กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 831.2 ฝึกฝน
เสียงในใจที่เฉินผิงอันและเฟิงอี๋ผู้นี้พูดคุยกัน คนอื่นๆ ที่เหลืออีกหกคนต่างก็ขอบเขตไม่สูง แน่นอนว่าไม่มีทางได้ยิน จึงได้แต่ทำเหมือนนั่งดูไฟชายฝั่ง อาศัยการเปลี่ยนแปลงทางแววตาและสีหน้าของสองฝ่าย พยายามค้นหาความจริงให้ได้มากที่สุด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสใส่ร้ายกันเสียแล้ว”
จะพูดว่าเป็นการข่มขู่ได้อย่างไร ก็แค่มีอะไรก็พูดไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง
เฟิงอี๋ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือเทพซือเฟิง (เทพแห่งสายลม) หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือหนึ่งในเทพซือเฟิง
ดังนั้นถึงได้อยู่คนเดียวตัดขาดโลกภายนอก ไม่แปดเปื้อนธุลีในโลกีย์เช่นนี้ เหตุผลก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง การหมุนเวียนของสายลมในใต้หล้าล้วนต้องฟังคำสั่งจากนาง
ส่วนพวกลมยี่สิบสี่ระลอกที่โชยมาเมื่อบุปผาผลิบาน แน่นอนว่าต้องอยู่ในขอบเขตการควบคุมของนางด้วย
เฉินผิงอันรับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน ถึงได้เห็นหัวข้อหลายข้อที่เกี่ยวพันกับ ‘เฟิงอี๋’ ซึ่งอธิบายคร่าวๆ ถึงรากฐานมหามรรคาของนาง
เฟิงอี๋ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง มีคนรักเป็นขอบเขตบินทะยาน ยามพูดจาน้ำเสียงจึงแข็งกระด้างได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มกล่าว “ลมพัดผ่านโลกมนุษย์ จุดที่ธงแดงไม่ตั้งอยู่ ต้นไม้เขียวยังคงเศร้าโศก จะทำอย่างไรได้ ไม่แข็งกระด้างเท่าผู้อาวุโสจริงๆ”
เฟิงอี๋ผู้นี้เป็นฝ่ายมาปรากฏตัวที่นี่ ความเป็นไปได้ที่ใหญ่ที่สุดก็เพื่อออกหน้าให้กับสกุลซ่งต้าหลี เท่ากับเป็นการท้าทายอย่างที่มองไม่เห็น
เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าการมาเยือนของตัวเองจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอะไรสำหรับนาง
หากจะบอกว่าการปรากฏตัวของรองเจ้ากรมพิธีการต่งหูคือการแสดงความเป็นมิตร ถ้าอย่างนั้นการปรากฎตัวของเฟิงอี๋ก็คือลักษณะนิสัยการลงมือที่แข็งกระด้างแล้ว
คล้ายกับกำลังบอกตนว่า รากฐานของสกุลซ่งและเมืองหลวงแห่งนี้ เจ้าเฉินผิงอันไม่รู้เลยสักนิด อย่าได้คิดจะมาเดินกร่างที่นี่
แม้เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เฟิงอี๋ผู้นี้จะไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงสิบสองท่านทดแทนตำแหน่งที่ขาด แต่ในตำราโบราณของสำนักการทหารเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ไท่กงอินฝู’ ของคฤหาสน์หลบร้อนได้บันทึกเรื่องราวในอดีตของช่วงเวลานั้นเอาไว้ เพียงแต่ว่าใช้วิธี ‘บันทึกเรื่องพิสดาร’ ซึ่งหายสาบสูญไปนานแล้วมาบันทึกเรื่องราวในอดีต เล่าลือกันว่าเคยมีเสินจวินชั้นสูงเจ็ดท่านที่มีอำนาจบารมี ต่างคนต่างปกครองกรมกองแห่งหนึ่ง ช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ในการโจมตีสวรรค์ ส่วนใหญ่ล้วนตายอยู่ในสงครามใหญ่ หลงเหลือเทพชั้นสูงแค่ไม่กี่ท่าน จึงนำกรมของตัวเองไปพักพิงอยู่ในศาลบรรพชนของสำนักการทหารแห่งไพศาล คล้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนนางสวรรค์ที่ทำตามตำแหน่งหน้าที่ ต่างคนต่างโคจรมหามรรคาในส่วนของกรมตัวเอง
เพียงแต่ว่าเสินจวินชั้นสูงในตำราไม่มีสถานะที่แน่ชัด ส่วนจะถือว่าเป็นเทพชั้นสูงสิบสององค์ของช่วงแรกเริ่มสุดด้วยหรือไม่ก็ยิ่งบอกได้ยากแล้ว
สมมติว่าศาลหลักของสำนักการทหารของแผ่นดินกลางคือประตูใหญ่ของเรือนหลังใหญ่หลังหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นศาลบรรพชนของสำนักการทหารในหนึ่งทวีปอย่างภูเขาเจินอู่ ศาลลมหิมะ ก็เท่ากับเป็นประตูด้านข้างที่ถูกสร้างขึ้นมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลเหล่านี้จึงสามารถเดินเข้าออกได้เช่นกัน
นอกจากนี้ในรวมบทประพันธ์โบราณเล่มหนึ่งที่คล้ายคลึงนิยายเทพเซียนปรัมปราก็มีการบันทึกถึงภัยพิบัติใหญ่เทียมฟ้า เป็นหายนะครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาไว้อย่างละเอียด ก็เป็นเพราะนางที่ถูกเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลเรียกขานอย่างแค้นเคืองว่า ‘ไพร่ตระกูลเฟิง’ ‘นังหญิงตระกูลเฟิง’ ของพื้นที่มงคลลี่หลินผู้นี้ที่มาเป็นแขกถึงบ้าน เดินผ่านขุนเขาสายน้ำของพื้นที่มงคล ทุกที่ที่ผ่านล้วนมีลมพัดกระโชกแรง ตวาดก้องเดือดดาล สะเทือนจนร้อยบุปผาร่วงโรย ดังนั้นในตำราโบราณเล่มนั้น ตรงช่วงท้ายยังเขียนถ้อยคำฮึกเหิมเอาไว้ด้วยว่า ขอสาบานว่าจะรบกับเฟิงอี๋จนตัวตายเพื่อร้อยบุปผาในทั่วหล้า
ตอนนั้นทุกครั้งที่เฉินผิงอันมีเวลาว่างจากการศึก ยามอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนเขาจะต้องเอาเหล้ากาหนึ่งมาพร้อมกับถั่วลิสงหนึ่งจาน แล้วเอาปฏิทินเหลืองที่ถูกปิดผนึกมานานพวกนี้มาทำเป็นกับแกล้มแกล้มเหล้า
ดูเหมือนว่าในจารึกภูเขามหาสมุทรและบันทึกเสริม รวมไปถึงผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ที่มีมากมายราวขนวัวต่างก็ไม่เคยมีบันทึกใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเฟิงอี๋
มีเอกสารลับที่มีตัวอักษรบันทึกไว้อย่างชัดเจน นอกจากสวนกงเต๋อของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้ว สถานที่อื่นในใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าจะเป็นหอเก็บตำราแห่งใด ต่อให้เป็นสำนักบนภูเขาและในตระกูลชนชั้นสูงที่มีอายุยาวนานพันปีของราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ล้วนหาหนังสือประเภทนี้ไม่เจอแม้แต่เล่มเดียว ลูกหลานทายาทรุ่นหลังอยากจะรู้ก็ได้แต่อาศัยการบอกเล่าจากบรรพบุรุษปากต่อปาก แล้วยังต้องรับรองว่าจะไม่ถูกสถานศึกษาสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อได้ยินเข้าหู ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นเจ้าสำนักของหนึ่งสำนักหรือเจ้าประมุขของหนึ่งตระกูลก็ล้วนจำเป็นต้องไปเล่นหมากล้อม ดื่มเหล้าที่สวนกงเต๋อของศาลบุ๋นแล้ว
และในบรรดาผู้ที่ได้ครอบครองเทพแห่งสายลมอย่างสตรีผู้นี้ก็ไม่ขาดแคลนจักรพรรดิและราชาที่องอาจมากความสามารถในประวัติศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในนั้นก็มีเจ้าเมืองท่านหนึ่งของเรือราตรี เจ้าศาลาซื่อสุ่ยที่เคยสังหารงูขาวคนนั้น
เฟิงอี๋พลันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “เกือบจะลืมไปแล้วว่าเจ้าเคยเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
อันที่จริงช่วงเวลาหลายสิบปีก่อนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะปริแตกแล้วหล่นร่วงลงมายังพื้นดิน สำหรับบุคคลจากยุคบรรพกาลที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานเช่นนาง ก็เหมือนได้เจอจุดที่เป็นกุญแจสำคัญในช่วงเวลาที่ไม่สำคัญ จึงไม่ใคร่จะยินดีมองให้มากนัก บางทีอาจทำเพียงแค่กวาดตามองหนึ่งที สำหรับสรรพชีวิตที่มีสติปัญญาทุกตนในเวลานั้น แค่แน่ใจว่าในใจรู้คร่าวๆ ว่าต้องทำอย่างไรก็พอแล้ว จากนั้นอย่างมากสุดต่างคนต่างก็มีวิธีในการเดิมพัน บางทีอาจเกิดจากความสนใจ บางทีอาจเป็นการประลองด้านแววตาในการมอง หรือไม่ก็เป็นการงัดข้อกับคนอื่น
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เหมือนแกล้งเลอะเลือน บางทีอาจเป็นเพราะยังดื่มเหล้าได้ไม่ถึงระดับมากพอ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถเชิญผู้อาวุโสเฟิงอี๋ไปดื่มเหล้ารำลึกความหลังที่โรงเตี๊ยมด้วยกันได้
เฟิงอี๋นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงคล้ายจะรู้สึกประหลาดใจต่อความมีน้ำอดน้ำทนของเฉินผิงอันอยู่บ้าง “ไม่อยากถามบ้างหรือว่าพวกตาแก่หนังเหนียวคนที่เหลือที่เปิดปากพูดในปีนั้น ต่างคนต่างมีที่มาอย่างไร และแต่ละคนต้องการสิ่งใด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “หากผู้อาวุโสยินดีพูด แน่นอนว่าผู้เยาว์ย่อมต้องซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด หากผู้อาวุโสไม่ยินดีจะพูด ผู้เยาว์ย่อมไม่บังคับฝืนใจ”
นางยื่นนิ้วสองนิ้วที่ประกบกันออกมาเคาะข้างแก้มเบาๆ ยิ้มตาหยี คล้ายกำลังลังเลว่าควรจะเปิดเผยความลับสวรรค์ดหรือไม่
หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิง จ้าวเหยาแห่งถนนฝูลู่ เซี่ยหลิงแห่งตรอกเถาเย่…นี่เป็นแค่คนรุ่นที่อายุน้อยที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจู หากขยับขึ้นไปอีก อันที่จริงยังมีการเดิมพันอีกบางอย่าง บางส่วนเกิดจากความเบื่อหน่ายอย่างเดียวเท่านั้น เจอกับใครที่ถูกชะตาตรงใจก็แค่ถือโอกาสประคับประคอง บ้างก็มีเป้าหมายบางอย่างจึงฝังเส้นสายไกลพันลี้ ยกตัวอย่างเช่นมีตาเฒ่าคนหนึ่งที่เป็นบรรพจารย์ของสายคนเลี้ยงมังกรบนโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน บรรพบุรุษของตระกูลมีคุณความชอบในการเลี้ยงมังกร ปีนั้นคนผู้นี้จึงปิดบังสถานะ เดินทางจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาถึงแจกันสมบัติทวีป สกัดกั้นฟ้าดิน ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกลมปราณที่พิฆาตมังกรกลุ่มนั้น
เฟิงอี๋พลันกลั้นยิ้ม อยู่ดีๆ ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “แบกสตรีที่รักไว้บนหลัง ต่อให้ต้องเดินไกลแค่ไหนก็ไม่ทำให้คนรู้สึกเหนื่อยจริงๆ ตอนนั้นใจกล้าไม่เบา ทำไมทุกวันนี้ขอบเขตสูงแล้วกลับกลายเป็นว่าขี้ขลาดเสียแล้วล่ะ ข้ายังรู้สึกร้อนใจแทนเจ้าเลยนะ”
เฉินผิงอันหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เฟิงอี๋เห็นว่ามือกระบี่ชุดเขียวในเวลานี้ ในที่สุดก็พอจะมีความรู้สึกที่คุ้นเคยอยู่บ้าง มีลักษณะเหมือนเด็กหนุ่มขี้อายในปีนั้นบ้างแล้ว
โอ้ หน้าแดงด้วยหรือนี่
ประหลาดนัก ไหนพูดกันว่าเฉินอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาศัยแค่หนังหน้าก็สามารถเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองได้นานหนึ่งหมื่นปีแล้วอย่างไรเล่า?
เฉินผิงอันไม่จงใจทำให้เรือนกายงองุ้มอีกต่อไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที กุมหมัดคารวะ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสช่วยดูแลปกป้องมรรคาให้”
เฟิงอี๋พยักหน้ารับ พูดแค่นิดหน่อยก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง เป็นคนฉลาดที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมจริงๆ อีกทั้งออกจากบ้านตอนอายุยังน้อยมานานหลายปี ยังสามารถรักษาสติปัญญาความเฉลียวฉลาดก่อนวัยส่วนนั้นเอาไว้ได้ ฉีจิ้งชุนช่างสายตาดีจริงๆ
ในถ้ำสวรรค์หลีจู มีทัศนียภาพและม้วนภาพแห่งกาลเวลาบางอย่าง หลังจากที่ฉีจิ้งชุนตัดสินใจไปแล้ว นั่นก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่ใช่ว่าใครอยากเห็นก็เห็นได้
ก็เหมือนอย่างที่นางพูดเองกับปากก่อนหน้านี้ นิสัยของฉีจิ้งชุนไม่ถือว่าดีเท่าไรเลยจริงๆ
หลังจากที่ฉีจิ้งชุนพาเด็กหนุ่มเดินข้ามสะพานแบบคานนั้นไป ก็ได้ตั้งกฎข้อหนึ่งกับทุกคน ควบคุมดวงตาของตัวเองให้ดี ไม่อนุญาตให้มองเด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงอีกแม้แต่ครั้งเดียว
ตาเฒ่าคนหนึ่งทำผิดกฎ จึงถูกฉีจิ้งชุนจัดการจนเกือบจะเป็นฝ่ายยอมสละร่างไปเกิดใหม่
มีเพียงนางที่เป็นข้อยกเว้น
ไม่ใช่ว่านางเห็นดีในตัวเฉินผิงอันจึงมีการเดิมพันอะไร แต่เป็นเพราะเรื่อง ‘ใช้หญ้าอ้ายฉ่าวเผาหน้าผากมังกรหญิง’ ในอดีตนั้น เพราะนางเคยให้การปกป้องมังกรที่แท้จริงของใต้หล้ามาก่อน
เฟิงอี๋พยักหน้า ไม่ใช่เสียงในใจพูดคุยอีกต่อไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ในเมืองหลวงแห่งนี้ ข้ามีที่พักแห่งหนึ่งอยู่ที่ศาลเทพอัคคี”
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ย “หลังจากจัดการเรื่องส่วนตัวเสร็จต้องไปเยี่ยมหาผู้อาวุโสที่นั่นแน่นอน”
นางเอ่ยเตือน “ก่อนจะมา จำไว้ว่าให้บอกกล่าวกันก่อน มีคนอยากพบเจ้าอยู่นานแล้ว ทุกครั้งที่เขาออกจากบ้านล้วนไม่ง่าย ล้วนต้องบอกกับกรมพิธีการก่อน”
อันที่จริงในใจเฉินผิงอันมีตัวเลือกที่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วหลายคน ยกตัวอย่างเช่นเถ้าแก่ร้านตระกูลหยางของบ้านเกิด รวมไปถึงซูเกาซานแม่ทัพใหญ่ที่เทวรูปถูกตั้งบูชาอยู่ในศาลจักรพรรดิ
เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่กับผู้อาวุโสคนนี้คงไม่อวดฉลาดเช่นนี้แล้ว ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วต้องได้พบเจอกัน
เฟิงอี๋มีสีหน้าแววตาอ่อนโยนซึ่งแสดงถึงความเป็นมนุษย์อย่างที่หาได้ยาก เอ่ยอย่างสะท้อนใจประโยคหนึ่งว่า “เวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่สิบปี เดินมาถึงก้าวนี้ก็ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ ไปล่ะๆ ไม่ถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของพวกเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ
คนชุดเขียวประสานมือคารวะ
ในอดีตที่บ้านเกิดมีสายลมวสันต์พัดผ่านบ่อยๆ
เคยมีอยู่ปีหนึ่งที่วสันต์ฤดูของใต้หล้าไพศาลจากไปช้ามาก และฤดูร้อนก็มาถึงอย่างเชื่องช้า
เฟิงอี๋รับการคารวะนี้ไว้อย่างผึ่งผาย
ช่วยเหลือฉีจิ้งชุนตั้งมากขนาดนั้น ก็แค่รับการคารวะขอบคุณจากศิษย์น้องเล็กของเขาทีเดียวจะเป็นไรไป ไม่ต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะสักแดงเดียว
ก่อนจะจากไป เฟิงอี๋ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนคนหนุ่มที่ไม่เคยทำให้ฉีจิ้งฉุนผิดหวังผู้นี้ว่า “นอกจากข้าแล้วต้องระวังตัว ใช่แล้ว มีคนหนึ่งในนั้นก็อยู่ที่เมืองหลวงด้วย”
เฉินผิงอันยืดตัวขึ้นตรง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้เยาว์ระวังตัวอย่างมากมาโดยตลอด ดังนั้นพวกเขาเองก็ต้องระวังเหมือนกัน”
เฟิงอี๋พยักหน้ารับ ครั้นจึงทะยานร่างจากไปดุจกระต่ายกระโดดดุจเหยี่ยวบินโฉบ ไม่เร็วไม่ช้า ไม่ว่องไวดุจสายฟ้าแลบเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันรู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก ที่แท้ผู้อาวุโสก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ชอบลดขอบเขตแล้วยังชอบอำพรางฝีมืออีกด้วย
ภาพสุดท้ายบนหลังคาที่เฉินผิงอันประสานมือคารวะเฟิงอี๋ ทำให้พวกผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ตกตะลึงกันอย่างหนัก
เดิมทีนึกว่าเจ้าสำนักภูเขาลั่วพั่วที่ไปอาละวาดที่ภูเขาตะวันเที่ยงผู้นี้ เมื่อมาถึงเมืองหลวงต้าหลีแล้วจะต่อยตีกับผู้อื่นเสียอีก
กลับกลายเป็นว่าพอได้พบเจอเฟิงอี๋เขากลับเคารพนอบน้อมเช่นนี้ ยามที่พูดจาไม่เพียงยึดหลักมารยาทของผู้เยาว์ ก่อนจากกันยังคารวะด้วยพิธีการที่ใหญ่ขนาดนี้ด้วย?
ในความเป็นจริงแล้ว ในบรรดาผู้ถ่ายทอดมรรคา สตรีผู้นี้อยู่กับทั้งสิบเอ็ดคนมายาวนานที่สุด แต่กลับไม่ได้ถ่ายทอดเวทคาถาที่สูงส่งอะไรมากมายนัก เพียงแค่สอนเวทหลบหนีสองสามบทให้พวกเขาทั้งสิบเอ็ดคนเท่านั้น
แม่นางน้อยคนนั้นเบิกตากว้าง ดอกตากลอกกลิ้งไปมา ยืดคอออกมายาวมาก แล้วยังหัวเราะร่าโบกมือตะโกนเรียก “เฟิงอี๋ เฟิงอี๋ วันหน้าจะเลี้ยงสุราดีๆ ท่านนะ เหล้าหมักตระกูลเซียนของตำหนักฉางชุนแพงมากเลยล่ะ”
ภิกษุน้อยพนมสองมือ หันไปทางเงาร่างของเฟิงอี๋ที่จากไปไกล พยักหน้าเอ่ยว่า “คนออกบวชไม่พูดปด คืนนี้เฟิงอี๋ช่างงดงามจริงๆ”
ผู้ฝึกกระบี่ยื่นนิ้วออกมาดันไว้ตรงหว่างคิ้ว มาเจอกับเพื่อนร่วมงานที่มีอุดมการณ์ตรงกันพวกนี้ ไม่อยากจะมอง ไม่อยากจะฟังเลยจริงๆ
แต่ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ ต่อให้จะรู้สึกตัวช้าแค่ไหนก็ควรจะเข้าใจเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ทุกคนต้องประเมินขอบเขตและสถานะของเฟิงอี๋ผู้นั้นต่ำเกินไปเป็นแน่
เฉินผิงอันเตรียมจะจากไป เขาไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยกับพวกผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนเหล่านี้ ก็แค่หนีไม่พ้นว่าต่างคนต่างเดินบนทางไม้คับแคบหรือไม่ก็เส้นทางกว้างขวางของตัวเองกันไป
ขอแค่สกุลซ่งต้าหลีไม่เสียสติก็ไม่มีทางให้ผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยที่มีความหวังบนมหามรรคากลุ่มนี้มาหาเรื่องตนเป็นแน่
คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่คนนั้นจะกุมหมัดเอ่ยว่า “คนของเมืองหลวง ผู้ฝึกกระบี่ซ่งซวี่คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันจึงได้แต่หยุดเดิน ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอายุไม่ถึงยี่สิบปี เด็กรุ่นหลังช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
สีหน้าของซ่งซวี่อึดอัดใจอยู่บ้าง
ในเมื่อพี่ใหญ่ซ่งซวี่ที่เป็นผู้นำของทุกคนยังแนะนำตัวเองแล้ว คนที่เหลืออีกห้าคนจึงเอาอย่าง เพราะถึงอย่างไรโอกาสนี้ก็หาได้ยาก ได้พูดคุยกับใต้เท้าอิ่นกวานที่ชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้สองสามประโยคก็ถือว่าได้กำไรแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณลัทธิขงจื๊อเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์เฉิน บอกว่าตัวเองคือบัณฑิตจากสำนักศึกษาซานหยาเก่าของต้าหลี ไม่ได้ไปศึกษาต่อที่ต้าสุย เคยรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอยู่สองสามปี
อาจารย์ค่ายกลอายุน้อย สตรีมีนามว่าหันโจ้วจิ่น นางบอกว่าตัวเองมาจากพื้นที่มงคลชิงถานที่อยู่ใต้การปกครองของสำนักโองการเทพ
แม่นางน้อยสำนักการทหารแซ่อวี๋ หากไม่ผิดไปจากที่คาด หอเทียนลู่แห่งนี้ก็น่าจะเป็นถิ่นของบ้านนางแล้ว
นักพรตเต๋ามีสถานะที่เป็นทางการ รับหน้าที่เป็นเต้าลู่ (ชื่อตำแหน่งขุนนางที่ดูแลกิจธุระของลัทธิเต๋า) คือคนสกุลจวี้หรงทางเขตทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป มีชื่อว่าเก๋อหลิ่ง
ภิกษุน้อยที่สวมชุดคลุมผ้าโปร่งสีพื้น บอกว่าตัวเองคือเณรน้อยที่มาจากหน่วยแปลคัมภีร์
แม่นางน้อยดูเหมือนจะอารมณ์ลิงโลดจึงหัวเราะร่าเอ่ยเพิ่มมาสองสามประโยคว่า “ปรมาจารย์ใหญ่เฉิน ได้ยินว่าท่านผู้อาวุโสต่อสู้กับเฉาสือในสวนกงเต๋อไปรอบหนึ่ง สะเทือนฟ้าสะเทือนดินมากเลย ต่อยจนเฉาสือที่ได้ยินมาว่ารูปลักษณ์หล่อเหลา ออกหมัดสง่างามหน้าปูดบวม ท่านถือว่าแพ้อย่างสมเกียรติหรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่เคยเจอกับแม่นางน้อยที่ไม่รู้จักพูดคุยกับคนอื่นเช่นนี้มาก่อน ด่าทีด่าถึงสองคน? เจ้าคิดว่าตัวเองคือกู้เจี้ยนหลงหรือ?
อีกอย่างก่อนหน้านี้ตอนที่คนพวกนี้คุยเล่นกันก่อนจะเริ่มเดิมพัน คำพูดคำจาก็ไม่ค่อยเกรงใจกันสักเท่าไร หากจำไม่ผิดก็เป็นแม่นางน้อยที่มองดูแล้วเป็นคนโผงผางผู้นี้นี่แหละที่ป่าวประกาศว่าจะมาพบตน เดินผ่านทางได้แต่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้เด็ดขาด! พอได้ยินประโยคนี้ของเก๋อหลิ่งก็ดูเหมือนว่านางเคยถามหมัดกับเผยเฉียนที่เมืองหลวงแห่งที่สองมาก่อน ผลคือหลังจบเรื่อง ทุกวันนางจะต้องโหวกเหวกว่าเจ็บว่าปวดนานถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ รอกระทั่งหันโจ้วจิ่นเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมบอกว่า ‘อิ่นกวานของพวกเราท่านนี้ รูปโฉมไม่เลวเลยนี่นา’ แม่นางน้อยก็เริ่มโต้เถียงขึ้นมาอีก บอกว่าพี่หญิงหันสายตาท่านนี่มันธรรมดาสามัญจริงๆ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนในยุทธภพ ภัยออกจากปาก พูดมากย่อมเกิดความผิดพลาด”
นี่ยังเป็นเพราะไม่สนิทกัน ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเจอลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนล่ะก็ นางมักจะจับปากของสุนัขตัวหนึ่งกดลงกับพื้นอยู่นอกร้านตรอกฉีหลง สั่งสอนผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลง บอกมันว่าวันหน้าให้รู้จักไปเยี่ยมเยือนกันบ้าง อย่าเอาแต่โหวกเหวกส่งเดช พูดจาหัดระวังปาก ข้ารู้จักสหายในยุทธภพที่ฆ่าหมาเปิดร้านขายเนื้ออยู่หลายคน หนึ่งมีดฟันลงไปก็ต้องนอนนิ่งอยู่บนเขียงแล้ว หา เจ้าพูดมาสิ แม้แต่ผายลมก็ยังไม่กล้าปล่อยออกมา ไม่ยินยอมใช่ไหม…
ส่วนเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้รู้บทสนทนาของฝ่ายนี้ราวกับเส้นลายมือของตัวเอง แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะวิชาอภินิหารของกระบี่บินจันทร์ในบ่อเล่มนั้น
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้สามารถจำแลงออกมาเป็นกระบี่ได้มากมาย จำนวนมากหรือน้อยก็ต้องดูที่ขอบเขตของเฉินผิงอันว่าสูงหรือต่ำ
——