กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 829.2 อิสระเสรี
หากคิดอยากจะอาศัยหน่วยจงซวีและหน่วยแปลคัมภีร์ให้ค่อยๆ สลายเส้นแบ่งเขตบนและล่างภูเขานี้ทิ้งไป ก็เหมือนการนำที่ว่าการของราชสำนักย้ายไปก่อตั้งบนภูเขา
และมณฑลทั้งหลายที่ตั้งอยู่ติดทะเลของต้าหลีก็ได้คลายคำสั่งห้ามทางทะเลอย่างเด็ดขาด ล้วนมีการก่อตั้งหน่วยซือป๋อให้ทำการค้ากับใต้หล้า
ที่จังหวัดหลงโจว นอกจากที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาแล้ว ยังก่อตั้งหน่วยถักทอและหน่วยย้อมสีขึ้นมาอีกหกแห่ง
เรื่องที่หนิงเหยากังวลยังคงเป็นเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ปริแตกซึ่งกระจัดไปอยู่ทั่วสารทิศของเฉินผิงอัน นางถามว่า “หากสตรีผู้นั้นทั้งไม่คิดจะปะทะกับเจ้าโดยตรง แล้วก็ไม่ยอมก้มหัวให้ เอาแต่เล่นแง่ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมมอบกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตมาให้ สรุปคือตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใช้เหตุผลกับเจ้า เพียงแค่ตั้งท่าว่าหากเจ้าแน่จริงก็ฆ่านางให้ตาย ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร? ภูเขาลั่วพั่วคงไม่อาจสังหารไทเฮาเหนียงเนียงโดยตรงเช่นนี้ได้กระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็มองดูนางอาละวาดเล่นแง่ หนึ่งวันร้องไห้สองวันก่อกวนสามวันจะแขวนคอไปก่อน รอให้นางก่อเรื่องเสร็จแล้วค่อยนั่งลงคุยกันดีๆ เจรจาไม่สำเร็จก็ปล่อยนางอาละวาดไป หากแข่งกันเรื่องความอดทน ข้าเชี่ยวชาญมากเลยล่ะ ดังนั้นเรื่องเดียวที่เจ้าจำเป็นต้องทำ บางทีอาจทำให้เจ้ารู้สึกอยุติธรรมอยู่บ้าง แค่ฝืนใจชมงิ้วอยู่ด้านข้างก็พอ บอกไว้ก่อนนะว่า หากเจ้าหมดความอดทนจริงๆ ก็ไม่ต้องมองให้ขวางหูขวางตา แค่ออกจากวังหลวงไปเดินเที่ยวในเมืองหลวงเพียงลำพัง ทิ้งข้าไว้ที่นั่นคนเดียวก็พอ อีกอย่างทิ้งคำอาฆาตข่มขู่คนอื่น ใครบ้างจะทำไม่เป็น หากรำคาญนางจริงๆ ข้าก็จะสละกิจการของภูเขาลั่วพั่วทิ้งไม่ต้องการ ต่อให้จะต้องย้ายภูเขาทุกลูกรวมไปถึงยอดเขาจี้เซ่อเป็นหนึ่งในนั้นออกไปจากแจกันสมบัติทวีป ก็ต้องฆ่านางให้ตาย”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หัวเราะ “เจ้าไม่รู้อะไร หลังจากที่พวกเจ้าล้วนจากไปแล้ว ข้าจะคุยเล่นสองสามประโยคกับพวกหลงจวิน หลีเจินทุกๆ สามวันห้าวัน อันที่จริงสนุกอย่างมาก”
หนิงเหยาพยักหน้า “ไม่รำคาญหรอก ถือเสียว่าได้ชมงิ้วก็แล้วกัน”
การวางตัวเป็นคน ตั้งหลักตั้งตัว มีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่ไม่ง่ายเลยก็คือการทำให้คนข้างกายไม่เข้าใจผิด
ใกล้ชิดกับคนอื่น หากอยู่ด้วยกันนานวันเข้าแล้วยังไม่มีความรำคาญ นั่นต้องอาศัย ‘ความเข้าอกเข้าใจ’ ไม่ใช่ว่าแค่เพราะเรื่องไม่คาดฝันมากมายหรือเรื่องหยุมหยิมบางอย่าง อยู่ๆ วันหนึ่งพลันทำให้คนรู้สึกว่า ‘ที่แท้เจ้าก็เป็นคนเช่นนี้’ อันที่จริงความเข้าใจผิดหลายอย่างมักจะมาจากความเลอะเลือนของตัวเอง ในเรื่องนี้เฉินผิงอันทำได้ดีมากมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นหลังจากเติบใหญ่ ออกเดินทางไกลไปเยือนต้าสุยร่วมกับพวกเป่าผิง หลี่ไหว ระหว่างนี้แม้แต่หลี่ไหวก็ยังไม่ต้องให้เฉินผิงอันพูดอะไรก็รู้ได้เองว่าเฉินผิงอันเป็นคนอย่างไร ภายหลังไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอแค่เป็นเรื่องที่สำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับหนิงเหยา เฉินผิงอันมีอะไรก็จะเล่าให้นางฟังทุกอย่าง ไม่มีปิดบัง ต่อให้หนิงเหยาฟังแล้วจะต้องโกรธ เฉินผิงอันก็ยังพูดอย่างตรงไปตรงมา
ชีวิตคนไม่อาจยอมให้คนอื่นได้ทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตของคนดีคนหนึ่งก็จะเป็นได้แค่คนดีเกินไปตลอดไป และการที่คนดีถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายก็มักจะทำให้คนใกล้ชิดต้องลำบากต้องเสียเปรียบอยู่เสมอ
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ในอนาคตกลับไปถึงใต้หล้าแห่งที่ห้า เจ้าอย่าเอาแต่คิดว่าจะทำเพื่อนครบินทะยานให้มากขึ้นอย่างไร ทำแค่พอสมควรก็พอแล้ว คนที่เก่งต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น แต่ก็ควรต้องมีขอบเขตบ้าง”
หนิงเหยายิ้มเอ่ย “เรื่องที่ข้าอยากทำและไม่อยากทำ คนอื่นพูดอย่างไรก็ล้วนไม่มีประโยชน์”
บางทีทุกคนในหลายๆ ใต้หล้าอาจรู้สึกว่าหนิงเหยาเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ กลายเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนแรกของใต้หล้าห้าสี จากนั้นกลายเป็นขอบเขตเซียนเหริน ขอบเขตบินทะยาน ล้วนเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว สมควรแล้ว ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ขณะเดียวกันไม่ว่าหนิงเหยาจะสร้างวีรกรรมที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน สร้างคุณูปการที่ชวนให้ตะลึงพรึงเพริดมากเท่าไร ก็ล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ
เฉินผิงอันกลับไม่ได้คิดเช่นนี้
ทำไมหนิงเหยาของข้าต้องลำบากขนาดนี้ด้วย?
บอกว่าผู้ฝึกกระบี่สองสายอย่างสิงกวานและเฉวียนฝู่อย่างพวกเจ้ามีแต่พวกไร้ประโยชน์ที่ดีแต่จะนอนเสวยสุข ก็ยังไม่ยอมงั้นหรือ?
วันหน้ารอให้ข้าผู้อาวุโสไปที่นครบินทะยานจะพกเอาหลักการเหตุผลสองกระบุงใหญ่ไปพูดคุยกับพวกเจ้าให้ดีๆ
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็คุยกับหนิงเหยาเรื่องของกวอจู๋จิ่ว พอได้ยินว่านิสัยนางสุขุมมากขึ้น เขากลับรู้สึกสงสารนาง
เด็กโง่หนอเด็กโง่ เพราะทุกวันเด็กๆ ล้วนคาดหวังให้ตัวเองเติบใหญ่ คิดว่าพอเติบใหญ่แล้วชีวิตจะสนุก จะน่าสนใจมากกว่าเดิม
ทว่ากลับมีเด็กๆ บางส่วนที่ไม่ค่อยอยากเติบใหญ่สักเท่าไร แต่จำเป็นต้องเติบใหญ่อย่างมิอาจห้ามได้
แล้วก็พูดถึงพวกอวี๋ลู่ ได้ยินว่าหลี่ไหวเป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษาแล้ว หนิงเหยาก็ประหลาดใจเล็กน้อย บอกว่าเขาฉลาดเรื่องเรียนแล้วหรือ?
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้วอย่างอดไม่ไหว พูดแค่ว่า ยากจะอธิบายได้หมดในประโยคเดียว
แต่ครั้งนี้กลับไปที่บ้านเกิดจะต้องแวะไปที่เรือนหลังของร้านยาตระกูลหยางให้ได้ หลี่ไหวบอกว่าหยางเหล่าโถวทิ้งของบางอย่างไว้ที่นั่น รอให้เขาไปดูเอง
อวี๋ลู่ เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลมานานแล้ว แต่เซี่ยเซี่ยกลับหยุดอยู่ที่คอขวดโอสถทองมานานหลายปี หลักๆ แล้วยังเป็นเพราะในอดีตเคยโดนตะปูกักมังกรพวกนั้น
คนทั้งสองมักจะจับมือกันออกเดินทางไกลเป็นประจำ แต่เฉินผิงอันดูจากท่าทางแล้ว พวกเขาสองคนไม่เหมือนว่าจะชอบพอกัน คาดว่าทั้งสองฝ่ายคงเป็นแค่สหายกันจริงๆ
แน่นอนว่าวาสนาชีวิตคู่ในใต้หล้า ความรักบนโลกใบนี้ ก็มีหลายครั้งที่พอย้อนกลับไปมองกะทันหันถึงเพิ่งรู้ว่ามันได้เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบแล้ว
หลินโส่วอีเคยรับหน้าที่เป็นคนเฝ้าศาลของลำน้ำใหญ่ ถือว่าเป็นคนในวงการขุนนางครึ่งตัวแล้ว แต่ได้ยินมาว่าหลายปีมานี้เขากับที่บ้านไม่ค่อยปรองดองกันนัก
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันสาปแช่งเขาจริงๆ แต่เจ้าหลินโส่วอีผู้นี้แค่มองก็รู้ว่ามีชะตาต้องเป็นชายโสด บนเส้นทางการฝึกตน จิตใจไม่ค่อยนิ่งเท่าไรจริงๆ
ปีนั้นในบรรดาเพื่อนร่วมห้องเรียนก็มีเพียงสือเจียชุนแม่นางน้อยมัดผมแกละคนเดียวที่ติดตามครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองหลวงก่อนใคร จากนั้นก็ออกเรือนแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นอย่างชอบธรรม ช่วยเหลือสามีอบรมเลี้ยงดูบุตร
หากเฉินผิงอันจำไม่ผิด บุตรชายหญิงคู่นั้นของสือเจียชุน ดูเหมือนว่าทุกวันนี้จะถึงวัยที่พูดคุยเรื่องแต่งงานได้แล้ว
พอคิดถึงเรื่องนี้เฉินผิงอันก็อดไม่ไหวหันมามองหนิงเหยา
เรื่องบางอย่าง ต่อให้คนคนหนึ่งจะพยายามมากแค่ไหนก็ยากจะสำเร็จได้อยู่ดี
มาหยุดพักบนสะพานเล็กที่มีสายน้ำไหลผ่านแห่งหนึ่ง สองฝากฝั่งล้วนเป็นเหลาสุราร้านอาหารที่ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม งานเลี้ยงรับรอง งานเลี้ยงสุรามีนับไม่ถ้วน จึงมีนักดื่มที่เมามายถูกคนเดินประคองออกมาไม่ขาดสาย
เฉินผิงอันพาหนิงเหยาไปนั่งลงบนขั้นบันไดริมน้ำที่ค่อนข้างเงียบสงบ อยู่ดีๆ ก็นึกถึงจงหยวนและโฉวเหมียว เซียนกระบี่สองคน คนหนึ่งอายุมาก คนหนึ่งอายุน้อย ล้วนเหมือนกันมาก
คนหนึ่งเพียงแค่เคยพบเจอในเอกสารลับของคฤหาสน์หลบร้อน และเคยได้ยินผ่านโต๊ะสุรา อีกคนหนึ่งเคยอยู่ด้วยกันมานานวัน เดิมทีต้องสามารถกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่บนยอดเขาได้แน่นอน
บางทีจงหยวนอาจเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อเสียงดีงามที่สุดในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เล่าลือกันว่ารูปโฉมไม่ได้หล่อเหลานัก แต่นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน ไม่ค่อยชอบพูดคุย แต่ก็ไม่ใช่น้ำเต้าตันอะไร เวลาที่พูดคุยกับใคร ส่วนใหญ่จะฟังมากพูดน้อย ในสายตาล้วนมีแต่รอยยิ้มจริงใจ อีกทั้งตอนที่จงหยวนอายุยังน้อย คุณสมบัติด้านการฝึกกระบี่ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์มากนัก การฝ่าทะลุขอบเขตแต่ละครั้งไม่เร็วไม่ช้าไม่สะดุดตา ศึกป้องกันเมืองที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ จงหยวนถือกระบี่อยู่บนหัวกำแพงสังหารขอบเขตบินทะยานสองคน
หากไม่ได้รบตาย จงหยวนคนเดียวก็สามารถแกะสลักตัวอักษรได้สองตัว
หากไม่มีสงครามครั้งนั้น จงหยวนต้องกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่แน่นอน
ตามหลังเฉินชิงตู หลงจวินและกวนจ้าว ก่อนหน้าต่งซานเกิง เฉินซีและฉีถิงจี้จะลุกผงาด เป็นเสาคานหลักของกำแพงเมืองปราณกระบี่
กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดินมานานเป็นหมื่นปี ไม่เคยมีสถานการณ์ที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง
ส่วนโฉวเหมียวที่ภายหลังเข้ามาอยู่ในสายอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อน หลายปีที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันล้วนไม่กล้าคิดถึงเขามากนัก
หนิงเหยาถาม “คิดอะไรอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “เซียนกระบี่ผู้อาวุโสจงหยวนช่างทำให้คนเลื่อมใสยิ่งนัก”
ปลดกาเหล้าลงมาดื่มเหล้าเงียบๆ โฉวเหมียวไม่ต้องตายก็ได้
หนิงเหยากล่าว “ทุกวันนี้มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่าไม่มีจงหยวนก็ไม่มีกำแพงเมืองปราณกระบี่ในภายหลัง ไม่มีเจ้าก็ไม่มีนครบินทะยานในทุกวันนี้”
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงนอกจากเฉินชิงตูแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ล้วนชอบเรียกชื่อคนอื่นออกมาตรงๆ ไม่ใช่ว่าไม่แสดงความเคารพอะไร
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “เป็นเจ้าพวกตะพาบลูกน้องคนใดของฉีโซ่วที่จงใจเอาคำพูดพวกนี้มาทำให้ข้าสะอิดสะเอียน?”
เขาเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “รังแกที่ข้าไม่อยู่นครบินทะยานใช่ไหม ฝากไว้ก่อนเถอะ”
หนิงเหยาส่ายหน้า “เป็นก่อกำเนิดผู้เฒ่าคนหนึ่งที่พูดนำขึ้นมาก่อน ภายหลังไม่รู้ว่าค่อยๆ แพร่ไปได้อย่างไร คนที่ยอมรับคำกล่าวนี้มีเยอะมาก”
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งอึก ลำคลองสายหนึ่งก็เหมือนผ้าแพรต่วนผืนหนึ่งที่ปักภาพโคมไฟแดงฉานไว้จนเต็ม เขาเอ่ยเยาะเย้ยตัวเองว่า “บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ห่างไกลกัน คนที่ชอบจึงยิ่งชอบมากกว่าเดิม คนที่รังเกียจก็ไม่ได้รังเกียจมากมายขนาดนั้นแล้ว”
บนทางหินด้านหลังคนทั้งสองมีผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็กรุ่นเยาว์คนหนึ่ง บอกว่ารออีกเดี๋ยวเมื่อไปนั่งบนโต๊ะเหล้าแล้วควรจะนั่งอย่างไร สั่งอาหารมีกฎเกณฑ์อะไรบ้าง อาหารจานเย็นมีกี่อย่าง อาหารจานหลักสั่งอย่างไร อย่าถามแขกหลักว่าชอบไม่ชอบกินอะไร แค่ถามว่าแพ้อาหารอะไรหรือไม่ เหล้าหมักหลายปีที่พวกเราพกไปด้วยเหล่านั้น ไม่ต้องพูดอะไรมาก ยิ่งอย่าเอาไปวางไว้บนโต๊ะเหล้า แขกหลักเป็นคนชอบดื่มเหล้า แค่รินเหล้าดื่มเขาก็รู้แล้วว่าเป็นเหล้าอะไร ปีอะไร ตอนที่ดื่มสุราคารวะแขกหลักให้ใช้สองมือถือถ้วย อย่ายกถ้วยเหล้าสูงเกินของแขกหลัก แขกหลักบอกให้เจ้าทำตัวตามสบายก็อย่าได้ทำตัวตามสบายจริงๆ บนโต๊ะเจ้าดื่มเหล้าเยอะได้ ห้ามเงียบไม่พูดไม่จา แต่ก็อย่าพูดมาก รวมบทประพันธ์หลายเล่มของแขกหลัก เจ้าเองก็เคยอ่านมาก่อนแล้ว แค่พูดคุยเรื่องเนื้อหาด้านในนั้นก็พอ เรื่องในวงการขุนนางหากไม่เข้าใจก็อย่าแสร้งทำเป็นเข้าใจ กับขุนนางคนอื่นๆ ที่มาด้วยทั้งไม่ต้องกระตือรือร้นเกินไป แล้วก็อย่าเพิกเฉยเกินไป ผู้อาวุโสในวงการขุนนางเหล่านี้ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นพวกคนใจแคบไปทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้วจะดูว่าคนรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้าเข้าใจกฎเกณฑ์ รู้จักการวางตัวหรือไม่…
คนหนุ่มที่เพิ่งจะเดินเข้าสู่วงการขุนนางรับฟังด้วยสีหน้าจริงจัง คอยพยักหน้ารับเบาๆ อยู่เป็นระยะ เพียงแต่ว่ามีกลิ่นอายของบัณฑิตที่ยังจางหายไม่หมดหลงเหลืออยู่บ้าง ตอนที่ผู้เฒ่าไม่ทันสังเกต คนหนุ่มมักจะขมวดคิ้วน้อยๆ ถอนหายใจ คงเพราะรู้สึกว่าความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของบัณฑิตล้วนถูกดื่มหายไปหมดตามเหล้าแต่ละถ้วยที่ดื่มบนโต๊ะอาหารแล้ว
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง รับฟัง กฎเกณฑ์อันตื้นเขินพวกนี้ เขาย่อมเข้าใจมานานแล้ว
อันที่จริงขุนนางหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาฝึกปรือฝีมืออยู่กับทางการผู้นี้นับว่ายังโชคดี มีคนนำทางที่ยินดีถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ทั้งหมดของตัวเองให้กับเขา
กลิ่นอายของบัณฑิตที่แท้จริงไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง แต่กลับตั้งตัวเป็นศัตรูกับกฎเกณฑ์เก่าและขนบธรรมเนียมเก่าทั้งหมด
และเมื่อเข้าใจหลายๆ เรื่องแล้ว ข้าถึงทำตัวอย่างไรก็ได้ พูดจาหรือทำอะไรล้วนอาศัยความชื่นชอบของตัวเองมาคบค้าสมาคมกับวิถีทางโลกอย่างไม่ปลิ้นปล้อน
ภายหลังก็มีบุรุษวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพาหญิงสาวสองคนเดินผ่านมาช้าๆ ร่วมงานเลี้ยงสุราคนละแห่ง แต่กระนั้นบุรุษก็ยังถ่ายทอดความรู้ให้กับพวกนางที่ประทินโฉมบางเบา แต่คนทั้งสามล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณ หญิงสาวทั้งสองเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไร และในใจก็คล้ายจะหวาดหวั่นอยู่บ้าง ในฐานะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล อันที่จริงพวกนางไม่ยินดีจะมาร่วมงานเลี้ยงล่างภูเขาที่ต้องคบค้าสมาคมกับผู้คนพวกนี้เท่าไรนัก เป็นหยวนไหว้หลางของกรมพิธีการคนหนึ่งของเมืองหลวงต้าหลีแล้วอย่างไร อีกทั้งพวกนางยิ่งกลัวว่าผู้อาวุโสในสำนักท่านนี้จะตอบตกลงกับการแลกเปลี่ยนบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยได้ แม้ว่าพวกนางจะฝึกตนอยู่ในภูเขา แต่เรื่องสกปรกล่างภูเขาบางอย่างก็เคยได้ยินมาก่อน กลัวก็แต่ว่าหยวนไหว้หลางที่อายุน้อยเลือดลมพลุ่งพล่านคนนั้นจะเห็นความงามแล้วเกิดละโมบ อาศัยฤทธิ์สุราเกิดความคิดบางอย่างต่อพวกนาง หรือไม่ตอนอยู่บนโต๊ะสุราก็มือไม้ไม่สะอาด ยิ่งกลัวว่าผู้อาวุโสในสำนักจะปล่อยตามใจคนผู้นั้นแล้วทอดทิ้งพวกนางไม่สนใจ
บุรุษผู้นั้นได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน ยังคงตั้งใจอธิบายถึงงานเลี้ยงสุราในวันนี้ให้พวกนางฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน บอกว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยาก อีกทั้งหยวนไหว้หลางที่อายุน้อยมีความสามารถมากคนนั้นก็มีชื่อเสียงที่ดีมากในวงการขุนนาง หากไม่เป็นเพราะตระกูลของพวกเขาอยู่ใกล้กับภูเขาของพวกเรา ไม่อย่างนั้นคนบ้านเดียวกันที่มีอนาคตสดใสในวงการขุนนางผู้นี้ อายุเพิ่งจะสามสิบต้นๆ ก็เป็นขุนนางตำแหน่งรองในกองหนึ่งของที่ว่าการกรมอาญาแล้ว คืนนี้คิดอยากจะเชิญให้เขาออกมาดื่มเหล้าก็ช่างเป็นความเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนโดยแท้…
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา
หนิงเหยาเท้าคางด้วยมือข้างเดียว มองน้ำในลำคลอง
ก่อนที่นางจะทำท่าแบบเดิม เพียงแค่เปลี่ยนมือเท่านั้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หิ้วกาเหล้า ก้มตัวขยับเท้าไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของนาง
หนิงเหยาพึมพำ “เล่นเป็นเด็ก”
เฉินผิงอันยิ้มไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่จิบเหล้าคำเล็กๆ เท่านั้น
หนิงเหยาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างสงสัยใคร่รู้ “พวกเราเข้าเมืองมาครั้งนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจปิดบังอะไร นอกจากพวกชายหญิงอายุน้อยที่มองมาไกลๆ แล้ว ทำไมถึงไม่มีใครปรากฏตัวเลยสักคน? ถึงขั้นที่ว่าคนที่แอบจับตามองอย่างลับๆ ก็ยังไม่มี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นั่นก็เพราะฮ่องเต้ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะพูดคุยกับพวกเราอย่างไร หากมีแค่ข้าคนเดียวก็คงไม่ลำบากใจถึงเพียงนี้”
——