กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 833.3 ราชครูเฉินผิงอัน
อิ่นกวานหนุ่มกับหนิงเหยาผู้นั้นจงใจห้อยป้ายสงบสุขปลอดภัยสองแผ่นที่ทางกรมอาญาต้าหลีเป็นผู้แจกจ่ายเดินเข้ามาในเมืองหลวง หมายความว่าอย่างไร ขนาดคนโง่ยังเข้าใจ
เพียงแต่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าอดกลั้นได้อย่างว่องไว พูดเรื่องคลื่นลมมรสุมในราชสำนักกับตาเฒ่าหัวโบราณที่รู้จักแต่จะฝึกตนผู้นี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเป็ดคุยกับไก่
หลิวเจียเงียบงันไปตลอดทาง เพียงแต่ว่าพอใกล้ถึงตรอกอี้ฉือก็พลันโพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “ต่งหู เจ้าไม่มีความมั่นใจในตัวใต้เท้าราชครูขนาดนี้เชียวหรือ?”
ต่งหูอึ้งตะลึง หัวคิ้วขมวดเป็นปมแน่น
ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดที่บังคับรถม้าได้อย่างนิ่มนวลและมั่นคงเงยหน้าเหลือบตามองไปยังจุดที่ห่างไปไกล ในเมืองหลวงสถานที่ส่วนใหญ่ล้วนมีแสงไฟจุดสว่างราวกับเวลากลางวัน สาดส่องให้ท้องฟ้าเบื้องบนของสิ่งปลูกสร้างในเมืองหลวงคล้ายถูกปูทับด้วยผ้าโปร่งสีเหลืองหม่นเหมือนม่านหมอกขมุกขมัวชั้นหนึ่ง คล้ายกระดาษปิดโคมไฟ
หลิวเจียยิ้มเอ่ยกับตัวเองว่า “ราชสำนักวงการขุนนางอะไร ข้าล้วนไม่เข้าใจสักอย่าง นอกจากฝึกตนแล้วก็รู้แค่เรื่องเดียว ต่อให้ทุกวันนี้ราชครูจะไม่อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคอยดูแลชาวบ้านของหนึ่งแคว้น ดูแลกองทัพม้าเหล็กและคนอย่างเจ้ากับข้าอีกนับไม่ถ้วน บางทีคนอื่นอาจทำเรื่องที่อยู่เบื้องหลังพวกนี้ไม่ได้ มีเพียงราชครูชุยเท่านั้นที่ต้องทำได้อย่างแน่นอน”
หัวคิ้วของต่งหูคลายออก ยังไม่ทันถึงหน้าประตูบ้านก็บอกให้หยุดรถแล้ว เขาลงจากรถม้า เอ่ยขอบคุณก่อกำเนิดผู้เฒ่าหนึ่งคำแล้วสาวเท้าเดินเนิบช้ากลับบ้าน
หลิวเจียถาม “รถม้าจะทำอย่างไร?”
ต่งหูหันหน้ามายิ้มเอ่ย “เกี่ยวกะผายลมอะไรกับข้าผู้อาวุโสด้วย!”
หลิวเจียหัวเราะร่า “ใต้เท้าต่งเดินทางตอนกลางคืนระวังหน่อย อายุก็ตั้งปูนนี้แล้ว ง่ายที่จะหูตาฝ้าฟางข้อเท้าแพลง ข้ารู้จักหมอที่ขายยารักษาอาการเท้าแพลงในเมืองหลวงหลายคนเลยล่ะ”
ต่งหูสะอึกอึ้ง ได้แต่เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “เอารถม้าไปจอดที่หน้าประตูวังก็จบเรื่องแล้ว”
เดินไปบนทางที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุดของตรอกอี้ฉือ บางครั้งรองเจ้ากรมผู้เฒ่าก็ถอนหายใจ บางครั้งก็พยักหน้าลูบหนวด
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ข้าผู้อาวุโสกับเจ้าเฒ่าสกุลจ้าวเทียนสุ่ยก็เคยเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินในปีเดียวกัน ไม่ว่าจะอ่านตำราดื่มสุรา ร่ายบทกวีจรดพู่กัน เด็กหนุ่มสองคนที่ต่างก็ฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาสดใสล้วนเป็นอันดับหนึ่งในราชสำนัก บทความของต่ง งดงามพร่างพรายดุจบุปผาสีสด ตัวอักษรพู่กันจีนของจ้าวประหนึ่งโบกง้าวจ้วงแทงทวน…
เคอจวี่ของต้าหลีในปีนั้น ต่งหูกับสหายรักวัยเดียวกันคนนี้ คนหนึ่งเป็นปั้งเหยี่ยน คนหนึ่งเป็นทั่นฮวา แน่นอนว่าฝ่ายหลังอายุมากกว่าตนเกินครึ่งรอบ แต่กระนั้นก็ยังสู้เด็กอัจฉริยะอย่างตนไม่ได้ นายท่านผู้เฒ่ากวนก็คืออาจารย์ผู้คุมสอบการสอบระดับมณฑลของพวกเขาในปีนั้น และตอนที่ต่งหูเพิ่งเข้าไปอยู่ในวงการขุนนางใหม่ๆ นั้น ได้ฉายประกายคมกริบในทุกหนทุกแห่ง ผลคือต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้เย็นของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินเกือบสิบปี มีเพียงตำแหน่งที่ว่างเปล่า ตอนนั้นต่งหูยอมรับแล้วว่าตนไม่มีความหวังในวงการขุนนางจึงทุ่มไหที่แตกร้าวให้แหลกเสียเลย ความสามารถในการด่าคนคืออันดับหนึ่ง หากมีคนด่ากลับ ต่งหูก็จะยิ่งใส่อารมณ์ด่ารุนแรงขึ้น อีกทั้งยังด่าเฉพาะขุนนางบุ๋นไม่ด่าแม่ทัพบู๊ด้วย สะใจยิ่งนัก
อันที่จริงต่งหูในเวลานั้นเพิ่งจะอายุสามสิบปี ผลคือกลับเอาชนะตรอกอี้ฉือและถนนฉืออี้จนช่วงชิงฉายาอันโด่งดังอย่าง ‘ต่งสตรีปากร้าย’ และ ‘ต่งด่ากราด’ มาได้
ต่งหูหยุดเดิน พอนายท่านผู้เฒ่ากวนจากไป ทุกวันนี้ตรงมุมกำแพงก็ไม่มีก้อนอิฐมาวางกองไว้อีกแม้แต่ก้อนเดียว
ปีนั้นมีครั้งหนึ่งตนเมาหนักมาก พอเดินมาถึงตรงนี้ก็ยื่นมือไปค้ำผนังประคองตัว อาเจียนจนรู้สึกว่าตับใตไส้พุงจะหลุดออกมาด้วยแล้ว
ผลคือถูกคนถีบ ต่งหูหันขวับกลับไปด่า รอกระทั่งดวงตาที่ปรือปรอยด้วยความเมาเห็นว่าถึงกับเป็นนายท่านผู้เฒ่ากวนก็ตกใจจนสร่างเมาเลยทีเดียว
ตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่าถามว่า ‘โอ้โห ข้าก็นึกว่าใครที่ใจกล้า ถึงกับกล้ามาทำตัวเป็นหมาบ้าอาละวาดอยู่ตรงนี้ ที่แท้ก็ใต้เท้าต่งผู้เรียบเรียงต่งเองหรือนี่’
ต่งหูคือบัณฑิตที่เคารพครูบาอาจารย์อย่างมาก ต่อให้ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินมากแค่ไหนก็ควรต้องกลัวอาจารย์ผู้คุมสอบท่านนี้ไม่ใช่หรือ เขาจึงตกใจเหมือนลูกเจี๊ยบที่ตัวสั่นระริกอยู่ท่ามกลางลมหนาว
นายท่านผู้เฒ่ากวนยิ้มตาหยีถามว่า ‘ผู้เรียบเรียงต่ง ทำไมถึงด่าแค่ใต้เท้าขุนนางบุ๋นของตรอกอี้ฉือพวกเราเท่านั้นล่ะ ทำไมไม่ด่าเจ้าพวกแม่ทัพบู๊หยาบกระด้างของถนนฉือเอ๋อร์บ้าง?’
พอพูดถึงเรื่องนี้ต่งหูก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ทำคอแข็งตอบไปตามตรงว่า ‘ด่าขุนนางบุ๋น ตอนนี้ข้ายังหนุ่มเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา ไม่ว่าจะต่อยตีกับใครก็ล้วนไม่ขี้ขลาด หากด่าพวกเมล็ดพันธ์แม่ทัพที่มือหนาขาใหญ่พวกนั้น แล้วต้องเดินตอนกลางคืนอย่างคืนนี้ก็อาจได้นอนหลับอยู่บนพื้นแล้ว อีกอย่างกองทัพชายแดนต้าหลีของพวกเรา หลายปีมานี้คว้าชัยชนะในศึกใหญ่ที่สำคัญมาได้ติดต่อกัน ข้าด่าไม่ออก แล้วนับประสาอะไรกับที่ทางฝั่งนั้นทุกๆ สามวันห้าวันต้องจัดงานศพอยู่หลายงาน จะด่าอะไรกัน’
นายท่านผู้เฒ่ากวนพยักหน้ารับ ‘ไม่เลว นับว่าไม่โง่เกินไป เอาล่ะ จะอ้วกก็กลับบ้านไปอ้วกบนท้องแม่เจ้าโน่น หากเจ้าไม่เป็นพวกแข็งนอกออกในก็คงสมองมีรู ถึงได้เฉยชาต่อภรรยาผู้งดงามที่อยู่ในบ้าน หากยังเป็นแบบนี้ต่อไประวังดอกซิ่งแดงจะบานออกไปนอกกำแพง’ (เปรียบเปรยว่าสตรีที่แต่งงานแล้วมีชู้)
ตอนนั้นต่งหูได้ยินเข้าก็หน้าแดงก่ำทันใด หากว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อาจารย์ผู้คุมสอบของตน เขาคงต้องปล่อยหมัดแสกหน้าอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว
สุดท้ายนายท่านผู้เฒ่ากวนก็มอบสองประโยคให้กับต่งหู
‘บัณฑิตเป็นขุนนาง ด่านใจบังเกิดคือที่ตั้งของด่านยาก ส่วนใหญ่ล้วนมาจากใจร้อนอยากสร้างชื่อเสียงและคุณความชอบมากเกินไป โชคดีหน่อยก็เป็นเหมือนเจ้าหนูต่งเช่นเจ้า แต่ก็มีพวกที่ความสามารถไม่พอ แต่ก็เอาชาติกำเนิดมาผสมกล้อมแกล้มได้’
‘มีคนมาด่าข้า หากไม่ใช่เรื่องจริง ความผิดไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาด่าเสียให้สาแก่ใจ เพราะกลับเป็นข้าที่ได้ผลประโยชน์’
ต่งหูสร่างเมาแล้ว ตอนนั้นจึงรีบประสานมือคารวะขอบคุณทันที
คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ผู้คุมสอบจะรอเวลานี้อยู่นาน ฝ่ามือหนึ่งจึงตบลงบนหัวของต่งหู ‘เป็นตอไม้ทึ่มทื่อจริงๆ อย่าว่าแต่นั่งเก้าอี้เย็นอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินนานหลายปีเลย ข้าว่าเอาเจ้าไปทำเป็นเก้าอี้เย็นตัวนั้นก็ถือว่ายกย่องเจ้าแล้ว ยังมีหน้ามาทำเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ ประโยคที่ว่า ‘ถ้อยคำดุจหยกดุจทองคำ ความหมายลึกล้ำชวนขบคิด’ ก็ไม่รู้จักพูดบ้างหรือ?’
ต่งหูยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่หัวเราะอย่างโง่งมเท่านั้น
นายท่านผู้เฒ่ากวนเดินไปเป็นเพื่อนต่งหูระยะทางหนึ่ง เขาเอ่ยว่า ‘ด่าได้ไม่เลว ในวงการขุนนางก็ควรต้องมีคนโง่จำพวกนี้อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคืนนี้ข้าคงถือกระบองออกมาไล่คนแล้ว แต่ด่าไปแล้วสิบปี วันหน้าก็เป็นขุนนางให้ดีๆ ไปเถอะ ลงมือปฏิบัติงานจริง ทำงานอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียหน่อย เพียงแต่จำไว้ว่า วันหน้าหากมีขุนนางหนุ่มที่ชอบด่าคนแบบเจ้าก็ช่วยปกป้องเขาให้มากหน่อย วันหน้าพอถึงคราวที่คนอื่นด่าเจ้าก็อย่ารับไม่ได้เสียล่ะ ไม่อย่างนั้นประโยคที่สองของวันนี้ก็เท่ากับว่าข้าพูดไปเสียเปล่า ป้อนเข้าท้องหมาไปแล้ว’
ค่ำคืนของปีนั้น ต่งหูจดจำใส่ใจไว้เงียบๆ
‘อาจารย์ ท่านเป็นอะไรไป? ทำไมมองดูเหมือนจะเดินกะเผลกๆ อยู่บ้าง?’
‘เมื่อครู่ถีบเจ้าออกแรงมากเกินไป ไม่ทันระวังเลยเส้นยึด’
‘ข้านวดให้ท่านดีไหม?’
‘ไสหัวไปเลยไป’
วันนี้ ต่งหูที่เป็นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าแล้วได้จดจำอดีตเหล่านี้ไว้เงียบๆ
น่าเสียดายที่ตลอดทางที่เดินมานี้ไม่มีใครเมาเหล้าพยุงกำแพงประคองตัวอาเจียน แล้วก็ไม่มีก้นใครให้ถีบ
ไปถึงหน้าประตูบ้าน คนเฝ้าประตูยังไม่หลับ รองเจ้ากรมผู้เฒ่ากลับมานั่งอยู่บนขั้นบันได นั่งเงียบๆ อยู่นานมาก แล้วก็พลันคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม ล่องลอยอยู่บนมหาสมุทรขุนนางมาครึ่งร้อยปี ข้าผู้อาวุโสได้ยินเสียงคลื่นแห่งความพิโรธมาจนชิน แล้วก็เคยได้ยินถ้อยคำแข็งกระด้างระคายหูมาไม่น้อย
คนอื่นไม่รู้
มโนธรรมในใจรู้ดี
ตรงมุมเลี้ยวของตรอก ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดคืนรถม้าแล้วก็รีบกลับมาที่นี่ทันที พบว่าลูกศิษย์นั่งยองกินถั่วลิสงอยู่หน้าปากตรอก เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง หลิวเจียก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าเจ้าลูกกระต่ายถือโอกาสตอนที่ตนไม่อยู่แอบดื่มเหล้า คิดอยากทำอะไรก็ทำไปแบบนั้น ผู้เฒ่าจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
หลิวเจียหยิบป้ายสงบสุขอันดับหนึ่งของกรมอาญาออกมาจากชายแขนเสื้อ ผู้ถวายงานของกรมอาญาและขุนนางของกรมโยธาถึงได้ไม่ขัดขวาง ปล่อยให้ก่อกำเนิดเฒ่าเดินไปยังข้างบ่อน้ำ หลิวเจียยื่นศีรษะมองออกไป รู้สึกเสียดายอย่างมาก หากร่องรอยวิถีกระบี่พวกนั้นไม่ถูกสตรีคนนั้นลบทิ้งไป สำหรับผู้ฝึกกระบี่ที่ลงบันทึกคดีของกรมอาญาแล้วก็ถือว่าเป็นวาสนาใหญ่ครั้งหนึ่งเลยทีเดียว มองมากเท่าไรก็ไม่มีบุปผาผลิบานออกมาได้ หลิวเจียจึงเอาสองมือไพล่หลังเดินกลับไปที่ตรอกนั้น เอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า “เห็นหรือยัง ดูเจ้าขุนเขาเฉินเป็นตัวอย่าง หาภรรยาที่เวทกระบี่เลิศล้ำขนาดนี้มาได้ วันหน้าเจ้าก็หาภรรยาตามมาตรฐานนี้บ้าง ดังนั้นไปมั่วสุมกับเจ้าผีขี้เหล้าเฉาให้น้อยๆ ลงหน่อย ผู้หญิงดีๆ เขาตกใจกลัวจนหนีไปหมดแล้ว”
จ้าวตวนหมิงเอ่ย “อาจารย์ ทำไมท่านถึงไม่หาอาจารย์แม่สักคนล่ะ?”
หลิวเจียยิ้มกล่าว “ตอนที่อาจารย์ยังหนุ่ม หล่อเหลากว่าเฉินผิงอัน เฉาเกิงซินอะไรนี่มากนัก บนภูเขาของหนึ่งทวีปก็ขึ้นชื่อเรื่องความมีเสน่ห์น่าหลงใหล เพียงแต่ว่าไม่มีความสนใจเรื่องความรักชายหญิง ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่อาจารย์แม่คนหนึ่งเลย มือหนึ่งยังนับได้ไม่หมด”
เด็กหนุ่มพูดโพล่งขึ้นมาทันที “อาจารย์ ท่านคงไม่ได้เดินละเมออยู่กระมัง รีบตื่นเร็วเข้า”
ในวังหลวง
ซ่งเหอพลันเอ่ยว่า “เสด็จแม่ ไม่สู้ให้ข้าไปพบเฉินผิงอันดีไหม?”
สตรีออกเรือนแล้วแค่นเสียงเย็นชา “เหลวไหล! เจ้าไปหาเขาแล้วจะคุยเรื่องอะไร? ทักทายปราศรัยกับเขา บอกว่าเจ้าเป็นอิ่นกวาน เนิ่นนานก็ยังไม่อาจหวนคืนกลับมาบ้านเกิด ลำบากเจ้าจริงๆ? หรือจะบอกว่าทุกวันนี้เจ้าเฉินผิงอันคือประมุขของสำนักหนึ่งแล้วก็พยายามอีกหน่อย ช่วยออกแรงให้ราชสำนักต้าหลีอีกสักหลายๆ ส่วน? หรือจะบอกว่า ฝ่าบาทจะเอาอย่างจ้าวเหยา เป็นถึงจักรพรรดิผู้เป็นเจ้าเหนือหัว แต่กลับจะลดตัวลงไปยอมรับเขาเป็นอาจารย์อาน้อย?!”
ซ่งเหอทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
สตรีออกเรือนแล้วจึงยิ้มบางๆ กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “บอกแล้วว่าเรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ อย่าถูกการร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยงและการออกกระบี่ของหนิงเหยามาทำให้เสียกระบวนเด็ดขาด ความมั่นใจในการถามกระบี่ครั้งนั้นของเฉินผิงอันอยู่ที่ใด? มองดูเหมือนไร้เหตุผล แต่แท้จริงแล้วกะน้ำหนักได้ดีมาก รับมือกับคนบนภูเขาที่ชอบกำหนดพื้นที่เป็นขอบเขตอย่างเฉินผิงอัน ข้ารับมือกับเขามีความมั่นใจกว่าเจ้ามากนัก”
บนหลังคาหอเทียนลู่
ซ่งซวี่อารมณ์ซับซ้อนอยู่บ้าง การร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยงครั้งนั้น ขั้นตอนโดยละเอียดของการถามกระบี่ของเฉินผิงอัน พวกเขาไม่เพียงแต่มีภาพวาด ถึงขั้นที่ว่ายังทำการแกะรายละเอียดทุกขั้นตอนออกมาโดยเฉพาะอีกด้วย เดิมทีนึกว่าเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วและหลิวเสี้ยนหยางแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนจะไร้เหตุผลมากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะดันมาเจอหนิงเหยาที่มีชาติกำเนิดจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกคน
หันโจ้วจิ่นไม่เห็นเป็นสำคัญ เอ่ยเสียงเบาว่า “เวทกระบี่สูงก็จริง หน้าตาก็งดงามอยู่หรอก แต่กลับไม่ค่อยโดดเด่นเท่าใดนัก”
อวี๋อวี่นอนอยู่บนหลังคา หนุนกาเหล้าว่างเปล่าใบหนึ่งต่างหมอน โคลงศีรษะส่ายไปมา ยกขาขึ้นไขว่ห้างก็ยังแกว่งขาไปมา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ต่อให้รูปโฉมของหนิงเหยาไม่งามพิลาสแค่ไหน เฉินผิงอันก็ยังไม่คู่ควรกับนางอยู่ดี”
แม่นางน้อยผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนี้ยังคงด่าหนึ่งกระทบถึงสองคนอยู่เหมือนเดิม ก็เหมือนความรู้ของคนคนหนึ่งที่แค่อ่านตำรามากหน่อยก็มีได้แล้ว มีเพียงอารมณ์ขันที่เป็นเอกลักษณ์เท่านั้นที่เกินครึ่งต้องมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ถ้าอย่างนั้น ‘คำพูดอย่างเป็นธรรม’ ที่มาจากเจตจำนงเดิมพวกนี้ก็พอๆ กับกู้เจี้ยนหลงแห่งคฤหาสน์หลบร้อน ต้องอาศัยพรสวรรค์จริงๆ
นักพรตหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นเต้าลู่ของเมืองหลวงสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก รู้สึกเพียงว่าเวทกระบี่อันยอดเยี่ยมชวนตะลึงพรึงเพริดที่บรรลุสู่จุดสุดยอดนี้ จะมาปรากฏในโลกมนุษย์ได้อย่างไร
เณรน้อยของหน่วยแปลคัมภีร์ที่ยังไม่ผ่านพิธีอุปสมบทอย่างเป็นทางการพนมสิบนิ้ว เอ่ยชื่นชมว่า “เวทกระบี่ของเซียนกระบี่หนิงไร้เทียมทาน”
ซ่งซวี่หันหน้ามามองพระน้อยแวบหนึ่ง
เณรน้อยผู้นี้เคยไล่ตามไปจับภิกษุรูปหนึ่งที่ก่อกรรมทำชั่ว สังหารผู้บริสุทธิ์พร่ำเพื่อในหลายพื้นที่เพียงลำพัง ภิกษุชั่วรูปนั้นเคยกล่าวว่าคนที่ถูกเขาสังหารมีกรรมเก่าที่ทำมาแต่ชาติปางก่อนจึงต้องมาชดใช้กรรม ชาตินี้จึงต้องถูกสังหาร แล้วยังถึงกับกล้าบอกว่าขอแค่วันใดยอมวางมีดลงก็จะยังสามารถบรรลุธรรมได้อยู่ดี ยังพูดด้วยว่าภิกษุน้อยเจ้าฆ่าคนกลับเป็นการทำผิดกฎศีลห้ามฆ่า หลังกลับมาถึงหน่วยแปลคัมภีร์ของเมืองหลวง เณรน้อยก็เริ่มปิดประตูประตูอ่านตำรา สุดท้ายไม่เพียงแต่คลายความสงสัยในใจ มั่นใจว่าคนผู้นั้นทำผิดตรงใดได้ ยังอาศัยโอกาสนี้ได้อ่านกรณีพิพาทของลัทธิพุทธอีกหนึ่งร้อยแปดคดี รอกระทั่งเณรน้อยออกมาจากประตู จิตแห่งธรรมก็กระจ่างใส ไม่มีความกลัดกลุ้มกังวลอีกแม้แต่น้อย สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาคล้ายกับว่าหน่วยแปลคัมภีร์แห่งหนึ่งก็คือธรรมสถานแก้วใสอันสะอาดบริสุทธิ์ไร้ฝุ่นเกาะ และคัมภีร์หลายสิบฉบับที่ภิกษุสมณศักดิ์สูงของลัทธิพุทธได้แปลเอาไว้ก็คล้ายกลายมาเป็นนาคเป็นคชสารแห่งลัทธิพุทธ หลังจากนั้นมาเณรน้อยก็ศึกษาอักษรสามคำอย่าง ‘มี ไม่มี ว่างเปล่า’ มาโดยตลอด
จากนั้นซ่งซวี่ก็หันไปมองเต้าลู่แห่งเมืองหลวงที่บิดาเคยเป็นแม่ทัพหลัวเจี้ยง (ตำแหน่งแม่ทัพผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวน) ตอนอยู่ในเขตการปกครองของท้องถิ่นแห่งหนึ่งเคยพบเจอกับผู้ฝึกตนอิสระที่ละเมิดกฎในตรอกเล็กโดยบังเอิญ พริบตาเดียวก็ตัดสินเป็นตายกัน หลังจบเรื่องตอนที่นักพรตหนุ่มถูกคนไปพบเข้า ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดโชกเปรอะเปื้อน นั่งพิงกำแพงอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ฝั่งตรงข้ามกับเขามีศพนั่งอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดนักพรตหนุ่มถึงลืมตาหรี่ปรืออยู่ตลอดเวลา บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตาหลงเหลือ
จากนั้นก็เป็นอาจารย์ค่ายกลหญิงที่มีชาติกำเนิดจากพื้นที่มงคลชิงถาน
ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง แต่ก็ราวกับว่าไม่ว่าใครก็ไม่เก็บมาใส่ใจมากมายขนาดนั้น
อวี๋อวี๋เป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในสภาพจิตใจของซ่งซวี่ จึงถามว่า “เป็นอะไรไป?”
——