กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 828.2 เดินทางไปเยือนเมืองหลวงยามค่ำคืน
ถึงอย่างไรสำนักกุยหยกก็คือสำนักมีชื่อเสียงที่อยู่ระดับบนสุดของหนึ่งทวีป ส่วนวิธีการจัดการกับพื้นที่มงคลของเจียงซ่างเจินก็อำมหิตโหดร้ายเกินไป สวินยวนเคยเรียกเจียงซ่างเจินไปที่นอกศาลบรรพจารย์เป็นการส่วนตัว ถามคำถามเขาติดๆ กันสามข้อ เสียใจภายหลังหรือไม่ จะหยุดมือหรือไม่ อยากตายอยู่ในศาลบรรพจารย์หรือไม่
เจียงซ่างเจินบอกว่าไม่เสียใจภายหลัง ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาไม่มีใครที่สามารถฆ่าได้อีกแล้ว แน่นอนว่าสามารถหยุดมือ ส่วนพวกตะพาบเฒ่าที่อยู่ในศาลบรรพจารย์เหล่านั้น ในเมื่อตอนนี้ยังสู้ไม่ได้ก็วางแผนในระยะยาว วันหน้าค่อยว่ากัน ถือเสียว่าเป็นการอบรมขัดเกลาจิตใจ
ชุยตงซานเคยคุยกับเจียงซ่างเจินเรื่องนี้ หัวเราะร่าสอบถามว่าเมื่อโจวอันดับหนึ่งหวนกลับไปมองเรื่องในอดีตอีกครั้งมีความรู้สึกอย่างไร
ตอนนั้นเจียงซ่างเจินดื่มเหล้า เพียงแค่ยิ้มเอ่ยประโยคเดียวว่า ตัวข้าโง่เอง โทษคนอื่นไม่ได้ โง่จนคนที่เป็นศัตรูกับข้าไม่มีความสามารถที่จะหนีรอดได้อย่างข้า แน่นอนว่าตายไปก็อย่าได้โทษข้า
สุดท้ายชุยตงซานยิ้มถาม โจวอันดับหนึ่ง เจ้าช่วยพื้นที่มงคลรากบัวของพวกเราจัดการกิจการอย่างรอบคอบเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าสะสมความคิดชั่วร้ายไว้เต็มท้อง รอคอยดูงิ้วสนุกหรอกกระมัง?
เจียงซ่างเจินก่นด่าไม่หยุด
สุดท้ายคนสองคนที่ฉลาดอย่างถึงที่สุดก็ทำเพียงแค่ดื่มเหล้ากันไปเงียบๆ คนอย่างพวกเขา อันที่จริงดื่มเหล้าไม่ค่อยต้องการกับแกล้มสักเท่าใด
ยกตัวอย่างเช่นเจ้าพวกตะพาบเฒ่าทั้งหลายในศาลบรรพจารย์สำนักกุยหยก ท่ามกลางสงครามใหญ่ครั้งนั้น อันที่จริงล้วนตายกันไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องให้เจียงซ่างเจินคิดบัญชีย้อนหลังหรือแก้แค้นอะไร
ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขา คนดีคนเลว จิตใจคนดีงามหรือชั่วร้าย ชายหญิงหลังจากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ใครบ้างที่ไม่มีสุราแห่งความเสียใจฝังไว้อยู่ในส่วนลึกของหัวใจสักสองสามไห? เพียงแต่ว่าบางส่วนก็ลืมไปแล้วว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน บางส่วนก็ไม่กล้าเปิดออก บนเส้นทางชีวิตคน ทุกครั้งที่เจอกับเรื่องที่กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด แล้วยังต้องก้มหัวยิ้มประจบคนอื่น บางทีอาจะเป็นสุรารสขมเหมือนกันหมด คาดว่าเมื่อสุราขมมีมากเข้า สุดท้ายก็ได้สอนให้คนรู้จักที่จะเก็บกลั้นไม่ส่งเสียง พอเชื่อมโยงกันเป็นแถบใหญ่ก็กลายเป็นมหาสมุทรแห่งความขมขื่น
ชุยตงซานทอดสายตามองไปไกล พูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “อาจารย์หวังว่าภูเขาลั่วพั่วจะเป็นภูเขาลั่วพั่วอย่างในวันนี้ตลอดไป ข้าหวังว่าอาจารย์จะเป็นอาจารย์ของวันพรุ่งนี้ตลอดไป”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ทำไมถึงไม่ใช่อาจารย์ของวันนี้ล่ะ?”
ชุยตงซานที่ฟุบตัวอยู่บนราวรั้วยิ้มตาหยี พึมพำว่า “ศิษย์เชื่อว่าอาจารย์ของทุกๆ วันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าทุกๆ วันนี้แน่นอน”
เฉินผิงอันลูบมือไปกดศีรษะของเด็กหนุ่มชุดขาว จากนั้นก็ยกฝ่ามือขึ้น งอสองนิ้วเขกมะเหงกหนักๆ ลงไป “ยังจะบอกว่าขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่เจ้าพาเสียอีกหรือ?!”
หมี่ลี่น้อยที่อยู่ห่างไปไกลกระตุกชายแขนเสื้อของเผยเฉียน เอามือป้องปาก แอบหัวเราะ “เผยเฉียน เผยเฉียน เจ้าดูสิ ห่านขาวใหญ่ต้องพูดผิดอีกแล้วเป็นแน่”
เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “อย่าเรียกห่านขาวใหญ่ ศิษย์พี่เล็กชอบจดบัญชีที่สุดเลยนะ”
หมี่ลี่น้อยหัวเราะฮ่าๆ “จะเรียก จะเรียก มีเรื่องก็เรียกศิษย์พี่เล็ก ไม่มีเรื่องค่อยเรียกห่านขาวใหญ่”
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “นี่มันคำพูดอะไรกัน ใครเป็นคนสอนเจ้า ต้องไม่มีคนสอนแน่นอน ต้องเป็นเจ้าที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่?”
หมี่ลี่น้อยเอ่ยอย่างตกตะลึง “หา?”
สายตาบอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าช่วยชี้แนะข้าอย่างลับๆ ที ข้าจะได้ตอบคำถามยากข้อนี้ได้
เผยเฉียนยกมือขึ้นทำท่างอนิ้วเป็นมะเหงก ก่อนจะบิดหมุนข้อมือเบาๆ แล้วเป่าลมลงไป
หมี่ลี่น้อยเข้าใจโดยพลัน รีบตะโกนเสียงดังทันใด “ฉลาดด้วยตัวเอง เรียนรู้สำเร็จด้วยตัวเอง ไม่มีใครสอนข้า!”
ชุยตงซานหันหน้ามาหัวเราะหึหึ
หมี่ลี่น้อยกระแอมหนึ่งที หมุนตัวหันไปขยิบตาให้ห่านขาวใหญ่แล้วเหล่มองไปทางเผยเฉียน
ชุยตงซานตะโกนเสียงดัง “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ดูเหมือนว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาจะบอกอะไรเป็นนัยแก่ข้า”
หมี่ลี่น้อยรีบไปขวางระหว่างเผยเฉียนและห่านขาวใหญ่ กระโดดโบกมือเพื่อบังสายตาของเผยเฉียน ตะโกนว่า “เผยเฉียน เผยเฉียน ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร! ห่านขาวใหญ่กำลังยุแยงให้พวกเราแตกคอกันน่ะ”
ผลคือชุยตงซานถูกเฉินผิงอันเขกหนึ่งมะเหงก หมี่ลี่น้อยถูกเผยเฉียนเขกหนึ่งมะเหงก ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้กำไรและไม่ขาดทุน
ชุยตงซานกุมหัว หันหน้ามายิ้มเอ่ย “อาจารย์ เพื่อประหยัดเงิน เรือข้ามฟากลำนี้จึงได้แต่กลับบ้านเกิดอย่างเอ้อระเหยเช่นนี้แล้ว หากอาจารย์มีธุระก็ไปทำก่อนได้เลย ไม่สู้ทะยานลมไปที่เมืองหลวงต้าหลีจะเร็วยิ่งกว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้า รู้สึกว่าสามารถทำได้ การสืบทอดของภูเขาลั่วพั่วที่ต้องมัธยัสถ์อดออมจะกลายมาเป็นมือเติบฟุ่มเฟือยเพียงแค่เพราะกิจการและทรัพย์สมบัติเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อยไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงพาหนิงเหยาออกจากเรือมังกร จับมือกันทะยานลมเดินทางไกล
หมี่ลี่น้อยกอดราวรั้ว เอาใบหน้าถูแขนตัวเอง เจ้าขุนเขาคนดีมีธุระให้ต้องทำอีกแล้ว
ชุยตงซานนั่งอยู่บนราวรั้ว ค่อยๆ ขยับก้นไปทีละนิด “หมี่ลี่น้อย พวกเรามาคุยกันหน่อยไหม?”
หมี่ลี่น้อยยุ่งอยู่กับการคิดเรื่องต่างๆ ทั้งยังไม่พอใจที่ห่านขาวใหญ่ไร้คุณธรรม จึงจงใจไม่หันไปมองชุยตงซาน นางเพียงแค่ยิ้มร่าเอ่ยว่า “เจ้าเป็นใครกัน ห่านขาวใหญ่ที่ข้ารู้จักใจกว้างนักล่ะ ศิษย์พี่เล็กก็ยิ่งร้ายกาจ ใครบางคนไม่เหมือนเขาเลยสักนิด สักนิดเท่าเมล็ดแตงก็ยังไม่เหมือน”
ชุยตงซานทิ้งตัวหงายไปด้านหลังแล้วพลิกตัวพลิ้วกายลงพื้น มากอดราวรั้วเหมือนกับหมี่ลี่น้อย
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามเรื่องที่เกี่ยวกับไทเฮาต้าหลีคนนั้น ปีนั้นบนสนามรบของเมืองหลวงแห่งที่สอง เผยเฉียนพอจะได้ยินเรื่องราวของนางมาบ้าง
ชุยตงซานยิ้มเอ่ยว่าไม่มีอะไรน่าพูดคุย ก็แค่สตรีคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ในพื้นที่คับแคบ เห็นใครก็หาเรื่องคนนั้น
หมี่ลี่น้อยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ฟังไปแล้วก็จำไม่ได้
เมื่อก่อนตอนที่เผยเฉียนสูงกว่านางแค่นิดเดียว ทุกวันพากันไปลาดตระเวนภูเขาก็ช่างสนุกและน่าสนใจยิ่งนัก
ไปขอผ้าสองสามผืนมาจากพ่อครัวเฒ่า เอาอย่างการแต่งกายของจอมยุทธหญิงในนิยายต่อสู้ ให้พี่หญิงหน่วนซู่ช่วยตัดผ้าเป็นผ้าคลุมให้นาง มือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว มือหนึ่งถือคานหาบสีทอง วิ่งทะยานอยู่ในผืนป่า พิฆาตศัตรูไปตลอดทาง ขอแค่พวกนางวิ่งได้เร็วมากพอ ผ้าคลุมก็จะบินได้
ทุกครั้งที่หิมะใหญ่ตกลงมาบนภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนจะให้นางยืนนิ่งไม่ขยับ กลายเป็นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่ พี่หญิงหน่วนซู่ก็จะหิ้วเตาถ่านมารอใต้ชายคา เตรียมกระถางไฟมาทำให้ห้องอบอุ่น ฮ่าๆ นางเป็นภูตน้ำใหญ่นะ
ยังมีครั้งหนึ่งเผยเฉียนลากนางไปหลบอยู่ในมุมด้วยกันสองคน ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้พ่อครัวเฒ่าได้เรียนรู้ว่าอะไรคืออาวุธลับที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า สุดท้ายเป็นนางที่ยืนนิ่ง พยักหน้า เผยเฉียนยื่นสองมือออกมา คว้าหมับเข้าที่ใบหน้าของนาง จับแน่นแล้วพลันเหวี่ยงตัวหมุน หมุนไปรอบแล้วรอบเล่า กระทั่งหมุนไปหยุดอยู่กลางถนนก็จะโยนนางออกไปได้พอดี ผลคือพ่อครัวเฒ่าเองก็พอจะมีความสามารถที่แท้จริงอยู่บ้าง สกัดขวางนางไว้ได้อย่างถูไถ พอวางนางลงกับพื้นแล้ว พ่อครัวเฒ่าก็ยังตกใจไม่น้อย ถอยหลังกรูดไปหลายก้าว สองมือออกหมัดอย่างส่งเดช สุดท้ายหยุดยืนนิ่ง กว่าจะมองเห็นชัดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อครัวเฒ่าจึงหน้าแดงก่ำ พูดอย่างขุ่นเคืองว่าอาวุธลับในยุทธภพเช่นนี้ ข้าท่องยุทธภพมาจนถ้วนทั่ว เปิดอ่านนิยายมาทุกเล่มก็ยังไม่เคยพบเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร รับมือไม่ทันเลยจริงๆ
ทุกครั้งที่เจอกับฝนตกฟ้าร้อง พวกเราก็จะมายืนเรียงกันอยู่ที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เผยเฉียนช่างร้ายกาจนัก ทุกครั้งที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ขอแค่ยื่นไปแตะบนม่านฝนก็จะต้องมีฟ้าร้องฟ้าแลบเกิดขึ้น ทุกครั้งนางต้องถามเผยเฉียนว่าทำได้อย่างไร เผยเฉียนก็จะบอกว่า หมี่ลี่น้อยอ่า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เรียนรู้ไม่ได้หรอก ปีนั้นก็เป็นอาจารย์พ่อที่เพียงแค่มองปราดเดียวก็หมายตาในคุณสมบัติการเรียนวรยุทธของข้าแล้ว
รอกระทั่งเผยเฉียนเติบใหญ่ พวกนางสองคนก็ไม่ค่อยได้เล่นกันแบบนี้อีกแล้ว
เผยเฉียนยังบอกอีกว่า อันที่จริงหลังจากที่เฉินหลิงจวินเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดก็จงใจกดข่มรูปลักษณ์เอาไว้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งแล้ว หากเขาเต็มใจก็ยังสามารถจำแลงร่างกลายเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาที่อายุประมาณยี่สิบปีได้เลย หมี่ลี่น้อยจึงถามว่าเพราะอะไรล่ะ เติบใหญ่เปล่าๆ โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่ดีหรือ? เผยเฉียนยิ้มบอกว่าเขากำลังรอพี่หญิงหน่วนซู่อย่างไรล่ะ หมี่ลี่น้อยจึงเข้าใจได้โดยพลัน ที่แท้จิ่งชิงก็ชอบพี่หญิงหน่วนซู่นี่เอง เผยเฉียนเตือนนาง บอกว่าเรื่องนี้แค่เจ้ารู้ก็พอแล้ว อย่าเอาไปถามพี่หญิงหน่วนซู่ แล้วก็อย่าถามเฉินหลิงจวิน นางจึงประกบสองนิ้วปาดไปบนริมฝีปาก เข้าใจแล้ว!
เผยเฉียนยังบอกด้วยว่าวันหน้าเมื่อเจ้าต้องลาดตระเวนภูเขาเพียงลำพัง หากเจอกับเฉินยวนจีที่เดินนิ่งฝึกหมัดอยู่บนขั้นบันได สามารถเดินต่อไปไม่หยุดได้ แต่อย่าลืมทักทายเฉินยวนจี ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตอบรับหรือไม่ เจ้าก็ถือเสียว่าเป็นการบ้านบทหนึ่งที่ต้องทำ ครั้งใดลืมไปก็ไม่เป็นไร คราวหน้าค่อยชดเชยใหม่ก็ได้ หมี่ลี่น้อยรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ยาก เพียงแค่ถามเผยเฉียนว่าเพราะอะไร เผยเฉียนยิ้มตอบว่าในสายตาของอาจารย์พ่อ พี่หญิงเฉินก็คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่แท้จริงคนหนึ่ง ฟังมาถึงตรงนี้ หมี่ลี่น้อยก็พยักหน้าพลางเสียใจไปด้วย เผยเฉียนไม่เรียกฉายานั้นแล้ว ยังดีที่เผยเฉียนเอ่ยประโยคหนึ่งเสริมมาอย่างรวดเร็ว วันหน้าอยู่ต่อหน้าให้เรียกนางว่าพี่หญิงเฉิน แต่หากอยู่ลับหลังพวกเราก็เรียกนางว่าเฉินฮันฮัน (เฉินคนทึ่ม/คนเซ่อซ่า) ต่อไป
เผยเฉียนเห็นว่าหมี่ลี่น้อยเหม่อลอยอยู่ตลอดก็อดไม่ไหวถามว่า “คิดอะไรน่ะ มีเรื่องในใจหรือ?”
หมี่ลี่น้อยปล่อยมือ พอทิ้งตัวลงพื้นแล้วก็พยักหน้ารับอย่างแรง ยื่นฝ่ามือออกมา จากนั้นก็กำเป็นหมัด “เรื่องในใจใหญ่เท่านี้!”
จากนั้นก็แบมืออีกครั้ง หมี่ลี่น้อยหัวเราะหึหึ “สวบทีเดียวก็หายวับไปแล้วล่ะ”
ท่ามกลางทะเลเมฆหนาชั้น เงาร่างของคนทั้งสองเปล่งวูบวาบไปตลอดทาง หากหลุบตาลงต่ำมองขุนเขาสายน้ำจะเห็นเหมือนเส้นด้ายที่คดเคี้ยวเส้นหนึ่ง
ในสายตาของหนิงเหยา ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะฝึกฝนเวทหลบหนีชั้นสูง เรือนกายจึงกลายเป็นแสงกระบี่หลายสิบเส้นที่พลันกระจายตัวกันออกไป เพียงแต่ว่าสุดท้ายเมื่อถูกบีบให้ต้องกลับมารวมร่างเส้นเหล่านั้นจะกระจัดกระจายไม่เป็นรูปเป็นทรง วาดวงโค้งพุ่งมาหยุดอยู่ข้างกายหนิงเหยา ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา สนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หนิงเหยาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เฉินผิงอันที่ชอบเรียนรู้ทุกเรื่อง ดูเหมือนว่าจะมีเพียงเวทหลบหนีรักษาชีวิตรอดเท่านั้นที่ไม่เคยตั้งใจศึกษา อันที่จริงหากเป็นในกลุ่มของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
ถึงอย่างไรหนิงเหยาก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงลองจับสังเกตดู มองเขาร่ายเวทสองสามครั้ง จิตของนางขยับไหวเล็กน้อย เรือนกายก็สลายกลายเป็นปราณกระบี่สิบแปดเส้นอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายไปรวมร่างอยู่กลางอากาศเหนือทะเลเมฆห่างออกไปไกลหลายสิบลี้ หนิงเหยาเหยียบเมฆหยุดลอยตัวนิ่ง รอคอยเจ้าคนที่อยู่ด้านหลังอย่างสงบ
เฉินผิงอันตามมาทันหนิงเหยา จากนั้นก็ไม่ฝึกเวทหลบหนีบทนี้อีก เพียงไม่นานคนทั้งสองก็ทะยานลมผ่านตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง ขุนเขาเขียวสูงตระหง่าน ศาลาโบราณหลังคาตวัดงอนคล้ายนกสยายปีกบิน เจาะหน้าผาสร้างหอเรือนลดหลั่นไปตามภูเขา กลางภูเขามีน้ำตก หน้าผามีตัวอักษรขนาดใหญ่สีแดง พอดีกับที่มีเทพธิดาสวมชุดสีสันสดใสกลุ่มหนึ่ง ในมือหิ้วตะกร้าดอกไม้คล้ายจะไปเด็ดดอกไม้จากสถานที่หนึ่งมาทำเป็นธูปหอม พวกนางพูดคุยกันเจื้อยแจ้ว เสียงหัวเราะประสานเสียงพูดคุย พอมองเห็นเรือนกายของคนทั้งสองที่ทะยานลมเหมือนห่านหงส์โบยบิน พวกนางก็รีบหยุดเท้าหยุดพูดคุย พากันหันมองชายหญิงแปลกหน้าคู่นั้นด้วยดวงตาสงสัยใคร่รู้ หรือว่าจะเป็นคู่รักบนภูเขาที่ออกจากบ้านไปหาประสบการณ์?
หนิงเหยาถามเฉินผิงอันว่ารู้หรือไม่ว่าเป็นสำนักอะไร เฉินผิงอันจึงเล่าให้ฟังถึงประวัติความเป็นมาของพรรคเล็กแห่งนี้ หนิงเหยาผงกปลายคาง ถามว่ารู้จักใครบ้างไหม ต้องทักทายหรือเปล่า เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ยว่าไม่ต้องๆ แค่เคยได้ยินมา ไม่สนิทคุ้นเคยแม้แต่น้อย
รอกระทั่งพวกนางมองเห็นใบหน้าของบุรุษที่ผ่านทางมาและจากไปไกลได้ชัดเจน จู่ๆ ก็มีสตรีคนหนึ่งส่งเสียงอุทานตกใจขึ้นมาก่อน นางลิงโลดสุดขีด รีบพูดกับศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงข้างกายว่าคือเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้น คือคนผู้นั้นของภูเขาลั่วพั่ว!
ที่แท้การถามกระบี่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกตนตระกูลเซียนแห่งนี้ก็เคยอาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำชมเรื่องสนุกไปได้ครึ่งทาง
เฉินผิงอันไม่รู้จักพวกนาง แต่พวกนางกลับรู้จักเฉินผิงอัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอยู่บนภูเขา พวกนางยังพูดจ้อถกเถียงกันไม่หยุด เรื่องที่เถียงกันก็คือ สตรีสิบส่วน มีคนรู้สึกว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่ชื่อว่าหลิวเสี้ยนหยาง เวทกระบี่อาจจะสูงกว่าหลายส่วน แต่รูปโฉมและบุคลิก ถึงอย่างไรก็สู้เจ้าขุนเขาเฉินของภูเขาลั่วพั่วคนนั้นไม่ได้ ภายหลังมีคนรู้ว่าภูเขาลั่วพั่วอยู่ใกล้กับภูเขาพีอวิ๋นจึงนัดหมายกับสหายร่วมสำนักเรียบร้อยแล้วว่า คราวหน้าที่ไปหาประสบการณ์ที่ต้าหลีซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ จะต้องไปเที่ยวดู พยายามไปชมเซียนกระบี่ของภูเขาลั่วพั่วใกล้ๆ ให้ได้
คิดไม่ถึงว่าวันนี้เพิ่งออกมาจากบ้านก็ได้เห็นเซียนกระบี่หนุ่มทะยานลมผ่านไป
น่าเสียดายที่ข้างกายเจ้าขุนเขาเฉินมีสตรีที่หน้าตานับว่าพอใช้ได้ติดตามมาด้วย
ไม่แน่ว่าอาจเป็นลูกศิษย์ของเซียนกระบี่ท่านนี้ก็เป็นได้
เป็นผู้ฝึกตนที่ทะยานลมเหมือนกัน ความเร็วกลับมีความต่างราวก้อนเมฆกับดินโคลน ทิ้งสตรีเหล่านั้นไว้เบื้องหลังนานแล้ว มองเฉินผิงอันที่สีหน้าไร้อารมณ์ หนิงเหยาก็อดไม่ไหวยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งทำท่าแบบนี้ก็ได้ อันที่จริงข้าไม่ถือสาเลยสักนิด”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบว่า “เข้าใจแล้ว”
แต่ในความเป็นจริง ลองเขาไม่ทำท่าแบบนี้ดูสิ?
หนิงเหยาถือสาหรือไม่ถือสาเป็นเรื่องหนึ่ง ตนใส่ใจหรือไม่ใส่ใจก็คืออีกเรื่องหนึ่ง ต่างกันอย่างสิ้นเชิง การที่นางไม่ถือสาเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะตนใส่ใจความรู้สึกนางอย่างมากครั้งแล้วครั้งเล่าหรอกหรือ?
เรื่องราวมีแบ่งก่อนหลัง นี่ก็คือการที่เฉินผิงอันนำเอาทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอาจารย์ตัวเองที่เรียนรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
——