มาก
ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าต่งที่อยู่ในใจกลางราชสำนักของต้าหลีผู้นี้มองเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงในปีนั้นอาศัยเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสองสามถุงมาซื้อภูเขาให้อริยะหร่วนฉงเช่าทีละก้าวอย่างไร แล้วทำอย่างไรถึงผูกมิตรกับเว่ยป้อแห่งภูเขาฉีตุน สุดท้ายเลือกภูเขาลั่วพั่วเป็นภูเขาบรรพบุรุษ ก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง ได้ครอบครองท่าเรือหนิวเจี่ยว จากนั้นเจ้าขุนเขาหนุ่มก็ออกเดินทางไกลหลายครั้ง คอยซื้อภูเขามากมาย และคอยสมัครรวบรวมคนมากกว่าเดิมเข้ามาอยู่ในภูเขาโดยตลอด
ดังนั้นตอนนี้ผู้เฒ่าทั้งเป็นกังวลถึงสภาพการณ์ของตัวเอง ทั้งรู้สึกมีความสุขในความทุกข์ของคนอื่น เอาเรื่องนี้มาแก้ความกลัดกลุ้มก็ถือว่าเป็นการหาความบันเทิงในความยากลำบาก
เพราะก่อนหน้านี้ภูเขาตะวันเที่ยงเลื่อนขั้นเป็นสำนักอักษรจง เป็นสหายกรมพิธีการอีกคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันมานานหลายปีที่รับผิดชอบหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลักในงานพิธี และครั้งของนครลมเย็นก็เป็นรองเจ้ากรมพิธีการอีกคนหนึ่งของเมืองหลวงแห่งที่สองต้าหลี ตามหลักแล้วรอให้ภูเขาลั่วพั่วได้เลื่อนเป็นสำนัก หากไม่เป็นเจ้ากรมพิธีการของเมืองหลวงแห่งที่สองที่ต้องออกหน้าด้วยตัวเอง ก็ควรจะเป็นเขาแล้ว
ผลคือทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วกลับมองเมินราชสำนักต้าหลีไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายขวา อดีตลูกศิษย์ เจ้าลูกกระต่ายที่เรียกเขาว่าอาจารย์ จึงเอาเรื่องนี้มาพูดหยอกล้อตนบนโต๊ะสุราอยู่หลายครั้ง
ต่งหูคิดว่าจะรอดูต่อไปอีกหน่อย รอให้ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงปรึกษากันจนได้ผลลัพธ์เสียก่อน รอให้เฉินผิงอันถามกระบี่เสร็จสิ้นเสียก่อนค่อยตัดสินใจ
ส่วนการบอกเป็นนัยบางอย่างจากไทเฮาเหนียงเนียงของต้าหลี รวมไปถึงการบอกอย่างชัดเจนบางอย่างของสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้น สามารถคิดเป็นจริงเป็นจังได้ หรือจะไม่คิดเป็นจริงเป็นจังก็ได้
หากจะบอกว่าอุตรกุรุทวีปเพื่อนบ้านทางทิศเหนือคือทวีปใหญ่ที่มีคุณสมบัติจะไม่เห็นหัวใครมากที่สุดในบรรดาเก้าทวีปของไพศาล รวมไปถึงใบถงทวีปทางทิศใต้ในอดีตที่เคยเก่งแต่ในโปงผ้าห่มมากที่สุด อีกทั้งรากฐานยังลึกล้ำมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นก่อนสงครามใหญ่ครานั้น แจกันสมบัติทวีปที่อาณาเขตเล็กที่สุด น่าสงสารที่สุดก็คือสถานที่เล็กๆ ที่แม้แต่ในโปงผ้าห่มก็ยังทำตัวกร่างไม่ได้ ภูเขาเตี้ย น้ำตื้น คิดจะถูกผู้ฝึกตนทวีปอื่นด่าว่าเป็นวัดเล็กเสนียดชั่วร้ายใหญ่ น้ำตื้นตะพาบเยอะ ก็ยังทำไม่ได้ ดังนั้นแจกันสมบัติทวีปจึงเป็นสถานที่ที่ไม่สนใจเมฆและลมบนภูเขาของทวีปอื่นมากที่สดุ แล้วก็ไม่ถูกผู้ฝึกตนของทวีปอื่นเห็นเป็นสำคัญมากที่สุด
แน่นอนว่าวันนี้ไม่เหมือนวันวาน สายตาของผู้ฝึกตนสูงขึ้นแล้ว คำพูดคำจาก็ใหญ่โตขึ้นแล้ว
กึ่งกลางภูเขาของภูเขาลูกหนึ่งที่ถือว่าเป็นยอดเขาใหม่ของภูเขาตะวันเที่ยง ตรงหอเรือนสูงของเรือนหลังหนึ่งมีผู้ชมยืนเรียงแถวยาวเบียดเสียดกัน มีทั้งชายและหญิง มีทั้งเด็กและคนแก่ ล้วนเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของบนภูเขาทั้งหมด เวลานี้ต่างก็มาชมเรื่องครึกครื้นอยู่ตรงราวระเบียง มีคนที่หัวเราะหยัน กระซิบกระซาบเบาๆ เอ่ยประโยคที่เป็นธรรม บอกว่าภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ก็แค่พวกคนที่อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น บีบบังคับคนอื่นอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้ ต่อให้จะมีหน้ามีตาชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่จะยาวนานได้สักเท่าไรกันเชียว? ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวสถานการณ์ก็จะพลิกกลับ ถูกภูเขาตะวันเที่ยงเรียกค่ายกลใหญ่ยอดกระบี่ออกมา แสงกระบี่สองเส้นเปล่งวูบ เซียนกระบี่หนุ่มอะไรนั่น ต่อให้ไม่ตายก็ต้องกระเด็นออกมาจากยอดเขาอีเซี่ยนแล้ว
สหายรักที่อยู่ข้างกายหัวเราะร่า บอกว่าก็นั่นน่ะสิ แต่ละคนที่ปรากฏตัวต่างก็ไม่รู้ว่าเป็นใครที่โผล่มาจากไหน บอกกล่าวชื่อตัวเอง คิดว่าเป็นลูกจ้างในร้านอาหารที่บอกชื่อรายการอาหารของตัวเองงั้นหรือ?
มีคนถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า ภูเขาลั่วพั่ว บนภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือ บริเวณใกล้เคียงกับท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวมีภูเขาที่ว่านี้อยู่ใช่หรือไม่? แต่ที่นั่นมีภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยซานจวิน แล้วยังมีสำนักกระบี่หลงเฉวียนของอริยะหร่วนแล้วนะ? จะยังยอมให้มีภูเขาตระกูลเซียนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้อีกได้อย่างไร?
มีคนพยักหน้าเอ่ยคล้อยตามอย่างเห็นด้วย ตามหลักทั่วไปแล้ว อดีตถ้ำสวรรค์หลีจูหล่นลงจากฟ้าหยั่งรากสู่พื้นดิน ถูกลดระดับขั้นเป็นพื้นที่มงคล ประคับประคองสำนักวิถีกระบี่แห่งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ควรผลาญรากฐานแห่งขุนเขาสายน้ำจนหมดสิ้นแล้ว
——