กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 827.1 เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิต
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่ข้างราวรั้ว โบกหลิงจือหยกขาวที่อยู่ในมือเบาๆ ไปทางคนผู้หนึ่งที่อยู่ตรงท่าเรือป๋ายลู่
หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่ย้อนกลับมายังท่าเรือป๋ายลู่เพ่งตามอง เห็นนักบัญชีของเกาะชิงเสียบ้านตนในอดีต เครื่องแต่งกายลัทธิเต๋าที่เป็นที่ต้องสงสัยว่าล้ำเส้นนั้น คาดว่าต่อให้ฉีเทียนจวินแห่งสำนักโองการเทพเห็นกับตาตัวเอง ทุกวันนี้ก็คงทำเพียงแค่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเท่านั้น หลิวจื้อเม่าหัวเราะดังลั่น ทะยานลมมายังหอกั้วอวิ๋น พลิ้วกายลงบนพื้น กุมหมัดคารวะ “เจ้าขุนเขาเฉินมาถามกระบี่ครั้งนี้ช่างทำให้คนเลื่อมใสจริงๆ”
เฉินผิงอันเก็บหลิงจือหยกขาวชิ้นนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มพลางกุมหมัดคารวะกลับคืน “คารวะหลิวเจินจวิน”
ที่แท้กระบี่บินส่งข่าวจากยอดเขาอีเซี่ยนที่เหมือนบุปผาผลิบานไปทั่วยอดเขาทั้งหลายก่อนหน้านี้ หลิวจื้อเม่าก็ได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากเฉินผิงอัน บอกว่ารอให้การถามกระบี่สิ้นสุดลง ให้เขามาที่ท่าเรือป๋ายลู่ มีเรื่องจะปรึกษา
เฉินผิงอันส่งเหล้าภูเขาชิงเสินกาหนึ่งไปให้แล้วพูดเข้าประเด็นทันที “ก่อนหน้านี้คิดว่าจะเสนอกับภูเขาตะวันเที่ยง แนะนำให้หลิวเจินเหรินรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างภูเขาตะวันเที่ยง เพียงแต่ว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ระหว่างทางกลับมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จึงทำให้หลิวเจินจวินต้องมาเสียเที่ยวแล้ว”
หลิวจื้อเม่ารับกาเหล้ามา ไม่รีบร้อนเปิดผนึกดินออกดื่มเหล้า สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเป็นสุราคารวะหรือสุราลงทัณฑ์? แล้วนับประสาอะไรกับที่ฟังคำพูดของอีกฝ่ายแล้วยิ่งมึนงงสับสน นี่มันอะไรกับอะไรกัน? ข้าเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเจินจิ้ง ชื่อที่อยู่บนทำเนียบหยกทองของผู้ถวายงานศาลบรรพจารย์สำนักกุยหยกล้วนอยู่ในอันดับต้นๆ ให้มารับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างภูเขาตะวันเที่ยง? นักบัญชีผู้นี้ช่างดีดลูกคิดไว้ได้ดีจริงๆ
แต่หากจะบอกว่าให้หลิวจื้อเม่าเลือกเอง หรือว่ามีทางให้เลือกจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นภายใต้เงื่อนไขที่เจียงซ่างเจินและเหวยอิ๋งไม่เคียดแค้นในเรื่องนี้ หลิวจื้อเม่าก็ไม่ถือสาที่จะผลักเรือตามน้ำ ตอบตกลงกับเรื่องนี้จริงๆ เพราะถึงอย่างไรด้วยเรือนกายที่แม้จะแก่ชราแต่ก็ยังเปี่ยมกำลังวังชาของหลิวเหล่าเฉิง อีกทั้งยังเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว และคุณสมบัติด้านการฝึกตนของเหล่าหลิวก็ดีเยี่ยม ขอแค่ไร้เรื่องไม่คาดฝันไร้หายนะ มีชีวิตอยู่ไปอีกสักแปดร้อยปีพันปีก็ยังไม่มีปัญหา นอกจากนี้เจ้าสำนักกับผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง หากอิงตามกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของบนภูเขา มองดูเหมือนห่างกันแค่ก้าวเดียว แต่แท้จริงแล้วกลับห่างไกลเป็นหมื่นลี้ ตอนนั้นการที่หลิวเหล่าเฉิงสามารถแหกกฎเลื่อนจากผู้ถวายงานมาเป็นเจ้าสำนักได้ก็เพราะความสัมพันธ์ควันธูปที่มีต่อสวินยวน บวกกับที่เจียงซ่างเจินเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่นี้ และตอนนั้นเหวยอิ๋งก็ยุ่งกับการกลับคืนไปยังใบถงทวีปเพื่อรับตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักเบื้องบน ถึงได้ไม่ได้ขัดขวาง หรือไม่ก็ควรจะบอกว่าไม่ยินดีจะฉีกหน้าเจียงซ่างเจิน เป็นเหตุให้เจ้าสำนักคนที่สี่ในประวัติศาสตร์ของสำนักเจินจิ้ง แปดเก้าในสิบส่วนก็จะเป็นคนที่ทางสำนักกุยหยกส่งมารับหน้าที่ต่อจากหลิวเหล่าเฉิง ไม่มีทางเป็นเขาหลิวจื้อเม่าไปได้แน่นอน กฎในวงการขุนนางที่ตื้นเขินแค่นี้ หลิวจื้อเม่าเข้าใจชัดเจนดี
เหวยอิ๋งไม่ค่อยเห็นดีในตัวเขาสักเท่าไร เป็นเหตุให้ศาลบรรพจารย์สำนักกุยหยกในทุกวันนี้ยังมีเก้าอี้ว่างเปล่าอยู่มากมายขนาดนั้น ในฐานะผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่าง หลิวจื้อเม่าก็ยังคงไม่อาจชิงตำแหน่งหนึ่งมาได้ เรื่องที่ไม่ถูกหลักมารยาทเช่นนี้ หลิวจื้อเม่าจะยังพูดอะไรได้อีก? แค่จะบ่นกับตัวเองสองสามคำยังไม่กล้าเลย ในเมื่อไม่มีเส้นสาย ไม่มีที่พึ่ง ก็จงยอมรับชะตากรรมแต่โดยดีเถิด
ถึงอย่างไรหลิวจื้อเม่าก็เป็นขอบเขตหยกดิบที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ อยู่กับเฉินผิงอันจึงไม่คิดจะปิดบังความเสียดายของตน เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “เรื่องนี้ไม่สำเร็จ น่าเสียดายนัก”
อาศัยทะเลสาบซูเจี่ยนกลายมาเป็นผู้ถวายงานบนทำเนียบของสำนักหนึ่ง หากยังอาศัยสำนักเจินจิ้งมารับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักอื่น แบบนั้นก็เรียกว่าต้นไม้ย้ายที่ตาย คนย้ายถิ่นรอด
ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่เคยชินกับการเก็บตกของดีไปทั่วเหมือนสุนัขคุ้ยดินหาของกิน ไม่มีอะไรที่ไม่กล้าคิด ไม่มีอะไรที่ไม่กล้าทำ
หลิวจื้อเม่ายกกาเหล้าขึ้น พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขอรับน้ำใจของเจ้าขุนเขาเฉินเอาไว้แล้ว วันหน้าหากยังมีเรื่องดีๆ ทำนองนี้อีกก็ขอให้คิดถึงหลิวจื้อเม่าเป็นคนแรก”
เฉินผิงอันยกกาเหล้าขึ้นชนกับเขาเบาๆ พยักหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่กล้ารับรองอะไร แต่ก็สามารถรอคอยได้”
หลิวจื้อเม่าได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกายวาบ ต่อให้จะรู้ดีว่าไอ้หมอนี่พูดจาเหลวไหลไปเรื่อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความหวัง อย่างน้อยก็ดีกว่าผลาญเวลาทุกวันอยู่ในสำนักเจินจิ้งโดยที่มองไม่เห็นแสงสว่างอะไร
หลิวจื้อเม่าดื่มเหล้าหนึ่งอึก ได้ยินเฉินผิงอันบอกว่านี่คือเหล้าภูเขาชิงเสินที่มาจากร้านของเขาเอง
เหล้าบนภูเขาทั่วไป เหล้าหมักตระกูลเซียนอะไร ดื่มไปแล้วก็ดื่มไป ยังจะมีรสชาติแบบใดเพิ่มมาได้อีก
วันนี้หลิวจื้อเม่าแค่ดื่มไปหนึ่งอึกก็ลิ้มรสอยู่ครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วน้อยๆ เพื่อแสดงความเคารพ จากนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ เพื่อแสดงให้รู้ว่าเป็นสุราที่ดี
เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว หิ้วกาเหล้าแกว่งเบาๆ
หลิวจื้อเม่าเองก็ไม่ได้มาเพื่อดื่มเหล้า มองบุรุษที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง หลิวจื้อเม่าพลันรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก ไม่กล้าเชื่อว่าเด็กหนุ่มจากตรอกเก่าโทรมที่เหมือนจอกแหนล่องลอย ชีวิตคล้ายได้แต่หมุนคว้างไปตามกระแสน้ำตลอดทางคนนั้นจะเดินมาจนถึงวันนี้ได้จริงๆ มอบเหล้าให้คนอื่น คนอื่นไม่กล้าไม่รับ แล้วยังไม่กล้าพูดว่าไม่อร่อยด้วย ที่หน้าประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย จนถึงทุกวันนี้ยังคงเก็บห้องบัญชีเหล่านั้นเอาไว้ เถียนหูจวินลูกศิษย์ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องคนนั้น ทุกครั้งที่ไปพบอาจารย์ร่วมการประชุมที่เกาะชิงเสียก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะมองที่นั่นนานเกินไป สายตาล้วนมองข้ามห้องแห่งนั้นไปคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
เชื่อว่าวันหน้าคนรุ่นเยาว์ของภูเขาตะวันเที่ยง ไม่ว่าจะขี่กระบี่หรือทะยานลม ขอแค่ผ่านซากปรักของยอดเขาเซียนเหรินสะพายกระบี่ก็คงจะมีสภาพพอๆ กันนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น ทว่าความเคารพยำเกรงกลับฝังลึกอยู่ในใจ
หลิวจื้อเม่าดื่มเหล้าหมดเร็วมาก เก็บกาเหล้าที่ว่างเปล่าใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ในเมื่อท่าทีของเฉินผิงอันในวันนี้ไม่คล้ายมาเพื่อพลิกบัญชีเก่า อารมณ์ของหลิวจื้อเม่าก็ผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน ไม่มีท่าทีกระวนกระวายกังวลว่านักบัญชีที่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเซียนกระบี่ผู้นี้จะรู้สึกว่าจัดการกับภูเขาตะวันเที่ยงยังไม่สาแก่ใจ ต้องการจะจัดการกับเกาะชิงเสียดีๆ อีกสักรอบเหมือนตอนที่เดินทางมาอีก เพราะถึงอย่างไรหลิวจื้อเม่าก็รู้ชัดเจนดีว่า ปีนั้นตอนที่เฉินผิงอันออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงยังไม่อาจทำหลายเรื่องให้สำเร็จได้ ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียม
อยู่ดีๆ หลิวจื้อเม่าก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “วันนี้ได้มีกิน ได้สวมใส่เสื้อผ้าอบอุ่น ได้นอนหลับ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาก็คือทัศนียภาพอันงดงามบนเส้นทางการฝึกตน สุราดีหนึ่งกา สองคนไร้เรื่องราวใด พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันได้หลายประโยค”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าพูดว่าเรื่องสัพเพเหระคือเรื่องสัพเพเหระ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเรื่องราวมักมาจากเรื่องสัพเพเหระเสมอ”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้า “เป็นหลักการเหตุผลเก่าแก่ที่ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อหามาได้จริงๆ”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมา “อีกเดี๋ยวจู๋หวงจะมาถึงที่นี่ ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่ไปส่งหลิวเจินจวินแล้ว วันหน้าหากมีโอกาสไปเป็นแขกที่จวนชุนถิงจะไปดื่มเหล้ารำลึกความหลังกับหลิวเจินจวินอีกครั้ง”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้ายิ้มรับ ครั้นจึงทะยานลมจากไป จิตใจที่เดิมทีผ่อนคลายขึ้นหลายส่วนกลับอึดอัดหวั่นผวาอีกครั้ง สิ่งที่คิดในใจตอนนี้คือรีบไปตรวจสอบการกระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาของพวกลูกศิษย์ทั้งหลายอย่างเถียนหูจวิน สรุปก็คือจะปล่อยให้นักบัญชีผู้นี้คิดบัญชีมาจนถึงหัวตนไม่ได้เด็ดขาด
เฉินผิงอันเหลือบมองไปยังทิศทางของยอดเขาอีเซี่ยน การประชุมสิ้นสุดลงแล้ว เซียนกระบี่และเหล่าผู้ถวายงานเค่อชิงของยอดเขาทั้งกลายต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน
จากนั้นจึงหันมามองเรือนกายที่ออกเดินทางไกลไปของสกัดคงคาเจินจวิน เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งคำ ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า ทอดสายตามองไป เมฆขาวลอยขึ้นมาจากกลางภูผา สายน้ำไหลวนอ้อมผ่านภูเขาเขียว
กฎบรรพบุรุษบนภูเขา กฎของวงการขุนนาง คำสั่งของกลุ่ม คุณธรรมในยุทธภพ ขนบธรรมเนียมประเพณีของบ้านเกิด
ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอแค่ไปอยู่ในสถานที่นั้นๆ ก็ต้องทำตามกฎเกณฑ์ ยกตัวอย่างเช่นทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีต หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสีย ก็คือเทพเทวดาที่พลิกมือเรียกเมฆพลิกมือเรียกฝน ผู้ฝึกตนเซียนดินของทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือกฎเกณฑ์เพียงหนึ่งเดียว รอกระทั่งสำนักเจินจิ้งรับเอาทะเลสาบซูเจี่ยนมาดูแลต่อ ผู้ฝึกตนอิสระส่วนใหญ่สะบัดตัวเปลี่ยนร่างกลายมาเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ก็ต้องปฏิบัติตามกฎของสำนักกุยหยก แม้แต่หลิวเหล่าเฉิงและหลิวจื้อเม่าเอง ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนเหมือนกลายมาเป็นนักเรียนประถมที่เดินเข้าโรงเรียนแล้วต้องเรียนรู้ตัวอักษรเรียนรู้หลักการเหตุผลใหม่อีกครั้ง เพียงแต่ว่ามีคนเรียนรู้ได้เร็ว มีคนที่เรียนรู้ได้ช้า
เสียงเคาะประตูแผ่วเบาดังมาจากระเบียงนอกห้อง คือฝีเท้าและเสียงของหนีเยว่หรงเถ้าแก่โรงเตี๊ยม บอกว่าเจ้าสำนักมาแล้ว ต้องการพบเจ้าขุนเขาเฉิน
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “เชิญเข้ามา”
เจ้าสำนักจู๋หวงและหนีเยว่หรงที่มีชาติกำเนิดจากยอดเขาชิงอู้พากันเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ฝ่ายหลังกอดม้วนภาพแกนหยกขาวอันหนึ่งไว้ในอ้อมอกด้วย พอเดินมาถึงระเบียงชมทิวทัศน์ หนีเยว่หรงก็ยกเอาโต๊ะหนึ่งตัวและเบาะรองนั่งสองใบออกมา ส่วนนางคุกเข่าลงบนพื้น คลี่กางม้วนภาพนั้นบนโต๊ะ คือม้วนภาพรวมผลงานจากฝีมือตระกูลเซียนภาพหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าสำนักแวบหนึ่ง จู๋หวงพยักหน้าให้เบาๆ หนีเยว่หรงถึงได้ยกมือขวาขึ้น มือซ้ายจับประคองตรงปลายแกนม้วนภาพไว้หลวมๆ ก่อนจะ ‘คีบ’ กระถางธูปใบหนึ่งออกมาจากม้วนภาพผ้าแพร บนโต๊ะพลันมีควันม่วงลอยอบอวล จากนั้นนางก็หยิบชุดชงชากระเบื้องขาวที่ขาวสะอาดราวกับหยกออกมาชุดหนึ่ง วางถ้วยชาสองใบไว้สองข้างของโต๊ะ สุดท้ายประคองผลไม้ตระกูลเซียนออกมาหนึ่งถาด วางลงตรงกลางโต๊ะ
ทำเรื่องยิบย่อยพวกนี้เสร็จ หนีเยว่หรงก็ยังนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม สองมือวางทับซ้อนกันบนหัวเข่า ตามองจมูก จมูกมองใจ สายตาจ้องไปข้างหน้าไม่ล่อกแล่ก นางทั้งไม่กล้ามองจู๋หวงเจ้าสำนักแล้วก็ไม่กล้ามองเซียนกระบี่เจ้าขุนเขาที่สวมกวานดอกบัวบนศีรษะผู้นั้น
ภูเขาลั่วพั่วและภูเขาตะวันเที่ยง เจ้าขุนเขาสองท่านที่ผูกปมแค้นต่อกัน ต่างคนต่างนั่งลงคนละด้าน
ต่อให้จะมีบรรยากาศตึงเครียดราวกับกระบี่จะถูกชักออกจากฝัก ลูกธนูจะหลุดออกจากแล่งได้ทุกเมื่ออยู่บ้าง แต่กระนั้นกลับเหมือนสหายเก่าสองคนที่นั่งดื่มชาอย่างสบายอารมณ์มากกว่า
บุญคุณความแค้นบนภูเขาไม่ได้เหมือนเด็กหนุ่มในหมู่ชาวบ้านล่างภูเขาสองกลุ่มต่อยตีกันเสร็จ ต่างฝ่ายต่างเอ่ยประโยคว่าฝากไว้ก่อนเถอะ วันหน้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย
แต่เป็นเสาหินกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก สายน้ำไหลผ่านไปพันปี ก้อนหินก็ยังคงอยู่
จู๋หวงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หนีเยว่หรง เจ้าออกไปก่อน หากมีเรื่องจะเรียกเจ้าเอง”
ไม่กังวลว่านางจะแอบส่งข่าวไปแจ้งเยี่ยนฉู่แห่งยอดเขาสุ่ยหลง เพราะทำอย่างนั้นก็คือการรนหาที่ตาย
หนีเยว่หรงลุกขึ้นทันใด ไม่เอ่ยอะไรสักคำ สงบสำรวมอย่างมีมารยาท เดินจากไปอย่างแช่มช้อย
จู๋หวงยกถ้วยชาขึ้น ยิ้มกล่าว “ใช้ชาต่างสุรา รับรองแขกได้ไม่ดีพอ เจ้าขุนเขาเฉินโปรดอย่าถือสา”
เฉินผิงอันยื่นสองนิ้วออกมากดถ้วยชาเอาไว้ ยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องรีบร้อนดื่มชา”
จู๋หวงพยักหน้า แล้วก็วางถ้วยชาลงจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักจู๋มาหาข้าที่หอกั้วอวิ๋น มีธุระอะไรหรือ?”
หากเป็นพวกเยี่ยนฉู่ที่อยู่ที่นี่ คาดว่าคงก่นด่าอยู่ในใจว่าเจ้าคนชั่วกำเริบเสิบสาน รังแกคนอื่นเกินไปแล้ว
จู๋หวงกลับมีสีหน้าเป็นปกติ เอ่ยว่า “ฉวยโอกาสตอนที่เจ้าขุนเขาเฉินยังไม่กลับภูเขาลั่วพั่ว อยากจะยืนยันเรื่องหนึ่งให้แน่ใจ ควรจะสะสางบัญชีเก่านี้ให้หมดจดอย่างไร หลังจากนี้ภูเขาลั่วพั่วเดินบนเส้นทางกว้างขวาง ภูเขาตะวันเที่ยงเดินบนทางสะพานไม้คับแคบ ต่างคนต่างอยู่ ไม่รบกวนก้าวก่ายกันและกัน ข้าเชื่อมั่นในตัวของเจ้าขุนเขาเฉิน ไม่ต้องลงนามสัญญาภูเขาอะไรด้วยซ้ำ เชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วพูดอย่างไรก็ต้องทำได้อย่างนั้น”
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน หลังจากถอนสายตากลับมาแล้วก็เอ่ยเนิบช้าว่า “ภูเขาตะวันเที่ยงมีกิจการอย่างในทุกวันนี้ได้ เจ้าสำนักจู๋มีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง ในฐานะประมุขของหนึ่งตระกูล ผู้นำของหนึ่งสำนัก ทั้งต้องฝึกบำเพ็ญตนของตัวเอง แล้วยังต้องจัดการกิจธุระยิบย่อยวุ่นวายโดยไม่ถ่วงรั้งทั้งสองทาง ความยากลำบากในเรื่องนี้ ผู้คุมกฎก็ดี เทพเจ้าแห่งโชคลาภก็ช่าง ต่อให้จะอยู่ด้านข้างแล้วมองเห็นอยู่ในสายตาก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเข้าใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกลูกศิษย์และลูกศิษย์ของลูกศิษย์ที่อยู่ท่ามกลางร่มเงาของบรรพบุรุษแต่กลับไม่รับรู้ถึงความโชคดีเลย”
จู๋หวงดึงเอาความนัยในคำพูดของอีกฝ่ายออกมาพูดอย่างชัดเจนด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าขุนเขาเฉินอยากพูดว่ามรสุมของวันนี้ต้องโทษที่ข้าจู๋หวงควบคุมดูแลคนได้ไม่ดีพอ อันที่จริงไม่ได้เกี่ยวข้องกับหยวนเจินเย่สักเท่าไรหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนอายุน้อยเปิดอ่านตำรา เคยอ่านเจอคำสั่งสอนของอริยะปราชญ์ที่ล้ำค่าดุจทองดุจหยก ต่อให้เอาไปวางไว้ทั่วสี่มหาสมุทรก็ล้วนเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง นั่นคือคำที่บอกว่ายามเช้าแสงอรุณสาดส่อง ปัดกวาดลานเรือน ต้องสะอาดทั้งในและนอก ยามสนธยาได้เวลาพักผ่อน ปิดประตูลงกลอน ต้องตรวจสอบด้วยตัวเอง หนึ่งตระกูลหนึ่งแซ่ของล่างภูเขายังเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าของหนึ่งสำนักบนภูเขาที่มีเทพเซียนอยู่กันดารดาษ?”
จู๋หวงยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องคุยกันแล้ว?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องคุย กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีอะไรให้ต้องคุย ข้าบอกว่ามีเรื่องให้คุย ก็ต้องมีเรื่องให้คุยแน่นอน หากเพียงแต่มอบหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำราให้กับจู๋หวงเปล่าๆ ด้วยความหวังดีก็ไม่มีอะไรให้พูดคุยกันแล้ว ข้าต้องเบื่อมากแค่ไหนถึงได้ยินดีฝืนใจหวนกลับคืนมายังหอกั้วอวิ๋นนี่อีกครั้ง?”
จู๋หวงเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ถ้าอย่างนั้นก็ขอเจ้าขุนเขาเฉินอย่าได้พูดจาวกวน มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ถ้าได้ จู๋หวงจะทำตาม ไม่ได้ ยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงก็คงได้แต่ทุ่มไหแตกให้แหลกยับกันไป รบกวนให้แขกของภูเขาลั่วพั่วที่มาร่วมงานพิธีโดยสารเรือกลับมา เชิญทำลายยอดเขาเก่าใหม่ได้ตามสบาย จะสะบั้นควันธูปของศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงของข้า นับแต่วันนี้ไป…”
นี่เพิ่งจะเริ่มต้นก็หมดความอดทน เริ่มพูดจาอาฆาตมาดร้ายเสียแล้ว?
เฉินผิงอันเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
หวนนึกถึงอดีตตอนที่ตนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับหลิวจื้อเม่า ความอดทนดีกว่าเจ้าจู๋หวงมากนัก
ส่วนหากจะพูดกันถึงระดับความอันตรายของสถานการณ์ ตนไปหาหลิวเหล่าเฉิงที่เกาะกงหลิ่ว ความเป็นความตายก็ยากจะคาดเดายิ่งกว่าเจ้าจู๋หวงมาหาข้าที่หอกั้วอวิ๋นเสียอีก
——