กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 833.4 ราชครูเฉินผิงอัน
ไม่รอให้ซ่งซวี่ตอบคำถาม แม่นางน้อยก็เอ่ยขึ้นมาอย่างโผงผางว่า “อย่าคิดมาก ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่มีชะตาได้เป็นฮ่องเต้ ตอนนี้ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว อนาคตบนภูเขายาวไกล จะเดินกลับไปทางเดิมทำไม มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ถึงจะทำเช่นนั้น วันหน้าไม่แน่ว่าเจอกับลูกชายของพี่ใหญ่เจ้า ฝ่ายหลังอาจผมขาวโพลนกลายเป็นคนแก่ไปแล้ว แต่พอเขาเจอเจ้ากลับต้องเรียกเจ้าว่าเสด็จอา ฮ่าๆ ‘เด็กรุ่นหลังน่ากลัว’ นี่นะ ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจฝึกตนให้ดีไป ฝ่าทะลุขอบเขตทุกวันย่อมดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”
ซ่งซวี่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ใช่แล้วๆ ได้รับถ้อยคำด้วยความหวังดีเปี่ยมไปด้วยเหตุผลที่ดีก็สามารถกลายไปเป็นคนมีเงินได้แล้ว”
อวี๋อวี๋สะอึกอึ้งอยู่บ้าง เอ่ยอย่างอับอายที่พานเป็นความโกรธว่า “อย่าพูดจาเลียนแบบเจ้าหมอนั่นสิ ไม่อย่างนั้นกูไหน่ไนจะโมโหแล้วนะ”
ซ่งซวี่ที่แต่ไหนแต่ไรมาหากนั่งก็มีท่าทีของการนั่ง ยืนก็มีสง่าของการยืนพลันทิ้งตัวนอนหงายหลัง ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “เอาเหล้ามา ต้องเป็นเหล้าหมักตระกูลเซียนของตำหนักฉางชุนด้วย”
อวี๋อวี๋หัวเราะแห้งๆ “ข้าหรือจะซื้อสุราที่ราคาแพงจนไร้ขื่อไร้แปนั่นไหว ก่อนหน้านี้ก็แค่พูดจาเหลวไหลกับเฟิงอี๋ไปอย่างนั้นเอง”
ภิกษุน้อยท่องอมิตาพุทธหนึ่งคำ “ในวัตถุฟางชุ่นของอวี๋อวี๋ยังมีเก็บไว้เจ็ดแปดไห”
อวี๋อวี๋สบถด่า “เจ้าโล้นน้อย!”
ภิกษุน้อยลูบคลำศีรษะที่โล้นเตียนของตัวเอง อยู่ดีๆ ก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เมื่อไหร่กันนะที่เณรน้อยจะหวีเส้นผมแห่งความกลัดกลุ้มรำคาญใจได้ครบหนึ่งร้อยแปดเส้น”
อวี๋อวี๋อึ้งตะลึง คงเพราะรู้สึกว่าภิกษุน้อยกำลังคิดเรื่องจริงจังจริงๆ จึงยอมปล่อยเขาไปก่อนชั่วคราว เคาะปลาไม้ ใครบ้างที่ทำไม่เป็น
หางตาภิกษุน้อยเหล่มองไป ฮ่า
หันโจ้วจิ่นเอ่ยเตือนว่า “อวี๋อวี๋ เขาหลอกเจ้าน่ะ”
ภิกษุน้อยพนมสองมือ “ซ่งซวี่พูดถูกแล้ว สาวงามไม่ควรไปมีเรื่องด้วย”
ซ่งซวี่เอ่ย “ข้าไม่เคยพูด”
ภิกษุน้อยร้องภาษาพระธรรมหนึ่งคำ “ถ้าอย่างนั้นก็คงฝันแล้วเคยได้ยินซ่งซวี่พูดมาก่อน”
ในฐานะศาลเทพอัคคีเพียงหนึ่งเดียวในเมืองหลวง ด้านในจึงตั้งบูชาฮว่อเต๋อซิงจวินไว้หนึ่งองค์ (เทพประจำดวงดาวหนึ่งในห้าธาตุซึ่งตรงกับดาวอังคาร หรือธาตุไฟ)
ศาลไม่ใหญ่ อีกทั้งไม่เปิดให้ชาวบ้านในเมืองหลวงมากราบไหว้ มีเพียงเจอกับอุทกภัยในเมืองหลวงหรือในท้องถิ่นเกิดไฟไหม้เท่านั้น ขุนนางกรมพิธีการถึงจะมาที่นี่
ทุกครั้งที่เฟิงอี๋มาช่วยถ่ายทอดมรรคาให้เด็กๆ กลุ่มนั้นที่เมืองหลวง นางก็จะมาเข้าพักที่นี่
สร้างซุ้มดอกไม้ขึ้นมา วางม้านั่งหินเอาไว้สองสามตัว คืนนี้เฟิงอี๋นั่งอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้รู้สึกเคลิบเคลิ้มอยู่บ้างเล็กน้อย
คนเฝ้าศาลคือหญิงชราคนหนึ่ง เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป เพราะอายุมากแล้ว หากไม่เป็นเพราะอยู่ที่ศาลเทพอัคคีแห่งนี้ไม่มีอะไรให้ทำจริงๆ คงเปลี่ยนคนไปนานแล้ว ว่ากันว่าเมื่อก่อนทางราชสำนักคิดอยากจะเปลี่ยนคนเฝ้าศาล ทางฝั่งของที่ว่าการกรมพิธีการเตรียมจดลงบันทึกแล้ว แต่สุดท้ายแล้วแม่นางน้อยบางคนที่มีชาติกำเนิดจากภูตก็ไม่ได้มา เรื่องนี้จึงจบลงอย่างค้างคา
เฟิงอี๋ใช้สองนิ้วคีบกาเหล้าขึ้นมาแกว่งเบาๆ ฟังเสียงไพเราะของบุปผาที่อยู่ในกา
หลักการที่ต้นไม้ใหญ่เรียกลมนี้ คาดว่าใต้หล้าคงไม่มีใครเข้าใจได้ดีไปยิ่งกว่านางอีกแล้ว
ฉีจิ้งชุนแห่งสายเหวินเซิ่ง ชุยฉานราชครูต้าหลี เฉินผิงอันอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แน่นอนว่ายังมีหนิงเหยาแห่งใต้หล้าห้าสีคนนั้น
มหามรรคาสูงส่งยาวไกล คิดจะยืนได้มั่นคงเป็นเรื่องอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย? ก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ถึงขั้นที่ว่าคุณสมบัติไม่ได้ จิตใจไม่เพียงพอ ก็จะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม ก็เหมือนซิ่วหู่ที่ความรู้ของทั้งร่างสามารถประคับประคองจิตใจดวงที่สูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเอาไว้ได้ เส้นทางที่เขาเลือกเดินก็คือสละทิ้งเส้นทางอื่นๆ มากมาย เป็นเพราะชุยฉานไม่อาจเปลี่ยนเส้นทางได้? แน่นอนว่าไม่ใช่ เฟิงอี๋ดื่มเหล้าหนึ่งอึก คงเป็นเพราะนี่ก็คือสันดานมนุษย์ที่ไม่มีเหตุผลให้อธิบายกระมัง ในดินโคลนของใจคน ทุกหนทุกแห่งล้วนมีบุปผาผลิบาน ลมพัดดอกไม้ไม่ร่วงโรย
โรงเตี๊ยมยังไม่ปิดร้าน ไม่เสียแรงที่เป็นเมืองหลวง เฉินผิงอันเดินเข้าไปข้างใน เถ้าแก่ผู้เฒ่าเหมือนนกฮูกยิ่งนัก ดูเหมือนว่าจะกำลังอ่านนิยายเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่งอยู่ เถ้าแก่เงยหน้าขึ้น สังเกตเห็นเฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยสัพยอก “ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เถ้าแก่ ขอปรึกษากับท่านสักเรื่องได้ไหม?”
เถ้าแก่วางตำราลง “ทำไม คิดจะใช้เงินห้าร้อยตำลึงเงินมาซื้อเครื่องปั้นแบบยืนชิ้นนั้นของเตาเผาทางการบ้านเกิดเจ้าไป? ได้เลย ถือว่าช่วยให้มันได้กลับบ้านเกิดก็แล้วกัน ตกลงๆ ถือเสียว่าเป็นการผูกบุญสัมพันธ์ มอบให้แล้วๆ มือหนึ่งจ่ายเงินมือหนึ่งมอบของ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “จะดีจะชั่วก็น่าจะให้ข้าดูของก่อนกระมัง”
ผลคือเห็นเถ้าแก่เฒ่าก้มหัวค้อมเอวไปหยิบเอาแจกันดอกไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงข้างเท้าล่างโต๊ะคิดเงินขึ้นมาด้วยท่าทางเปลืองแรงเล็กน้อย ของเล่นที่ซื้อมาด้วยราคาแค่ไม่กี่สิบตำลึงเงิน เอาวางไว้ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ
เฉินผิงอันช่วยอีกฝ่ายประคองอย่างระมัดระวัง งอนิ้วดีดลงไปเบาๆ ขณะเดียวกันก็ถามอย่างไม่อนาทรร้อนใจว่า “ดึกขนาดนี้แล้วเถ้าแก่ยังไม่หลับไม่นอนอีกหรือ?”
ผู้เฒ่ามองประเมินสีหน้าของเจ้าเด็กนี่อย่างละเอียดไปด้วย เจ้าตัวดี ไม่มีพิรุธเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งสีหน้าที่จงใจแสดงออกถึงความไม่ยี่หระก็ไม่มีสักนิด เขาจึงตอบไปง่ายๆ ว่า “ลูกสาวของข้าไม่ยอมกลับบ้าน ออกไปเดินเล่นที่ตลาดกลางคืนกับพวกนังหนูซุกซนทั้งหลาย นี่ก็ยังไม่ยอมกลับมา ไหนๆ ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำก็เลยมารอนาง หากเป็นเวลาปกติข้าคงให้ลูกจ้างร้านมาเฝ้าประตูแล้ว อันที่จริงในเมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่มีเรื่องน่ากังวลอะไร เพียงแต่คนเป็นบิดาอย่างข้า ทั้งยังได้ลูกสาวมาตอนอายุมากแล้ว นางคือนังหนูที่อายุน้อยที่สุดในบ้าน ไม่รักนางจะไปรักใคร หากลูกชายกล้าทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ ข้าก็คงเอาไม้ปัดขนไก่ตีเขาตายไปแล้ว”
เฉินผิงอันมองเถ้าแก่ผู้เฒ่าแวบหนึ่ง คนอายุตั้งห้าสิบกว่าปีแล้ว
ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม “อยากเป็นลูกเขยข้าหรือ? อย่าเลย พวกเราเป็นครอบครัวเล็กๆ แต่ก็ไม่คิดจะให้ลูกสาวตัวเองต้องน้อยเนื้อต่ำใจ นางต้องได้ออกเรือนอย่างมีหน้ามีตา เอาเกี้ยวแปดคนหามพาเดินเข้าประตูหลัก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นหลักการเก่าแก่ข้อนี้ เช่นเดียวกัน หากข้ามีลูกสาว อันธพาลคนใดบนถนนกล้ามองนางนานหน่อย ข้าก็จะซ้อมมันผู้นั้นจนพ่อแม่มันจำหน้าลูกตัวเองไม่ได้เลย”
ผู้เฒ่าพยักหน้า คุยกับเจ้าเด็กนี่แล้วสบายใจจริงๆ เขาฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน เอ่ยว่า “พูดคุยส่วนพูดคุย การค้าครั้งนี้จะว่าอย่างไร? เจ้าช่วยบอกมาให้ชัดเจน ของชิ้นใหญ่มีราคาเอามาตั้งวางไว้บนโต๊ะคิดเงินเช่นนี้ ถูกคนอื่นมองเห็นเข้า ง่ายที่จะถูกขโมยเอาได้”
เฉินผิงอันยกแจกันดอกไม้ขึ้นเบาๆ มองก้นแจกัน เป็นเครื่องปั้นอักษรมงคลแปดคำอย่างที่เถ้าแก่ผู้เฒ่าว่าไว้จริงเสียด้วย ฟ้าครามกว้างไกล ร้อนนี้มืดสลัว
มองปราดๆ ความหมายค่อนข้างคล้ายคำเขียวของลัทธิเต๋า ยกตัวอย่างเช่นประโยคที่ว่านักพรตแห่งหยวนโตว ทะยานลมว่องไว โบยบินเหนือนภากาศ แต่แท้จริงแล้วครึ่งประโยคหลังมาจากลัทธิขงจื๊อ
หากจะต้องให้พยายามจินตนาการตามไปด้วย จุดที่แปลกประหลาดเพียงหนึ่งเดียวก็คือหัวท้ายสองตัวอักษร รวมกันแล้วเป็นคำว่า ‘ฟ้าสลัว’ ของใต้หล้ามืดสลัว
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงแอบโคจรวิชาอภินิหารอย่างลับๆ ทำการสังเกตอย่างละเอียดจริงจัง ผลคือยังคงมองไม่ออกว่าแจกันดอกไม้ใบนี้มีความผิดปกติใดๆ ไม่มีร่องรอยของผู้ฝึกลมปราณแม้แต่น้อย และเดิมทีเฉินผิงอันก็คุ้นเคยกับธาตุของดินที่ใช้ในการเผาเครื่องปั้นเป็นอย่างดี แล้วยังเคยใช้วิธีการนำวัตถุห้าธาตุมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตด้วย แต่กระนั้นก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงความหมายลึกล้ำใดๆ นี่หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดแจกันดอกไม้ชิ้นนี้ก็ยังไม่เคยผ่านมือศิษย์พี่ แต่มาจากเตาเผาทางการซึ่งเป็นเตาเผามังกรบ้านเกิดของตนจริงๆ สามารถเปลี่ยนมือส่งต่อกันจนมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ อันที่จริงก็ถือว่ามีวาสนาต่อกันแล้ว
เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ย “ของเถ้าแก่เป็นของแท้ไม่ผิดแน่แล้ว วันหน้าหาคนที่เชี่ยวชาญทั้งยังไม่ขาดเงินในกระเป๋า หากอีกฝ่ายไม่ใจกว้าง กล้าเปิดราคาต่ำกว่าห้าร้อยตำลึงเงิน ท่านผู้เฒ่าก็สามารถด่าคนได้เลย พ่นน้ำลายให้เต็มหน้าของเขาได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด นอกจากนี้ตัวอักษรมงคลแปดคำนี้มีความเป็นมา ไม่ธรรมดาอย่างมาก มีความเป็นไปได้ว่าเป็นตัวอักษรที่รวบรวมมาจากหอก่วนเก๋อของสกุลจ้าวเทียนสุ่ยในรัยสมัยหยวนโซ่ว”
ผู้เฒ่าเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนจะเสแสร้งก็ให้ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ผลคือเจ้าเด็กนั่นยังเอ่ยมาอีกประโยคว่า “เถ้าแก่ ข้าคิดว่าจะอยู่ที่เมืองหลวงสักหลายๆ วัน หลังจากนี้ก็จะพักอยู่ที่นี่…”
ผู้เฒ่าเพิ่งจะวางแจกันดอกไม้กลับลงไปใต้โต๊ะคิดเงินอย่างระมัดระวัง พอได้ยินประโยคนี้ก็รีบพูดทันใด “สามร้อยตำลึงเงิน ขายให้เจ้าแล้ว! ซื้อขายสำเร็จ หลายวันต่อจากนี้ที่เจ้าพักอยู่ในโรงเตี๊ยม ค่าห้องพักก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เถ้าแก่ ท่านคิดไปคนละเรื่องแล้วจริงๆ”
ผู้เฒ่ายื่นมือออกมา “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าคนนี้ปิดปากได้ไม่สนิท ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้โรงเตี๊ยมอาจมีห้องว่างเพิ่มมาอีกหลายห้องก็ได้”
คิดจะมาแข่งเรื่องประสบการณ์ในยุทธภพกับข้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าหนูเจ้ายังอ่อนเยาว์เกินไป
ดวงตาเฉินผิงอันสว่างวาบ ยื่นมือไปกุมมือของเถ้าแก่ผู้เฒ่าไว้แน่นก่อน จากนั้นก็ทำท่าควักเงินจากชายแขนเสื้อ
เถ้าแก่ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง สะบัดมือออกอย่างแรง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ช่างเถิด ข้าเห็นว่าเจ้าเองก็ไม่เหมือนคนมีเงิน อยู่ในเมืองหลวงมีค่าใช้จ่ายเยอะ อีกอย่างของชิ้นใหญ่ขนาดนี้พกไปไม่ง่าย…”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ทัน แต่ก็ยังทำท่าไม่พอใจคิดจะเถียงต่ออีกสักสองสามประโยค เถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับโบกมือ พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เลิกพูด!”
หนิงเหยาพลันปรากฏตัวที่หน้าประตู จากนั้นก็เป็น…อาจารย์ของตนที่รีบรุดเดินทางมาจากลำน้ำใหญ่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป
เฉินผิงอันก้าวเดินเร็วๆ ออกจากธรณีประตูไป ประสานมือคารวะ “คารวะอาจารย์”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มพลางคว้าจับแขนของลูกศิษย์คนสุดท้าย “ไป ไปดื่มเหล้าที่ห้องของเจ้ากัน”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ย “อันที่จริงมีแค่ห้องเดียว”
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าอย่างเจ็บปวดรวดร้าวใจ อาจารย์อย่างตนช่างทำตัวเหมือนตะพาบเฒ่ายิ่งนัก!
ซิ่วไฉเฒ่ารีบหันหน้าไปเอ่ยกับหนิงเหยาทันที “แม่หนูหนิง ไม่บังเอิญเลย ข้าต้องไปพบคนอื่นสักหน่อย พรุ่งนี้ค่อยดื่มเหล้าก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจต้องเป็นวันมะรืนวันมะเรื่อง ยังไม่แน่ใจเลย ไม่ต้องรอข้า…”
หนิงเหยาส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่ต้อง ห้องว่างในโรงเตี๊ยมมีมากมาย”
เฉินผิงอันกับซิ่วไฉเฒ่าสบตากันแล้วถอนหายใจพร้อมกัน
คนหนึ่งมีสายตาไม่พอใจ วันนี้นึกตำหนิอาจารย์จริงๆ แล้ว คนหนึ่งสายตาเต็มไปด้วยความละอาย ต้องโทษข้า ต้องโทษข้า อาจารย์ผิดต่อเจ้าแล้ว
จากนั้นเฉินผิงอันก็หัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “อาจารย์ ไปดื่มเหล้ากันเถอะ”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ “ดีๆๆ”
ดื่มจนเมาแล้วถึงจะมีโอกาสชดเชย
เพียงแต่เฉินผิงอันพลันหันขวับมองไป เห็นเพียงว่าตรงถนนใหญ่มีเด็กสาวคนหนึ่งกระโดดโลดเต้นเดินมา
เห็นคิ้วตาของนาง
เฉินผิงอันก็มองเหม่อไป จากนั้นก็หันขวับมองไปยังทิศทางของหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น พอถอนสายตากลับมา ดวงตาก็แดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริก คล้ายอยากจะยกมือขึ้นทักทายเด็กสาวคนนั้น แต่กลับไม่ค่อยกล้า
แม้แต่ซิ่วไฉเฒ่ากับหนิงเหยาก็ยังต้องหันมามองหน้ากันเอง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ชั่วชีวิตนี้ของเฉินผิงอัน เมื่อได้เรียนวิชาหมัด หลังออกจากบ้านเกิด อาการเสียกิริยาเช่นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ถึงขั้นที่ว่าอาจจะ…ไม่เคยเป็นมาก่อน?
เฉินผิงอันยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา จากนั้นก็เค้นรอยยิ้มออกมา เดินออกไปข้างหน้าสองสามก้าว รอคอยเด็กสาวคนนั้นเงียบๆ
เมื่อหลายปีก่อน
มีคนที่จิตวิญญาณกำลังจะแหลกสลาย นางพูดว่า ขอให้อาจารย์เฉินได้กลายเป็นคู่รักเทพเซียนกับแม่นางที่รัก
นักบัญชีที่สีหน้าซีดเซียวอ่อนระโหยเอ่ยว่า หวังว่าหากมีวาสนาจะได้พบกับแม่นางซูอีกครั้ง
สุดท้ายนางเอ่ยว่า ถึงเวลานั้นอาจารย์เฉินอย่าจำข้าไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ?
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฉินผิงอันเมื่อหลายปีก่อน แต่กลับเป็นเรื่องของเมื่อชาติที่แล้วของแม่นางคนหนึ่ง
คืนนี้เด็กสาวที่ดึกดื่นค่อนคืนกว่าจะกลับมาบ้านค่อยๆ ชะลอฝีเท้า รู้สึกว่าบุรุษชุดเขียวที่ยืนทื่ออยู่ตรงหน้าประตูร้านบ้านตัวเองช่างพิลึกคนนัก มองจ้องเป๋งมาที่นาง หรือว่าจะเป็นอันธพาลคนหนึ่ง?
เด็กสาวเห็นเพียงว่าบุรุษคนนั้นยกมือขึ้น ยิ้มพลางกวักมือ เอ่ยเสียงสั่นว่า “สวัสดี ข้าชื่อเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย”
เด็กสาวเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ตะโกนดังลั่น “ท่านพ่อ มีอันธพาลพูดจาแทะโลมข้า!”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าวิ่งออกมาจากโรงเตี๊ยม เอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “อย่าพูดเหลวไหล เป็นแขกในร้านของพวกเรา”
เด็กสาวร้องอ้อหนึ่งที ตอนที่เดินผ่านข้างกายคนผู้นั้น นางเบี่ยงตัว ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง จากนั้นก็พลันวิ่งเร็วๆ เข้าไปในโรงเตี๊ยม ไปอยู่ข้างกายบิดาแล้ว นางถึงได้หันไปมองคนผู้นั้นอย่างใคร่รู้ บุรุษชุดเขียวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หันหลังให้นาง ยื่นมือมาปิดหน้า ไหล่สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็หันหน้ามายิ้มกว้างสดใสให้กับนาง
เอ๊ะ ยิ้มได้น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้อีกนะ
ช่างเป็นคนพิลึกจริงๆ
ท่านพ่อเองก็จริงๆ เลย ทำไมถึงต้องเจอกับลูกค้าที่เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย
ซิ่วไฉเฒ่านั่งลงบนขั้นบันได คลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร พอจะเดาความจริงออกได้คร่าวๆ แล้ว
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก หันหน้ากลับไป ครู่หนึ่งก็หันหน้ามาอีกครั้ง เอ่ยขออภัยหนิงเหยา “ขอโทษนะ อย่าคิดมากล่ะ อีกเดี๋ยวข้าจะเล่าให้เจ้าฟังว่าเป็นเพราะอะไร”
หนิงเหยาส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม สายตาอ่อนโยน “ไม่เป็นไร”
หากเจ้าไม่ใช่คนแบบนี้ ข้าจะต้องชอบเจ้ามากมายเพียงนั้นทำไม
เจ้าคือเฉินผิงอัน ข้าคือหนิงเหยา หมื่นหมื่นปีในโลกมนุษย์ เราต่างชอบกันและกัน
——