กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 825.1 เทพอยู่บนฟ้า แสงกระบี่ร่วงหล่นลงมา
ค่ายกลกระบี่ที่ลอยอยู่กลางอากาศหล่นกระแทกลงพื้น ซัดทำลายศาลบรรพจารย์จนย่อยยับ ปราณกระบี่กระเพื่อมออกไปสี่ทิศ ตลอดทั้งยอดเขาอี่เซี่ยนเกิดพายุโหมกระหน่ำ โดยเฉพาะทางฝั่งของหอถิงเจี้ยนที่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าที่ถูกปราณกระบี่ซัดกระแทกเข้าใส่ ใบไม้จึงพากันร่วงกราว ปลิวคว้างไปมาก่อนจะหล่นลงพื้นอย่างเนิบช้า พวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาตะวันเที่ยงกลุ่มใหญ่รู้สึกเหมือนได้เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เต็มไปด้วยเรื่องราวล่วงหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
ครั้งนี้ไม่มีใครรู้สึกว่าเซียนกระบี่หนุ่มของภูเขาลั่วพั่วพูดจาเหมือนคนปัญญาอ่อนที่เสียสติอะไรอีกแล้ว
ด้านหลังหอถิงเจี้ยนมีต้นอู๋ถงต้นหนึ่งที่บรรพจารย์เปิดภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงปลูกไว้ด้วยตัวเองในปีนั้น สองพันปีที่ผ่านมาเติบโตได้อย่างดีไร้ปัญหา ต้นสูงชะลูดเสียดแทงเข้าไปในก้อนเมฆ จึงเป็นเหตุให้ใบไม้ที่ร่วงหล่นในวันนี้มีมากเป็นพิเศษ
บนยอดกระบี่ เจ้าสำนักจู๋หวงกับเซียนเหรินค่ายกลกระบี่เพียงแค่ปกป้องป้ายวิญญาณ กระถางธูปและภาพเหมือนของบรรพบุรุษรุ่นต่างๆ ในศาลบรรพจารย์เอาไว้ได้ ส่วนอย่างอื่นที่เหลือ เก้าอี้ที่สร้างขึ้นอย่างตั้งใจซึ่งสืบทอดกันมาหลายยุคหลายมัย เสาคานไม้เซียนแต่ละต้นที่มีมูลค่าควรเมือง ก้อนอิฐที่ใช้วิธีการเผาพิถีพิถันยิ่งกว่าในวังหลวง ล้วนเหมือนกลายมาเป็นเมฆและควันที่ลอยผ่านตาไป สลายหายไปพร้อมกับฝุ่นผง
การประชุมนอกศาลบรรพจารย์ที่ละเมิดกฎซึ่งบรรพบุรุษตั้งไว้และไม่เหมาะกับระเบียบพิธีการนี้ มีเพียงเถียนหว่านแห่งยอดเขาจูอวี๋และอู๋ถีจิงลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักจู๋หวงเท่านั้นที่ไม่ได้ปรากฎตัว นอกจากนี้ขนาดอวี่หลิ่นแห่งยอดเขาอวี่เจี่ยวก็ยังขี่กระบี่เร่งรุดมา ก่อนหน้านี้หลังจากที่จู๋หวงเสนอให้ตัดชื่อของหยวนเจินเย่ออกแล้ว ก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาโดยตรงว่า “ข้าจู๋หวงใช้สถานะเจ้าสำนักรุ่นที่แปดของภูเขาตะวันเที่ยง เจ้าสำนักคนแรกหลังจากที่ภูเขาตะวันเที่ยงได้เลื่อนขั้นเป็นสำนัก และผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ สามสถานะที่สำคัญนี้ตอบตกลงกับเรื่องนี้ หลังจากนี้ทุกท่านแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าก็พอ การประชุมในวันนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น”
หลังจากนั้นก็เป็นเซี่ยหย่วนชุ่ยแห่งยอดเขาหม่านเยว่ที่เอ่ยคล้อยตามก่อน ผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่ลังเลอยู่นาน ไม่สนใจคำโน้มน้าวจากเสียงในใจของเถาแยนโปแห่งยอดเขาชิวลิ่ง ยังคงพยักหน้าเห็นด้วย ภูเขาทั้งหลาย เส้นสายกระบี่ต่างๆ ที่ความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดกับยอดเขาหม่านเยว่และยอดเขาสุ่ยหลง ยกตัวอย่างเช่นเหลิ่งฉี่แห่งยอดเขาฉงจือ ต่างก็ไม่มีพื้นที่เหลือให้เลือกอย่างอื่น แน่นอนว่าย่อมต้องขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับวานรเฒ่าชุดขาวไปพร้อมกับบรรพจารย์ผู้เฒ่าที่กุมอำนาจหลักที่สำคัญเหล่านี้
ส่วนผู้ถวายงานและเค่อชิงอีกสิบกว่าคนของภูเขาตะวันเที่ยง หลังจากที่จู๋หวง เซี่ยหย่วนชุ่ยและเยี่ยนฉู่ต่างแสดงท่าทีก็พากันพยักหน้า วันนี้ตัดใจสละหยวนเจินเย่ทิ้ง ถึงอย่างไรก็ดีกว่าพวกเขาต้องลงสนามต่อสู้กับภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง ถึงเวลานั้นหากได้รับบาดเจ็บถึงรากฐานมหามรรคา ใครเล่าจะมาชดใช้ให้? พูดถึงแค่ค่ายกลกระบี่ลอยฟ้าที่เกิดจากแสงทองหนึ่งจุดจำแลงมหามรรคาก่อนหน้านี้ ปราณก็ช่างโชติช่วงเกินไปแล้ว ลำพังเพียงแค่เงาสะท้อนจากแสงกระบี่ที่หล่นลงในภูเขาก็ทำให้พวกเขาเย็นวาบไปทั้งสันหลัง ทุกคนลองชั่งน้ำหนักฝีมือตัวเองดูแล้วก็รู้สึกว่าหากถูกแสงกระบี่เหล่านั้นกรีดผ่าเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสา ก็มีแต่จะเหมือนเต้าหู้ที่ถูกมีดฟัน
หากจู๋หวงไม่ได้มีความต้องการเช่นนี้ แรกเริ่มยินดีจะรวบรวมใจคนให้เป็นหนึ่ง อันที่จริงพวกเขาก็ไม่ถือสาที่จะเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร เค่อชิงและผู้ถวายงานต่างก็มีภาระหน้าที่ติดตัว ช่วยร่ายเวทคาถาตระกูลเซียนซึ่งเป็นความสามารถของตัวเองออกมาบนยอดเขาอีเซี่ยนสักสองสามทีก็ยังได้ แต่ในเมื่อจู๋หวงแสดงท่าทีเช่นนี้แล้ว ใครก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ย่อมไม่คิดจะทุ่มชีวิตและอนาคตบนมหามรรคาเพียงเพื่อส่งถ่านท่ามกลางหิมะให้กับภูเขาตะวันเที่ยง
กลับเป็นยอดเขาเก่าซึ่งมียอดเขาโปอวิ๋น ยอดเขาเพียนเซียนเป็นหนึ่งในนั้นที่เหล่าเซียนกระบี่เจ้ายอดเขาทั้งหลายถึงกับส่ายหน้า ปฏิเสธความเห็นของจู๋หวงผู้เป็นเจ้าสำนัก
โอสถทองเฒ่าคนหนึ่งในนั้นก็ถึงกับก่นด่าว่าการกระทำเช่นนี้ของเจ้าสำนักจู๋หวงคือการกระทำหูหนวกตาบอดที่ทำลายกิจการพันปีของตัวเอง ไร้จิตสำนัก ไม่เหลือคุณธรรมใดๆ ให้กล่าวถึง มีแต่จะทำให้เหล่าบรรพจารย์แต่ละสมัยของภูเขาตะวันเที่ยงรู้สึกอับอาย ถูกคนนอกขึ้นเขามาต่อยตี ไม่เพียงไม่นำพาทุกคนออกกระบี่โจมตีให้ศัตรูถอยร่น กลับกันยังยอมถูกคนอื่นจูงจมูกให้เดิน ทอดทิ้งผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่มีคุณความเหนื่อยยากสูงส่ง เจ้าจู๋หวงไม่คู่ควรจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วยซ้ำ จะสามารถรับตำแหน่งเจ้าขุนเขาได้อย่างไร ดังนั้นเรื่องที่ต้องประชุมกันอย่างแท้จริงในวันนี้ไม่ใช่ว่าจะลบชื่อของหยวนเจินเย่เพื่อให้จบเรื่องกันไปหรือไม่ แต่เป็นเจ้าจู๋หวงยังสมควรรับตำแหน่งเจ้าสำนักต่อไปหรือไม่…
จู๋หวงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วว่าพวกเจ้าแค่ส่ายหน้าหรือพยักหน้าก็พอ ไม่ต้องเปิดปาก”
ผลคือโอสถทองเฒ่าถูกเซียนเหรินค่ายกลกระบี่กักตัวเอาไว้ ยื่นมือมาคว้าจับ ยัดอีกฝ่ายใส่ไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ
หลิวเสี้ยนหยางขยับก้นเปลี่ยนโต๊ะตัวใหม่แล้วดื่มเหล้ากินแตงต่ออีกครั้ง
บรรพจารย์หญิงคนหนึ่งหันหน้ามามองหลิวเสี้ยนหยาง ถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล “หลิวเสี้ยนหยาง เจ้ากับเฉินผิงอันถามกระบี่ก็ถามกระบี่สิ เหตุใดต้องวกวนอ้อมค้อม ทำเรื่องชั่วช้า หลบอยู่เบื้องหลังแล้วเรียกพรรคพวกเรียกสหายมา สิ้นเปลืองความคิดจิตใจวางแผนเล่นงานภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเรา แน่จริงก็เอาอย่างหวงเหอแห่งสวนลมฟ้าที่โจมตีมาตั้งแต่ท่าเรือป๋ายลู่จนถึงยอดกระบี่สิ แบบนี้ต่างหากจึงจะเป็นการกระทำของเซียนกระบี่!”
หลิวเสี้ยนหยางไม่เพียงแต่ไม่โต้เถียงนาง กลับกันยังพยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ใช่ๆๆ ท่านป้าอายุมากท่านนี้ ท่านอายุเยอะแล้ว พูดอะไรก็ถูกไปหมด คราวหน้าหากยังมีโอกาสข้าจะต้องลากเฉินผิงอันมาถามกระบี่ด้วยกันแบบนี้แน่นอน”
เรื่องอย่างการทะเลาะโต้เถียง เมืองเล็กบ้านเกิดก็คือสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ ยอดฝีมือมีมากมายดุจก้อนเมฆ พวกคนรุ่นเยาว์นอกจากลูกหลานคนรวยบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่อย่างพวกจ้าวเหยา เซี่ยหลิงที่ความสามารถอาจจะด้อยไปสักหน่อยแล้ว ที่เหลือมีใครบ้างที่ไม่ถูกกล่อมเกลามาตั้งแต่เล็ก ตรอกเล็กทั้งหลาย ข้างบ่อโซ่เหล็ก ใต้ต้นไหวโบราณ ร่องคันนาระหว่างเตาเผามังกร บานประตูกับบานประตู กำแพงกั้นกำแพง มีที่ใดบ้างที่ไม่ใช่ลานประลองยุทธที่เอาไว้ใช้ขัดเกลาฝีปาก
บรรพจารย์หญิงที่สวมมงกฎด้ายทอง สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกตถูกถ้อยคำไม่ยี่หระประโยคนี้ของหลิวเสี้ยนหยางทำให้โมโหจนตัวสั่น
วานรเฒ่าชุดขาวเดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พูดด้วยสีหน้าเฉยชา “ยังเหลืออีกครึ่งก้านธูป พวกเจ้าคุยกันไป ข้าจะไปพบเจ้าเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่เป็นคางคกขึ้นวอผู้นั้นสักหน่อย”
หลิวเสี้ยนหยางมือหนึ่งถือจอกเหล้า มือหนึ่งยกนิ้วโป้งให้ “บรรพจารย์หยวนไร้ศัตรูทัดทานทั้งทวีป เคยแลกหมัดกับซ่งจ่างจิ้ง เคยใช้เท้าเตะภูเขาพีอวิ๋น เหยียบบ้านบรรพบุรุษของคนอื่นพังมาหลายหลัง บ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาในตรอกหนีผิง บ้านตระกูลหยวนในตรอกเอ้อหลาง บ้านตระกูลหลี่ทางทิศตะวันตกสุด บ้านตระกูลเซี่ยตรอกเถาแย่ ล้วนไร้คู่ต่อสู้ ใครจะกล้าคิดบัญชีย้อนหลังกับบรรพจารย์ย้ายภูเขากันเล่า? ทุกวันนี้ยังฝ่าทะลุขอบเขตแล้วด้วย รับมือกับเฉินผิงอันคนเดียวก็ไม่ใช่ว่าง่ายดายเหมือนกวักมือเรียกมาเลยหรือ”
บรรพจารย์ของยอดเขาต่างๆ ของภูเขาตะวันเที่ยง และยังมีพวกผู้ถวายงานเค่อชิงอีกกลุ่มใหญ่ ได้ยินประโยคนี้แล้วก็ขนลุกขนชัน
ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนนี้ ปีนั้นไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูได้หาเรื่องกองกำลังกี่ฝ่ายกันแน่? มิน่าเล่าเฉาจวิ้นที่บอกว่าภูมิลำเนาของตัวเองอยู่ที่ตรอกหนีผิงถึงได้ทยอยถามกระบี่ต่อยอดเขาฉงจือและยอดเขาสะพายกระบี่ แล้วยังมีเฉาผิงทูตผู้ตรวจการต้าหลีคนนั้นอีก? บรรพบุรุษสองแซ่หยวนเฉาล้วนมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ช่วยส่งเสริมกันและกัน ช่วยให้สกุลซ่งต้าหลีลุกผงาดขึ้นมาที่ภาคเหนือ หยัดยืนได้อย่างมั่นคง ไม่ถึงขั้นถูกราชวงศ์สกุลหลูกลืนกิน สุดท้ายถึงได้มีภาพที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีเลื่องลือทั่วไพศาลอย่างในทุกวันนี้ นี่ก็คือเรื่องจริงที่ผู้คนทั้งทวีปล้วนรับรู้
จู๋หวงยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่หลิวอย่าได้ล้อเล่นอีกเลย”
ประโยคเหล่านี้ของหลิวเสี้ยนหยาง แน่นอนว่าเป็นคำพูดเหลวไหล ทว่าเวลานี้ใครบ้างที่ไม่ระแวง คำง่ายๆ แค่ไม่กี่คำก็ไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง การเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ ภูเขาตะวันเที่ยงไม่อาจทนรับการทรมาทรกรรมเช่นนี้ได้ไหว
ด้านหลังผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาหยวนเจินเย่ปรากฏเป็นกายธรรมวานรเฒ่าตัวหนึ่งที่กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที เหยียบย่างลงระหว่างยอดกระบี่กับหอถิงเจี้ยน ขณะเดียวกันก็โคจรวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต กระทืบเหยียบลงไปบนยอดเขาอี่เซี่ยน โชคชะตาขุนเขาสายน้ำรอบภูเขาจึงมั่นคงขึ้นมาหลายส่วน
ก่อนหน้านี้เจ้าลูกพันธ์ผสมตรอกหนีผิงถึงกับกล้าฟันภูเขาบรรพบุรุษ แล้วใช้หนึ่งกระบี่ยกยอดเขาอีเซี่ยน เป็นเหตุให้ภูเขาบรรพบุรุษลอยพ้นจากพื้นหลายจั้ง
วิชาอภินิหารที่เท้าเหยียบให้ภูเขาหยั่งรากลงพื้นนี้สำแดงความเผด็จการเหี้ยมหาญ ทำให้เค่อชิงและผู้ถวายงานจำนวนไม่น้อยรู้สึกกังวลใจว่า หากเอนเอียงไปทางจู๋หวงจะกลายเป็นว่าไม่ทันระวังเดิมพันผิดฝ่ายหรือไม่? ถึงเวลานั้นไม่ว่าจู๋หวงจะพยายามช่วยเหลืออย่างไร อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ผูกปมแค้นกับหยวนเจินเย่อย่างแท้จริงแล้ว
วานรเฒ่าชุดขาวเก็บกายธรรมที่อยู่ด้านหลัง พายุลมกรดบนร่างเหมือนกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก ชายแขนเสื้อใหญ่พัดสะบัดดังพึ่บพั่บ หัวเราะเหี้ยมเอ่ยว่า “คนไร้ความสามารถโชคดีมีชื่อเสียง จงตายใต้หมัดข้า!”
หยวนเจินเย่ทะยานร่างกระโดดลอยตัวขึ้นสูง ภูเขาใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือน เรือนกายล่ำสันกลายเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่หักเหกลางอากาศสูงแล้วพุ่งไปเป็นเส้นตรงกระโจนเข้าหาประตูภูเขา
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้น จับประคองดั้งจมูก หิ้วเหล้ากาหนึ่งมาที่ริมหน้าผาของยอดกระบี่ นั่งยองบนราวรั้วหยกขาว ดื่มเหล้าพลางชมศึกไปด้วย
พายุหมัดหนาข้นเหมือนกระบี่บินของเซียนกระบี่ทำให้ฟ้าดินสว่างวาบขึ้นมา ต่อยให้นอกประตูภูเขาตำแหน่งที่คนชุดเขียวยืนอยู่เกิดเป็นหลุมเว้าขนาดใหญ่เท่าทะเลสาบ
ทางฝั่งของหอถิงเจี้ยน เหล่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดของยอดเขาทั้งหลายในภูเขาตะวันเที่ยงชะเง้อคอมองมา พอเห็นบรรพจารย์หยวนปล่อยหมัดนี้ออกไป แต่ละคนดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า มีผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยบางคนกำหมัดแน่น ร้องให้กำลังใจเงียบๆ
แขกที่มาร่วมงานพิธีจำนวนไม่น้อยต่างก็เพิ่งเคยเห็นหยวนเจินเย่ลงมือกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก
ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตัวดี ชื่อเสียงสมคำเล่าลือจริงๆ พละกำลังหมัดนี้ของหยวนเจินเย่หนักหน่วง เห็นได้ชัดว่าสามารถสังหารผู้ฝึกตนก่อกำเนิดได้เลย
ไม่แน่ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่เรือนกายแข็งแกร่งทั้งหลาย หากเจอเข้ากับหมัดนี้ก็ยังต้องถูกแยกร่างคาที่ เลือดเนื้อแหลกเละ
ทว่าเหนือ ‘ทะเลสาบ’ ไร้น้ำนอกประตูภูเขา คนชุดเขียวยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ลอยตัวค้างอยู่กลางอากาศ ใบหน้าประดับยิ้ม มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งโบกเบาๆ สลายฝุ่นผงที่อยู่รอบด้าน
วานรเฒ่าชุดขาวพลิ้วกายลงหน้าประตูภูเขา หันไปเหลือบมองกระบี่ยาวที่เสียบคาอยู่ในกรอบป้ายของซุ้มประตู พอถอนสายตากลับมาก็จ้องเซียนกระบี่ชุดเขียวที่อาศัยดวงถึงได้เดินทีละก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ตาเขม็ง ถามว่า “ต้องเก็บศพที่ครบถ้วนไว้ให้เจ้าหรือไม่? ไม่อย่างนั้นพวกเศษสวะของภูเขาลั่วพั่วเจ้าอาจห้ามไม่ทัน หลังจบเรื่องคิดจะเก็บศพก็ยากแล้ว”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กระดิกนิ้วไปทางวานรเฒ่าชุดขาว จากนั้นผินหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย ประกบสองนิ้วเคาะลงที่ลำคอเบาๆ บอกเป็นนัยให้หยวนเจินเย่ต่อยลงมาตรงนี้
หยวนเจินเย่หรี่ตาลง ใต้ฝ่าเท้าระเบิดเสียงดังปัง พื้นดินส่ายไหวพร้อมเสียงอื้ออึง รากภูเขาในจุดลึกของยอดเขาอีเซี่ยนเกิดการโยกคลอน เป็นเหตุให้ริ้วคลื่นปราณวิญญาณฟ้าดินรอบด้านส่ายไหวตามไปด้วย หากจะบอกว่าทั้งสองฝ่ายที่คุมเชิงกันคือภาพวาดขุนเขาสายน้ำภาพหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นผู้ชมบนภูเขาทุกคนที่มองผ่านฝ่ามือ นาทีนี้ต่างก็สังเกตเห็นว่าภาพขุนเขาสายน้ำนี้ถึงกับส่ายไหวเป็นระลอก ร่างของวานรเฒ่าชุดขาวเปล่งวูบหายไป นาทีถัดมาคนชุดเขียวก็ถูกหมัดหนึ่งต่อยเข้าที่ลำคออย่างโหดร้าย ร่างพลันไถลออกไปด้านข้างหลายสิบจั้ง
เฉินผิงอันสะบัดข้อมือเบาๆ เรือนกายพลันหยุดนิ่งอยู่กับที่ โยกลำคอ ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับกำลังพูดว่าให้เจ้าลองดู อย่าได้ออมมืออีกเลย มามัวเกรงใจอะไรกับข้า?
ผู้ฝึกกระบี่ที่ต่อให้จะได้รับเงื่อนไขที่ดีเยี่ยม สามารถหล่อหลอมกระบี่บิน ในขณะเดียวกันก็ย้อนกลับมาบำรุงจิตวิญญาณและร่างกาย ทั้งหลอมกระบี่ทั้งหลอมร่างกาย ไม่ถ่วงรั้งทั้งสองทาง เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว นี่ต่างหากถึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่เป็นผู้นำของสี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขา ทั้งสามารถใช้หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม ทั้งยังได้ครอบครองเรือนกายที่ทัดเทียมกับผู้ฝึกตนสำนักการทหารและผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่ในเมื่อเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นมาจากภูเขาลั่วพั่ว เป็นขอบเขตหยกดิบเหมือนกับสหายรักอย่างหลิวเสี้ยนหยาง ทว่าเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งจะสามารถสร้างฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ให้เป็นเหมือนนครแห่งหนึ่งจนเรือนกายแข็งแกร่งมิอาจทำลายได้ถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ?
จนกระทั่งบัดนี้ผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมงานพิธีซึ่งรู้ตัวตนของ ‘เจิ้งเฉียน’ ถึงเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วว่า ไม่แน่นางอาจจะเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นี้จริงๆ
ส่วนวานรเฒ่าชุดขาวก็มีมาดของปรมาจารย์บนยอดเขาจริงๆ ทุกครั้งที่ออกหมัดล้วนไม่ฉวยโอกาสไล่ตามไปโจมตี ออกหมัดแล้วก็หยุด ราวกับจงใจให้คนชุดเขียวได้หายใจหายคอ มีพื้นที่ว่างให้หยุดพัก
——