กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 825.4 เทพอยู่บนฟ้า แสงกระบี่ร่วงหล่นลงมา
ทางฝั่งของเรือข้ามฟาก อวี๋ฮุ่ยถิงรู้สึกเพียงความอกสั่นขวัญผวา พึมพำพูดว่า “มิน่าเล่าถึงสามารถเป็นอิ่นกวานอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้”
เว่ยจิ้นกล่าว “หยวนเจินเย่จะใช้ท่าไม้ตายแล้ว”
อวี๋ฮุ่ยถิงถามอย่างใคร่รู้ “หมายความว่าอย่างไรหรือ อาจารย์อาเว่ย?”
เว่ยจิ้นไม่ตอบอะไร คิดเองไม่เป็นหรือไร? ต่อให้คิดไปไม่ถึงความจริงข้อนั้น แค่รออีกสักพักก็จะรู้คำตอบได้เอง ถามอะไรกัน มีความหมายตรงที่ใด?
อวี๋ฮุ่ยถิงเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์อาเว่ยกำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่จึงซักถามว่า “อาจารย์อาเว่ย หรือว่าหมัดต่อไปของผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนนั้นจะเผด็จการอำมหิตมากกว่าเดิม คิดจะแลกชีวิตกัน?”
เว่ยจิ้นคร้านจะหันหน้าไปมองนาง วางมาดผู้อาวุโสในสำนักอย่างที่หาได้ยาก เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าไปฝึกประสบการณ์ล่างภูเขาได้ไม่เลว ชื่อเสียงในกองทัพต้าหลีดีอย่างมาก แต่ก็ยังไม่พอใจในตัวเอง ควรหลีกเลี่ยงท่าทีหยิ่งยโสและอารมณ์หุนหันพลันแล่น วันหน้าเมื่อกลับไปถึงศาลลมหิมะแล้วใช้เวลาในเรื่องการฝึกขัดเกลาจิตใจให้มาก”
ความนัยในคำพูดของเขา อันที่จริงคือกำลังเตือนนางว่าฝึกตนอยู่ในภูเขาจำเป็นต้องใช้สมองให้มาก
อวี๋ฮุ่ยถิงไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น เพียงแค่คิดว่าอาจารย์อาเว่ยที่เย็นชาไม่ใกล้ชิดกับผู้ใดมากที่สุดของหอเทพเซียนกำลังห่วงใยคนอื่นอย่างที่หาได้ยาก นางจึงพลันคลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน
เว่ยจิ้นจึงรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปนั้นเสียเปล่าแล้ว
หยวนเจินเย่เหยียบอยู่กลางอากาศว่างเปล่า เผยร่างจริงที่ใหญ่โตมโหฬารของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาอีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่เป็นสีทองอ่อนจางจ้องเขม็งไปยังเจ้าคนที่เคยเป็นมดตัวน้อยซึ่งอยู่บนจุดสูงผู้นั้น
บนร่างของมันมีแม่น้ำยาวแห่งโชคชะตาเส้นแล้วเส้นเล่าที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาไหลรินอยู่ท่ามกลางเส้นเลือด เส้นเอ็นและกระดูกดั่งท้องน้ำ นี่ก็คือการได้รับการปกป้องจากมหามรรคาของภูตตนหนึ่งที่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนคนแรกในทวีป
เฉินผิงอันเองก็มีดวงตาสีทองเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าสีนั้นเข้มข้นและบริสุทธิ์กว่าของหยวนเจินเย่มากนัก เขาหัวเราะหยัน “ทำไม จะต้องให้ข้าบอกว่าตัวเองคือจูเยี่ยนให้ได้ เจ้าถึงจะได้รับบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูลอย่างนั้นหรือ?”
หยวนเจินเย่พูดหน้าเหี้ยม “เจ้าลูกสุนัขจงหัวเราะต่อไปเถอะ หมัดหนึ่งผ่านไป พินาศวอดวายกันทั้งหมด! จำไว้ว่าชาติหน้าจงไปเกิดในสถานที่ดีๆ …”
เฉินผิงอันกระดิกนิ้ว มา ขอให้เจ้าฆ่าข้าให้ตายเสียที
ครึ่งก้านธูปผ่านไปแล้ว จะมอบโอกาสให้เจ้าออกหมัดเพิ่มอีกครั้งเดียว
ชุยตงซานกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็กลั้นไม่ไหวกุมท้องหัวเราะก๊าก
เจียงซ่างเจินเองก็ให้อ่อนใจนัก หาใครมาเปรียบเทียบเรื่องการถูกผลาญโชคชะตาและถูกสยบกำราบบนมหามรรคาก็หาไปเถอะ แต่อย่ามาหาเจ้าขุนเขาหนุ่มที่ถูกใต้หล้าสองแห่งอย่างไพศาลและเปลี่ยวร้างเล่นงานอยู่ทุกหนทุกแห่งผู้นี้เลย
ส่วนถ้อยคำเหลวไหลเลื่อนเปื้อนของบรรพจารย์ย้ายภูเขาก็ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วย เพราะอีกเดี๋ยวมันก็จะต้องหุบปากไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจสอบถาม “เห็นชัดๆ ว่าการสยบกำราบของใต้หล้าสองแห่งยังคงอยู่ เหตุใดถึงดูเหมือนว่าจะไม่ชัดเจนขนาดนั้น? เพราะหาวิธีคลี่คลายได้แล้วหรือ?”
ชุยตงซานเปิดโปงความลับสวรรค์ในคำพูดประโยคเดียว “อาจารย์ก็แค่เข้าใจคำพูดประโยคหนึ่งของลัทธิพุทธอย่างแท้จริง หมายช่วยให้เวไนยหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ แท้จริงแล้วเป็นการชี้นำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นด้วยตนเอง ดังนั้นถึงได้ถือโอกาสนี้เลื่อนสู่ขอบเขตบางอย่าง มีความสับสนอยู่ทุกเวลา มีโอกาสที่ไร้อุปสรรคอยู่ทุกหนทุกแห่ง อาจารย์มีใจเช่นนี้ก่อนแล้วค่อยมีขอบเขตนี้”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “ร้ายกาจ ร้ายกาจ”
แต่เจียงซ่างเจินเองก็รู้ชัดเจนดีว่า ชุยตงซานเพียงแค่พูดแล้วฟังดูง่ายเท่านั้น เฉินผิงอันลงมือทำจริงๆ ย่อมต้องเป็นความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
ชุยตงซานกลอกตามองบน “พูดจาไร้สาระ”
ทางฝั่งของยอดกระบี่ หลิวเสี้ยนหยางแกว่งกาเหล้าว่างเปล่าที่อยู่ในมือแล้วโยนมันออกไปนอกราวรั้วหยกขาว สองมือของเขาสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ความแค้นในอดีตล้วนผ่านพ้นไปแล้ว
นอกเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วไม่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตะวันเที่ยงอีกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ยังมีวิธีการของโจวอันดับหนึ่งอยู่
กลุ่มคนที่มีเฉาฉิงหล่างเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ถือเมล็ดแตงไว้คนละหนึ่งฝ่ามือ ล้วนเป็นเมล็ดแตงที่หมี่ลี่น้อยทิ้งเอาไว้ก่อนจะลงไปจากภูเขา รบกวนพี่หญิงหน่วนซู่ให้ช่วยนำมามอบต่อ ทุกคนต่างก็มีส่วน
เว่ยป้อออกมาจากยอดเขาพีอวิ๋น มาเผยกายอยู่ที่นี่อย่างเงียบเชียบ ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อำพรางร่องรอยก็ปรากฎตัวตามมาด้วย เอ่ยทักทายเสียงเบาว่า “เว่ยซานจวิน”
เว่ยป้อพยักหน้ายิ้มรับ “ลำบากแล้ว”
ชุยเหวยพลันไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้เช่นไร
ข้าคือผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ จับตามองภูเขาบ้านตัวเอง จะลำบากอะไร
เว่ยป้อเองก็คล้ายรู้สึกว่าตนพูดแบบนี้ค่อนข้างจะผิดปกติ จึงเอ่ยเยาะเย้ยตัวเองว่า “ความเคยชินเช่นนี้ควรต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อยแล้ว”
ก่อนหน้านี้ไปเดินลาดตระเวนเมืองหงจู๋ซึ่งเป็นสถานที่ที่แม่น้ำสามสายมารวมตัวกัน อยู่ในร้านขายหนังสือแห่งนั้น เทพวารีหลี่จิ่นยังเอ่ยสัพยอกว่าตนคือซานจวินของแจกันสมบัติทวีป คือเทพภูเขาของยอดเขาจี้เซ่อ
เว่ยป้อรู้สึกว่ามีเหตุผลมาก คำพูดของเทพวารีหลี่ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ใครคือหัวหน้าในวงการขุนนาง ใครคือลูกน้องใต้อาณัติกันแน่? ดังนั้นจึงได้ตำราหลายสิบเล่มมาจากที่ร้านหนังสือเปล่าๆ
บนโต๊ะ คนจิ๋วควันธูปแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองที่วันนี้มาขานชื่อที่ภูเขาลั่วพั่วพอดี รับผิดชอบช่วยรวบรวมเปลือกเมล็ดแตงมากองกันไว้เป็นภูเขาอย่างมานะยิ่ง
เห็นเว่ยซานจวิน อีกทั้งข้างกายยังไม่มีเฉินหลิงจวินคอยปกป้อง เจ้าตัวน้อยที่เคยช่วยเอาฉายาของเว่ยซานจวินไปป่าวประกาศทั่วสี่ทิศก็รีบนั่งยองอยู่ด้านหลัง ‘ภูเขาลูกเล็ก’ ขอแค่ข้ามองไม่เห็นเว่ยท่องราตรี เว่ยท่องราตรีก็มองไม่เห็นข้า
ภูเขาสายน้ำส่วนตัวในรัศมีพันลี้รอบภูเขาตะวันเที่ยง เมื่อหยวนเจินเย่เผยร่างจริง ต่อให้เป็นพวกชาวบ้านในตลาด ทุกคนแค่เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นเรือนกายใหญ่โตมโหฬารของผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนนั้นได้แล้ว
ส่วนพวกผู้ฝึกตนที่มาเข้าร่วมงานพิธีคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ สรุปแล้วเซียนกระบี่ชุดเขียวที่มาจากภูเขาลั่วพั่วสามารถรับหมัดแล้วหมัดเล่าจากน้ำมือของวานรเฒ่าตัวนี้ได้อย่างไร
บรรพจารย์เซี่ยหย่วนชุ่ยพลันใช้เสียงในใจพูดว่า “ศิษย์หลาน การเลือกของเจ้า มองดูเหมือนไร้น้ำใจ แต่แท้จริงแล้วปราดเปรื่องยิ่ง หากเปลี่ยนให้ข้ามาเป็นคนตัดสินใจก็ไม่แน่ว่าจะเด็ดขาดได้อย่างเจ้า”
ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องของเจ้าสำนักสำนักเบื้องล่าง ไม่มีภูเขาชิวลิ่งมาแย่งชิง ผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดของยอดเขาหม่านเยว่ก็ยิ่งมีความหวังที่จะได้แบกรับหน้าที่สำคัญนี้
เยี่ยนฉู่พยักหน้า “เมื่อได้ผลร้ายทั้งสองทางก็เลือกทางที่ผลร้ายเบากว่า มาย้อนนึกดูแล้ว การกระทำนี้ของเจ้าสำนัก ไม่มีความอืดอาดชักช้าแม้แต่น้อย ช่างทำให้คนนับถือจริงๆ”
มีเพียงเถาแยนโปที่อึ้งงันไร้คำพูด นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ภูเขาชิวลิ่งของตนควรจะทำอย่างไร? ระหว่างยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงที่ใจคนแตกฉานซ่านเซ็นนี้ ผู้ฝึกกระบี่ของสายภูเขาชิวลิ่งจะยังมีพื้นที่ให้หยัดยืนอีกหรือไม่?
หยวนเจินเย่ที่ไม่ใช่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาอะไรอีกแล้วใช้ร่างจริงที่เป็นวานรขาวส่งหมัดที่มรรคถกาสูงสุด ปณิธานหมัดยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตไปยังจุดสูง
ก่อนที่วานรเฒ่าจะปล่อยหมัดออกไปก็ได้แผดเสียงหัวเราะดังก้อง “ตายก็คือตาย อย่าหวังว่าข้าผู้อาวุโสจะอ้อนวอนเศษสวะลูกผสมอย่างเจ้าแม้แต่ครึ่งคำ”
แพ้ชนะเป็นอย่างไร ภายในครึ่งก้านธูป หยวนเจินเย่ที่ออกหมัดไม่หยุด มีหรือจะไม่กระจ่างชัดอยู่ในใจ
หมัดนั้นที่ปล่อยออกมาของหยวนเจินเย่ทำให้กลางอากาศบนฟากฟ้าปรากฏริ้วกระเพื่อมสีทองวงหนึ่งที่แผ่กระจายออกไปสี่ด้านแปดทิศอย่างรวดเร็ว ตลอดทั้งอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงเหมือนว่ามีลูกคลื่นสีทองที่ยิ่งใหญ่อลังการอย่างถึงที่สุดชั้นหนึ่งพุ่งผ่านไปช้าๆ
แขนข้างที่ออกหมัดของวานรเฒ่าเหมือนภูเขาที่รากภูเขาปริแตก จึงแหลกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ประหนึ่งฝนกระหน่ำที่ตกลงมาแล้วกระเด็นไปทั่วสารทิศ
วานรเฒ่าที่อยู่กลางอากาศยังคงค้างอยู่ในท่าปล่อยหมัดซึ่งบุกรุดไปเบื้องหน้าอย่างห้าวหาญ ทว่าฟ้าดินเล็กบริเวณโดยรอบคนชุดเขียวกลับยังคงมีตะวันจันทราและดารา มหามรรคายังคงโคจรเป็นวงจรสืบเนื่องกันอย่างมีระเบียบไม่หยุด
วานรเฒ่าที่แขนขาดไปข้างหนึ่งไหล่เอียงลงมาน้อยๆ ไหล่ข้างนั้นจึงดันค้างไว้ที่ริมขอบของฟ้าดินเล็กแห่งนั้นได้พอดี จุดที่มหามรรคาปะทะกัน สะเก็ดแสงดาวสาดกระเซ็น ฝนเพลิงตกท่วมเต็มผืนฟ้า ส่องประกายแสงเจิดจ้าพร่าตา
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ถึงตาข้างบ้างแล้ว”
ภาพบรรยากาศของฟ้าดินพลันถูกเก็บกลับมา ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ ชั้นของหวนคืนความจริง วิชาหมัดก็คือเวทกระบี่ ราวกับเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนที่เวทกระบี่หล่นร่วงลงมายังโลกมนุษย์
ตรงม่านฟ้าปรากฏน้ำวนลูกใหญ่ยักษ์ มีแสงกระบี่สีทองที่ราวกับลาดตระเวนอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลามายาวนานนับพันปีเส้นหนึ่งแหวกอากาศมาถึง กระแทกลงบนหัวของร่างจริงวานรเฒ่า ซัดให้หยวนเจินเย่หล่นกระแทกพื้นดินของภูเขาตะวันเที่ยง หัวทิ่มปักพื้น ชนเข้ากับปลายยอดของยอดเขาเซียนเหรินสะพายกระบี่พอดี
แสงกระบี่หล่นลงมาเป็นเส้นตรง เนิ่นนานก็ยังไม่จางหาย ประหนึ่งกระบี่ยาวสีทองที่มองไม่เห็นเล่มหนึ่งที่ทำให้ฟ้าดินเชื่อมประสานกัน ปักตรึงทะลุศีรษะของวานรเฒ่าแล้วก็ไปเสียบเอียงอยู่บนพื้นดิน
หยวนเจินเย่หมอบคลานอยู่กับพื้น ร้องคำรามโหยหวน สองมือยันพื้นหมายจะโงหัวขึ้น ดิ้นรนจะลุกขึ้นยืน แต่จากนั้นคนชุดเขียวก็พุ่งดิ่งลงมาเป็นเส้นตรง มายืนอยู่เหนือหัวของมัน เป็นเหตุให้ใบหน้าของหยวนเจินเย่ก้มลงต่ำในทันที จำต้องแนบใบหน้าติดกับยอดเขาสะพายกระบี่
เฉินผิงอันชูแขนขึ้นสูง ห้าอสนีมารวมกันอยู่กลางฝ่ามือ ประหนึ่งทัณฑ์สวรรค์ที่รวมตัวกัน เขาเงื้อมือขึ้นแล้วตบลงอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือตบเข้าที่ลำคอของหยวนเจินเย่
จากนั้นจึงยกมือซ้ายขึ้น กระบี่ยาวเย่โหยวที่อยู่บนซุ้มประตูภูเขาของยอดเขาอีเซี่ยนกลายร่างเป็นสายรุ้งพุ่งมาถึง คนชุดเขียวถือกระบี่ยาวไว้ในมือแล้วลากกระบี่เดินไป เดินผ่านลำคอของวานรเฒ่าไปช้าๆ แสงกระบี่ก็กรีดผ่าไปเบาๆ
สุดท้ายจึงตัดหัวใหญ่ยักษ์ของหยวนเจินเย่ไปทั้งอย่างนี้ ครั้นจึงปล่อยให้มันกลิ้งหลุนๆ ไปถึงตีนเขา
ในชายแขนเสื้อมียันต์พุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องเหมือนแม่น้ำสายยาวที่ซัดทำลายเรือนกายไร้หัวของหยวนเจินเย่ให้แหลกเละ
ศีรษะนั้นหล่นร่วงตรงตีนเขา ดวงตาทั้งสองข้างยังคงจับจ้องคนชุดเขียวที่อยู่บนยอดเขาเขม็ง ประกายแสงค่อยๆ สลายหายไปจากลูกตาทั้งคู่ ไม่รู้ว่าตายตาไม่หลับหรือว่ายังมีความปรารถนาที่ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้ ไม่ว่าอย่างไรดวงตาคู่นั้นก็หลับไม่ลง
เฉินผิงอันพยักหน้าให้มัน
ไม่รู้ว่าเหตุใด ดูเหมือนหยวนเจินเย่จะเข้าใจความคิดของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงในอดีต มันจึงผงกศีรษะเบาๆ จากนั้นหลับตาลง เลือกทำแบบเดียวกับซือถูเหวินอิงผู้ฝึกตนผีหญิงของยอดเขาหม่านเยว่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เลือกที่จะทิ้งท่วงทำนองแห่งมรรคาของขอบเขตหยกดิบและโชคชะตาที่เหลืออยู่เอาไว้ มอบให้แก่ภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนี้ทั้งหมด
วานรเฒ่าที่ก่อนหน้านี้สามารถเลือกที่จะระเบิดโอสถทองและก่อกำเนิดได้ ความคิดสุดท้ายที่เหลืออยู่ในชีวิตคล้ายต้องการบอกกับคนบนยอดเขาว่า ถือว่าข้าขอร้องเจ้า อย่าฆ่าเถาจื่อ!
ส่วนคนชุดเขียวที่คล้ายล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ความหมายที่เขาพยักหน้าในเวลานั้นคือกำลังพูดว่า ข้าไม่ใช่เจ้า
จิตวิญญาณของหยวนเจินเย่แหลกสลาย ยังคงมองเห็นผู้เฒ่าชุดขาวที่เรือนกายล่องลอย แผ่นหลังงองุ้มยืนอยู่ข้างศีรษะที่อยู่ตีนเขา มันเงยหน้าขึ้นมองคนหนุ่ม ใช้เสียงในใจสอบถามเป็นประโยคสุดท้ายในชีวิตนี้ “คนที่ข้าฆ่าคือใครกันแน่?”
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ เพียงแค่โบกชายแขนเสื้อสลายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายทิ้งไป
เย่โหยวกลับคืนสู่ฝัก ถูกเขาสะพายไว้ด้านหลัง
ยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบแรงๆ ภูเขาใต้ฝ่าเท้าก็แหลกออกเป็นชิ้นๆ
บนโลกนี้ไม่มียอดเขาสะพายกระบี่อีกต่อไป มีเพียงคนชุดเขียวที่สะพายกระบี่เดินทางไกล
เดินท่องอยู่บนมหามรรคา ผู้ที่ถือเทียนเดินทางยามค่ำคืน ไม่กลัวว่าจะเจอผี ผีต้องกลัวคนถึงจะถูก
นอกจากทุกคนของภูเขาลั่วพั่วที่มาเข้าร่วมงานพิธีแล้ว
เซียนกระบี่และลูกศิษย์ทุกคนของภูเขาตะวันเที่ยง รวมไปถึงแขกทั้งหมดที่อยู่บนยอดเขาเก่าใหม่ทั้งหลาย นาทีนี้ต่างก็รู้สึกหายใจไม่ออกอย่างน่าประหลาดใจ
ราวกับว่าเวลานี้ข้างกายของทุกคนมีเซียนกระบี่ชุดเขียวที่มาจากภูเขาลั่วพั่วคนหนึ่งยืนอยู่
คนชุดเขียวผู้นั้นทะยานลมไปที่ยอดกระบี่ซึ่งสูญเสียศาลบรรพจารย์ไปแล้ว
จู๋หวงที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งรีบกุมหมัดเอ่ยอย่างนอบน้อม “จู๋หวงแห่งภูเขาตะวันเที่ยงคารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
หลิวเสี้ยนหยางกลอกตามองบน สบตากับเฉินผิงอันทีหนึ่ง หลิวเสี้ยนหยางก็ทะยานลมจากไปก่อน เหลียวซ้ายแลขวา เห็นแม่นางหน้ากลมที่ยืนอยู่กลางกอต้นอ้อต้นกกก็รีบวิ่งตุปัดตุเป๋ไปที่ท่าเรือป๋ายลู่ทันที
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน ไม่ได้พูดอะไรมาก ทะยานลมจากไปพร้อมกับหลิวเสี้ยนหยาง ระหว่างนั้นยังหันไปยิ้มกว้างให้ทางท่าเรือป๋ายลู่ แล้วจึงมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาวและแม่นางน้อยชุดดำ ลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “กลับบ้านกันเถอะ”
——