กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 828.3 เดินทางไปเยือนเมืองหลวงยามค่ำคืน
พอหลิวเสี้ยนหยางออกมาจากยอดเขาอีเซี่ยนก็ไปรวมตัวกับคนร่วมสำนักอย่างพวกต่งกู่ที่ศาลเทพภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองแคว้นเล็กทางทิศเหนือ เซี่ยหลิงยิ้มเอ่ย “เพิ่งจะได้รับกระบี่บินส่งข่าวมาจากอาจารย์ บอกให้พวกเรารีบกลับไป อาจารย์จะรอพวกเราอยู่ที่ภูเขาเสินซิ่ว”
หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลายปีมาแล้วที่ช่างหร่วนไม่ได้กลับภูเขาเสินซิ่ว ทำไมกัน น้ำเต้าตันผู้นี้แอบดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเลยรู้สึกว่าคนที่เป็นอาจารย์ เวทกระบี่ถึงกับสู้ลูกศิษย์ไม่ได้ ช่างน่าขายหน้า โมโหกับการถามกระบี่ครั้งนี้เลยจะใช้กฎบ้านกับตนแล้ว?
หลังจากที่สกุลซ่งต้าหลีมอบอาณาเขตอันกว้างขวางของอดีตขุนเขากลางให้กับสำนักกระบี่หลงเฉวียน พวกเขาก็ทยอยย้ายกิจการไปอยู่ทางทิศเหนือ อันดับแรกก็เป็นสวีเสี่ยวเฉียว เซี่ยหลิงที่รับผิดชอบกิจธุระในการสร้างจวน ซ่อมแซมสถานที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ที่นั่น ภายใต้การช่วยเหลือจากช่างของต้าหลี งานก่อสร้างใหญ่จึงเริ่มดำเนินการ แล้วยังต้องยุ่งอยู่กับการร่วมมือกับซานจวินภูเขาทายาทขุนเขาเหนือคนหนึ่งสร้างความมั่นคงให้กับรากภูเขาและโชคชะตาน้ำ ภายหลังหร่วนฉงก็เปิดเตาหลอมกระบี่อยู่ที่นั่นด้วย ต่งกู่ลูกศิษย์ใหญ่ที่เดิมทีเปิดยอดเขาสร้างจวนอยู่บนยอดเขาเหิงซั่วแล้วก็ได้พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลายสิบคนออกมาจากภูเขาใหญ่ทางทิศคะวันตกในอาณาเขตของจังหวัดหลงโจว ไปฝึกกระบี่ฝึกตนยังที่ตั้งใหม่ของสำนักกระบี่ เป็นเหตุให้ภายหลังเหลือแค่หลิวเสี้ยนหยางคนเดียวที่อยู่เฝ้าร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีอย่างเดียวดาย
ตอนนี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสี่คนที่ลำดับอาวุโสสูงที่สุดของสำนักกระบี่หลงเฉวียน นอกจากหลิวเสี้ยนหยางที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว ต่งกู่ศิษย์พี่ใหญ่คือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตก่อกำเนิด สวีเสี่ยวเฉียวคือผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง เซี่ยหลิงเรียนรู้หลากหลาย เป็นทั้งผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด แล้วก็เป็นทั้งอาจารย์ค่ายกลที่เก็บงำฝีมืออย่างลึกล้ำ อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการหลอมยาอีกด้วย ก็ไม่แปลกที่หร่วนฉงจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับการรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์เลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่ายินดีตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น ส่งตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่มีความสามารถมากพอจะเปิดยอดเขาได้อย่างพวกอวี่หลิ่น หลิ่วอวี้ออกไปนอกภูเขา เท่ากับว่ามอบเซียนดินโอสถทองให้คนอื่นไปเปล่าๆ แต่ไหนแต่ไรมาหร่วนฉงก็รับลูกศิษย์แบบนี้อยู่แล้ว
หากจะบอกว่าเมื่อก่อนยังมีคนรู้สึกว่าสำนักใหญ่สองแห่งที่มีกระบี่เป็นรากฐานเหมือนกัน ภูเขาตะวันเที่ยงสามารถเหยียบหัวสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้สบายๆ แต่พอการถามกระบี่ครั้งนี้ของหลิวเสี้ยนหยางผ่านไป คาดว่าคงไม่มีใครรู้สึกว่าสำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นเพียงโครงว่างเปล่าที่มีเพียงเซี่ยหลิงเป็นผู้ประคับประคองอยู่คนเดียวอีกต่อไป
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบก่อนอายุห้าสิบปี อย่าว่าแต่แจกันสมบัติทวีปเลย ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้ในทวีปใดในใต้หล้าไพศาลก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีน้อยจนนับนิ้วได้
แม่นางอวี๋ก็อยู่ด้วย นางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ต่อให้ไม่พูดอะไรก็ยังมองแล้วสบายตาสบายใจ บุปผางดงาม ดวงจันทร์กลมโตเต็มดวง
เทพภูเขาของที่แห่งนี้ยืนอยู่ไกลๆ ตรงหน้าประตูศาล เห็นเซียนกระบี่หลิวเดินทางมาเยือน เทพภูเขาก็ก้มหัวค้อมเอว คลี่ยิ้มเจิดจ้า แต่ก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายทักทายก่อนเพราะไม่กล้ารบกวนเซียนกระบี่หนุ่มที่ตอนอยู่ภูเขาตะวันเที่ยงความห้าวเหิมพุ่งทะยานฟ้า
หลิวเสี้ยนหยางชูหมัดโบกสูง “รบกวนการฝึกตนอย่างสงบของนายท่านเทพภูเขาแล้ว”
เทพภูเขารีบกุมหมัดคารวะกลับคืน “มีเซียนก็ศักดิ์สิทธิ์ เทพน้อยช่างโชคดีนัก”
หลิวเสี้ยนหยางวิ่งไปทุบหลังนวดไหล่ให้ศิษย์พี่ใหญ่ต่งกู่ ยิ้มเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ต่งและยังมีศิษย์พี่หญิงสวี เจอกับอาจารย์แล้วพวกเจ้าต้องช่วยข้าพูดด้วยนะ ข้ามาเป็นแขกที่ภูเขาตะวันเที่ยงครั้งนี้ ข้ามแดนพิฆาตศัตรูไปตลอดทาง อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน ได้รับบาดเจ็บไม่เบา ต่อให้ต้องทุ่มด้วยชีวิตก็ต้องให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนของพวกเราได้มีหน้ามีตา หากขนาดนี้แล้วอาจารย์ยังด่าข้าก็ไร้มโนธรรมเกินไปแล้ว ไม่มีคุณธรรมของคนเป็นอาจารย์เอาเสียเลย ถึงเวลานั้นหากโทสะอัดอั้นในอกข้าแล้วทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคา หลังจบเรื่องอาจารย์ก็ห้ามแอบไปร้องไห้เด็ดขาด”
ต่งกู่พยักหน้า “ไม่มีปัญหา อันที่จริงอาจารย์ไม่ชอบขี้หน้าภูเขาตะวันเที่ยงก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดปีสองปีแล้ว”
แต่สวีเสี่ยวเฉียวกลับเป็นคนที่มีนิสัยดึงดันทึ่มทื่อ ไม่เข้าใจเรื่องราวในโลกหรือนิสัยใจคอของใคร “ข้าสามารถพูดโน้มน้าวเขาได้คำสองคำ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอาจารย์”
หลิวเสี้ยนหยางหันหน้ามายิ้มเอ่ย “แม่นางอวี๋ ครั้งนี้ข้าถามกระบี่ ฝีมือพอใช้ได้กระมัง?”
อวี๋เยว่พยักหน้า “พอใช้ได้”
หลิวเสี้ยนหยางอึ้งงันไปทันที
เซี่ยหลิงอดไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา ของสิ่งหนึ่งมักข่มอีกสิ่งหนึ่งได้เสมอ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เซี่ยหลิงก็พลันเอ่ยว่า “จำได้ว่าปีนั้นอาจารย์เคยบอกว่าขอแค่ใครได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยก คนผู้นั้นก็สามารถเป็นเจ้าสำนักคนถัดไปได้”
หลิวเสี้ยนหยางขมวดคิ้ว “ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้”
ต่งกู่พยักหน้า “อาจารย์เคยพูดเรื่องนี้จริง แต่ตอนนั้นศิษย์น้องหลิวยังไปศึกษาอยู่ที่ทักษินาตยทวีป”
หลิวเสี้ยนหยางถามอย่างสงสัย “เซี่ยหลิง เจ้าแอบเลื่อนเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้วหรือ?”
เซี่ยหลิงส่ายหน้า “ยังเสียหน่อย คอขวดก่อกำเนิดยากจะฝ่าไปได้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาขัดเกลาอีกสิบปี”
หลิวเสี้ยนหยางลูบคลึงปลายคาง “หากต้องอาศัยข้า ช่างหร่วนก็ต้องจุดธูปขอพรพระมามากแค่ไหนถึงสามารถรับลูกศิษย์ผู้เป็นความภาคภูมิใจที่สร้างหน้าตาบารมีให้กับสำนักอย่างข้ามาได้”
หลิวเสี้ยนหยางเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพูดพึมพำกับตัวเองว่า “หากครั้งนี้อาจารย์กลับภูเขาเสินซิ่วเพราะคิดจะพูดเรื่องนี้กับพวกเรา ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงได้แต่แบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้แล้ว”
เจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นยังเป็นเจ้าสำนักแล้วเลย ตนก็ไม่มีเหตุผลให้เป็นไม่ได้
เซอเยว่ถาม “ตอนอยู่บนยอดกระบี่ เจ้าดื่มเหล้าไปมากแค่ไหน?”
หลิวเสี้ยนหยางกลอกตามองบน “มีแต่เหล้าปลอมทั้งนั้น”
สำหรับเรื่องที่หลิวเสี้ยนหยางเป็นฝ่ายเรียกร้องอยากเป็นเจ้าสำนักด้วยตัวเอง ต่งกู่รู้สึกโล่งอกอย่างมาก สวีเสี่ยวเฉียวเองก็ยอมรับทั้งปากและใจ เซี่ยหลิงไม่คิดมากเลยแม้แต่น้อย แค่รู้สึกว่าเป็นเรื่องดี นอกจากหลิวเสี้ยนหยางแล้ว เซี่ยหลิงก็ไม่รู้สึกจริงๆ ว่าศิษย์พี่ชายหญิงสองคนจะเป็นเจ้าสำนักคนที่สองของสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ ศิษย์พี่ชายหญิงสองคนนี้ ไม่ว่าใครที่มาเป็นเจ้าสำนักล้วนยากที่จะสยบผู้คนได้ และจะกลายเป็นภัยแฝงที่ใหญ่มาก แค่หากศิษย์พี่ต่งกู่ที่ความอดทนดีเยี่ยมมารับหน้าที่ดูแลคลังสมบัติ ศิษย์พี่หญิงสวีที่เป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมามารับหน้าที่ผู้คุมกฎของสำนัก ล้วนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว อาจารย์ก็จะสามารถหันไปหลอมกระบี่อย่างวางใจได้แล้ว ส่วนตนก็ยิ่งสามารถตั้งใจฝึกตน เดินขึ้นสู่ที่สูงไปทีละก้าว พิสูจน์มรรคาเป็นอมตะ สุดท้าย…
คิดมาถึงตรงนี้ เซี่ยหลิงก็เงยหน้าขึ้น มองม่านฟ้า
บินทะยาน เดินขึ้นฟ้า
หากพูดถึงแค่เนื้อหนังมังสาที่มีกลิ่นอายของเทพเซียน ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ยังคงต้องมอง ‘ดอกกล้วยไม้ที่สง่างาม ดอกหลิงจือในลานบ้าน’ (เปรียบเปรยถึงเด็กที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม) ของสกุลเซี่ยตรอกเถาเย่ผู้นี้จริงๆ
เซอเยว่ใช้เสียงในใจถาม “ทำไมถึงยินดีจะเป็นเจ้าสำนักล่ะ?”
ในสายตาของนาง อันที่จริงหลิวเสี้ยนหยางเป็นคนขี้เกียจอย่างมาก แล้วยังไม่ได้ขี้เกียจธรรมดา สนใจแค่สองเรื่องเท่านั้น ฝึกกระบี่ในความฝันเพื่อที่จะวางมาดของพี่ชายกับเฉินผิงอันได้
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ช่างหร่วนเป็นคนดี เฉินผิงอันก็เป็นคนดี”
เซอเยว่มึนงง ไม่เข้าใจว่าอาจารย์และเพื่อนของเขาเป็นคนดีสองคน แล้วเกี่ยวอะไรกับที่หลิวเสี้ยนหยางยอมฝืนความตั้งใจเดิมมารับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักด้วย
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “หากข้าเป็นเจ้าสำนักจริงๆ อันที่จริงก็แค่เป็นการก้าวไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น ปณิธานของช่างหร่วนไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าเองก็ไม่ได้สนใจ ดังนั้นผู้ที่จะนำพาสำนักกระบี่หลงเฉวียนให้ก้าวขึ้นสู่ที่สูงอย่างแท้จริงยังคงเป็นเจ้าสำนักคนที่สามในอนาคตมากกว่า ส่วนจะเป็นใคร ตอนนี้ยังบอกได้ยาก รอคอยไปก่อนเถอะ”
คนทั้งกลุ่มรีบเร่งเดินทางย้อนกลับไปยังหลงโจวต้าหลี
ทางฝั่งของภูเขาเสินซิ่ว หร่วนฉงยืนอยู่ริมหน้าผาเพียงลำพัง มองทัศนียภาพของกลุ่มยอดเขาอย่างเงียบเชียบ
ในอดีตกลุ่มเทือกเขาทางทิศตะวันตกของถ้ำสวรรค์หลีจูแถบนี้ หากรวมภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือไปด้วยก็จะมีภูเขาทั้งหมดหกสิบสองลูก ระดับขั้นของกลุ่มภูเขามีความแตกต่าง ภูเขาที่ใหญ่หน่อยก็มากพอจะทัดเทียมกับขุนเขาของแคว้นเล็กได้เลย ภูเขาที่เล็กหน่อยมีผู้ฝึกตนเซียนดินมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่คนเดียวก็ยังดูแร้นแค้นเกินไป ปราณวิญญาณไม่มากพอ จำเป็นต้องทุ่มเงินเทพเซียนลงไปถึงจะไม่ถ่วงรั้งการฝึกตน สถานที่ฝึกตนที่ขุนเขาสายน้ำงดงามในโลก ปราณวิญญาณมากหรือน้อย กลิ่นอายแห่งมรรคาในภูเขาลึกหรือตื้น อันที่จริงสืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็คือต้องดูว่าได้ครอบครองเงินฝนธัญพืชซึ่งเป็นรากฐานท่วงทำนองแห่งมรรคากี่มากน้อย
สำนักใหญ่สองแห่ง ภูเขาลั่วพั่วที่เป็นหนึ่งในนั้นถือว่ามีภูเขาใต้อาณัติมากที่สุด ภูเขาฮุยเหมิง หอบูชากระบี่ ภูเขาหนิวเจี่ยว ภูเขาหลังอ๋าว ยอดเขาเว่ยเสีย เนินจ้าวตู๋…เวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามสิบปี เจ้าขุนเขาหนุ่มก็ค่อยๆ ได้ครอบครองภูเขาเกือบยี่สิบลูก หากไม่นับกันที่จำนวน พูดถึงแค่อาณาเขตของขุนเขาสายน้ำ และไม่พูดถึงภูเขาพีอวิ๋นที่เป็นขุนเขาใหญ่ เนื่องจากภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาฮุยเหมิงและภูเขาหวงหูต่างก็มีอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างมาก และอันที่จริงภูเขาลั่วพั่วก็ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของกลุ่มภูเขาทางทิศตะวันตกแล้ว
ส่วนสำนักกระบี่หลงเฉวียนของอริยะหร่วนฉง นอกจากภูเขาเสินซิ่วภูเขาบรรพบุรุษลูกแรกสุดแล้ว ก็ยังมีภูเขาเที่ยวเติงและยอดเขาเหิงซั่วที่ตั้งทำมุมต่อกัน บวกกับยอดเขาไฉ่อวิ๋น ภูเขาเซียนฉ่าว ภูเขาเป่าลู่ที่เช่ามาจากภูเขาลั่วพั่ว เรียงติดกันกลายเป็นพื้นที่ใจกลางของสำนัก ถัดมาก็มีภูเขาอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกรับเข้ากระเป๋ามา กลายเป็นกองกำลังรอบนอกของสำนักกระบี่ เพียงแค่ว่าเมื่อเทียบกับภูเขาลั่วพั่วที่มีคนเข้ามาอยู่บนภูเขาอย่างต่อเนื่องแล้ว สำนักกระบี่หลงเฉวียนยังคงมีคนน้อยตลอดมา กลับกลายเป็นว่าเหมือนถูกภูเขาลั่วพั่วที่ตามมาทีหลังไล่ตามมาทัน บวกกับที่สำนักกระบี่บุกเบิกที่ดินแห่งใหม่ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดจึงย้ายตามไปอยู่ทางทิศเหนือด้วย สุดท้ายจึงกลายมาเป็นสถานการณ์ที่ภูเขาลั่วพั่วเป็นใหญ่อยู่แห่งเดียว
อันที่จริงหร่วนฉงก็เคยคิดอยากจะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ รับลูกศิษย์ผู้สืบทอด ลูกศิษย์ผู้สืบทอดรับลูกศิษย์ ลูกศิษย์ของลูกศิษย์ก็มีผู้สืบทอดอีก แตกกิ่งก้านสาขาไปนับแต่นี้ สุดท้ายสำนักแห่งหนึ่งที่อยู่บนมือของเขาก็จะรุ่งโรจน์ก้าวหน้า ส่วนอาณาเขตทางทิศเหนือที่ราชสำนักต้าหลีมอบให้นั้น เดิมทีหร่วนฉงตั้งใจจะให้เป็นที่ตั้งสำนักเบื้องล่างของสำนักกระบี่หลงเฉวียน เพียงแต่ว่าไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นว่าเกิดสถานการณ์ที่ ‘ภูเขาบรรพบุรุษเล็ก ภูเขาใต้อาณัติใหญ่’ อย่างไม่เป็นโล้เป็นพายแทน
บนแนวเส้นชายแดนของอาณาเขตจังหวัดหลงโจว แสงกระบี่เปล่งวูบแล้วพุ่งผ่านกลุ่มยอดเขามาอย่างว่องไวราวสายฟ้าแลบ ไล่ตามเส้นทางการโคจรที่ถูกกำหนดไว้เข้ามา สุดท้ายบินมาถึงยอดเขาเสินซิ่ว หร่วนฉงยกมือรับยันต์กระบี่ส่งข่าวฉบับหนึ่งที่เซี่ยหลิงตอบกลับมา พวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายกำลังจะเข้าอาณาเขตของแคว้นหวงถิงแล้ว ในจดหมายบอกว่าแม่นางอวี๋ก็ตามมาขอกินข้าวด้วย แค่มองก็รู้ว่าเป็นคำพูดของหลิวเสี้ยนหยาง หร่วนฉงเก็บยันต์กระบี่ลงไปแล้วเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองหนึ่งโต๊ะ จากนั้นนั่งลงบนตำแหน่งประธานของห้องหลัก รอคอยพวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดและแขกคนหนึ่งให้มากินข้าวที่ภูเขาบรรพบุรุษแห่งนี้อย่างเงียบๆ
เซอเยว่อยากจะกลับไปที่ร้านตีเหล็กเพียงลำพัง หลิวเสี้ยนหยางกลับไม่ยอมตกลง บอกว่าก่อนหน้านี้เขาบอกกับอาจารย์ไปในจดหมายแล้วว่าเจ้าจะไปด้วย หากเปลี่ยนใจกะทันหันก็คือการไม่ไว้หน้าช่างหร่วน อาณาเขตหลงโจวของพวกเรานี้ ช่างหร่วนและเว่ยซานจวินต่างก็เป็นลูกพี่ใหญ่ เวลาส่วนใหญ่สองคนนี้ล้วนพูดคุยได้ง่าย แต่บางครั้งก็ใจแคบเหมือนไส้ไก่อยู่เหมือนกัน
ไปถึงห้องแห่งนั้น หร่วนฉงที่เวลาปกติไม่พูดคุยยิ้มแย้มกับใครกลับคลี่ยิ้มให้เซอเยว่ เรียกคำหนึ่งว่าแม่นางอวี๋ แล้วยังเอ่ยหยอกล้ออย่างที่หาได้ยาก บอกว่าล้วนไม่ใช่คนนอก ไม่ต้องเกรงใจ หากอาหารไม่ถูกปากก็บอกมาได้เลย
ทำเอาหลิวเสี้ยนหยางดีใจแทบแย่ ช่างหร่วนรู้จักวางตัวเสียจริง เขาจูงมือเซอเยว่ไปนั่งลงที่ม้านั่งยาวตัวหนึ่ง ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับพวกเขาล้วนนั่งตัวตรงอย่างสำรวม เซี่ยหลิงค่อนข้างผ่อนคลาย นั่งบนเก้าอี้ยาวตัวที่หันหลังให้กับประตู
หลิวเสี้ยนหยางช่วยตักข้าวให้ทุกคน เซอเยว่พอนั่งลงแล้วก็มองอาหารบนโต๊ะ มีทั้งอาหารจานที่เป็นเนื้อสัตว์และจานผัก ครบถ้วนทั้งสีสันและกลิ่นน่าลิ้มลอง น่าเสียดายที่ไม่มีเป็ดผัดหน่อไม้แห้งหม้อใหญ่ คือความบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางความสมบูรณ์แบบ
หร่วนฉงรับถ้วยข้าวมาจากมือของหลิวเสี้ยนหยางแล้วก็ยังไม่ได้หยิบตะเกียบขึ้นมา แต่หลิวเสี้ยนหยางกลับสวาปามอย่างตะกละตะกลามไปก่อนแล้ว จึงถูกเซอเยว่ถองเข้าให้หนึ่งที หลิวเสี้ยนหยางแก้มพอง เงยหน้าขึ้นเห็นว่าทุกคนต่างก็ยังไม่ได้ขยับตะเกียบ หร่วนฉงจึงเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร กินของเจ้าไปเถอะ”
หลิวเสี้ยนหยางกำลังจะพยักหน้า หลังเท้าที่อยู่ใต้โต๊ะก็ถูกเซอเยว่เหยียบอีกที เลยได้แต่วางตะเกียบลง
หร่วนฉงกล่าว “ข้าคิดว่าจะให้หลิวเสี้ยนหยางมารับตำแหน่งเจ้าสำนัก ต่งกู่พวกเจ้าหากใครมีความเห็นต่างก็สามารถพูดมาได้เลย”
สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เคยมีการประชุมศาลบรรพจารย์อะไร เรื่องสำคัญบางอย่างล้วนปรึกษากันบนโต๊ะอาหาร
ต่งกู่เอ่ย “อาจารย์ ข้าไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้ เสี้ยนหยางเป็นเจ้าสำนักคนถัดไปเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว”
สวีเสี่ยวเฉียวกล่าว “อาจารย์ ศิษย์ไม่มีความเห็นต่าง”
เซี่ยหลิงยิ้มเอ่ย “ศิษย์น้องหลิวรับหน้าที่เจ้าสำนักเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาจะได้เห็น”
หลิวเสี้ยนหยางบ่น “ยังจะเรียกศิษย์น้องหลิวอะไรอีก ต้องเรียกว่าเจ้าสำนักสิ”
——