กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 831.3 ฝึกฝน
หลังจากเฉินผิงอันเข้าเมืองหลวงมาก็เรียกกระบี่บินหลายเล่มที่จำแลงมาจากจันทร์ในบ่อให้ทะยานไปตามที่ต่างๆ อย่างลับๆ
หันโจ้วจิ่นเหลือบมองแสงจันทร์เหนือยอดไม้ของต้นป่ายโบราณที่ห่างไปไม่ไกล เอ่ยสัพยอกด้วยคำพูดดั่งสำลีซ่อนเข็ม “อาจารย์เฉินเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้ว ทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”
“จิตใจป้องกันผู้อื่นไม่ควรขาด ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี”
สีหน้าเฉินผิงอันเป็นธรรมชาติ ยกชายแขนเสื้อขึ้นโบกอย่างง่ายๆ แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็ถูกเก็บเข้ามาไว้ในชายแขนเสื้อ
แสงกระบี่คล้ายได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับแสงจันทร์อยู่นานแล้ว จึงไร้ร่องรอยใดๆ ให้ตามหาสืบเสาะ
ซ่งซวี่นับถือยิ่งนัก เขาคือผู้ฝึกกระบี่ ดังนั้นจึงรู้ถึงน้ำหนักของวิธีการนี้ของเฉินผิงอันดีที่สุด
กระบี่บินจำแลงเป็นภาพมายาหลบซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่ว่าใครก็ทำได้
ทว่าปราณวิญญาณระหว่างฟ้าดินไม่ได้หยุดนิ่งไม่ขยับ กลับกันยังหมุนเวียนไม่หยุดเฉย ไม่อย่างนั้นก็ต้องหลอมยันต์เข้าไปไว้ในกระบี่ หล่อหลอมเอาไว้ในปณิธานกระบี่ เพียงแต่ว่าเวทคาถาประเภทนี้ทับซ้อนกันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือยากจะตามหาร่องรอย วิถีโคจรของกระบี่บินยิ่งลึกลับอำพรางมากกว่าเดิม ข้อเสียคือทำลายความ ‘บริสุทธิ์’ ของกระบี่บิน ส่งผลต่อพลังพิฆาต
ทว่าแสงกระบี่เส้นนี้ของเฉินผิงอันกลับเหมือนแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่งที่มีปลาแหวกว่ายอยู่ภายใน
ประหนึ่งปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำ
อิ่นกวานแค่แสดงวิธีการนี้ก็ทำให้ซ่งซวี่รู้แล้วว่าความต่างอยู่ที่ใด
พูดง่ายๆ ก็คือ หากเฉินผิงอันคิดจะฆ่าคนในคืนนี้จริงๆ ก็เหมือนอย่างที่อวี๋อวี๋พูดไว้ก่อนหน้านี้ ฟันแตงหั่นผัก สังหารคนได้ตามใจชอบ
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่ไม่มีวิธีรับมือที่ ‘ไม่ค่อยมีเหตุผล’ อยู่บ้างเลย แต่เมื่อมาเจอกับอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้กลับไม่มีโอกาสชนะเลยจริงๆ
ไม่มีอะไรให้ยอมรับไม่ได้ ถึงอย่างไรตัวอ่อนเซียนกระบี่ห้าคนของกระโจมเจี่ยเซิน ผู้มีพรสวรรค์ชั้นยอดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พวกเขาวางแผนล้อมสังหารอย่างตั้งใจ แต่ก็ยังไม่อาจทำได้สำเร็จเหมือนกัน
และพวกเขาหกคน ถึงอย่างไรก็เป็นแค่คนมีฝีมือของขุนเขาสายน้ำหนึ่งในทวีปเท่านั้น
เฉินผิงอันคิดเสียว่ามาเจอพวกเขาแค่ให้คุ้นหน้าคุ้นตากัน จึงเตรียมจะจากไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรต่งหูก็ยังคงรอคอยอยู่ที่หน้าตรอกเล็ก สำหรับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่เคยพบเจอตอนเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ เฉินผิงอันยินดีจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน
เก๋อหลิ่งเรียกคำหนึ่งว่าเซียนกระบี่เฉิน
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?”
เก๋อหลิ่งชี้ไปยังจุดหนึ่ง เอ่ยอย่างจนใจว่า “นักพรตน้อยมีแค่ตบะตื้นเขินเท่านี้จะมีเรื่องอะไรได้อีก เพียงแต่ว่ากระบี่บินอีกเล่มของเซียนกระบี่เฉิน ช่วยเก็บไปได้หรือไม่ นักพรตน้อยเย็นสันหลังวาบๆ ขนลุกขนชันอยู่ตลอด”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “เซียนจวินน้อยตาแหลมเหมือนมีทิพย์จักษุอย่างไรอย่างนั้น”
สองมือของเก๋อหลิ่งกุมเป็นหมัดวางไว้ที่หน้าอก เขย่าเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เซียนกระบี่เฉินชมเกินไปแล้ว มิกล้ารับ มิกล้ารับ แต่ก็ขอให้สมพรปากเซียนกระบี่เฉิน ข้าจะได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนจวินในเร็ววัน”
“ได้เลยๆ หากถูกชะตากัน ที่ข้ายังมีคำพูดดีๆ คำพูดมงคลอีกเป็นกระบุงโกยเชียวล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มพลางกวักมืออีกครั้ง แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็กลับเข้ามาในชายแขนเสื้อ จากนั้นก็ตามมาอีกเส้นแล้วเส้นเล่า
ทั้งก่อนและหลัง รวมกันแล้วมีแสงกระบี่หกเส้น คนหกคนบนหลังคาเรือน ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง
เก๋อหลิ่งหันมามองสบตากับหันโจ้วจิ่นอาจารย์ค่ายกลที่อยู่ข้างกาย ต่างก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
พวกเขาสองคน ในบรรดาคนทั้งหกถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญการตรวจสอบการไหลรินของปราณวิญญาณในฟ้าดินและการสืบสาวเบาะแสที่สุดแล้ว
แม่นางน้อยคนนั้นหันหน้ามา ครั้งนี้นางเรียนรู้ที่จะทำตัวดีๆ แล้ว รู้ว่าควรจะมองไปยังจุดอื่น แต่จากนั้นก็พึมพำขึ้นมาอีกว่า “ชั่วร้ายจริงๆ ไม่เหมือนคนของฝ่ายธรรมะเลย เป็นถึงเซียนกระบี่ใหญ่แล้ว แต่กลับยังรังแกผู้ฝึกกระบี่เล็กๆ อย่างพวกเรา”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะข้างหูเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางคนนี้ ยอมตีคนดีกว่าด่าคน ด่าคนก็อย่าให้คนเขาได้ยิน นี่ก็คือกฎเก่าแก่ในการท่องยุทธภพ”
แม่นางน้อยพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่เฉินถึงจู้จี้เช่นนี้ แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามีเหตุผล มีเหตุผล”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม สามารถรับฟังถ้อยคำที่แสดงความหวังดีได้ ก็เหมือนชาวบ้านที่เก็บเล็กผสมน้อยจนตัวเองกลายเป็นเศรษฐี มีเงินหมื่นก้วนร้อยเอว”
พูดถึงเรื่องเงินใช่ไหม? คำพูดแบบนี้นางชอบฟัง จึงรู้สึกถูกชะตามือกระบี่ชุดเขียวผู้นี้มากขึ้นทันที
เก๋อหลิ่งยิ้มเอ่ย “อันที่จริงอารามเล็กที่เซียนกระบี่เฉินเดินผ่านก่อนหน้านี้ นักพรตน้อยฝึกตนอยู่ที่นั่นชั่วคราว น้ำชารับรองแขกถึงอย่างไรก็ยังมี”
ที่เขาพูดถึงก็คืออารามเต๋าขนาดเล็กที่อยู่ใต้การปกครองของหน่วยจงซวีที่ดูแลกิจธุระของลัทธิเต๋าในเมืองหลวง
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยถ้อยคำที่เกรงใจอะไร บอกว่าช่างเถิด ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อแล้ว แล้วร่างของเขาที่อยู่บนหลังคาของหอเทียนลู่ก็พลันเปล่งวูบหายไป
พอเฉินผิงอันจากไป ตรงจุดนี้ก็ยังคงเงียบงันไร้เสียงพูดคุยอยู่เหมือนเดิม ครู่หนึ่งต่อมานักพรตหนุ่มก็เก็บวิชาอภินิหารบทหนึ่งมา บอกว่าเขาน่าจะจากไปแล้วจริงๆ แม่นางน้อยคนนั้นถึงได้ถอนหายใจ มองไปยังผู้ฝึกลมปราณลัทธิขงจื๊อคนนั้น อย่าบอกนะว่ารั้งตัวเฉินผิงอันไว้พูดคุยกันมากมายขนาดนี้ เขาเองก็ยอมคุยกับพวกเราหลายประโยค นี่ยังไม่สำเร็จอีกหรือ?
ฝ่ายหลังส่ายหน้า เพียงแค่เอ่ยว่าตัวอักษรทุกตัวล้วนแน่นิ่งไม่ขยับ
ผลคือมีแสงกระบี่อีกเส้นเปล่งวูบผ่านไป
ภิกษุน้อยยกสองมือขึ้นพนม “หากพระโพธิสัตว์คุ้มครองให้คืนนี้ไม่เกิดเรื่อง พรุ่งนี้ข้าก็จะเอาเงินค่าธูปเทียนไปบริจาคใส่กล่องกงเต๋อ”
อวี๋อวี๋กระทืบเท้าหนึ่งที “น่ารำคาญเสียจริง ในที่สุดกูไหน่ไนก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดกระโจมเจี่ยเซินถึงได้เสียเปรียบ มีขอบเขตสูงเสียเปล่า แต่กลับทำเรื่องต่ำช้าปลายแถวเช่นนี้”
ซ่งซวี่ยิ้มเอ่ยเตือนอีกครั้งว่า “ปีนั้นถูกซุ่มโจมตีที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงขอบเขตการฝึกตนของอาจารย์เฉินไม่ได้สูงเลย”
กลุ่มของพวกเขาคร้านจะเปลี่ยนสถานที่แล้วเหมือนกัน แต่ละคนจึงนั่งลงบนหลังคา คนที่ดื่มเหล้าก็ดื่มเหล้า คนที่ฝึกตนก็ฝึกตนไป
ตามแผนการของราชครูชุยฉาน ต่อจากนี้อีกหนึ่งร้อยปี ภายในอาณาเขตทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปจะมีสำนักแห่งหนึ่งปรากฎขึ้นมากะทันหัน มีผู้ฝึกลมปราณสิบเอ็ดคน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นขอบเขตหยกดิบ บวกกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางอีกหนึ่งคน พวกเขาจะก่อตั้งสำนักขึ้นมา ทุกคนที่อยู่ที่นี่ บวกกับอีกห้าคนที่เหลือล้วนจะกลายเป็นบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขา
เจ้าสำนักทุกคนจำเป็นต้องเป็นลูกศิษย์สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ อีกทั้งอย่างน้อยที่สุดต้องมีสถานะเป็นวิญญูชน
เรื่องที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางของพวกเจ้าไม่สะดวกใจจะทำ ราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราก็จะเปิดทางก่อนเอง ลองดูผลลัพธ์ที่จะออกมา
กลยุทธ์ที่มหาสมุทรความรู้โจวมี่มอบให้ในปีนั้น ใต้หล้าไพศาลไม่ใช้ ทั้งยังปฏิเสธทุกข้อ
งานไม่สำเร็จเพราะตัวคน เดิมทีก็ขัดแย้งกับทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศอยู่แล้ว
หันโจ้วจิ่นทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง พึมพำยิ้มเอ่ยว่า “อิ่นกวานหล่อเหลาจริงๆ”
อวี๋อวี๋นั่งขัดสมาธิ กลอกตามองบน
แสงกระบี่เส้นสุดท้ายหายไปอย่างเงียบเชียบมองไม่เห็น
ราวกับว่าถ้อยคำจากใจจริงที่เอ่ยโดยไม่เจตนาประโยคนี้ของอาจารย์ค่ายกลหญิงทำให้กระบี่บินเล่มหนึ่งของอิ่นกวานหนุ่มตกใจหนีไป
……
ก่อนหน้านี้ต่งหูถูกเจ้าขุนเขาหนุ่มทิ้งไว้ รองเจ้ากรมผู้เฒ่ารู้สึกจนใจเป็นทบทวี ไม่ได้มีไฟโทสะสูงสามจั้งอะไร เรื่องที่จะพูดคุยกับเจ้าขุนเขาในคืนนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่าว่าแต่รอแค่ชั่วพักชั่วยามเลย ต่อให้เฉินผิงอันจากไปทั้งคืนไม่กลับมา ทำให้เขาต้องรอเก้อจนฟ้าสาง ผู้เฒ่าก็ไม่มีคำบ่นแม้แต่ครึ่งคำ
ต่งหูเหลือบตามองปากตรอกที่ห่างไปไม่ไกล ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่ชื่อในบันทึกของกรมพิธีการคือหลิวเจียผู้นั้นยืนหลับตาทำสมาธินิ่งอยู่ที่เดิม ฝึกตน ฝึกตน ทำไมไม่ฝึกจนกลายเป็นบินทะยานไปเลยเล่า
ส่วนเด็กหนุ่มที่มาจากตระกูลจ้าวแห่งเทียนสุ่ยก็กำลังนั่งกินถั่วลิสงกำใหญ่อยู่บนพื้น เห็นสายตาของรองเจ้ากรมผู้เฒ่ามองมาก็ยังยื่นมือมาให้ ต่งหูยิ้มพลางโบกมือ กินๆๆ กินจนปู่เจ้าพ่อเจ้าเป็นคนอ้วนกันไปให้หมด
ดูท่าถึงแม้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าจะไม่มีคำบ่น แต่ก็มีความไม่พอใจอยู่บ้าง
ไม่รู้จริงๆ ว่าปีนั้นราชครูคิดอะไรอยู่ ถึงได้หาเจ้าคนหัวโบราณที่พอปิดประตูก็ดีแต่จะฝึกตนพวกนี้มาเฝ้าบ้านให้ ไม่ว่าค่าน้ำร้อนหรือค่าน้ำชาก็ไม่ยอมรับ ตั้งแต่ต้นปียันท้ายปีไม่เคยก้าวออกจากตรอกเล็กแม้แต่ครึ่งก้าว แล้วเจ้าเด็กจ้าวตวนหมิงผู้นี้ก็ไม่คิดจะเล่าเรื่องภายนอกให้ผู้ถ่ายทอดมรรคาตัวเองฟังบ้างเลยหรือ?
เด็กหนุ่มยิ้มทะเล้น “ท่านปู่ต่ง อย่ามองข้าสิ ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้สักหน่อย ทุกครั้งที่ข้าออกจากบ้านล้วนแต่ไปขอกินเปล่าดื่มเปล่าจากผีขี้เหล้าเฉา คุยแต่เรื่องไร้สาระ ไม่คุยเรื่องเป็นการเป็นงานแม้แต่น้อย อีกอย่างคำพูดที่หลุดออกมาจากปากคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นนี้จะมีเรื่องจริงจังอะไรได้เล่า?”
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าอย่างต่งหูผู้นี้ หากอิงตามกฎของวงการขุนนาง แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว แต่กลับไม่อาจถือเป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจในราชสำนักของสกุลจ้าวแห่งเทียนสุ่ยได้ ในความเป็นจริงแล้ว ในบรรดาแซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้น โดยภายนอกแล้วสกุลจ้าวที่อยู่ในวงการขุนนางของเมืองหลวงไม่ได้มีน้ำหนักอะไร เพราะว่าถิ่นของสกุลจ้าวแห่งเทียนสุ่ยที่อยู่ในวงการขุนนางของต้าหลี หลักๆ แล้วอยู่ที่กรมคลังกับกรมโยธา อีกทั้งยังไม่ออกหน้าออกตา ไม่มีใครได้เป็นขุนนางหลักของกรม
แต่หม่าเจิ้ง (คนดูแลม้า มีหน้าที่ให้อาหาร เลี้ยงม้า ฝึกม้า) ของราชสำนักต้าหลี แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นสกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่ยึดครองไว้ได้อย่างแน่นหนา ดังนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขากับชายแดนจะเป็นอย่างไร แค่คิดก็พอจะรู้ได้
สำหรับตัวอ่อนด้านการฝึกตนที่วางท่าว่าจะละทิ้งสถานะเจ้าประมุขเทียนสุ่ยในอนาคตอย่างจ้าวตวนหมิง แน่นอนว่าไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับรองเจ้ากรมผู้เฒ่า ที่ตรอกอี้ฉือ ทุกครั้งที่ถึงเทศกาลปีใหม่จะต้องมีการแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนกัน พวกเขาจึงได้พบเจอกัน เด็กคนนี้เกเรอย่างมาก ตั้งแต่เด็กมาก็เป็นหัวโจกตัวสร้างเรื่อง ตอนเด็กมักจะนำพวกคนรุ่นเดียวกันของตรอกอี้ฉือบุกไปต่อยตีกับพวกลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพที่อายุพอๆ กันของถนนฉือเอ๋อร์
ถนนสองเส้นที่มีประวัติยาวนานที่สุดของต้าหลีนี้ แต่ละรุ่นล้วนมีลูกพี่ใหญ่ในกลุ่มเด็กทุกรุ่น
มีแค่เด็กไม่กี่คนเท่านั้นที่ตอนเด็กไม่เคยหน้าเขียวจมูกบวมมาก่อน ต่างคนต่างมีกุนซือหัวสุนัขที่คอยรับผิดชอบพลิกเปิดตำราพิชัยสงคราม ช่วยจัดกำลังทัพ แต่หากต้องตีกันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่สนกลยุทธไม่กลยุทธอะไรแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นคนรุ่นที่โตกว่าพวกจ้าวตวนหมิงอย่างพวกเฉาเกิงซิน หลิวสวินเหม่ย ก็เคยมีเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้น
แต่เจ้าเฉาเกิงซินผู้นั้นชั่วร้ายมากที่สุด รับหน้าที่คอยสานสันมพันธ์กับเด็กหญิงของถนนสองเส้น ทุกครั้งก่อนจะตีกัน เขาจะต้องแจ้นเอาข่าวไปบอก ไปรีดไถเงินจากพวกพี่สาวน้องสาวของพวกเขามา บอกว่าเขาสามารถช่วยให้คนคุ้มกันใครๆๆ อย่างลับๆ ได้ รับรองว่าใครๆๆ จะโดนต่อยน้อยลงสองสามหมัด อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเดินกลับบ้านได้ ไอ้หมอนี่ยังมีหัวการค้า อายุน้อยๆ ก็รู้จักจ้างให้คนทำดาบไม้มีดไม้ไผ่ขึ้นมา ทุกๆ ครั้งที่ยุแยงใส่ไฟผู้อื่นจนคนเริ่มจะต่อยตีกันแล้ว เขาก็จะเริ่มแจกจ่ายอาวุธ แน่นอนว่ามีค่าเช่าด้วย ต้องจ่ายเงิน หากเกิดหักระหว่างที่ต่อยตีกันก็ต้องชดใช้เงินด้วย
เพราะเด็กที่มีชาติกำเนิดมาจากตรอกอี้ฉือ ยิ่งหมวกขุนนางในวงการขุนนางของบรรพบุรุษใหญ่เท่าไร ส่วนใหญ่ก็มักจะถูกถนนฉือเอ๋อร์รุมซ้อมมากเท่านั้น หากจับได้ก็ต้องโดนอัดเสียน่วม
ส่วนหยวนเจิ้งติ้งที่อายุพอๆ กับเฉาเกิงซิน นับตั้งแต่เด็กมาก็ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสกปรกวุ่นวายพวกนี้ ถือว่าเป็นคนพิเศษคนหนึ่ง
หรือหากย้อนไปนานกว่านั้นก็มีกลุ่มของทูตผู้ตรวจการเฉาผิง อีกทั้งตอนที่นายท่านผู้เฒ่ากวนยังมีชีวิตอยู่ก็ชอบดูคนต่อยตีกันมากที่สุด ที่ร้ายที่สุดคือท่านผู้เฒ่ามักจะเอาเศษอิฐแตกๆ วางกองกันไว้ที่ประตูหลังของตระกูลกวนทั้งปี ไม่เก็บเงิน ใครอยากมาหยิบก็หยิบไปได้เลย
ตัวต่งหูเองก็มีชีวิตผ่านมาเช่นนี้ ลูกๆ หลายคนจนถึงหลานในทุกวันนี้ ถึงขั้นที่ว่ายังมีหลานสาวหลายคนที่ไม่ต้องสนว่าในใจจะชอบหรือไม่ชอบการต่อยตี ล้วนไม่ขาดคนที่ตีคนอื่นและคนที่ถูกคนอื่นตี ทุกครั้งที่ลูกพี่ใหญ่บัญชาการณ์อยู่ในสนามรบ หากใครกล้าไม่ไป หลังจบเรื่องจะถูกผลักไสออกจากกลุ่ม ดังนั้นวงการขุนนางต้าหลีจึงมีคำกล่าวหนึ่งมาโดยตลอด ใครที่ไม่เคยยืมอิฐตระกูลกวนมาใช้ โดยทั่วไปแล้วไม่มีทางได้ดิบได้ดี
ต่งหูรู้สึกว่าเมืองหลวงต้าหลีที่เป็นเช่นนี้ ดีมาก
ถนนสองสายมีทั้งเสียงอ่านหนังสืออันอ่อนเยาว์ แล้วก็มีทั้งเสียงตะโกนตวาดยามที่ต่อยตีกัน
ถึงอย่างไรต่งหูก็อายุมากแล้ว แล้วตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในท้องพระโรง เขาจึงนั่งยองพิงผนังอยู่ที่ริมทาง
หลิวเจียลืมตา ยิ้มเอ่ย “รองเจ้ากรมเป็นขุนนางใหญ่ขนาดนี้ก็นั่งยองบนพื้นได้ด้วยหรือ จะเสียภาพลักษณ์เอานะ ไม่สมควรเลย”
ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนเฒ่าก็ไม่ใช่คนหูหนวกตาบอด ต่อให้จะไม่สนใจเรื่องราวภายนอกมากแค่ไหนก็ยังพอรู้ข่าวลือเล็กๆ ที่ได้มาจากสหายซึ่งไปมาหาสู่กันอยู่บาง
เพียงแค่ได้ยินมาว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่มอบครึ่งชีวิตของตัวเองไว้ที่ที่ว่าการกรมพิธีการผู้นี้ ยามอยู่ในวงการขุนนาง หัวเข่าไม่ค่อยแข็งนัก คำประเมินเกี่ยวกับเขาก็ธรรมดา เป็นแค่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ผ่านความยากลำบากถึงจะได้ตำแหน่งนี้มา
แน่นอนว่าเรื่องในวงการขุนนางพวกนี้ เขาคือคนนอกที่ไม่เชี่ยวชาญ แล้วก็ไม่รู้สึกจริงๆ ว่าขุนนางใหญ่ที่ไม่เคยพูดจาแข็งกระด้างท่านนี้จะต้องเป็นคนขี้ขลาดเสมอไป
เพราะถึงอย่างไรวงการขุนนางต้าหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชสำนักของเมืองหลวง อันที่จริงก็มีคนอำมหิตอยู่มากมาย พวกคนที่ไม่พูดจาอาฆาตมาดร้ายแต่ทำแค่เรื่องอำมหิตก็มีเยอะมาก
ต่งหูเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่เทพเซียนที่ไม่ต้องกินข้าวอย่างพวกเจ้าเสียหน่อย ทุกวันล้วนต้องขับถ่าย ไม่นั่งยองแล้วจะให้ข้ายืนถ่ายหรือไร หา?”
คืนนี้ฮ่องเต้เรียกเขาเข้าวังเพื่อร่วมการประชุมอย่างเร่งด่วน จากนั้นก็ดันมาเจอกับงานยากลำบากเช่นนี้ รองเจ้ากรมผู้เฒ่ายิ่งรอนานเท่าไร อารมณ์ก็เริ่มย่ำแย่มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนั้นดวงตาดอกท้อคู่นั้นของไทเฮาเหนียงเนียงหรี่มองมา ช่างทำให้คนขนลุกยิ่งนัก
แต่อันที่จริงต่งหูไม่ได้มีความทรงจำที่ย่ำแย่ต่อเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่าต่งหูยังรู้สึกมาโดยตลอดด้วยว่า อดีตถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้นมีลมและน้ำที่ดีจริงๆ
ถึงได้มีคนมากความสามารถเช่นนี้ได้
กรมพิธีการดูแลขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป แล้วเขายังเป็นใต้เท้ารองเจ้ากรม จึงรู้เรื่องวงในมากมาย
ต่อให้จะเป็นหม่าขู่เสวียนที่พยศยากกำราบ ไม่ยอมรับการพันธนาการผู้นั้น ยามที่ต้องร่วมสนามรบใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเคยเกียจคร้านผ่อนคลายหรือ?
นอกจากนี้ยังมีจ้าวเหยาที่เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงแล้ว รวมไปถึงหลินโส่วอีที่ทุกวันนี้อยู่ในเมืองหลวง มีใครบ้างที่ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ในกลุ่มของผู้มีพรสวรรค์?
หลิวเจียยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นใต้เท้ารองเจ้ากรมก็นั่งยองดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือต่อไปเถอะ”
ต่งหูหันหน้ามาเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ตวนหมิง เอาถั่วลิสงมากินบ้างสิ”
จ้าวตวนหมิงสะบัดข้อมือหนึ่งที ลุกขึ้นยืนแล้วปัดมือ “หมดแล้ว”
หลิวเจียลูบหนวดยิ้ม ลูกศิษย์ตัวดี มีใจเป็นหนึ่งเดียวกับอาจารย์ดีจริง
อันที่จริงเฉินผิงอันกลับมาอยู่ใกล้กับตรอกเล็กนานแล้ว แต่ไม่ได้รีบร้อนปรากฏตัว ไม่ใช่ว่าเขาจงใจวางมาดอะไร ก็แค่อยากดูว่าความอดทนของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าผู้นี้จะมากหรือน้อย
ยามค่ำคืนที่จิตใจสงบ ง่ายที่จะมองเห็นจิตใจที่แท้จริงของคน
ริมน้ำที่แสงไฟสว่างไสวราวกับเวลากลางวันของก่อนหน้านี้ ในที่สุดงานเลี้ยงสุรางานหนึ่งก็เลิกรา ขุนนางหนุ่มฝืนข่มกลั้นฤทธิ์เหล้าที่ตีตื้นขึ้นมา ประสานมือคารวะพวกผู้อาวุโสในวงการขุนนางที่หมวกขุนนางใหญ่ยิ่งกว่า รอจนพวกเขาเดินจากไปไกลแล้วก็รีบยื่นมือมาอุดปาก วิ่งไปริมน้ำ นั่งยองแล้วอาเจียนออกมา อาเจียนจนน้ำตาไหล
ดื่มเหล้าช่างเป็นความรู้สึกที่ยากจะทานทน ในใจยิ่งรู้สึกย่ำแย่มากกว่า
ตรากตรำอ่านตำรามายี่สิบปี กว่าจะได้เป็นขุนนางนั้นไม่ง่าย แต่กลับต้องคอยมายิ้มแย้มพูดคุยเอาใจคนบนโต๊ะสุราเช่นนี้
ผู้เฒ่าที่เป็นคนบ้านเดียวกับเขานั่งยองอยู่ด้านข้าง ตบหลังของคนหนุ่มเบาๆ
คนหนุ่มผู้นี้คือคนมีความสามารถที่ปัญญาชนของต้าหลีเรียกขานว่า ‘บทความดุจหิมะขาว’
ความสามารถไม่พอก็ยอมรับชะตากรรมแล้ว แต่ทั้งๆ ที่มีความสามารถสูงถึงเพียงนี้ ทว่าตอนอยู่บนโต๊ะเหล้ากลับต้องรู้สึกต่ำต้อยเช่นนี้ หากจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ จะมีอะไรไม่ถูกกันเล่า? หากคนหนุ่มไม่รู้สึกว่าไม่ถูก ผู้เฒ่าก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องนำทางให้กับคนหนุ่มแล้ว
——