กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 832.3 เหวินเซิ่งเชิญเจ้านั่งลง
ทางฝั่งของตรอกอี้ฉือ ในห้องหนังสือของจวนหลังหนึ่ง ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสกุลจ้าวเทียนสุ่ยกำลังร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ คอยมองสบตากับเจ้าประมุขผู้เฒ่าสกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างเป็นระยะ และยังต้องหวาดระแวงกันอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าเจ้าลูกกระต่ายที่นับแต่เด็กมาก็ปากไม่มีหูรูดอย่างจ้าวตวนหมิงจะพูดผิด ทำให้เซียนกระบี่แห่งภูเขาลั่วพั่วที่เกือบจะรื้อภูเขาตะวันเที่ยงให้พลิกคว่ำเดือดดาล
ผู้ถวายงานรีบถอนวิชาอภินิหารออกทันใด เจ้าประมุขผู้เฒ่าสกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่เรือนกายแข็งเกร็ง นั่งหลังแข็งยืดตรงอยู่ตลอดเวลาสามารถเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลายได้แล้ว เขาลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ข้าก็ว่าแล้ว เจ้าลูกกระต่ายตวนหมิงผู้นี้ นับแต่เด็กมาก็เฉลียวฉลาด แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นเมล็ดพันธ์ของสกุลจ้าวบ้านข้า”
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร ทำเป็นพูดไปเถอะ หลังจากหลานชายท่านถูกฟ้าผ่าครั้งแรกตอนเป็นเด็ก คอยหันหน้าไปทางซ้ายทีทางขวาทีพลางพูดจาเลื่อนเปื้อนอยู่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เป็นใครกันที่กลุ้มใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พึมพำอยู่คนเดียวว่าคงไม่ใช่ว่าหลานชายคนดีของข้าเป็นปัญญาอ่อนไปแล้วกระมัง
ผู้เฒ่าหุบยิ้ม นักเขียนตัวอักษรพู่กันจีนที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จแห่งวงการการประพันธ์ผู้นี้ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเขียนตัวอักษรหนึ่งลงกลางอากาศ ตัวอักษรที่เขียนคือ หยวน เฉา อวี๋…สรุปก็คือล้วนเป็นแซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้นทั้งสิ้น
ส่วนเฉินผิงอันก็ถูกเด็กหนุ่มพาเดินเข้าไปในตรอกเล็ก ในมือมีกุญแจพวงหนึ่งเพิ่มมา
บนบานประตูของเรือนหลังเล็กไม่ได้ติดภาพเทพทวารบาลหรือกลอนปีใหม่
เฉินผิงอันเปิดประตูแล้วก็ปิดลง เก็บกุญแจลงไป
อันที่จริงครั้งนี้มาเยือนเมืองหลวงต้าหลีไม่ใช่แค่เพราะบุญคุณความแค้นระหว่างเขาเฉินผิงอันกับไทเฮาต้าหลีเท่านั้น แต่เป็นสถานการณ์ถามใจครั้งใหม่ที่…ศิษย์พี่ชุยฉานทิ้งไว้ให้แก่ลูกศิษย์คนนั้นและราชสำนักต้าหลี
และสถานการณ์ถามใจที่ศิษย์พี่ชุยฉานเป็นคนสร้างขึ้นมา คนที่อยู่ในสถานการณ์จะต้องทรมานจิตใจถึงเพียงใด เอาเป็นว่าเฉินผิงอันเคยลิ้มรสประสบกับตัวเองมาก่อนตั้งแต่ตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว
ไม่ว่าอะไรล้วนถูก ไม่ว่าอะไรล้วนผิด ล้วนอยู่ที่ความคิดเดียวของ ‘ซ่งเหอ’ ฮ่องเต้ต้าหลีผู้นั้น
เฉินผิงอันเดินเล่นอย่างผ่อนคลายอยู่ในบ้าน เปิดประตูใหญ่ของหอเก็บตำราที่มีแค่สองชั้น เดินเข้าไปข้างในก็สังเกตเห็นว่านอกจากหนังสือแล้วก็คือหนังสือ กำแพงสี่ด้านมีแต่ชั้นหนังสือ มีบันไดอันหนึ่งวางพาดไว้ นอกจากนี้ก็คือสะอาดสะอ้านผิดปกติ ไม่มีการประดับตกแต่งที่เกินความจำเป็นใดๆ หากคิดจะขึ้นไปยังชั้นสองก็ไม่มีบันไดให้เดินขึ้นไป ราวกับว่าต้องใช้บันไดอันนั้นในการหาหนังสือ
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนพลิกเปิดตำรา เพียงแค่นั่งลงบนธรณีประตู หยิบเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าเพียงลำพัง
สงครามใหญ่ที่เกี่ยวพันไปถึงโชคชะตาน้ำของใต้หล้าเมื่อสามพันปีก่อน คนพิฆาตมังกร หรือก็คือเจี่ยเฉิง ป๋ายหมาง เฉินจั๋วหลิวในภายหลัง สรุปก็คือล้วนเป็นคนเดียวกันที่เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเฉินหลิงจวิน ได้ไล่ฆ่ามังกรตัวสุดท้ายที่อยู่ในโลกมนุษย์ หรือก็คือหวังจูสาวใช้ข้างกายซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงในอดีต
ปีนั้นหวังจูขึ้นฝั่งทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป ระหว่างทางผ่านนครมังกรเฒ่า ภายหลังก็หลบหนีขึ้นเหนือต่อ การเลื้อยของนางทำให้เกิดเส้นทางมังกรเดินใต้ดินที่ภายหลังถูกนำมาทำเป็นเส้นทางเรือข้ามฟากตระกูลเซียน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่อาณาเขตของหลงโจว สร้างถ้ำสวรรค์หลีจูหนึ่งในสามสิบหกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กขึ้นมา
ปีนั้นหวังจูหวังจะได้รับการปกป้องบนมหามรรคาจากหยางเหล่าโถว หวังว่าผู้ดูแลหอบินทะยานยุคบรรพกาลผู้นี้จะสามารถเมตตานางสักครั้ง แต่หยางเหล่าโถวกลับเลือกที่จะมองเมินไม่สนใจ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้กับเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวถึงไม่ได้ลงมือสังหารมังกรที่แท้จริงที่ไร้หนทางหลบหนีด้วยมือของตัวเอง สิ่งที่เขาต้องการก็มีแค่ผลลัพธ์ที่บนโลกไม่เหลือมังกรที่แท้จริงอีกต่อไป
ส่วนผู้ฝึกลมปราณที่เข้าร่วมสงครามปิดฉากการพิฆาตมังกรเป็นครั้งสุดท้าย คนที่ตายไปมีเยอะมาก และก็มีผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งเลือกสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ เป็นดั่งศาลาที่อยู่ใกล้น้ำ ได้สัมผัสกับกลิ่นอายมังกร ดึงดูดปราณวิญญาณฟ้าดินที่เปี่ยมล้นมา สิ่งที่สำคัญที่สุดยังเป็นโชคชะตามหามรรคาที่มังกรที่แท้จริงทิ้งไว้ซึ่งกระจัดกระจายออกไปหลังจบศึก แซ่สกุลชั้นสูงทั้งหลายที่มาอยู่เมืองเล็กในภายหลังก็ได้เริ่มขยับขยายแตกกิ่งก้านสาขาในเวลานั้น นี่จึงเป็นการสร้างชาวบ้านเมืองเล็กในยุคหลังขึ้นมาในถ้ำสวรรค์หลีจู
หลังจากนั้นมาอีกก็คือสามลัทธิหนึ่งสำนัก อริยะสี่ท่านของลัทธิขงจื๊อ พุทธ เต๋าและสำนักการทหารร่วมมือกันก่อตั้งซุ้มป้ายที่ถูกชาวบ้านในพื้นที่เรียกอย่างขำขันว่าซุ้มก้ามปูขึ้นมา
ส่วนเหตุใดคนพิฆาตมังกรถึงได้สาบานว่าต้องสังหารมังกร ดูเหมือนว่าทางฝั่งของลัทธิขงจื๊อและศาลบุ๋นต่างก็ไม่ได้ขัดขวางมากนัก แล้วในอดีตคนผู้นี้รับเจิ้งจวีจง หันเชี่ยวเซ่อ หลิ่วชื่อเฉิงมาเป็นลูกศิษย์ได้อย่างไร นอกจากลูกศิษย์ใหญ่เจิ้งจวีจงแล้ว ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่เหลือที่รับมากลับไม่ถ่ายทอดวิชาไม่สนใจใยดี ล้วนเป็นปฏิทินเหลืองที่ไม่มีใครเปิดอ่านได้แล้ว บวกกับที่ก่อนที่ลู่เฉินคล้ายจะบินทะยานไปยังใต้หล้ามืดสลัว ก็ได้มีความเกี่ยวพันทางมหามรรคาที่คลุมเครือไม่ชัดเจนกับมังกรหญิงตนหนึ่ง เป็นเหตุให้ภายหลังถึงได้มองเฉินหลิงจวินแตกต่างไปจากคนอื่น ถึงขั้นที่ว่าปีนั้นตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ลู่เฉินยังบอกให้เฉินหลิงจวินเลือกว่าจะติดตามเขาไปฝึกตนที่ป๋ายอวี้จิงหรือไม่ ต่อให้เฉินหลิงจวินไม่ตอบตกลง ลู่เฉินก็ยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เกินความจำเป็น ไม่มีอืดอาดชักช้า ลำพังพูดถึงแค่ข้อนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลแล้ว ลู่เฉินไม่เคยปฏิบัติต่อเขาเฉินผิงอันอย่างกระชับฉับไวเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่นสือโหรว? ลู่เฉินอยู่ไกลถึงป๋ายอวี้จิงก็ยังเลือกอาศัยดวงตาคู่นั้นของสือโหรวมาคอยจับจ้องเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งในตรอกฉีหลงนอกประตูอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
จนกระทั่งถูกชุยตงซานสะบั้นเส้นใยที่เชื่อมโยงส่วนนี้ทิ้งไป เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนั้นถึงได้ยอมเลิกรา
อันที่จริงปีนั้นผู้ฝึกตนสายคนเลี้ยงมังกร เพื่อขัดขวางคนพิฆาตมังกร ต่างก็บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคาดเดาว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าในถ้ำสวรรค์หลีจูได้ซุกซ่อนบรรพจารย์ผู้เฒ่านักเลี้ยงมังกรคนหนึ่งเอาไว้ เรื่องอย่างการประคับประคองมังกร การลุกผงาดของราชสำนักสกุลซ่งต้าหลี ไม่แน่ว่าคนผู้นี้น่าจะต้องออกแรงไปเยอะมาก และสะพานแบบคานที่สร้างขึ้นใหม่ซึ่งแขวนป้ายคำว่า ‘ลมโชยน้ำขึ้น’ นั้นก็อาจจะเป็นแผนการที่คนผู้นี้เสนอความเห็นอยู่เบื้องหลัง
ความคิดของเฉินผิงอันล่องลอยไปไกล นั่งดื่มเหล้าอยู่บนธรณีประตู หันหลังให้หอหนังสือ มองไปยังลานบ้านที่ขนาดไม่ใหญ่
เรื่องราวทางโลกประดุจเม็ดฝุ่นที่พากันปลิวไปเกาะอยู่ทั่วใจคน ตะวันจันทราลับหายเพียงชั่วดีดปลายนิ้ว ทำลายโซ่ตรวนพันธนาการในเงาเมฆ
จิบเหล้าหนึ่งอึก
เศษชิ้นส่วนของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตพลัดหาย ไม่เคยนำมาประกอบรวมได้ครบถ้วน พูดให้ถูกต้องก็คือ เป็นเฉินผิงอันที่อดทนแล้วอดทนอีก ไม่รีบร้อนดึงปลายของเส้นนั้นขึ้นมา
สำหรับการที่เฉินผิงอันจะเลื่อนเป็นเซียนเหริน หรือแม้กระทั่งขอบเขตบินทะยานล้วนไม่มีปัญหาใดๆ
บางทีปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือภัยแฝงจะซ่อนอยู่บนด่านแห่งมหามรรคาที่เป็นคอขวดของขอบเขตบินทะยานนี้ จะฝ่าไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตในอดีตแล้ว
แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือเฉินผิงอันต้องสามารถเดินไปถึงก้าวนั้น ต้องกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งก่อนถึงจะได้
สำหรับการที่ในอนาคตตนเองจะเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน เฉินผิงอันมีความมั่นใจอย่างมาก แต่หากคิดจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน ยาก ผู้ฝึกกระบี่เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน แน่นอนว่ายากมาก ไม่ยากสิถึงจะแปลก
ฮ่า ภรรยาของตนเป็นข้อยกเว้น
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างลำพองใจ
จากนั้นอารมณ์ก็ผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมคนนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตน บอกว่าตัวเองมีเครื่องปั้นแบบวางตั้งชิ้นใหญ่ที่มาจากเตาเผามังกรแห่งหนึ่งของถ้ำสวรรค์หลีจู คือแจกันที่วาดเป็นรูปคนและดอกไม้
บ้านเกิดมีชื่อว่าแจกันสมบัติทวีป
โรงเตี๊ยมและหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นถือว่าอยู่ใกล้กันในระยะประชิด จึงมีความเป็นไปได้มากว่าในอดีตเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมมักจะได้พบหน้ากับศิษย์พี่ชุยฉานบ่อยๆ
แจกันชิ้นนั้นจะใช่หนึ่งในเศษกระเบื้องทั้งหลายหรือไม่?
ไม่ว่าความจริงเกี่ยวกับแจกันดอกไม้ใบนั้นจะเป็นอย่างไร ทางฝั่งของไทเฮาเหนียงเนียงไม่เกรงกลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลังเช่นนี้ เป็นเพราะรู้ถึงปัญหายากในการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของเฉินผิงอันแล้วหรือไม่? ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะหนีไม่พ้นเศษกระเบื้องทุกแผ่นที่กระจัดกระจายกันไป? ดังนั้นนางจึงรอคอยให้ได้ราคาดีก่อนค่อยขายออก รู้สึกว่าเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วที่เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ต่อให้มียศสองอย่างอย่างอิ่นกวานและศิษย์น้องเล็กของราชครู ก็ยังคงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งลงต่อรองราคากับนาง?
เฉินผิงอันเก็บกาเหล้า เบ้ปาก สตรีผู้นี้ช่างดีดลูกคิดเก่งจริงๆ ก็ช่างคิดได้นะ
ลุกขึ้นยืน นิ้วมือทั้งสิบสอดประสานกัน ยืดแขนบิดคลายกล้ามเนื้อ แล้วเดินเล่นกลับไปกลับมาอยู่ในระเบียงนอกห้อง
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ ชั้นของปราณโชติช่วงเป็นกุญแจสำคัญที่ตัดสินแพ้ชนะระหว่างการถามหมัดของเฉินผิงอันกับเฉาสือ แพ้แล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีหวังที่จะเอาชนะเฉาสือได้อีก ชนะแล้ว ถึงจะมีโอกาสอยู่หลายส่วน
เฉินผิงอันที่ความทรงจำดีเยี่ยม ขุนเขาสายน้ำเรื่องราวและผู้คนที่เคยพบเจอ เคยเห็นครั้งหนึ่งก็เหมือนมีภาพวาดขาวดำเพิ่มขึ้นมาภาพหนึ่ง
ถ้าอย่างนั้นทุกประโยคและทุกภาพที่เฉินผิงอันได้ฟังและได้ยินเพิ่มทุกๆ ครั้ง ก็เหมือนเป็นการเพิ่มสีสันลงไป
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ลมปราณที่แท้จริงหนึ่งเฮือก
ความยิ่งใหญ่ตระการตาในใต้หล้า ลมปราณกลืนกินขุนเขาสายน้ำ
อันที่จริงก่อนจะเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทาง เฉินผิงอันไม่รู้เรื่องนี้ คงเป็นอย่างที่ชุยตงฉานพูด การกระทำที่ไม่ตั้งใจคือการมีใจมากที่สุด
นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันเรียนวิชาหมัดมา อาจารย์ฉี อาเหลียง ชุยตงซาน ชุยเฉิง กู้โย่ว หลี่เอ้อ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ป๋ายหมัวมัว…ดูเหมือนว่าทุกคนจะจงใจปิดบัง ไม่ว่าใครก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้
ยกตัวอย่างเช่นคืนนี้ในเมืองหลวงต้าหลี ทางฝั่งของลำคลองชางผู ความน้อยเนื้อต่ำใจของขุนนางหนุ่ม ประโยคหนึ่งของอาจารย์ผู้เฒ่าที่บอกว่ายากจนไม่มีอะไรให้น่าอาย การโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกของเทพธิดาสองคน ความภาคภูมิใจในตัวเองที่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของต้าหลีในสายตาของเทพวารีลำคลองชางผู…พวกเขาก็คล้ายว่าอาศัยสิ่งนี้มายืนอยู่ในภาพวาดในใจของเฉินผิงอัน ผู้คนและเรื่องราวทุกอย่างที่ทำให้จิตใจของเฉินผิงอันหวั่นไหว การพบพรากจากลาความสุขความทุกข์ก็เหมือนว่าเมื่อเฉินผิงอันมองเห็นแล้ว คิดแล้ว ก็จะเริ่มกลายมาเป็นสีย้อมที่ยกพู่กันลงสีในม้วนภาพของหัวใจ
ราวกับว่าโลกมนุษย์ทั้งใบก็คือสถานที่ประกอบพิธีกรรมแห่งหนึ่งที่มีเฉินผิงอันอยู่เพียงคนเดียว
เหตุใดตอนอายุยังน้อยเฉาสือก็ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปสร้างกระท่อมฝึกหมัดอยู่ที่นั่นแล้ว?
ภายหลังก็ยิ่งชอบท่องเที่ยวไปหลายทวีปเพียงลำพัง ด้วยเหตุนี้ถึงได้พบเจออวี้เจวี้ยนฟูที่ซากปรักสนามรบเก่าในเกราะทองทวีป
อันที่จริงเฉาสือเองก็ทำไปเพื่อปูพื้นให้กับในชั้นของปราณโชติช่วงมี ‘ขุนเขาสายน้ำยิ่งใหญ่วีรบุรุษฮึกเหิม’ แต่เนิ่นๆ เช่นเดียวกัน
บางทีเฉาสืออาจเสียเปรียบตรงที่ว่าไม่ค่อยชอบสนใจเรื่องของคนอื่น สิ่งที่เขาพบเห็นส่วนใหญ่จึงเป็นขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ ไม่ใช่คนและใจคน
นี่จึงเป็นเหตุให้ระดับ ‘สีสัน’ ของภาพวาดในใจเฉาสือยังไม่มากพอ ยังไม่น่าสนใจมากพอ
แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่าเห็นขุนเขาสายน้ำมาไม่กี่ครั้ง ชั้นของปราณโชติช่วงก็เหมือนกลายมาเป็นขุนเขาสายน้ำในใจของตัวเองแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ง่ายดายเกินไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าแค่ต้องทะยานลมเดินทางไกล เบิกตากว้างมองขุนเขาสายน้ำของเก้าทวีปให้ถ้วนทั่วก็พอแล้ว เพราะต้องมีการยอมรับและปฏิเสธจากใจจริงในทุกครั้ง ถึงจะสามารถยกพู่กันวาดภาพ เติมสีสันให้ภาพวาดขาวดำเข้มข้นขึ้นได้
เฉินผิงอันเก็บความคิดกลับมา หมุนตัวเดินเข้าไปในหอหนังสือ พาดบันไดมั่นคงดีแล้วก็เดินทีละก้าวปีนขึ้นสูงไปยังชั้นสอง เฉินผิงอันหยุดเดิน ยืนอยู่บนขั้นบันได หัวไหล่ของเขาเทียบเท่าได้กับพื้นของชั้นที่สอง
ไม่มีคน ไม่มีสิ่งของ
ราวกับว่าเจ้าของหอหนังสือในอดีตเคยอ่านหนังสือบนโลกอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง กระทั่งจากไปก็แค่นำตำราทั้งหมดคืนกลับมาให้โลกมนุษย์เท่านั้น
……
ในป๋ายอวี้จิงจำลอง ซิ่วไฉเฒ่าพลันถามว่า “ผู้อาวุโส พวกเรามาคุยกันหน่อยไหม?”
อาจารย์ผู้เฒ่าเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “อ้อ?”
รู้ว่าเหวินเซิ่งผู้นี้ดีดลูกคิดอะไรอยู่
หากทั้งสองฝ่ายถามตอบกันอย่างเป็นทางการขึ้นมาก็ไม่มีเวลาไปสนใจความเคลื่อนไหวทางฝั่งของเมืองหลวงต้าหลีแล้ว ต่อให้หนิงเหยากลับมาที่ต้าหลีแล้วฟันเมืองหลวงแห่งหนึ่งจนแหลกเละ ทางฝั่งของป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งนี้ก็ยังไม่มีเวลาไปสนใจอยู่ดี
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ผู้อาวุโสท่านคืออริยะแห่งฟ้าดินอย่างสมศักดิ์ศรี ทางฝั่งของศาลบุ๋นยินดีมอบยศให้ แต่ผู้อาวุโสท่านไม่ต้องการเองก็เท่านั้น ทว่าข้าต่างหากที่เป็นนักปราชญ์แห่งสำนักศึกษา ก็เหมือนกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามในยุทธภพคนหนึ่งถามหมัดกับปรมาจารย์ขอบเขตปลายทาง ดังนั้นท่านจึงต้องยอมให้ข้าสองสามกระบวนท่า ยอมแพ้ไปก่อนครึ่งหนึ่งดีไหม?”
อาจารย์ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด”
ทั้งสองฝ่ายถามตอบกัน
แน่นอนว่าไม่ใช่การเอาชนะคะคานกันด้วยอารมณ์อะไร
ในความเป็นจริงแล้วเขาอยากจะถามมรรคากับเหวินเซิ่งผู้นี้มานานมากแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่ทะเลาะเก่งที่สุดในใต้หล้าซึ่งผู้คนให้การยอมรับ
ดวงตาซิ่วไฉเฒ่าเป็นประกายวิบวับ
ราวกับกำลังพูดว่า ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ผู้ที่กล้าค้ำแผ่นฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมาได้ลุกขึ้นยืนแล้ว ผู้สืบทอดทุกคนของสายเหวินเซิ่งข้า มีใครแอบอู้บ้างเล่า?
ดังนั้นวันนี้หากเจ้าถามมรรคาแล้วพ่ายแพ้ พูดถึงแค่ที่แห่งนี้ วันหน้าก็อย่าได้ไปควบคุมอีกว่าเฉินผิงอันจะทำอะไรหรือพูดอะไร
อาจารย์ผู้เฒ่าครุ่นคิด ยังลังเลอยู่บ้าง
การถามมรรคาไม่ใช่เรื่องเล็ก
จะชักนำภาพบรรยากาศฟ้าดินที่ครึกโครมยิ่งใหญ่อย่างมาก
ซิ่วไฉเฒ่าสะบัดขายแขนเสื้อเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่ออาจารย์พูดคุยเก่งที่สุด ถ้าอย่างนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็จะคุยกับท่าน คุยกันเรื่องฟ้าดินและโลกมนุษย์ใบนี้ให้ดีๆ”
คำพูดของอริยะ ปากอมกฎสวรรค์
ใต้หล้าไพศาลแห่งหนึ่ง ลมพัดกระโชกก้อนเมฆม้วนตัว โดยเฉพาะทางฝั่งของแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ที่เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของนักมองลมปราณแห่งกองโหราศาสตร์ของแต่ละแคว้น ก็เห็นเป็นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนสาดส่องลงมายังโลกมนุษย์
ทางฝั่งของสวนกงเต๋อศาลบุ๋น หลี่เซิ่งและจิงเซิงซีผิงนั่งหันหน้าเข้าหากัน ทั้งสองฝ่ายกำลังประลองหมากล้อมกัน หลี่เซิ่งมองไปทางแจกันสมบัติทวีปแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “ไปที่ไหนก็ไม่เคยหยุดอยู่เฉยบ้างเลย”
ส่วนสุสานกลางทะเลที่โจวมี่มหาสมุทรความรู้สร้างไว้อย่างประณีติตั้งใจ รวมไปถึงผีขอบเขตบินทะยานตนนั้น หลังจากหนิงเหยาออกกระบี่ ทางฝั่งศาลบุ๋นก็มีกลยุทธในการรับมือแล้ว
จิงเซิงซีผิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตอนนี้ไม่มีปมในใจและเรื่องให้ต้องกังวลแล้ว ในที่สุดเหวินเซิ่งก็จะถกกถามรรคแล้ว”
ปีนั้นซิ่วไฉเฒ่าที่รูปปั้นถูกย้ายออกจากศาลบุ๋น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ลูกศิษย์แยกย้ายกันไป อันที่จริงก็ไม่เคยหยิบเอาสถานะของเหวินเซิ่งขึ้นมาอีก ต่อให้ผสานมรรคากับสามทวีป ก็เป็นแค่การกระทำของบัณฑิต ไม่เกี่ยวอะไรกับเหวินเซิ่ง
แต่แจกันสมบัติทวีปในคืนนี้ ในป๋ายอวี้จิงจำลอง ซิ่วไฉเฒ่าเป็นฝ่ายนั่งลงบนเสื่อก่อน จัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่สีหน้าจริงจัง “เชิญนั่งลง”
พูดฟ้ากล่าวดิน เชิญเจ้านั่งลง
แน่นอนว่า เจ้าต้องแพ้
—–