กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 828.1 เดินทางไปเยือนเมืองหลวงยามค่ำคืน
ก่อนจะไปเมืองหลวงต้าหลี เฉินผิงอันจูงมือหนิงเหยามายืนอยู่ด้วยกันที่หัวเรือ อดไม่ไหวถามว่า “ต้องคอยวิ่งวุ่นไปทางโน้นทีทางนี้ทีกับข้า รู้สึกรำคาญหรือไม่?”
หนิงเหยามองตาเขา ไม่ได้เอ่ยอะไร
เรื่องราวไม่น่ารำคาญ แต่คนบางคนกลับน่ารำคาญที่สุด
เจียงซ่างเจินอยู่ในห้องของตัวเอง มองบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของเทพธิดาจากตระกูลต่างๆ เฉินหลิงจวินลากอวี๋เยว่ให้ไปเปิดหูเปิดตาด้วยกัน อวี๋เยว่รู้สึกแค่ว่าโจวอันดับหนึ่งผู้นี้ช่างมีเงินจริงๆ สมบัติอาคมและอาวุธวิเศษที่ใช้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำกองกันเป็นภูเขาอยู่บนโต๊ะ ม้วนภาพทั้งหลายถูกคลี่กางออกในเวลาเดียวกัน แต่ข้างมือของโจวอันดับหนึ่งมีเงินร้อนน้อยอยู่หนึ่งกอง พูดตรงนี้หนึ่งประโยค พูดตรงนั้นสองสามประโยค โยนเงินไม่หยุด ไม่วุ่นวายแม้แต่น้อย แค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ส่วนชุยตงซานนั้นอยู่ข้างกายอาจารย์ พูดคุยเรื่องที่ต้องระวังหากไปเยือนเมืองหลวงต้าหลี ดูเหมือนว่าอาจารย์จะเพิ่งเคยไปเยือนที่นั่นเป็นครั้งแรก ชุยตงซานจึงเล่าเรื่องขนบธรรมเนียมในเมืองหลวงให้เขาฟัง
ในเมืองหลวงต้าหลีมีจวนส่วนตัวที่ด้านในมีหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น และยังมีซากปรักของสำนักศึกษาซานหยา สถานที่สองแห่งนี้อาจารย์ต้องไปเยือนแน่นอน
ครั้งนี้ภูเขาลั่วพั่วเข้าร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยง ทั้งเว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงต่างก็ไม่ได้ปรากฏตัว เพราะตอนนี้ยังไม่สะดวกจะเปิดเผยสถานะ เว่ยเซี่ยนและเฉาจวิ้น ในอดีตเคยเป็นแขนซ้ายแขนขวาของหลิวสวินเหม่ยลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพ เว่ยคอแข็งที่ติดใจการเป็นขุนนางไม่เพียงแต่อาศัยคุณความชอบทางการทหารที่ลงมือช่วงชิงมาได้ เมื่อหลายปีก่อนจึงได้ตำแหน่งผู้บัญชาการณ์บนหลังม้าตำแหน่งบู๊อย่างใหม่มาครอง ทุกวันนี้หากเป็นขุนนางในชายแดนต้าหลี ก็เท่ากับเป็นแม่ทัพบู๊ผู้กุมอำนาจแท้จริงที่เป็นระดับสี่ชั้นโทแล้ว มีคุณสมบัติที่จะบัญชาการณ์กองกำลังทหารม้าชั้นยอดของกองทัพชายแดนกองหนึ่งเพียงลำพัง ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงนั้นไปตีสนิทกับเทพภูเขาของภูเขาทายาทขุนเขากลางคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายถูกชะตากันมาก ไม่แน่ว่าวันใดหลูป๋ายเซี่ยงอาจสะบัดร่างพลันกลายไปเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาทายาทแห่งขุนเขาใหญ่ก็เป็นได้
เฉินผิงอันพูดถึงหยางฮวาเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝู จึงพูดไปถึงลำคลองหลงซวีที่คุ้นเคยอย่างเป็นธรรมชาติ
ศาลเทพลำคลองหลงซวีที่เลื่อนจากลำธารเป็นลำคลองไม่มีเทวรูปร่างทองตั้งบูชาซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎ ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้ชาวบ้านในเมืองเล็ก นอกจากแซ่ใหญ่ธรณีประตูสูงอย่างถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่แล้ว ก็ล้วนยังไม่รู้ว่าเหนียงเนียงเทพลำคลองคนนั้นคือหม่าหลันฮวา และหญิงชราอย่างหม่าหลันฮวาผู้นี้ก็เป็นบุคคลที่เคยมีหน้ามีตาในเมืองเล็ก เพราะนางเป็นทั้งแม่หมอที่หลอกคนไปทั่ว แล้วยังเป็นแม่สื่อที่ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้ผู้คน ยิ่งเป็นหมอตำแยคนหนึ่ง
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ดูเหมือนว่าปีนั้นหยางเหล่าโถวจะตอบตกลงแม่ย่าลำคลองผู้นั้นว่าเมื่อผ่านไปสามสิบปี รอให้ผู้เฒ่าในเมืองเล็กที่เคยรู้จักโฉมหน้านางตอนเป็นสาวจากไปกันพอสมควรแล้ว ถึงเวลานั้นนางถึงจะสามารถสร้างเทวรูปเสวยสุขกับควันธูปได้”
เกี่ยวพันกับเรื่องของเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิต ความสัมพันธ์จึงซับซ้อน นอกจากตระกูลหม่าของตรอกซิ่งฮวาแล้ว ยังมีเจ้าของเตาเผามังกรทั้งหลายในเมืองเล็ก นอกจากนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงซ่งอวี้จางอดีตผู้ตรวจการงานเตาเผาที่ถูก ‘โยกย้ายไปรับตำแหน่งเท่าเดิม’ จากภูเขาลั่วพั่วไปยังภูเขาฉีตุน ไปสร้างศาลเทพภูเขาขึ้นมาใหม่
ขุนนางผู้ช่วยของที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผา บิดาของหลินโส่วอี บุรุษที่พอไปอยู่ในวงการขุนนางของเมืองหลวงก็ยังคงเก็บงำประกายผู้นี้ เคยช่วยเหลือผู้ตรวจการงานเตาเผามาแล้วหลายท่าน
และยังมีกองโหราศาสตร์ในเมืองหลวงต้าหลีที่มีทั้งนักมองลมปราณ และมีอาจารย์แห่งพื้นดิน รวมไปถึง ‘อาจารย์แห่งน้ำ’ อีกจำนวนหนึ่งที่เคยรับผิดชอบการสร้างเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตของเมืองเล็กอย่างลับๆ
ปีนั้นคนที่แพร่งพรายเรื่องวงในของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตก็คือบิดาของหม่าขู่เสวียน ทว่าตระกูลหม่าแห่งตรอกหนีผิงต้องไม่ใช่ผู้บงการแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังแน่นอน
เมื่อเทียบกับการถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว ก็แค่ต้องเดินทวนกระแสน้ำขึ้นไปเท่านั้นเอง อันที่จริงทั้งเส้นสายและเส้นทางล้วนเรียบง่ายอย่างยิ่ง ไม่มีทางแยกอะไรให้เดิน ทว่าเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตกลับมีเบาะแสมากมายหลากหลายที่พัวพันกันเป็นปมยุ่งเหยิ่ง ราวกับแม่น้ำน้อยใหญ่ ลำธาร ทะเลสาบ เครือข่ายสายน้ำที่ตัดสลับกันหนาแน่นซับซ้อน
เพียงแต่ว่าแม้สถานการณ์จะซับซ้อน เฉินผิงอันก็ยังไม่รู้สึกตึงมือสักเท่าใด
ชุยตงซานถาม “อาจารย์ ต่อจากนี้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราคิดจะถือโอกาสเปิดประตูรับลูกศิษย์เลยหรือไม่? หรือว่าจะชะลอไปก่อนค่อยว่ากัน ยังคงรักษาสภาวะกึ่งปิดกึ่งผนึกขุนเขาเอาไว้ต่อไป?”
เฉินผิงอันมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว เอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “เลือกอย่างหลัง อย่างน้อยที่สุดภายในสามสิบปี เว้นเสียจากว่าพวกเจ้ามีใครที่หมายตาในคุณสมบัติของใครบางคน ต่างคนต่างรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นภูเขาลั่วพั่วก็จะไม่เป็นฝ่ายรับตัวอ่อนการฝึกตนด้วยตัวเองมาก่อน ต่อให้คุณสมบัติจะดีแค่ไหนก็ล้วนไม่รับ”
ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว สองขายกพ้นพื้นลอยกลางอากาศ เอ่ยว่า “พวกเรามีเรื่องกับภูเขาตะวันเที่ยงเช่นนี้จะต้องมีคนได้ข่าวแล้วตามมามากมายเหมือนปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำแน่นอน ต่อให้คิดจนหัวแตกก็ยังอยากจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาลั่วพั่วเราให้ได้ รวมเซียนกระบี่ใหญ่หมี่เป็นหนึ่งในนั้น มีใครบ้างที่ไม่ใช่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาที่ดีเป็นอันดับหนึ่งบนภูเขา ล้วนเป็นพวกขาใหญ่ทั้งนั้น แค่กอดขาใดขาหนึ่งไว้ได้ก็มากพอจะทำให้คนนอกอิจฉาในโชควาสนาแห่งเซียนที่ยิ่งใหญ่นี้แทบตายแล้ว”
อันที่จริงขอแค่เป็นตระกูลเซียนอักษรจงก็ไม่เคยขาดแคลนตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่เป็นฝ่ายมาหาถึงบ้านหรือขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนเซียน
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ยินดีรอก็ให้พวกเขารออยู่ในเขตของหลงโจวไป พอดีเลยจะได้ดูว่านิสัยใจคอของแต่ละคนเป็นอย่างไร ไม่ยินดีรอก็ต่างคนต่างกลับบ้าน ภูเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ซากปรักนับร้อยรอการฟื้นฟู มีที่ใดบ้างที่ไปไม่ได้ แล้วยังต้องกลัดกลุ้มว่าไม่ได้เป็นเทพเซียนทำเนียบวงศ์ตระกูลอีกหรือ”
ตระกูลเซียนบนภูเขารับลูกศิษย์ และการรับเข้าทำเนียบ โดยรวมแล้วก็มีเส้นทางอยู่แค่ไม่กี่เส้น ราชสำนักและแคว้นที่ภูเขาลูกนั้นตั้งอยู่ช่วยคัดเลือกตัวอ่อนการฝึกตนในอาณาเขตของแคว้นมาให้ แล้วส่งตัวขึ้นเขาไปฝึกตน หากไม่เป็นเพราะโชควาสนาอำนวย ไม่มีการสืบทอดจากอาจารย์หรือความบังเอิญใดๆ จับผลัดจับผลูเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน ก็เป็นอย่างผู้ฝึกตนอิสระที่ลุ่มๆ ดอนๆ ไปตลอดทาง หรือไม่ก็ไปเยือนตระกูลเซียนขนาดใหญ่อย่างระมัดระวังเพื่อลองเสี่ยงดวง
ในพรรคในตระกูลทั้งหลายก็มีผู้ฝึกตนทำเนียบที่เชี่ยวชาญในการทำหน้าที่คอยตรวจสอบฐานกระดูก ใช้ศาสตร์มองลมปราณโดยเฉพาะ ทุกๆ เวลาหลายสิบปีก็จะไปรับงานหนึ่งมาจากศาลบรรพจารย์ สั้นหน่อยก็หลายปี ยาวหน่อยก็สิบกว่าปีหรือถึงขั้นหลายสิบปี แฝงตัวอยู่ล่างภูเขาตลอดทั้งปี รับผิดชอบตามหาวัสดุดีหยกงามให้กับสำนักบ้านตัวเอง
เถียนหว่านแห่งภูเขาตะวันเที่ยงมักจะทำเรื่องแบบนี้เป็นประจำ
นอกจากนี้ก็คือระหว่างที่เซียนซือลงจากภูเขาไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ได้ปล่อยไปตามโชควาสนา กระทำไปตามโอกาส พิถีพิถันในเรื่องอาจารย์เลือกรับลูกศิษย์ ลูกศิษย์เองก็เลือกอาจารย์ อาจารย์และศิษย์บนภูเขาที่เป็นเช่นนี้ส่วนใหญ่ความสัมพันธ์จะแนบแน่นที่สุด เดินไปด้วยกันได้ยาวไกลมากยิ่งกว่า
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ทางฝั่งของพื้นที่มงคลรากบัว อาจารย์ให้ฉางมิ่งจับตามองเอาไว้ก็ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดใหญ่ๆ อะไรหรอก อาจารย์ไม่ต้องแบ่งสมาธิมาสนใจเรื่องนี้มากเกินไป”
นี่ก็คือข้อดีของการได้ครอบครองพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง ศาลาใกล้น้ำได้ยลแสงจันทร์ก่อน คนที่ขึ้นเขามาฝึกตนด้วยตัวเอง ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ลุกผงาดขึ้นมาในยุทธภพและสนามรบของตัวเอง รวมไปถึงภูตผีวิญญาณวีรบุรุษที่มีหวังจะสร้างศาลเถื่อนขึ้นมา รอคอยการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากทางราชสำนัก ก็จะสามารถเลื่อนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ปกป้องพื้นที่หนึ่งอย่างถูกต้องชอบธรรม จะมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทยอยกันปรากฏตัว ผู้ฝึกตนอิสระ ภูติทั้งหลาย ศาลเทพอภิบาลเมืองแต่ละแห่ง เทพภูเขาของขุนเขาใหญ่ สุ่ยจวินแห่งแม่น้ำใหญ่ เทพลำคลองหูจวิน พ่อปู่แม่ย่าลำคลอง เทพแห่งผืนดิน…
ขอแค่ปราณวิญญาณในฟ้าดินเปี่ยมล้นมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองสร้างความมั่นคงให้กับโชคชะตา การโคจรบนมหามรรคาของพื้นที่มงคลที่เป็นเช่นนี้ก็จะยิ่งไร้ช่องโหว่มากขึ้นทุกขณะ
เจ้าของพื้นที่มงคลทุ่มเงินเทพเซียนหรือสมบัติอาคมสมบัติวิเศษใส่ไปข้างในมากแค่ไหน ก็ยังคงเป็นน้ำดีที่ไม่ไหลเข้าสู่นาของคนอื่น
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “แม้ว่าจะเป็นพื้นที่มงคลของบ้านเรา แต่พวกเราไม่อาจมองเป็นไร่นาที่จำเป็นต้องได้รับผลเก็บเกี่ยวทั้งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ปีนี้เก็บเกี่ยวเสร็จไปรอบหนึ่งก็รอคอยการเก็บเกี่ยวของปีหน้าได้”
ชุยตงซานพยักหน้า “ตั้งใจหว่านไถ เก็บเกี่ยวอย่างระมัดระวัง ทำให้ทุกคนได้มีทางเลือก”
อันที่จริงนี่ก็คือขนบธรรมที่เป็นรากฐานที่สุดของภูเขาลั่วพั่ว กฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งไม่จำเป็นต้องเขียนลงบนกระดาษข้อนี้ กลับกลายเป็นว่าจะกลายเป็นกฎบรรพบุรุษที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาลั่วพั่วในอนาคต
เฉินหลิงจวินและเฉินหน่วนซู่ที่ติดตามอาจารย์ขึ้นภูเขามาก่อนใคร คนในภาพวาดสี่คนในภายหลัง ไปจนถึงสือโหรว ชุยเหวย หมี่อวี้ หงเซี่ย เพ่ยเซียง…ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้
ไม่ใช่เพราะพวกจูเหลี่ยน จ้งชิว และยังมีพวกเผยเฉียน เฉาฉิงหล่างต่างก็มาจากพื้นที่มงคล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเป็นห่วงความรู้สึกของพวกเขา แต่เป็นเพราะการที่ภูเขาลั่วพั่วเป็นภูเขาลั่วพั่วได้ก็อยู่ที่เรื่องเล็กใหญ่ที่ ‘แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ดันไม่เป็นเช่นนี้’ ทั้งหลายเหล่านี้ ในพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง สรรพสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาสายน้ำล้วนต้องเลือกได้ อันที่จริงนี่ก็หมายความว่าภูเขาลั่วพั่วได้สูญเสียสถานะเทพเทวดาไปในระดับใหญ่แล้ว
ชุยตงซานกล่าว “อาจารย์ นี่ต้องเสี่ยงอันตรายที่ใหญ่หลวงมาก พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของเจียงซ่างเจิน ในอดีตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลือดไหลนองเต็มพื้นครั้งนั้น ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนมีแต่ศพกลาดเกลื่อน นั่นก็คือบทเรียน พวกเราต้องห้ามเดินซ้ำรอยพวกเขาเด็ดขาด”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แน่นอน ใต้หล้านี้ไม่มีหลักการเหตุผลใดๆ ที่เดินไปบนทางสุดโต่งแล้วสามารถสร้างเรื่องดีๆ มาให้ได้ ดังนั้นข้าถึงได้ให้อาจารย์จ้งคอยกลับไปที่พื้นที่มงคลอยู่เป็นระยะ คอยจับตามองล่างภูเขา และยังมีคนนอกของพื้นที่มงคลอีกสองคนอย่างหงเซี่ยกับเพ่ยเซียงคอยช่วยดูสถานการณ์บนภูเขาของที่นั่น สุดท้ายรอให้จัดการเรื่องของล่างภูเขาเสร็จ ข้าจะเลือกพื้นที่ฝึกตนแห่งหนึ่งไว้ในพื้นที่มงคล ทุกๆ ร้อยปี ข้าจะใช้เวลาสองสามปีท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศอยู่ในนั้น สรุปก็คือข้าจะไม่ยอมปล่อยให้พื้นที่มงคลรากบัวเดินซ้ำรอยเดิมของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเด็ดขาด”
ชุยตงซานพยักหน้า “อาจารย์วางแผนเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว”
เจียงซ่างเจินเคยตั้งใจจะปล่อยปละไม่สนใจ รู้สึกว่าพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาผ่านการดำเนินการด้วยมือของเขามานานหลายปี ผ่านความสงบสุขไร้เรื่องราวมานานหลายร้อยปี กฎระเบียบและกรอบเค้าโครงล้วนมีแล้ว พื้นที่มงคลก็เหมือนเด็กหนุ่มที่กระดูกแข็งแรงคนหนึ่ง ต่อให้วางมือไม่สนใจร้อยกว่าปี ก็แค่คอยดูว่าจะมีผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนสามารถอาศัยความสามารถ ‘บินทะยาน’ ได้หรือไม่
หลังจากนั้นเจียงซ่างเจินก็ไปเยือนอุตรกุรุทวีปมารอบหนึ่ง
ผลคือในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆากลับมีความลับร้อยเรียงต่อกันปรากฏขึ้นมาเป็นพรวน บวกกับคำสั่ง การให้เงินช่วยเหลือและการสนับสนุกจากบางตระกูลที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงภูเขาในท้องถิ่นของตระกูลเซียนเกินครึ่งในพื้นที่มงคล รวมไปถึงราชวงศ์ แคว้นใต้อาณัติ และผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาหลายพันคน กีบเท้าม้าล่างภูเขาดังเป็นระลอก เกราะเหล็กกระทบกัน ภูเขาสายน้ำเปลี่ยนสี พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ลำพังเพียงแค่ลูกศิษย์ตระกูลเจียงที่ถูกฆ่า ภายในเวลาสั้นๆ แค่สามวันก็มากถึงร้อยกว่าคน
สุดท้ายกลายเป็นว่าเหลือเพียงคนแซ่เจียง ยอมฆ่าผิดตัวแต่จะไม่ยอมปล่อยผิดคนเด็ดขาด
สหายในยุทธภพและเพื่อนรักบนภูเขาหลายคนที่เจียงซ่างเจินคบหาตอนเป็นหนุ่ม หากไม่เป็นคนที่เขาส่งไปอยู่พื้นที่มงคลเพื่อเลี้ยงดูในช่วงบั้นปลาย ก็ให้ช่วยเซียนซือจัดการซ่อมแซมท่าเรือของพื้นที่มงคลให้ดี และยิ่งมีคนที่ตายไปเกือบหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
หากเปลี่ยนมาเป็นภูเขาลั่วพั่ว คาดว่าก็คงเหมือนในพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่มีอาจารย์จ้ง มีหน่วนซู่น้อย มีสวีหย่วนเสีย เป็นต้น จากนั้นก็เพียงแค่เพราะการไม่ระวังครั้งเดียวของเจ้าขุนเขาหนุ่ม พวกเขาต่างก็กลายเป็นเรื่องในอดีตผู้คนในอดีต
การที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าในชีวิตจะเจอกับความอันตรายมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเจอกับศัตรูตัวฉกาจที่ต้องทุ่มชีวิตตัดสินเป็นตายอย่างไร เจียงซ่างเจินที่แทบจะไม่เคยมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม มีเพียงครั้งนั้นที่แสยะยิ้มเหี้ยมเดินเปิดประตูใหญ่ของพื้นที่มงคลออกมา
ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่สำหรับทั้งสกุลเจียงและพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแล้วล้วนถือเป็นหายนะใหญ่ครั้งนั้นมา อันที่จริงก็เท่ากับว่าเจียงซ่างเจินสูญเสียการช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เพราะในเวลานั้นผู้ฝึกกระบี่เหวยอิ๋งได้ถูกสวินยวนจัดการให้ไปอยู่ยอดเขาจิ่วอี้ และก่อนหน้านั้น ต่อให้เป็นตัวเหวยอิ๋งที่หยิ่งทระนงเองก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะช่วงชิงอะไรกับผู้อาวุโสเจียงซ่างเจินได้ หากเจียงซ่างเจินคิดจะช่วงชิงบนมหามรรคาจริงๆ เหวยอิ๋งก็คิดว่าตัวเองไม่มีโอกาสชนะใดๆ ให้พูดถึง หากถูกเจียงซ่างเจินหมายหัว จุดจบมีเพียงแค่อย่างเดียว หากไม่ตาย ก็ต้องอยู่ไม่สู้ตาย
——