กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 836.2 สิบสี่
จากนั้นเฉินผิงอันก็โบกมือง่ายๆ สลายบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่ค่อนข้างเร้นลับอำพรางทิ้งไป “คาดว่าเวลานี้ฮ่องเต้ที่อยู่ในวังคงจะสับสนมึนงงไม่น้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดไทเฮาถึงต้องทำเช่นนี้ คนของกองโหราศาสตร์ผู้นั้นก็ยิ่งกระอักระอ่วนเข้าไปใหญ่ วันหน้าคงไม่รู้ว่าจะพบหน้าไทเฮาเหนียงเนียงอย่างไรแล้ว”
เฉินผิงอันดีดนิ้วอีกที ในลานบ้านก็มีริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอกราวกับลายน้ำลายเมฆ สองนิ้วของเฉินผิงอันทำท่าเหมือนคีบเม็ดหมาก ประหนึ่งสาวเส้นไหม ใช้เวทคาถาแห่งเซียนที่ลี้ลับมหัศจรรย์คีบม้วนภาพภูเขาสายน้ำหนึ่งออกมา ในภาพเป็นเหตุการณ์ที่สตรีสวมชุดชาววังคุกเข่าโขกหัวยอมรับผิด แรงที่โขกลงไปแต่ละครั้งหนักแน่นนัก น้ำตาอาบเต็มใบหน้า หน้าผากปูดแดง ข้างกายมีคนชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ ทำท่าทางเหมือนจะไปประคองนาง แต่คงติดเรื่องที่ว่าชายหญิงไม่พึงใกล้ชิด ดังนั้นจึงเพียงแค่มีสีหน้าตกตะลึง ปากพึมพำว่าอย่าทำอย่างนี้ อย่าทำอย่างนี้…
เฉินผิงอันใช้ชายแขนเสื้อสลาย ‘ม้วนภาพของเลียนแบบ’ นั้นทิ้งไป ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไม่เคารพกฎ มองหอกั้วอวิ๋นอยู่ไกลๆ จากตำหนักฉางชุน เท่ากับว่าข้าได้เตือนเจ้าแล้ว ผลคือยังไม่รู้จักจำ สหายหนันจาน ก่อกำเนิดตัวน้อยๆ ก็กล้ามาประลองมรรคกถากับข้า ไม่เหมาะสมเลยนะ”
เฉินผิงอันหยิบจอกเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาหมุนเบาๆ “มีสุราคารวะรับรองแขกหรือไม่คือความตั้งใจของต้าหลี ส่วนข้าจะดื่มหรือไม่ดื่มสุราลงทัณฑ์ พวกเจ้าไม่ใช่คนตัดสินใจ”
การมาเยือนครั้งนี้ของหนันจาน มีอุบายอยู่ไม่น้อย
ก่อนหน้านี้นางยอมลดตัว หลุบตาก้มหน้า แกล้งนำผลประโยชน์มาหลอกล่อ หากเจรจาไม่สำเร็จก็จะเริ่มทำตัวไม่ยี่หระราวกับคนไร้เหตุผล อาศัยสถานะสำคัญสองอย่างอย่างสตรีที่ออกเรือนแล้วและไทเฮาเหนียงเนียง ทำให้รู้สึกว่าตนไม่กล้าลงมืออำมหิต
หากยังคงไม่สำเร็จ นางก็จะใช้แผนเจ็บตัว เพื่อที่ฮ่องเต้ซ่งเหอจะได้เห็นภาพเหตุการณ์อันน่าสังเวชนี้กับตาตัวเอง
สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของนาง อันที่จริงไม่ใช่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีและกองกำลังแคว้นสกุลซ่งอะไรเลย แต่เป็นเพราะนางมั่นในใจเรื่องหนึ่งอย่างมาก เฉินผิงอันที่อยู่ในเรือนแห่งนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่เจ้าสำนักของภูเขาลั่วพั่วอะไร ยิ่งไม่ใช่อิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่เป็นศิษย์น้องของราชครูชุยฉานและของฉีจิ้งชุน เขาต้องไม่ยินดีปล่อยให้สถานการณ์ใหญ่อันดีงาม ความมั่นคงของขุนเขาสายน้ำหนึ่งทวีปที่ศิษย์พี่สองคนร่วมมือกันสร้างขึ้นมาต้องมาพังทลายลงในมือของศิษย์น้องเล็กอย่างเขาแน่นอน
คิดง่ายเกินไปหน่อยหรือไม่
สตรีสวมชุดชาววังคลี่ยิ้มงดงาม พลันเก็บอารมณ์อันซับซ้อนที่ราวกับแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำอยู่ในใจเหล่านั้นมา เหลือบตามองหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นที่อยู่ห่างไปไม่ไกล พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม้ว่าวันนี้จะได้พบอาจารย์เฉินแค่คนเดียว แต่หนันจานกลับเกือบจะคิดว่าได้พบเจอคนรู้จักสองคนในเวลาเดียวกันอีกครั้งแล้ว”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “คนละโยชน์เลย ไม่อย่างนั้นวันนี้สหายหนันจานกล้ามาที่ตรอกเล็กแห่งนี้ ข้าก็ไม่ได้แซ่เฉินแล้ว”
นางถอนหายใจ ก้มหน้าลง พึมพำว่า “อาจารย์เฉิน เศษกระเบื้องชิ้นนี้ไม่อาจมอบให้ท่านได้จริงๆ นี่เกี่ยวพันกับกิจการใหญ่พันปีของราชสำนักต้าหลีพวกเรา เป็นข้าที่ไร้เหตุผล จะฆ่าจะแกงก็เชิญเจ้าหมิ่นเกียรติได้ตามใจ”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ทำไม ยังจะเอาละครเก่ามาแสดงซ้ำอีกครั้ง คิดว่าสามารถใช้วิธีการที่สมเหตุสมผลมารังแกวิญญูชนผู้เที่ยงตรงได้?”
หนันจานเงยหน้าขึ้น “หากไม่เป็นเพราะกริ่งเกรงในสถานะ อันที่จริงก็มีวิธีการมากมายที่ทำให้เจ้าสะอิดสะเอียนได้ เพียงแต่ข้าไม่คิดว่ามีความจำเป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไรเจ้าและข้าก็เป็นคนของต้าหลี หากเรื่องอัปลักษณ์ในบ้านแพร่งพรายออกไปภายนอกจะทำให้อีกแปดทวีปของใต้หล้าไพศาลเห็นพวกเราเป็นตัวตลกเสียเปล่า”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ยกตัวอย่างเช่นให้วันนี้ตอนที่ไทเฮาเดินออกจากตรอกไป เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ร้องไห้คร่ำครวญว่าจะกลับวัง”
หนันจานใช้สองนิ้วบิดหมุนชายเสื้อ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ให้ตายข้าก็ไม่ยินยอมมอบให้ ส่วนอาจารย์เฉินก็เหมือนว่าจะต้องการให้ได้ นี่คล้ายจะเป็นเงื่อนตายเงื่อนหนึ่ง แล้วต่อจากนี้ควรจะคุยกันอย่างไรดีเล่า?”
เฉินผิงอันกล่าว “อันที่จริงไม่ต้องคุยแล้ว เจ้าเก็บเศษกระเบื้องชิ้นนั้นเอาไว้เถอะ ไม่สู้มาลองเดิมพันกันดู ข้าเดิมพันว่าอย่างมากสุดภายในครึ่งเดือนไทเฮาจะต้องมาเยือนถึงบ้าน เอาของชิ้นนี้มามอบให้”
หนันจานดวงตาเป็นประกาย แต่กลับยังส่ายหน้า “ไม่เดิมพัน หากจะพูดถึงโชคในการเดิมพัน ใต้หล้านี้ใครเล่าจะสู้อิ่นกวานได้”
เฉินผิงอันเก็บกาเหล้าและจอกเทพีบุปผามา มือซ้ายเริ่มม้วนชายแขนเสื้อ เอ่ยเนิบช้าว่า “ศิษย์พี่ชุยไม่สนใจว่าลูกหลานสกุลซ่งคนใดจะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ส่วนซ่งจ่างจิ้งก็ไม่สนใจว่าใครเป็นเหอใครเป็นมู่ ส่วนข้าก็ยิ่งไม่สนใจว่าชะตาแคว้นสกุลซ่งของพวกเจ้าจะสั้นหรือยาว อันที่จริงเงื่อนตายที่เป็นปมในใจของเจ้าอย่างแท้จริงก็คือซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงที่ตายแล้วฟื้นกลับคืนมาในใจของเจ้า ดังนั้นปีนั้นเมื่อแม่ลูกที่จากลากันไปนานได้กลับมาพบกันในตำหนักฉางชุนอีกครั้ง ทุกครั้งที่เจ้ามองเขาก็จะต้องกลัดกลุ้มใจครั้งหนึ่ง บุตรคนโตที่กว่าจะทำใจว่าเขาตายไปแล้วได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดันกลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ความละอายใจทั้งหมดที่เดิมทีล้วนเอาไปชดเชยให้กับลูกคนรองอย่างซ่งมู่หมดแล้ว ยังจะเอาไปมอบให้กับซ่งเหออีกสักเศษเสี้ยวได้อย่างไร? อดีตฮ่องเต้ที่เคียดแค้นที่สุดไม่อยู่ให้แค้นแล้ว ราชครูที่หวาดกลัวที่สุดก็ไม่อยู่บนโลกอีกแล้ว ซ่งจ่างจิ้งที่เป็นกังวลที่สุดโชคดีที่ยังเป็นคนของสกุลซ่ง ทุกวันนี้ก็ไปอยู่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วด้วย ดังนั้นหนามแหลมที่ทิ่มแทงใจอย่างแท้จริงกลับกลายเป็นลูกชายที่ถูกลบชื่อแล้วกลับมาเพิ่มชื่อลงในทำเนียบกองงานเชื้อพระวงศ์อีกครั้งผู้นั้น”
หนันจานหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก คล้ายกับอยากจะตวาดด้วยถ้อยคำรุนแรง ทว่าทำได้เพียงมีใจแต่ไร้กำลัง มือหนึ่งของนางจับประคองโต๊ะหิน เส้นเลือดเขียวบนหลังมือปูดโปนเห็นได้ชัดเจน
เฉินผิงอันเหลือบมองท่าทางเสแสร้งของสตรีนางนี้แล้วส่ายหน้าหัวเราะหยัน พลันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “ดูท่าคงไม่ใช่เงื่อนตายอะไร น่าจะเป็นข้าที่คิดมากไปเอง ต่อให้เปลี่ยนซ่งจี๋ซินมาเป็นฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นบุตรชายตนที่ได้นั่งเก้าอี้มังกร จิตแห่งมรรคาส่วนนี้ของสหายหนันจานทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ดูท่าคิดจะเป็นเจ้าประมุขของสำนักหนึ่งบนภูเขา ความสามารถก็มากพอเหลือแหล่”
หนันจานตกตะลึงเล็กน้อย แม้จะไม่รู้ว่าเผยพิรุธตรงไหน ถึงได้ถูกเขามองทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ นางก็ไม่คิดจะแสดงละครอีก สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
เฉินผิงอันเริ่มใช้มือขวาม้วนชายแขนเสื้อข้างซ้าย “จะเตือนเจ้าหนึ่งประโยค ภายในครึ่งเดือน อย่าได้ทำตัวอวดฉลาดเล่นลูกไม้อะไร ไทเฮาเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนถึงบ้านย่อมต้องมีของขวัญมอบให้กลับคืน จะไม่มีวิถีรับรองแขกที่ปล่อยให้แขกต้องกลับไปมือเปล่าเด็ดขาด”
เฉินผิงอันใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะเบาๆ ไข่มุกหลิงซีเม็ดหนึ่งบนกำไลข้อมือของสตรีเปล่งแสงวาบหนึ่งครั้ง บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำถูกเปิดออกอีกครั้ง ในวังหลวงของต้าหลี ฮ่องเต้กับผู้ฝึกลมปราณของกองโหราศาสตร์ในที่สุดก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์กันอีกครั้ง พลันโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก่อนหน้านี้ทั้งจักรพรรดิและขุนนางต่างรู้สึกตัวกันช้า สุดท้ายเดาว่าความจริงความเท็จของภาพที่เห็นนั้นต้องเป็นฝีมือของเฉินผิงอันอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะอย่างไร มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย ต่อให้จะเป็นเวทอำพรางตาของเฉินผิงอัน ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าทางเรือนแห่งนั้นมีแต่ความเงียบงันตั้งแต่ต้นจนจบ สุดท้ายกลายเป็นว่ามีข่าวร้ายบางอย่างที่ราชสำนักต้าหลีหรือไม่ก็ฮ่องเต้ซ่งเหอไม่อาจยอมรับได้แพร่ออกมา
ทางฝั่งของลานบ้าน พริบตานั้นเฉินผิงอันก็มาอยู่ด้านหลังสตรีออกเรือนแล้วอย่างลึกลับ ยื่นมือไปกุมลำคอของไทเฮาเหนียงเนียงผู้นี้เอาไว้แล้วเหวี่ยงกระแทกลงกับโต๊ะหินอย่างแรงจนเกิดเสียงดังตึง
หัวโขกเหมือนโขลกกระเทียม
ฮ่องเต้อึ้งตะลึง จากนั้นก็ยิ้มเฝื่อนเอ่ยว่า “เฉินผิงอันมักจะก่อกวนเช่นนี้เสมอ สร้างสถานการณ์ให้คนสงสัย สองครั้งแล้ว สนุกนักหรือ? มีความหมายที่ตรงใด?”
ผู้ฝึกตนเฒ่าของกองโหราศาสตร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “สวรรค์เท่านั้นที่รู้ บางทีอาจจะจงใจแสดงให้ฝ่าบาทเห็นว่าเขาไม่ได้เป็น…วิญญูชนผู้เที่ยงตรงขนาดนั้น? ก็เหมือนวิธีการที่เขาใช้ตอนอยู่เกาะยวนยางใกล้กับศาลบุ๋น จงใจเอาลูกไม้เดิมมาเล่นอีกครั้ง ฉวยโอกาสนี้เตือนราชสำนักต้าหลีไปด้วยว่า แท้จริงแล้วเขาไม่ค่อยทำอะไรตามกฎเกณฑ์นัก…”
ผู้เฒ่าหยุดพูด เงยหน้าขึ้นพรวด หรี่ตามองไปยังทิศไกล ผู้ฝึกตนเฒ่าที่รับผิดชอบตรวจสอบควบคุมการขึ้นลงของโชคชะตาแคว้นในหนึ่งทวีปถึงกับสูญเสียการควบคุมจิตใจโดยพลัน จำต้องยื่นนิ้วมายันไว้ตรงหว่างคิ้ว ท่องคาถาเงียบๆ อาศัยวิชาการมองลมปราณทำให้พอจะมองเห็นเจียวหลงสีทองตัวหนึ่งขดตัวอยู่ในเมืองหลวงต้าหลี เกิดจากการรวมตัวกันของไอมังกรและโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของสกุลซ่ง ถูกกรงเล็บสีดำสนิทราวกับสีหมึกข้างหนึ่งยื่นออกมาจากก้อนเมฆกดหัวของฝ่ายแรกเอาไว้…เพียงแต่ว่าภาพนี้เกิดขึ้นวูบเดียวแล้วก็หายไป แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าแน่ใจได้เลยว่าต้องไม่ใช่ภาพลวงตาของตัวเองอย่างแน่นอน ผู้ฝึกตนเฒ่ารู้สึกกังวลใจ พึมพำว่า “ช่างเป็นจิตสังหารที่เข้มข้นยิ่งนัก ภาพปรากฎการณ์ประหลาดระหว่างฟ้าดินที่เกิดจากการจำแลงของมหามรรคาเช่นนี้ จะเป็นการเสแสร้งได้ด้วยหรือ? ทุกวันนี้เฉินผิงอันมีตบะแค่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น อีกทั้งเมืองหลวงยังมีค่ายกลใหญ่ปกป้อง คงไม่น่าจะถึงขั้นนี้กระมัง”
สตรีสวมชุดชาววังกำลังจะก้าวเท้าออกจากเรือนก็พลันหยุดยืนนิ่ง นางยกหลังมือขึ้นเช็ดหน้าผาก สลายรอยเขียวบวมแดงทิ้งไป แล้วถึงได้เดินเข้าไปในตรอก พริบตาเดียวก็กลับคืนมาเป็นไทเฮาเหนียงเนียงต้าหลีที่ท่วงท่าเรียบร้อยอ่อนโยนอีกครั้ง
เท้าข้างหนึ่งของหนันจานเพิ่งจะสัมผัสพื้นของตรอกเล็ก ประตูเรือนด้านหลังก็ปิดลงดังปัง
เฉินผิงอันที่นั่งลงอยู่ในจวนที่ห่างมาไกลลูบชายแขนเสื้อสองข้างให้ราบเรียบ เสียงสอบถามจากในใจของหนิงเหยาดังขึ้น “แกล้งทำหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ได้แกล้งทำ เกือบจะข่มอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ เพราะข้าพอจะมั่นใจได้แล้วว่า ปีนั้นเรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของข้าปริแตก นางกับบรรพจารย์สายผู้ประคับประคองมังกรที่หลบซ่อนตัวตนผู้นั้นต้องสลัดความเกี่ยวข้องไม่พ้น มีความเป็นไปได้ว่าได้วางแผนมาไว้นานมากแล้ว ไม่เหมือนกับคนอื่นที่แค่ลงเดิมพันตามไปหลังเกิดเรื่อง ภายหลังซ่งจี๋ซินย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านข้างๆ ของตรอกหนีผิง จื้อกุยหนีออกมาจากบ่อมังกรเหล็ก มาผูกพันธะสัญญากับข้า จากนั้นนางค่อยเลือกไปเป็นสาวใช้ของซ่งจี๋ซิน ลอบขโมยไอมังกรของ ‘ซ่งเหอ’ เพื่อช่วยสร้างเส้นสายมังกรที่ซ่อนเร้นไว้เส้นหนึ่งให้กับตัวนางเอง ใช้หินดีงูเป็นอาหารเสริมชดเชย ซ่งอวี้จางขุนนางผู้ตรวจการสร้างสะพานแบบคานที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ลมโชยน้ำขึ้น’ เท่ากับว่าได้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่เหมาะแก่การฝึกตนให้กับนาง เป็นต้น…อันที่จริงล้วนเป็นการยืดขยายต่อออกไปของเส้นสายเส้นนี้ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าฆ่าไปแล้วไม่มีประโยชน์ถึงได้หยุดมือ ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่าตะเกียงต่อชะตาดวงนั้นของหนันจานซ่อนอยู่ที่ไหน นั่นต่างหากจึงจะเป็นชะตาชีวิตที่แท้จริงของนาง ไม่แน่ว่าคราวนี้สตรีผู้นี้มาเยือนก็มาเพื่อให้ถูกข้าสังหาร หากพูดกันถึงเรื่องฝีมือการแสดง ความสามารถของนางไม่ถือว่าน้อยเลย”
หนิงเหยาถามอย่างใคร่รู้ “เจ้ารู้วิธีกักวิญญาณอยู่บ้างไม่ใช่หรือ? ปีนั้นตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน เจ้าเคยใช้วิธีนี้ ด้วยความสามารถในการรายงานข่าวของต้าหลี รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างสำนักเจินจิ้งกับราชสำนักต้าหลี ไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องนี้ นางไม่กังวลเรื่องนี้เลยหรือ?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ไม่นานก็ให้คำตอบว่า “บางทีแม้แต่ตัวนางเองก็อาจไม่รู้ว่าตะเกียงต่อชะตานั่นซ่อนอยู่ที่ไหน ดังนั้นถึงได้ไม่หวั่นเกรงเพราะคิดว่ามีที่พึ่ง ส่วนข้อที่ว่าทำได้อย่างไร บางทีในอดีตนางอาจใช้เวทลับบนภูเขาบางอย่างจงใจลบความทรงจำส่วนนั้นทิ้งไป ต่อให้ภายหลังถูกคนตรวจสอบจิตวิญญาณก็ยังไม่มีร่องรอยให้ตามหา ยกตัวอย่างเช่นนางกำหนดไว้ว่าในช่วงเวลาหนึ่งของอนาคต สามารถอาศัยกำไลไข่มุกซีหลิงเส้นนั้นมาทำให้จดจำเบาะแสบางเส้นเกี่ยวกับตะเกียงต่อชะตาได้ เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจจะยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ความเป็นไปได้ที่มากกว่านั้นคือ…”
เฉินผิงอันพลันหัวเราะ “เข้าใจแล้ว!”
หนิงเหยาถาม “เข้าใจอะไร?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่า “รอเดี๋ยว” จากนั้นก็ก้าวก้าวหนึ่งออกไปจากลานบ้าน มาที่ห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม ฟุบตัวบนโต๊ะคิดเงิน ยิ้มเอ่ย “เถ้าแก่ แจกันดอกไม้ใบนั้นขายอย่างไร?”
ไม่ถามว่าขายหรือไม่ขาย แต่ถามตรงๆ เลยว่าขายอย่างไร
เถ้าแก่ผู้เฒ่าโบกมือ “ไม่ขาย”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “สี่ร้อยตำลึงเงิน มือหนึ่งมอบเงินมือหนึ่งมอบของ เป็นอย่างไร?”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ไม่ล่ะ ด้วยท่าทางที่จะตอแยให้ถึงที่สุดนี้ของเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าเครื่องกระเบื้องชิ้นใหญ่นั่นต้องไม่ได้มีราคาแค่สี่ร้อยตำลึงเงินแน่ ไม่แน่ว่าเจ้าที่เป็นคนบนภูเขา แท้จริงก็พุ่งเป้ามาที่ของเล่นชิ้นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “เถ้าแก่ พูดจาให้มีมโนธรรมหน่อยเถิด หากข้าตั้งใจอยากจะเก็บตกของดีตั้งแต่แรก จ่ายเงินสองร้อยตำลึงเงินซื้อมันมา ท่านก็ยังคิดว่าได้กำไรอยู่เลยนะ”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ เหล่ตามองไม่เอ่ยอะไร ก็เพราะว่าเจ้าไม่เห็นลูกสาวข้าอยู่ในสายตา ข้าถึงมองเจ้าแล้วไม่สบอารมณ์อย่างไรเล่า
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เดินออกไปจากโรงเตี๊ยมโดยตรง ต้องการไปยืนยันเรื่องหนึ่งให้แน่ใจก่อน เขาไปถึงตรอกแห่งนั้น ไปหาหลิวเจียแล้วใช้เสียงในใจยิ้มถาม “ศิษย์พี่ของข้าเคยฝากถ้อยคำอะไรไว้ที่เซียนซือผู้เฒ่า รอแค่ให้ข้ามาถามหรือไม่? ถ้าไม่ถามก็เท่ากับว่าไม่มีเรื่องนี้?”
เซียนซือผู้เฒ่าร้องเอ๊ะ “ขนาดเรื่องนี้ก็เดาได้ด้วยหรือ?”
หลิวเจียพยักหน้า “ราชครูบอกแล้วว่าเดาเรื่องนี้ได้ก็ไม่มีประโยชน์ เจ้ายังต้องเดาเนื้อหาเอาเอง”
พูดมาถึงตรงนี้ เซียนซือผู้เฒ่าก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเป็นทบทวี ในใจคิดว่าหากเฉินผิงอันเดาเนื้อหาออกด้วย ใต้เท้าราชครูท่านจะยังให้ข้านำความมาบอกต่อทำไม?
หรือว่าความคิดของคนฉลาดล้วนไม่มีเหตุผลกันเช่นนี้?
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ยกตัวอย่างเช่น ‘ยังต้องเป็นเงามืดใต้โคมไฟอีกกี่ครั้ง?’”
หลิวเจียถอนหายใจ คนหนุ่มสมัยนี้ไม่ควรมีเรื่องด้วยจริงๆ ถึงกับสามารถประชันฝีมือกับซิ่วหู่อยู่ไกลๆ ได้แล้ว
ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน
หลิวเจียพยักหน้า “ปีนั้นก่อนที่ราชครูจะจากไปเคยพูดแบบนี้จริงๆ”
เฉินผิงอันเดินกลับไปที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง ยิ้มถามเถ้าแก่ว่า “หากข้าเดาได้ว่าปีนั้นเถ้าแก่ซื้อแจกันดอกไม้มาด้วยราคากี่ตำลึง ท่านก็ต้องขายให้ข้าด้วยราคาสี่ร้อยตำลึงเงิน ตกลงไหม?”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าพยักหน้า ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบก “ได้สิ ต่อให้เดาถูกก็ต้องจ่ายห้าร้อยตำลึงเงิน หากว่าเดาไม่ถูก วันหน้าก็อย่าหวังจะได้แจกันใบนี้ไปอีก อีกทั้งยังต้องรับปากด้วยว่าเจ้าต้องมาป้วนเปี้ยนใกล้ลูกสาวข้าให้น้อยๆ หน่อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สิบสี่ตำลึงเงิน”
เถ้าแก่เฒ่าโบกมือ “ผิดแล้วๆ ไสหัวไปเลย”
เฉินผิงอันจุ๊ปาก “ไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเลยใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปหาแม่นางหลิว บอกกับนางว่าพรรคในยุทธภพของข้ามียอดฝีมือบนภูเขามากมายดุจก้อนเมฆ ปรมาจารย์ใหญ่อวี๋หง โจวไห่จิ้งอะไรก็มีฝีมือแค่นั้นเอง”
——