กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 824.3 เจ้าลองดู
คงเป็นเพราะพูดคุยกันเช่นนี้น่าเบื่อเกินไป จึงมีคนต่อบทสนทนาหัวข้อก่อนหน้านี้ ยิ้มเอ่ยว่ายอดฝีมือที่มาจากภูเขาลั่วพั่วเหล่านี้ไม่ใช่เซียนกระบี่ก็เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ ไม่อย่างนั้นก็เป็นปีศาจเป็นภูตแห่งขุนเขาสายน้ำ สรุปก็คือล้วนเป็นเทพเซียนพสุธาที่ร้ายกาจทั้งสิ้น จะไม่ยอมให้พวกเขาโอ้อวดตัวกันบ้างเลยหรือไร
อยู่ดีๆ ก็มีคนโพล่งประโยคที่ทำลายบรรยากาศขึ้นมา เตือนทุกคนว่าให้พูดจาระมัดระวัง
บรรยากาศพลันเงียบสงัด ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรอีก ต่างพากันหันไปมองเจ้าคนผู้นั้น ดูเหมือนว่าจะมาจากภูเขาเหมิงหลงใกล้กับแคว้นไฉ่อี?
ลวี่อวิ๋นไต้เจ้าขุนเขาของภูเขาเหมิงหลงไม่กล้าช่วยเจ้าพวกตะพาบทั้งหลายพูดจาเหลวไหลอีกแล้วจริงๆ
มารดามันเถอะ ข้าผู้อาวุโสไม่ได้เหยียบขี้หมา แต่เหยียบลงไปในหลุมอาจมแล้ว พวกเจ้าช่วยพูดจาทวงความเป็นธรรมให้กับภูเขาตะวันเที่ยงเช่นนี้ไม่มีปัญหา ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าข้าผู้อาวุโสมีแค้นเก่ากับเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นน่ะสิ ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้น ปีนั้นภูเขาเหมิงหลงของข้าผู้อาวุโสถูกถามกระบี่ก่อนภูเขาตะวันเที่ยงเสียอีก!
แล้วนับประสาอะไรกับที่ลวี่อวิ๋นไต้ยังสัมผัสได้ถึงสายตาเสี้ยวหนึ่งที่มองตรงมายังตน การที่ก่อนหน้านี้เขายังอยู่ต่อไม่จากไปไหนก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองหลบซ่อนตัว ไม่ทำตัวให้สะดุดตา ภูเขาตะวันเที่ยงมีหมากัดกับหมา ตีกันเอาเป็นเอาตาย สองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายไปมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ผลกลับดีนัก เจ้าพวกคนโง่น้ำเข้าสมองแล้วยังถูกลาเตะหัวพวกนี้ดันพูดพล่ามไม่หยุด ทำให้ตนถูกหมายหัว แล้วก็จริงดังคาด กลัวอะไรก็เจออย่างนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจของลวี่อวิ๋นไต้ “จะหลบซ่อนไปไย? หากจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้ากับอาจารย์ข้าเป็นสหายเก่ากันแล้ว? อาจารย์เคยเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนศาลบรรพจารย์ภูเขาเหมิงหลงของพวกเจ้ามาก่อน?”
ลวี่อวิ๋นไต้หน้าซีดขาวไร้สีเลือด เงียบไปนาน ก่อนพูดเสียงสั่นว่า “สามารถถูกเจ้าขุนเขาเฉินถามกระบี่ด้วยตัวเอง นับเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวงของภูเขาเหมิงหลง ตกใจยิ่งนักที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝัน”
อันที่จริงชุยตงซานอยู่ห่างไปไกลเหนืออากาศของยอดเขาอื่น เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เห็นแก่ที่เจ้าเข้าใจพูดขนาดนี้ จะเว้นชีวิตเจ้าครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน ส่วนพวกพี่น้องชายหญิงที่อยู่ข้างกายเจ้าพวกนั้น ขอแค่มีใครเปิดปากพูดจาทวงความเป็นธรรม เจ้าก็ช่วยจดบันทึกไว้ให้หน่อย อีกทั้งต่อจากนี้เจ้าก็ถือโอกาสพูดคุยไปตามคำพูดของคนพวกนั้นก็แล้วกัน หมูน้อยทั้งคอกเช่นพวกเจ้า ขุนให้อ้วนพีแล้วค่อยฆ่าตอนปีใหม่ พูดจาไม่รู้จักเด็กจักผู้ใหญ่ ทำอะไรไม่รู้จักหนักเบา เป็นคนไม่รู้ผิดไม่รู้ถูก เชิญยืดคอยาวแหกปากกันไปเถอะ ผ่านด่านปีกันไปไม่ได้แน่”
ศาลเทพภูเขาแห่งหนึ่งของแคว้นซูสุ่ย เหวยเว่ยพาเทพหญิงสองคนมาดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำด้วยกัน มองกันตาไม่กะพริบ กุมท้องหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอย่างชอบใจ รอกระทั่งจู๋หวงสลายบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำออกก็เริ่มก่นด่าไม่หยุดปาก
จุดที่ภูเขาเขียวน้ำใส ซ่งอวี่เซากับหลานชายและหลานสะใภ้ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำด้วยกัน ผู้เฒ่ากินหม้อไฟ เพียงแค่ยิ้มเอ่ยเบาๆ หนึ่งประโยค เจ้าเด็กตัวเหม็น ได้ดิบได้ดีใหญ่แล้ว เยี่ยมนัก
ภูเขาตระกูลเซียนลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้กับอำเภอเซียนโหยว ผู้เฒ่าของศูนย์ฝึกยุทธคนหนึ่งที่อายุมากแล้วขอยืมดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำจากพรรคแห่งหนึ่ง สองหมัดของเขากำแน่นวางไว้บนหัวเข่าเบาๆ ผู้เฒ่าผมขาวโพลนเอวตรงหลังตั้ง คล้ายลืมไปแล้วว่าต้องดื่มเหล้า
ตำหนักฉางชุน ไทเฮาต้าหลีสีหน้ามืดทะมึน
อีกสองทวีปที่เหลือ
ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ลี่ไฉ่พาหรงช่าง สุยจิ่งเฉิง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างพวกเฉินหลี่และเกาโย่วชิงให้ชมภาพเหตุการณ์ด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน
ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่แห่งทิศเหนือไม่ได้ออกเดินทางไกลไปเยือนแจกันสมบัติทวีป ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า วันนี้ภูเขาลูกนี้ต้องรู้สึกอัดอั้นอย่างมากแน่ ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกหนึ่งร้อยสองร้อยปีก็คงจะรู้สึกเป็นเกียรติไปด้วยแล้ว
เด็กหนุ่มที่เพิ่งได้เป็นรัชทายาทของราชวงศ์ต้าหยวนได้ไม่นานฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ จ้องมองภาพขุนเขาสายน้ำผ่านบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำพลางจุ๊ปากไปด้วย อาจารย์ของข้าคนนี้ไม่เพียงแต่วิชาหมัดไร้เทียมทาน เวทกระบี่ก็ไร้ผู้ใดทัดเทียมด้วย
เทียนจวินเซี่ยสือพึมพำกับตัวเอง ดูท่าแล้วคงต้องรอถูกถามกระบี่อีกแล้วกระมัง?
สำนักชิงเหลียง เจ้าสำนักหญิงคนนั้นเอามือข้างเดียวเท้าคาง มองเพียงคนคนเดียวในม้วนภาพ
ยังมีราชวงศ์ต้าเฉวียน
รวมไปถึงภูเขาลั่วพั่ว เฉาฉิงหล่าง หน่วนซู่ เฉินยวนจี หยวนเป่า หยวนไหล ฯลฯ ต่างก็มารวมตัวอยู่ด้วยกัน
ถึงขั้นที่ว่ายังรวมไปถึงทวีปอื่นอีกมากมายซึ่งมีทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเป็นหนึ่งในนั้น อันที่จริงสำนักบนยอดเขาจำนวนไม่น้อยต่างก็อาศัยวิธีการต่างๆ ของตระกูลเซียนมาชื่นชมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยงเล็กๆ และการถามกระบี่ครั้งนี้อยู่ไกลๆ
ทางฝั่งของยอดเขาเดียวดายเล็ก เหลือแค่ซูเจี้ยเพียงคนเดียว ดั่งบทกวีที่ว่า มีสาวงามพิลาสคนหนึ่ง นางเร้นตัวอยู่ในหุบเขาอันกว้างใหญ่ โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ทำได้เพียงอยู่เคียงข้างพืชพรรณ
อวี๋เยว่ใช้เสียงในใจถามหยั่งเชิง “หมี่อวี้แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่?”
หมี่อวี้ถามอย่างสงสัย “เจ้าคือ?”
ผู้ฝึกกระบี่แห่งไพศาลที่ป่าวประกาศว่านามแฝงของตัวเองคืออวี๋เต้าเสวียนผู้นี้ หรือว่าเนื่องจากใช้แซ่อวี๋ ก็เลยคิดจะตีสนิทกับ ‘อวี๋หมี่’ เช่นตน?
อวี๋เยว่หัวเราะร่า “ข้าคือเพื่อนรักของตาเฒ่าผูแห่งหลิวเสียทวีป เขาเลื่อมใสเซียนกระบี่หมี่อย่างมาก พอกลับไปถึงบ้านเกิด ตอนอยู่บนโต๊ะสุราก็ชอบพูดถึงเซียนกระบี่หมี่บ่อยๆ เอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีการออกกระบี่ของเซียนกระบี่หมี่ในสนามรบที่เขาชื่นชมบูชาอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าเคารพและศรัทธามากๆ”
คำก็เซียนกระบี่หมี่ สองคำก็เซียนกระบี่หมี่?
หมี่อวี้อดทนแล้วอดทนอีก เห็นแก่ที่อีกฝ่ายถือว่าเป็นคนกันเองจึงพยายามรักษารอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า พยักหน้าเอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว”
คงเป็นเพราะอวี๋เยว่รู้สึกว่าพูดคุยแบบนี้มาถูกทางแล้ว จึงหัวเราะร่าพลางเอ่ยต่อว่า “เซียนกระบี่หมี่ ชื่อจริงของข้าคืออวี๋เยว่ วันหน้าพวกเราก็เป็นคนกันเองแล้ว แน่นอนว่าเซียนกระบี่หมี่คือผู้ถวายงานลำดับรอง ข้าเป็นแค่ผู้ถวายงานทั่วไป เทียบกับท่านไม่ได้”
หมี่อวี้คร้านจะพูดคุยให้เปลืองน้ำลาย จึงทำเพียงแค่พยักหน้าให้เท่านั้น
อวี๋เยว่เห็นว่าตอนนี้ยังไม่มีโอกาสที่ตนจะปล่อยกระบี่จึงหาเรื่องชวนคุยต่อไป “ดูจากปราณกระบี่ทั่วร่างของเซียนกระบี่หมี่แล้ว ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นเซียนเหรินก็แค่นับวันรอได้เลย”
ไม่จบไม่สิ้นสักทีใช่ไหม?
อ้อ ก่อนหน้านี้เจ้าอวี๋เยว่แนะนำตัวเองว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ พอมาเจอกับข้าผู้อาวุโสก็เรียกว่าเซียนกระบี่หมี่เสียแล้ว? แล้วยังพูดถึงเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตด้วย?
ดังนั้นหมี่อวี้จึงอดไม่ไหวด่าออกไปว่า “ไสหัวเซียนกระบี่ของเจ้าไปเลย เซียนกระบี่ เซียนกระบี่ ทั้งบ้านเจ้าล้วนเป็นเซียนกระบี่ ข้าผู้อาวุโสเป็นแค่ขอบเขตหยกดิบห่วยๆ คนหนึ่ง ไสหัวไปที่อื่นเลยไป!”
อวี๋เยว่กระอักกระอ่วนยิ่งนัก กว่าข้าผู้อาวุโสจะหาถ้อยคำดีๆ มาพูดคุยได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดเจ้าหมี่อวี้ถึงด่ากันเช่นนี้เล่า
เพียงแต่ว่าเขาเองก็ไม่โกรธ ต่อให้เป็นถ้อยคำที่หยาบคายแค่ไหน ผูเหอล้วนเคยด่ามาก่อนแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ตนก็ไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน ถูกด่าแค่ไม่กี่ประโยคจะเป็นไรไป กลับกลายเป็นว่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่ารู้สึกสบายใจเสียนี่
ทางฝั่งของยอดเขาชิงอู้ เผยเฉียนหรี่ตาลง บนภูเขามีถ้อยคำบางอย่างที่พูดดังไปสักหน่อย นึกว่านางหูหนวกหรือไร?
ชุยตงซานหันไปพูดคุยกับโจวอันดับหนึ่ง
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ดูท่าเรื่องที่พวกเราเลือกที่ตั้งเป็นใบถงทวีป ไม่เพียงแต่สำเร็จล่วงหน้าไปได้มาก ยังจะราบรื่นมากด้วย”
ด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ที่ใบถงทวีปยังจะมีใครกล้าขัดขวางอีก?
มาถามกระบี่ต่อภูเขาตะวันเที่ยงครั้งนี้ เจียงซ่างเจินไม่ได้ออกแรงใดๆ เพียงแค่ก่อนหน้านี้บอกเตือนเฉินผิงอันไปหนึ่งประโยคว่า เจ้าเด็กเหวยอิ๋งเห็นดีในตัวผู้ฝึกกระบี่หยวนป๋ายที่มีชาติกำเนิดจากราชวงศ์จูอิ๋งอย่างมาก
ในฐานะผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วที่ได้ตำแหน่งมาครองดั่งน้ำหลากคูคลองบังเกิด เป็นจุดรวมความหวังของทุกคน อันที่จริงเจียงซ่างเจินก็ไม่ถือสาที่จะออกแรงช่วยเหลือ ยกตัวอย่างเช่นให้หลิวเหล่าเฉิง หลิวจื้อเม่า เลือกภูเขาคนละลูกแล้วลงมือโจมตีอย่างหนักโดยไม่ต้องสนเหตุผลใดๆ ส่วนเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้วสำนักเจินจิ้งและสำนักกุยหยกจะเก็บกวาดอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของเหวยอิ๋ง เจ้าก็ไปหาเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงเข้าสิ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าโจวเฝย
ส่วนหลี่ฝูฉวีนั้นก็ช่างเถิด นางเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว ทำเอาเจียงซ่างเจินอึดอัดใจยิ่งนัก ด้วยฝีมือของนางน่ะหรือ? เป็นแค่นักการฝ่ายนอกที่ได้รับการบันทึกชื่อก็เพียงพอแล้ว
อันที่จริงพวกเขาถูกเรียกมาเข้าร่วมงานพิธีอย่างกะทันหัน
นี่ก็หมายความว่าเจ้าขุนเขารู้สึกว่าเรื่องของการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องหลังจำเป็นต้องเพิ่มความเร็วในการลงมือแล้ว ไม่ใช่ค่อยๆ วางแผนไปทีละก้าว ร้อยเรียงต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ อย่างที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
ดูท่าการเดินทางไปเยือนศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและการไปเยือนอุตรกุรุทวีปจะทำให้เจ้าขุนเขาหนุ่มเปลี่ยนความคิดไปไม่น้อย
ชุยตงซานหมุนเหวี่ยงชายแขนเสื้อสีขาวหิมะสองข้างเป็นวงกลม หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “แล้วก็เพราะว่าข้ามีคุณธรรม ทำอะไรพิถีพิถัน ไม่อย่างนั้นแค่เรียกพี่หญิงเถียนออกมาก็ทำให้จู๋หวงเจ้าสำนักต้องแคะลูกตาตัวเองออกมาโยนลงพื้นแล้วกระทืบซ้ำ ถึงจะได้รู้สึกว่าตนตาบอดเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “จำเป็นต้องมีคุณธรรม แล้วก็ต้องพิถีพิถันมากด้วย เพราะถึงอย่างไรขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วพวกเราก็วางไว้อยู่ตรงนั้น”
เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยว่า “น้องชุย ตอนนี้พวกเราสามารถพิจารณาถึงเรื่องของอีกหนึ่งร้อยปีให้หลังได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่นการลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ของพวกลูกศิษย์ของลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอด หากไม่ทันระวังจะมีใครที่กลายเป็นเหมือนผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงหรือไม่ บนภูเขาไม่ใช่ แต่ล่างภูเขาก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่ใช่ ใช่ไหมล่ะ?”
เห็นว่าชุยตงซานไม่พูดไม่จา แต่สีหน้ากลับเคร่งเครียด
เจียงซ่างเจินก็ยิ้มเอ่ย “คิดอะไรน่ะ? ปัญหาแบบนี้คงไม่ถึงขั้นทำให้เจ้าลำบากใจหรอกกระมัง?”
ชุยตงซานกล่าว “ข้ากำลังคิดว่าวันหน้าเมื่อพวกเราสั่งซื้อรายงานขุนเขาสายน้ำของสำนักอื่น ควรจะเลือกแบบประหยัดอดออม บนภูเขารวมกันซื้อแค่ฉบับเดียว หรือว่าทุกคนจะใช้จ่ายอย่างมือเติบ ต่างคนต่างซื้อกันไปเลยคนละฉบับ”
แรกเริ่มเจียงซ่างเจินยังอยากหัวเราะ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งหัวเราะไม่ออก
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เป็นอย่างไร? ค้นพบแล้วใช่ไหมว่าเรื่องเล็กประเภทนี้ต่างหากถึงจะเป็นปัญหาที่แท้จริง?”
เจียงซ่างเจินถามอย่างใคร่รู้ “มีคำตอบแล้ว?”
“มี”
“คืออะไร?”
“ดูที่ความต้องการของอาจารย์ข้า”
คราวนี้เจียงซ่างเจินหลุดหัวเราะพรืดแล้วจริงๆ ยกนิ้วโป้งให้เด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ห่างไปไกล สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ
เจียงซ่างเจินเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบเจ้าขุนเขาหนุ่ม ไม่รู้ว่าวันนี้ตนสามารถทำอะไรได้บ้าง ไม่อย่างนั้นจะนั่งบนเก้าอี้ของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคงได้อย่างไร?
คนธรรมดาเดินถือเทียนท่องไปยามค่ำคืน ลมฝนพัดโชย เส้นทางดินโคลนเปียกแฉะ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคืออะไร ไม่ใช่รองเท้าสาน แต่เป็นร่มคันหนึ่ง
ชุยตงซานหันหน้าไปมอง สังเกตเห็นว่าแม่นางน้อยข้างกายมีเหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผาก สีหน้าจริงจัง ขมวดคิ้วบางๆ สีเหลืองอ่อนจางโดยไม่รู้ตัว
ชุยตงซานยิ้มเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “หมี่ลี่น้อย เป็นอะไรไป คิดถึงบ้านหรือ?”
แม่นางน้อยชุดดำหัวเราะฮ่าๆ กระตุกชายแขนเสื้อของห่านขาวใหญ่ กำไม้เท้าเดินป่าที่อยู่ในมือแน่น หมี่ลี่น้อยตีหน้าเคร่ง พยายามทำให้ตัวเองมองดูเหมือนขอบเขตสูงกว่าขอบเขตถ้ำสถิตหน่อย แอบกระซิบกับชุยตงซานว่า “ศิษย์พี่เล็ก ข้ารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยน่ะ”
ชุยตงซานรีบทิ้งโจวอันดับหนึ่งทันที หันมายิ้มเอ่ยกับหมี่ลี่น้อยแทน “ตื่นเต้นอะไรกัน มีศิษย์พี่เล็กอยู่ แล้วยังมีศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่ด้วย อีกอย่างไม่ได้ต้องการให้เจ้าไปต่อสู้สักหน่อย ใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วพวกเรารับมือกับลูกกระจ๊อกพวกนี้เท่ากับเอาคนมีฝีมือมาใช้ในงานเล็กเกินไปหน่อยหรือไม่? อีกเดี๋ยวเจ้าก็แค่ถือไม้เท้าเดินป่า รับผิดชอบคอยโยกย้ายบัญชาการณ์กองทัพ ชี้โน่นชี้นี่ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาเป็นว่าข้ากับโจวอันดับหนึ่งล้วนฟังคำสั่งจากเจ้าคนเดียว”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม “แต่ข้าไม่เคยอ่านตำราพิชัยสงครามมาก่อนนะ”
ชุยตงซานยื่นมือไปลูบศีรษะของแม่นางน้อย ผลคือถูกนางปัดมือออก ชุยตงซานจึงวางมือไว้บนหัวของนาง แต่กลับถูกนางปัดทิ้งอีกครั้ง รอกระทั่งเขายื่นมือไปอีกครั้ง หมี่ลี่น้อยก็หันกลับมาถลึงตาใส่ “อะไรกันๆ ระวังข้าจะดุร้ายใส่เจ้านะ!”
ชุยตงซานถึงได้ยิ้มพลางหดมือกลับมา
สตรีสกุลสวี่แห่งนครลมเย็นที่ถูกทิ้งไว้ในภูเขา ก่อนหน้านี้เงยหน้าขึ้นจ้องเจ้าแห่งแคว้นหูเขม็ง สตรีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เคียดแค้นเข้ากระดูกดำ ในใจพร่ำพูดไม่หยุดว่า เพ่ยเซียงนังโสเภณี วันนี้ถึงกับยังมีหน้ามาปรากฎตัวอีกรึ? ทำไม สมคบคิดกับเจ้าเถ้าแก่เหยียนฟ่างยังไม่พอ ยังแอบปีนขึ้นเตียงเจ้าลูกนังแพศยาขาเปื้อนโคลนคนนั้นอีกด้วย? เป็นใครที่ล่อลวงใครกันเล่า?!
หนิงเหยาที่อยู่ห่างไปไกลตรงท่าเรือป๋ายลู่เลิกคิ้วสูง เพราะได้ยินเสียงในใจของสตรีคนนั้น
นอกจากวานรย้ายภูเขาที่อยู่บนยอดเขาอีเซี่ยนแล้ว อันที่จริงหนิงเหยาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก กลับเป็นคนกันเองของฝ่ายภูเขาลั่วพั่วอย่างผู้ฝึกกระบี่สุยโย่วเปียน เพ่ยเซียงภูตจิ้งจอกแคว้นหูที่หนิงเหยาเหลือบมองด้วยสายตาสบายๆ หนึ่งที จากนั้นก็สังเกตเห็นสตรีสกุลสวี่ผู้นี้
ดังนั้นหนิงเหยาจึง ‘ต่างคนต่างทำเรื่องที่ตัวเองถนัด’ จริงๆ สตรีสกุลสวี่เพิ่งจะเดินขึ้นเรือไปกับสวี่หุน เรือข้ามฟากเพิ่งจะลอยพ้นไปจากยอดเขา พริบตานั้นเรือตระกูลเซียนทั้งลำก็พลันกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับพันนับหมื่นชิ้น
ไม่มีแสงกระบี่ ปราณกระบี่หรือปณิธานกระบี่ใดๆ
อีกทั้งทุกคนบนเรือต่างก็สัมผัสไม่ได้ถึงริ้วคลื่นลมปราณที่ผิดปกติ
หนิงเหยาเพียงแค่ใช้เสียงในใจเอ่ยกับสตรีคนนั้น “ระวังปาก อย่าได้รนหาที่ตาย”
หลังจากนั้นหนิงเหยาก็สัมผัสได้ล่วงหน้าก่อนเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะว่าเฉินผิงอันกำลังจะออกกระบี่
นางจึงกลั้นยิ้ม
ย้ายภูเขาของบรรพบุรุษย้ายภูเขาต่อหน้าตัวมันเอง?
เรื่องแบบนี้ก็มีแต่เขาที่คิดได้ แล้วก็ทำได้
คนชุดเขียวที่อยู่ตรงตีนเขารอถึงแค่ครึ่งก้านธูปก็ใช้หนึ่งกระบี่ยกภูเขาบรรพบุรุษของภูเขาตะวันเที่ยงให้ลอยขึ้นสูงหลายจั้ง จากนั้นค่ายกลกระบี่ก็หล่นลงบนยอดกระบี่ กระแทกศาลบรรพจารย์จนแหลกเละ
หลังจากภาพเหตุการณ์สะท้านฟ้าสะเทือนดินผ่านพ้นไป ฝุ่นผงคลุ้งตลบอยู่บนยอดเขาก่อนเริ่มค่อยๆ สลายหายไปตามลม กลับคืนสู่ความสว่างไสวอีกครั้ง
บนยอดเขาอีเซี่ยนเงียบกริบไร้สรรพสำเนียง
ยอดเขาเก่าใหม่ทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยง ขอแค่เป็นจุดที่มีผู้ฝึกตนอยู่ก็ยิ่งเงียบสงัดจนกระทั่งเข็มตกยังได้ยิน
เฉินผิงอันสอดกระบี่กลับเข้าฝักแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถือว่าเป็นการถามกระบี่แค่ครึ่งเดียว พวกเจ้ายังเหลือเวลาอีกครึ่งก้านธูป สามารถปรึกษากันต่อได้”
เถาแยนโปที่ไม่ได้พยักหน้าหรือส่ายหน้ามาโดยตลอด จิตใจสะท้านไหว
เถาจื่อสตรีผู้ฝึกกระบี่ นางไม่ได้อยู่ที่หอถิงเจี้ยน แต่ไปที่ยอดกระบี่ นางอยากจะอาศัยกำลังอันน้อยนิดของตัวเองมาให้กำลังใจท่านปู่หยวน
วานรเฒ่าชุดขาวยกสองมือกอดอก เหลือบตามองสตรีที่ตนมองดูนางเติบโต จากแม่นางน้อยผิวขาวอมชมพูดุจกระเบื้องเคลือบ กลายมาเป็นเด็กสาวเรือนกายสะโอดสะอง แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นสตรีงดงามที่กำลังจะออกเรือน
เมื่อผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขามองเห็นสายตาที่คุ้นเคยผ่านดวงตาของนาง ในที่สุดหยวนเจินเย่ก็รู้สึกเจ็บปวดใจเสี้ยวหนึ่ง
บนใบหน้าของเถาจื่อมีความละอายใจวาบผ่าน นางหันหน้าหนีอย่างรวดเร็วคล้ายไม่กล้ามองสบตาวานรเฒ่าชุดขาว เพียงแต่ว่านางก็หันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ดวงตาใสกระจ่างหนักแน่น
วานรเฒ่าชุดขาวรู้สึกเลื่อนลอยเล็กน้อย มองซากปรักศาลบรรพจารย์ สุดท้ายมองสตรีแห่งภูเขาชิวลิ่งที่เติบใหญ่แล้วคนนั้น
นี่ก็คือภูเขาตะวันเที่ยงหรือ?
ทางฝั่งของตีนเขา ทุกคนเห็นเพียงว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวถึงกับปลดกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังลงมาแล้วโยนทิ้งไป ฝักกระบี่เสียบอยู่ในซุ้มประตู
เฉินผิงอันม้วนชายแขนเสื้อขึ้น เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งผายไปทางยอดเขา “เดรัจฉานเฒ่า มาสิ ฉวยโอกาสตอนที่เจ้ายังเป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง ลงจากเขามาลองฆ่าข้าดู”
คำพูดประโยคนี้กำเริบเสิบสานมากพอแล้ว
คิดไม่ถึงว่าประโยคหลังจะทำให้คนปากอ้าตาค้างด้วยความตะลึงลานได้มากยิ่งกว่า
คนชุดเขียวที่อยู่นอกประตูภูเขาเปี่ยมไปด้วยความองอาจฮึกเหิม คิ้วตาประหนึ่งเด็กหนุ่มที่ในอดีตเคยข้ามแม่น้ำด้วยการกระโดดครั้งเดียว “ภายในครึ่งก้านธูป ข้าผู้อาวุโสจะไม่ตอบโต้!”
——