กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 829.3 อิสระเสรี
ราสำนักต้าหลี ไม่เคยปล่อยให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาคนใดทำตามแต่ใจตัวเอง นี่ไม่ใช่ว่าสกุลซ่งกำเริบเสิบสาน แต่เพราะรากฐานทำให้พวกเขามีความมั่นใจเช่นนี้
เพียงแต่ว่าหนิงเหยาเป็นข้อยกเว้น
บุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน หนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
ต้าหลีหาเรื่องนาง ไม่พูดถึงตัวของหนิงเหยาเอง พูดถึงแค่คนที่เกี่ยวข้อง ใกล้หน่อยก็เท่ากับหาเรื่องผู้ฝึกกระบี่ทั้งอุตรกุรุทวีป ไกลหน่อยก็ยังมีสำนักกระบี่หลงเซี่ยงของฉีถิงจี้และลู่จือ
เฉินผิงอันกล่าว “สกุลซ่งต้าหลียอมต่อให้เดินก่อนบนกระดานหมาก รอให้ข้าวางเม็ดหมากลงไปก่อน ยกตัวอย่างเช่นหากตรงดิ่งไปที่วังหลวง ก็เท่ากับเป็นลูกศิษย์เตาเผาของตรอกหนีผิงในอดีตที่คิดจะคว่ำโต๊ะพลิกเปิดบัญชีเก่า แต่หากไปหาทูตผู้ตรวจการเฉาที่ตรอกอี้ฉือก็เท่ากับเป็นคนทำการค้าที่ไปพูดคุยเรื่องค้าขาย ไปหาสหายอย่างกวนอี้หรานเพื่อรำลึกความหลังก็คือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ออกมาเที่ยวเล่นขุนเขาสายน้ำ ไปที่ซากปรักสำนักศึกษาซานหยาเก่าก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่ง ไม่ว่าจะไปที่ไหน ในวังหลวงก็ล้วนมีหนทางรับมือ แต่พวกเราเดินเล่นกันอยู่อย่างนี้ ฮ่องเต้และไทเฮาเหนียงเนียง ไม่แน่ว่าอาจต้องกินอาหารมื้อดึกตามพวกเราไปด้วย”
เฉินผิงอันหยุดชะงักไปครู่ ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ดังนั้นรออีกเดี๋ยว พวกเราก็จะไปพักที่เรือนของศิษย์พี่”
หนิงเหยาหันหน้ามา สายตามีการสอบถาม
คืนนี้นางไม่ค่อยอยากคิดเรื่องราวเท่าไรนัก
เฉินผิงอันอธิบายเสียงเบา “เท่ากับเป็นการบอกต้าหลีว่า ข้าทำอะไรพิถีพิถันในเรื่องความเหมาะสม ดังนั้นต้าหลีของพวกเจ้าต้องมอบลูกหลีตอบแทนลูกท้อ ไม่ว่าใครก็อย่าแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อน”
หยกอยู่บนภูเขาพืชพรรณชุ่มชื้น หุบเหวเกิดไข่มุกหน้าผาไม่แห้งเหี่ยว
นี่ก็คือถ้อยคำของอาจารย์ในตำราที่แพร่หลายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสืบทอดต่อกันไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ประหนึ่งฝันไป อาจารย์ของตนถึงกับเป็นอริยะปราชญ์ท่านหนึ่งในตำรา
และเมื่อเฉินผิงอันมาอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็จะค้นพบว่า ทุกหนทุกแห่งล้วนมีร่องรอยของการอบรมสั่งสอนจากชุยฉานศิษย์พี่ใหญ่
การที่แจกันสมบัติทวีปยังคงเป็นแจกันสมบัติทวีป เป็นเพราะศิษย์พี่สองคนอาศัยการอุทิศตัวตนทั้งกายและใจยาวนานนับร้อยปี คอยรวบรวมใจคนให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเป็นเหตุให้ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปมีเหล่าผู้กล้าพากันลุกผงาด ถึงสามารถร่วมกันกอบกู้ประคองแผ่นฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมาได้
ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันที่เป็นศิษย์น้องก็ไม่มีทางทำลายสถานการณ์ยิ่งใหญ่อันดีงามนี้ตามใจตัวเอง ไม่ใช่เพราะภูเขาลั่วพั่วกริ่งเกรงสกุลซ่งต้าหลี
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเราไปพักผ่อนกันที่นั่น ข้าจะได้ถือโอกาสดูด้วยว่าในหอเก็บตำรามีตำราฉบับสมบูรณ์ ตำราที่มีเล่มเดียวเหลืออยู่บ้างหรือไม่ จะได้ขนกลับไปภูเขาลั่วพั่ว”
หนิงเหยาถาม “ขโมยหนังสือหรือ?”
เฉินผิงอันวางกาเหล้าลง สองแขนกอดอก หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เป็นศิษย์น้อง ขอยืมหนังสือไม่กี่เล่มของศิษย์พี่ไปอ่าน จะเรียกว่าขโมยหนังสือได้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องที่ใครขัดขวางคนนั้นก็ไร้เหตุผลแล้วนะ”
หนิงเหยาพูดชวนคุยว่า “หมี่ลี่น้อยได้ยินเผยเฉียนที่ได้ยินเจิ้งต้าเฟิงเล่าให้ฟังว่า เจ้ามีสหายที่นครมังกรเฒ่าชื่อว่าฟ่านเอ้อ พวกเจ้าสองฝ่ายเคยตกลงกันไว้เรื่องหนึ่ง?”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าพูดถึงฟ่านเอ้อหรือ ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มไม่รู้ประสา มักมีแต่ความคิดแปลกประหลาด โชคดีที่ได้ข้าช่วยห้ามปรามเอาไว้”
ชั่วชีวิตนี้เฉินผิงอันไม่เคยดื่มสุราเคล้านารีมาก่อน
แค่เคยได้สัมผัสกับกลิ่นอายเครื่องประทินโฉมที่ไม่ว่าจะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้นจากหอโคมเขียวระหว่างที่เดินทางผ่านเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
หนิงเหยานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ก่อนหน้านี้ข้าทำลายแผ่นหยกที่จู๋หวงใช้ควบคุมค่ายกลบนยอดกระบี่แตกไป?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงคือเรื่องดี หากไม่ใช่เจ้าที่ทำลายมัน ข้าก็ต้องโอกาสทำเรื่องนี้อยู่ดี ยอดเขาอีเซี่ยนของจู๋หวงไม่มียอดเขาหม่านเยว่ของเซี่ยหย่วนชุ่ยและภูเขาชิวลิ่งของเถาแยนโปคอยงัดข้อ แล้วยังมีเยี่ยนฉู่ที่สวามิภักดิ์ด้วย เจ้าสำนักอย่างจู๋หวงผู้นี้ก็จะกลายเป็นคนเผด็จการไปอย่างสิ้นเชิง จะกลายเป็นบุคคลที่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของภูเขาตะวันเที่ยง และเพียงไม่นานความวุ่นวายภายในของภูเขาตะวันเที่ยงก็จะยุติลง ตอนนี้ดีแล้ว อย่างน้อยที่สุดจู๋หวงก็สูญเสียที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดอย่างเซียนเหรินค่ายกลยอดกระบี่ไปอีกหลายปี เขาก็จะกลายเป็นแค่เจ้ายอดเขาของยอดเขาอีเซี่ยน เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวแปรก็จะเพิ่มมากขึ้น”
เฉินผิงอันแหงนหน้าดื่มเหล้าหนึ่งอึก เช็ดปากแล้วพูดต่อว่า “เถาแยนโปต้องเป็นฝ่ายไปพึ่งพาเซี่ยหย่วนชุ่ยแน่นอน เพื่อจะได้หาวิธีคลี่คลายสถานการณ์ให้กับภูเขาชิวลิ่ง ยกตัวอย่างเช่นมีการตกลงกันเป็นการส่วนตัว ‘ให้เช่า’ ผู้ฝึกกระบี่บ้านตัวเองแก่ยอดเขาหม่านเยว่ หรืออาจถึงขั้นยุแยงอาจารย์ลุงเซี่ยให้ช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก เพื่อเป็นค่าตอบแทน ก็คือภูเขาชิวลิ่งได้คลายคำสั่งปิดภูเขาก่อนเวลาที่กำหนด ส่วนหญ้ายอดกำแพงอย่างเยี่ยนฉู่นั้นจะต้องคอยพัดลมกระพือไฟ ช่วงชิงเอาผลประโยชน์ที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมมาให้แก่ตัวเองและยอดเขาสุ่ยหลง เพราะหากเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างถูกเลือกให้เป็นหยวนป๋ายจะต้องทำให้ตัวแปรของภูเขาตะวันเที่ยงใหญ่กว่าเดิม เยอะกว่าเดิม สถานการณ์จะเปลี่ยนมาเป็นลุ่มลึกซับซ้อน จู๋หวงคิดจะแก้ปัญหาภายในพวกนี้ หากไม่มีเวลาสามสิบห้าสิบปีก็อย่าหวังว่าจะจัดการได้อย่างราบคาบ”
เฉินผิงอันยื่นมือซ้ายออกมาปาดหนึ่งที “พื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต ทฤษฎีเส้นสายของเจ้าอารามผู้เฒ่าต้องไม่ใช่ยาวิเศษที่ทำให้พื้นที่แห่งหนึ่งเกิดเรื่องศักดิ์สิทธิ์ได้ตลอดอย่างแน่นอน แต่ต้องเป็นมืดผ่าฟืนเปิดภูเขาที่ดีที่สุดสำหรับการขึ้นเขาลงห้วย”
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอว ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา คีบภาพสะท้อนของโคมไฟดวงหนึ่งขึ้นมาจากน้ำในลำคลอง สร้างโคมไฟเล็กจิ๋วใบหนึ่งขึ้นมาวางไว้กลางอากาศ ตะเกียงทั้งหลายลอยอยู่กลางอากาศ บินวนอ้อมไปมาพอจะกลายเป็นเส้นเส้นหนึ่งได้ มองดูคล้ายเส้นทางเส้นหนึ่ง จากนั้นก็คีบโชคชะตาน้ำเสี้ยวเล็กๆ อีกสองส่วนจากลำคลองออกมาวางไว้ตรงสองข้างของโคมไฟ
เฉินผิงอันกล่าว “คนทั่วไปล้วนจะต้องเดินเข้ามาในนี้ เพราะว่าเส้นทางชัดเจน แล้วยังเดินได้ง่าย หากพูดให้ใหญ่หน่อย นี่ก็คือสถานการณ์ใหญ่ คือชะตาชีวิต”
จากนั้นก็ชี้ไปตรงกลางระหว่างโคมไฟสองดวง “จิตใจคนที่ขึ้นลงระหว่างนี้ การเปลี่ยนแปลงหลากหลายชนิดที่มาจากเส้นทางชีวิตคนที่แตกต่างกัน อันที่จริงไม่ต้องศึกษาอย่างละเอียด แล้วนับประสาอะไรที่หากจะควบคุมจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะควบคุมได้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผลในทางตรงกันข้าม จะต้องมีคนที่สามารถเดินออกมาจากทางสายนี้ได้ แต่ไม่เป็นไร สำหรับภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว นี่ก็คือเรื่องดีที่แท้จริง และเป็นเรื่องที่ข้ารอคอยอย่างแท้จริงมาโดยตลอด”
นี่เป็นสิ่งที่เฉินผิงอันเรียนรู้มาจากเจิ้งจวีจงและอู๋ซวงเจี้ยง คนผู้หนึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการคาดคะเนเส้นสายใจคน อีกคนหนึ่งเชี่ยวชาญการแยกร่างหมื่นสรรพสิ่ง
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นในเมืองเล็ก ภูเขาตะวันเที่ยงคิดว่าตัวเองต้องได้ครอบครองคัมภีร์กระบี่เล่มนั้น ส่วนนครลมเย็นก็พุ่งเป้าไปที่เสื้อเกราะโหวจื่อ นี่ก็คือความแน่นอนบนเส้นทางชีวิตคน หากเอาตัวข้าเองมายกตัวอย่าง ก็เช่นว่า…ตำราหมัดเขย่าภูเขาของกู้ช่านเล่มนั้นก็คือโคมไฟดวงหนึ่ง เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงได้ตำราหมัดเล่มนี้ไปก็จะต้องเรียนวิชาหมัดอย่างแน่นอน เพราะต้องรักษาชีวิตรอด”
หนิงเหยาเอ่ย “ยังมีหุ่นไม้ของซ่งจี๋ซินที่อยู่ข้างบ้านที่เจ้าจะต้องเอามาประกอบเข้าด้วยกันอย่างแน่นอน จากนั้นจึงให้ข้าช่วยอธิบายถึงเส้นชีพจรบนหุ่นนั้น?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก็คือหลักการนี้ ความบังเอิญหลายอย่าง แท้จริงแล้วกลับเป็นความแน่นอน แต่ความแน่นอนที่ร้อยเรียงติดต่อกันกลับจะทำให้เกิดหนึ่งในหมื่นและความบังเอิญ”
หนิงเหยาขมวดคิ้วแน่นด้วยความกังวลใจ
เฉินผิงอันหันตัวกลับมาช่วยลูบหว่างคิ้วของนางให้ราบเรียบด้วยท่วงท่าอ่อนโยน พูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “คำโบราณบอกว่าสามขวบเห็นได้ถึงตอนแก่ เพียงแต่ว่าในสถานการณ์ทั่วไปกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะมองคนคนหนึ่งได้อย่างตายตัว ไม่มีใครที่จะต้องกลายเป็นใครอย่างแน่นอน ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องที่ชะตาชีวิตกำหนดมาแล้วอะไรนั่น ต่อให้เป็นโจวจื่อที่ขายถังหูลู่ในปีนั้นก็ไม่ใช่ว่าจงใจเล่นงานข้าในตอนนั้นจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะต้องสร้างความลำบากให้กับเด็กคนหนึ่งให้ได้ พูดให้ถูกต้องก็คือ โจวจื่อคล้ายกำลังรอคอยการเลือกอย่างหนึ่งและผลลัพธ์บางอย่าง จากนั้นก็คอยดูต่อไปอีก แท้จริงแล้วนี่ไม่ขัดแย้งกับหลักการข้อหนึ่งที่บอกว่าโชคและเคราะห์ไร้ประตู ล้วนเป็นคนที่เรียกหามันเองซึ่งข้าใช้เตือนตัวเองมาโดยตลอด ภายหลังอ่านเจอประโยคหนึ่งของหย่าเซิ่งในตำรา ก็เป็นหลักการพอๆ กันนี้ เขาบอกว่า ‘หมื่นสรรพสิ่งล้วนเตรียมไว้เพื่อข้า’ ก่อนหน้านี้อยู่ที่สวนกงเต๋อของศาลบุ๋นได้คุยเล่นกับอาจารย์ อาจารย์ก็บอกว่าประโยคนี้ของหย่าเซิ่งยอดเยี่ยมมาก มีความตั้งใจอันดี”
“ปีนั้นสำหรับพวกคนที่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ซึ่งอยู่เบื้องหลังเรื่องราวมากมายในถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในสถานการณ์ด้วยตัวเอง ก็แค่ต้องลงเดิมพันไปทั่ว คอยผลักดันคลื่นมรสุมอย่างลับๆ อย่างมากสุดก็ขุดเจาะท้องน้ำหรือไม่ก็ชักนำน้ำจากทะเลสาบ สร้างเขื่อนขึ้นมาป้องกัน นี่ก็เหมือนว่าพวกเราใช้ราคาหนึ่งที่ถูกมากไปซื้ออักษรภาพมากองใหญ่ เพราะคิดว่าพอชื่อเสียงของคนผู้นี้โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งเอาไปขายต่อก็จะได้ราคาสูงเทียมฟ้า ง่ายที่จะได้กำไรมหาศาล ปีนั้นหยางเหล่าโถวก็คือเจ้ามือของบ้านเกิดพวกเรา สำหรับพวกหม่าขู่เสวียน ซ่งจี๋ซิน หลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่าน จ้าวเหยา เซี่ยหลิง ฯลฯ บางทีก็อาจเคยลงเดิมพันด้วยมาก่อน เพียงแต่ว่าวิธีการต่างกันออกไป เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง จากนั้นหากใครที่สามารถเดินขึ้นไปบนขั้นบันไดที่สูงยิ่งกว่าในช่วงเวลาที่สำคัญบางอย่าง คนนอกก็จะลงเดิมพันกันต่อ หากไม่สำเร็จก็อาจจะต้องไร้ชื่อไร้นามไปนับแต่นี้ อาจต้องตายไปก่อนวัยอันควรบนมหามรรคา เดินไปบนเส้นทางชีวิตที่แตกต่างจากเส้นเดิมอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกัน ศิษย์พี่ชุยฉานก็เคยลงเดิมพันกับคนมากมายซึ่งรวมถึงอู๋ยวน เว่ยหลี่ หลิ่วชิงเฟิง เหวยเลี่ยง หลิ่วชิงเฟิงที่เป็นหนึ่งในนั้นก็ไม่แน่เสมอไปที่จะต้องได้กลายมาเป็นเจ้ากรมพิธีการของเมืองหลวงสำรองของต้าหลีในภายหลัง”
“เฉินผิงอันที่อายุสิบสี่แล้วยังไม่เคยออกจากบ้านเกิด ตอนที่หลิวเสี้ยนหยางเจอกับหายนะครั้งนั้น เรียกฟ้าฟ้าไม่ตอบ เรียกดินดินไม่ขาน หากเวลานี้ตอนที่เดินข้ามสะพานไม่ได้มองเห็นเจ้า จากนั้นข้ายังมีโอกาสได้แก้ไขอีกครั้ง ก็จะต้องเลือกชีวิตอีกแบบหนึ่งอย่างแน่นอน จะต้องกลายไปเป็นตัวเองคนที่รับถังหูลู่ไม้นั้นเอาไว้ วันใดเป็นลูกศิษย์ของเตาเผา ต่อให้ต้องเผาเครื่องกระเบื้องไปตลอดชีวิตก็จะยังได้มีชีวิตที่สงบสุขมั่นคง”
“แต่ข้าในวันนี้ต้องไม่มีทางเลือกแบบนี้แน่นอน ต่อให้มีโอกาสก็จะเลือกเส้นทางเดิมเพื่อเดินมาถึงที่นี่ ส่วนหลังจากนี้…”
เรื่องราวมีมากมายเกินไป บางเรื่องไม่อาจตัดสินใจได้เอง
หนิงเหยาถามเสียงเบา “หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?”
สายตาของเฉินผิงอันเด็ดเดี่ยว ยิ้มเอ่ยว่า “วันหน้าต่อให้จะมีทางเลือกที่แตกต่างกันให้ข้าอีกหมื่นทางเลือก ข้าก็จะไม่เลือก”
สายตาของหนิงเหยาฉายประกายเจิดจ้า พยักหน้ารับเบาๆ
จากนั้นเฉินผิงอันก็พาหนิงเหยาไปสถานที่หนึ่ง เดินข้ามถนนผ่านตรอกอย่างคุ้นเคยกับเส้นทาง ไม่ต้องถามทางกับคนอื่นด้วยซ้ำ เฉินผิงอันทำราวกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่บนภูเขาของตัวเอง
เดินผ่านตรอกอี้ฉือเส้นนั้น สถานที่แห่งนี้มีตระกูลชนชั้นสูงที่แต่ละครอบครัวได้สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ส่วนถนนฉือเอ๋อร์ที่ห่างไปไม่ไกลก็แทบจะเป็นตระกูลของเมล็ดพันธ์แม่ทัพทั้งหมด เฉาหยวนสองแซ่ที่บ้านบรรพบุรุษตั้งอยู่ในตรอกเอ้อหลางและตรอกหนีผิง และยังมีกวนอี้หรานกับหลิวสวินเหม่ย จวนในเมืองหลวงล้วนตั้งอยู่บนถนนสองเส้นนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุม (เปรียบเปรยว่าสถานที่แห่งหนึ่งเป็นของคนคนเดียว) ต่อให้ปีนั้นที่แจกจ่ายรางวัลตามคุณความชอบแล้วจะมีคนหน้าใหม่ในวงการขุนนางต้าหลีที่ได้เลื่อนเข้าไปอยู่ในใจกลางของราชสำนัก แต่ก็ยังไม่สามารถมาตั้งรกรากอยู่ที่ตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ได้
หน้าปากทางของตรอกเส้นเล็กที่ตั้งอยู่ห่างไกลมีผู้ฝึกลมปราณสองคนปรากฏตัว หนึ่งแก่หนึ่งเด็ก มาขัดขวางทางไปของพวกเขา
ทั้งสองคนล้วนขอบเขตไม่สูง คนหนึ่งเป็นก่อกำเนิด อีกคนหนึ่งเป็นขอบเขตประตูมังกร
ผู้เฒ่าพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “ไม่ว่าจะเป็นใคร เดินอ้อมผ่านไปซะ”
เฉินผิงอันชี้ไปในตรอก ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าคือศิษย์น้องของเจ้าของบ้านในตรอกนี้”
แล้วเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “จะมาดูหนังสือที่นี่”
เด็กหนุ่มคนนั้นหลุดหัวเราะพรืด “ศิษย์น้องของราชครู? ทำไมเจ้าไม่บอกว่าตัวเองเป็นศิษย์พี่ของราชครูพวกเราไปเลยเล่า?”
ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าราชครูต้าหลีของพวกเราอย่างซิ่วหู่ชุยฉานได้ออกจากสายเหวินเซิ่งมาร้อยกว่าปีแล้ว จะเอาศิษย์น้องมาจากไหน ดูท่านักต้มตุ๋นในเมืองหลวงทุกวันนี้จะใจกล้าเกินไปหน่อยแล้ว แล้วก็มีลูกไม้สารพัดซะเหลือเกิน
ผู้เฒ่าที่เหมือนยอดฝีมือที่หลบเร้นกายไม่ถามไถ่เรื่องทางโลกโบกมือเอ่ยว่า “รีบไปซะ”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจอยู่บ้าง เหตุใดราชสำนักต้าหลีถึงให้สองคนนี้มาเฝ้าอยู่ที่นี่ได้นะ?
ดังนั้นจึงหันไปถามหนิงเหยาว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เข้าพักในโรงเตี๊ยมใกล้ๆ นี้?”
หนิงเหยาย่อมไม่มีปัญหาอะไร อันที่จริงหากคนทั้งสองคิดจะแฝงกายเข้าไปในจวนก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อเทียบกับจุดอื่นของเมืองหลวงที่ยามราตรีสว่างไสวราวกับตอนกลางวันแล้ว ถนนเส้นนี้กลับกลายเป็นว่าม่านราตรีหนาหนัก อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นมาว่า “อิสระเสรีที่แท้จริงจำต้องอุทิศความเป็นคน”
หนิงเหยาถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก ข้าก็แค่รู้สึกว่ามีอิสระจึงจะมีเสรี จะบริสุทธิ์แท้จริงหรือไม่ก็ไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น ก็เหมือนกับคำว่าปัญญาญาณทั้งปวงเกิดจากความเมตตา แล้วยังต้องดับลงบนความเมตตา”
หนิงเหยาเอ่ย “พูดให้เข้าใจหน่อย”
เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ต้องพูดอย่างไรอีกถึงจะเข้าใจ?
จึงถูกหนิงเหยาถองเข้าให้ เจ็บจนเขาแยกเขี้ยว จากนั้นเฉินผิงอันก็เลือกแล้วเลือกอีก เดิมอ้อมเส้นทางไปค่อนข้างไกลถึงหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเจอ ผลคือพอถามกลับเหลือห้องแค่ห้องเดียว เฉินผิงอันทอดถอนใจ ปากก็บ่นอย่างไม่พอใจสองสามคำ ทว่ามือกลับรีบควักเงินจ่ายค่าห้องอย่างว่องไว
——