กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 838.2 อีกคนหนึ่ง
ซิ่วไฉเฒ่ามองไปทางลูกศิษย์หนุ่มแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “โจวเจียกู่ อย่ากลัวว่าจะพูดผิด ต่อให้พูดผิด ข้าก็ไม่สนใจ ใครจะกล้าสน? ใช่หลักการนี้หรือไม่?”
โจวเจียกู่เสียงสั่น “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง…ข้าตื่นเต้นเล็กน้อย พูด…ไม่ออกแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นให้ข้าอธิบายบทเรียนก่อนดีไหม? รอเมื่อไหร่ที่เจ้าหายตื่นเต้นแล้วค่อยบอกกับข้า”
โจวเจียกู่เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พยักหน้ารับอย่างแรง
อาจารย์ฟ่านที่อยู่นอกหน้าต่างด่าในใจหนึ่งประโยค เจ้าเด็กตัวเหม็น ใจกล้าไม่น้อยเลย ถึงขนาดกล้าประลองความรู้กับอาจารย์เหวินเซิ่งแล้ว? ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ที่ข้าสั่งสอนมา
เดี๋ยวหลังจากนี้คงต้องสอบถามรายละเอียดกับโจวเจียกู่สักหน่อย
วันนี้อาจารย์และลูกศิษย์เกือบพันคนของสำนักศึกษาชุนซานมารวมตัวกันเบียดเสียดอยู่นอกห้องเรียน
เหวินเซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อ หลังจากได้ตำแหน่งเทวรูปกลับคืนมาในศาลบุ๋น ครั้งแรกที่ถ่ายทอดวิชาไขความรู้ให้ใต้หล้าไพศาลก็คือในสำนักศึกษาชุนซานต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้
……
หลังจากเฉินผิงอันเดินอาดๆ จากไป คนสามคนที่อยู่ในตรอกเล็ก อาจารย์ค่ายกลหันโจ้วจิ่น เก๋อหลิ่งเต้าลู่แห่งเมืองหลวง สุยหลินแห่งสำนักหยินหยาง ต่างคนต่างหันมาสบตากันด้วยความรู้สึกทดท้อเล็กน้อย อุตส่าห์วางแผนมาเสียดิบดี แต่ก็ยังไม่อาจพันธนาการอีกฝ่ายไว้ได้ เพื่อการเข่นฆ่าที่เดิมทีอันตรายอย่างถึงที่สุดครั้งนี้ คนทั้งสิบเอ็ดคนได้อนุมานความเป็นไปได้หลายสิบรูปแบบ และพวกเขาสามคนก็คือคนที่รับหน้าที่จัดวางค่ายกลเพื่อเชิญท่านลงโอ่ง
เรื่องของการจัดวางค่ายกล คลาดเคลื่อนเพียงนิดก็จะพลาดเป็นพันโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวพันกับการโคจรของฟ้าดินเล็ก ยกตัวอย่างเช่นเลือกถนนใหญ่นอกตรอกเล็กที่กว้างขวางยิ่งกว่า แล้วก็เป็นเส้นทางที่เฉินผิงอันต้องผ่าน แต่เมื่อจุดสัมผัสระหว่างค่ายกลกับฟ้าดินมีมากเท่าไร ไม่เพียงแต่การควบคุมการโคจรของค่ายกลที่จะยากมากขึ้น ช่องโหว่ก็มากตามไปเท่านั้นด้วย และการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ก็เชี่ยวชาญการใช้หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคมมากที่สุด
ผีสาวก่ายเยี่ยนกับลู่ฮุยยืนเคียงไหล่กันอยู่บนหัวกำแพงแห่งหนึ่ง นางบ่นไม่หยุด “ไม่สาแก่ใจ ไม่สาแก่ใจ ยังไม่ทันได้เปิดฉากต่อยตีก็ต้องปิดฉากลงแล้ว”
เหล่าเหนียงไม่เชื่อหรอกว่าจะสัมผัสไม่ได้แม้แต่ชายเสื้อของคุณชายเฉินจริงๆ?
หันโจ้วจิ่นที่อยู่ในตรอกยิ้มจืดเจื่อน เดินออกมาจากตรอกเล็กพร้อมกับเก๋อหลิ่ง เอ่ยว่า “รับมือกับอิ่นกวานช่างยากจริงๆ”
ในเมื่อไม่ได้ต่อสู้กัน เก๋อหลิ่งอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงใช้มือเคาะผนังของตรอกเล็ก “ปวดหัวจริงๆ นั่นแหละ”
ทางฝั่งของรายงานข่าวต้าหลี บันทึกที่มีต่อเฝ่ยหรานซึ่งสถานะถูกปิดบังอำพรางนั้น รู้แค่ว่าเขาคือผู้นำของร้อยเซียนกระบี่ภูเขาทัวเยว่ แต่เซียนกระบี่โซ่วเฉินที่มีฐานะเป็นลูกศิษย์คนแรกของมหาสมุทรความรู้โจวมี่กลับมีรายละเอียดเยอะมาก บันทึกแรกเริ่มสุดคือการถามกระบี่ระหว่างโซ่วเฉินกับจางลู่ หลังจากนั้นก็เป็นบันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวกับโซ่วเฉิน มีมากหลายบท อีกทั้งในเอกสารลับอักษรเจี่ย ตรงช่วงท้ายยังมีลายมือของราชครูสองคนเขียนระบุไว้ด้วยตัวเองว่า สุดยอดนักฆ่า มีหวังเป็นขอบเขตบินทะยาน
สุยหลินเก็บยันต์กักกระบี่ล้ำค่าที่เป็นกระดาษสีทองมากถึงหกแผ่นกลับมา นอกจากนี้ยังมียันต์อีกหลายแผ่นที่เอาไว้ใช้จับการเคลื่อนไหวของลมปราณเฉินผิงอันโดยเฉพาะ
มีประโยคหนึ่งที่เฉินผิงอันกล่าวได้ถูกต้อง พวกเขาสิบเอ็ดคนที่เป็นแผนภูมิดินนี้มีเงินจริงๆ
ก็เหมือนการต่อสู้ครั้งนี้ ยังไม่ทันได้ตีกันก็ผลาญเงินฝนธัญพืชไปแล้วไม่น้อย
พวกเขาแต่ละคนไม่เพียงแต่ต้องมีอาวุธกึ่งเซียนกันอย่างน้อยคนละชิ้น ขอแค่พวกเขาต้องการใช้เงิน กรมอาญากรมพิธีการก็จะจัดตั้งคลังทรัพย์สินส่วนตัวให้กับพวกเขาโดยเฉพาะ ขอแค่เปิดปาก ไม่ว่าจะต้องการเงินหรือสิ่งของ ราชสำนักต้าหลีก็ล้วนนำมามอบให้ทั้งหมด กรมอาญาและกรมพิธีการจะมีขุนนางกรมละหนึ่งคนที่คอยรับผิดชอบจับตามองเรื่องนี้ ผู้รับผิดชอบของทางฝั่งกรมอาญาก็คือจ้าวเหยา
หันโจ้วจิ่นรู้สึกหงดุหงิดเล็กน้อย พ่ายแพ้สองครั้งติด ต่อให้แพ้ให้กับเฉินผิงอันก็ยังอัดอั้นอย่างห้ามไม่ได้ “มีช่องโหว่ตรงไหนกันนะ? ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าเป็นกับดักตั้งแต่แรกแล้ว หรือจะบอกว่าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ทุกก้าวที่เดิน จะต้องเจอกับใครบนถนน เขาล้วนทำนายได้หมด?”
อวี๋อวี๋ที่อยู่ห่างไปไกลใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “บางทีอาจเป็นคำเรียกขานว่า ‘อาจารย์เฉิน’ หรือบางทีอาจอาศัยสัญชาตญาณบางอย่างที่ขัดเกลามาจากสนามรบ ก็เหมือนหมัดที่ต้องป้อนกันมา ลางสังหรณ์ก็สามารถบ่มเพาะมาได้เช่นกัน พวกเรายังคงผ่านการเข่นฆ่ามาน้อยเกินไป”
ก่ายเยี่ยนที่มีฉายาว่า ‘จิตรกร’ รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ตอนนั้นคนที่ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิงก็คือนาง
หยวนฮว่าจิ้งเอ่ย “แยกย้ายกันไปเถอะ”
ซ่งซวี่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ต่างคนต่างถอยกลับไป
เฉินผิงอันกลับไปถึงโรงเตี๊ยม ก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูก็ได้หยิบถุงกระดาษใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ
เห็นเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าก็วาง ‘งานแกะสลักไม้ไผ่เจียหลิง’ ที่อยู่ในมือลง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เป็นคนที่ยุ่งมากจริงๆ เลยนะ ไปเก็บเงินผิดมโนธรรมจากที่ไหนมาอีกเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใช่ที่ไหนกัน เกือบจะถูกโจรน้อยกลุ่มหนึ่งเอาถุงป่านมาครอบหัวอยู่แล้ว”
แน่นอนว่าผู้เฒ่าไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง จึงเอ่ยหยอกเย้าว่า “เมืองหลวงของพวกเรา ทุกวันนี้ยังมีกลุ่มโจรด้วยหรือ? ต่อให้มี พวกเขาก็ไม่รู้จักไปหาคนที่มีเงินบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันวางถุงลงบนโต๊ะคิดเงิน “ตอนที่กลับมาซื้อมาเยอะ หากไม่รังเกียจ เถ้าแก่ก็รับไว้กินแกล้มเหล้าเถอะ”
ผู้เฒ่าพยักหน้า คลี่ยิ้ม คือขนมหมาฮวาถุงหนึ่ง จ่ายเงินไปแค่ไม่เท่าไร แต่ก็ถือเป็นน้ำใจ
เฉินผิงอันเหลือบมองหนังสือเล่มนั้น “เถ้าแก่ผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ชอบเครื่องกระเบื้อง ยังชอบเรื่องนี้ด้วย? ที่บ้านข้านอกจากพัดไม้ไผ่สองสามด้ามแล้วยังมีที่วางมืออีกหนึ่งคู่ แบ่งออกเป็นสลักคำว่าดีใจจนเลิกคิ้วและผลท้อสามพัน อักษรด้านล่างแกะสลักคำว่าม่านเซียน ไม่ใช่ว่าข้าคุยโวหรอกนะ ต่อให้จะเป็นของปลอมก็ยังพอจะมีมูลค่าอยู่บ้าง”
“จะมีไม้ไผ่แกะสลักม่านเซียนจริงๆ ได้อย่างไร…ช่างเถิด เจ้าหนูเจ้าเชี่ยวชาญเรื่องการแต่งเรื่อง คงไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าคนซื้อจะไม่คิดว่าได้ของจริงไปครอง”
ผู้เฒ่าเห็นว่าเจ้าเด็กนี่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันอีกครั้ง แม้ปากจะพูดขัดคอ แต่มือกลับผลักตำราไปให้ เอ่ยอย่างลำพองใจว่า “เครื่องกระเบื้องและไม้ไผ่แกะสลัก ไม่ถือเป็นอะไรได้ ใครๆ ก็พอจะเข้าใจ”
เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ส่ายหน้า “เรื่องของการคัดลอกป้ายศิลาไม่ใช่ว่าแค่อ่านตำราสองสามเล่มก็ทำเป็นแล้วจริงๆ ความรู้ข้างในนั้นมีมากเกินไป ธรณีประตูสูงเกินไป ต้องเคยเห็นผลงานแท้จริง อีกทั้งยังต้องเห็นมามากพอสมควรถึงจะถือว่าได้เดินเข้าประตูอย่างแท้จริง เอาเป็นว่าไม่มีทางลัดและเคล็ดลับอะไรก็แล้วกัน ได้ผลงานจริงชิ้นไหนมาก็ต้องหนึ่งอักษร มอง สองอักษร มองให้มาก สามอักษร มองจนกว่าจะอาเจียน”
ผู้เฒ่าด่าขำๆ “ยืนพูดไม่ปวดเอวจริงๆ เจ้าหนูเจ้าเคยเห็นมาเยอะแล้วหรือไร?”
“บอกตามตรง ข้าเคยเห็นมาไม่น้อยเลยจริงๆ”
“เจ้าเป็นแค่คนของพรรคในยุทธภพ คิดว่าตัวเองเป็นเทพเซียนบนภูเขาแล้วหรือไร คุยโวไม่จำเป็นต้องร่างบทอย่างนั้นรึ?”
“คำคุยโวที่ต้องร่างบทไว้ก่อนไม่ถือว่ามีฝีมือหรอกนะ”
เฉินผิงอันพูดคุยด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย คุยสัพเพเหระไร้สาระไปพร้อมกับผู้เฒ่า ยืนเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน เปิดตำราพลิกอ่านไปด้วย ปลายเท้าเตะลงบนพื้นเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า นึกถึงสมุดภาพ สมุดคัดลอกสำเนา รวมไปถึงคำกล่าวประเภทที่ว่าใช้สิ่วและมีดเพื่องัดดูความน่าสนใจของธรรมชาติจากผลงานที่มีชื่อเสียงของนักประพันธ์ใหญ่ทั้งหลาย
อยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างปรองดอง ทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ
ขุนนางกรมคลัง หญิงชราศาลเทพอัคคี ผู้ฝึกตนเฒ่าหลิวเจีย เด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิง เถ้าแก่โรงเตี๊ยม
ไทเฮาต้าหลี หยุดเดิน ถ้อยคำของสองฝ่าย มองสบตาในระดับเท่าเทียมกัน
จุดที่เล็กละเอียดซึ่งเป็นสิ่งละอันพันละน้อย ไม่ได้อยู่ที่ว่าอีกฝ่ายคือใคร แต่อยู่ที่ว่าตัวเองเป็นใคร จากนั้นถึงเป็นสนใจว่าตัวเองคือใคร แล้วค่อยสนใจว่าอีกฝ่ายคือใคร
คืนหนังสือให้แล้วก็เดินไปที่ห้อง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าหนิงเหยากำลังอ่านหนังสืออยู่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเล่มแล้ว
เฉินผิงอันปิดประตูลงเบาๆ หนิงเหยาไม่ได้สนใจเขา แม้ว่าหนังสือเล่มก่อน ตั้งแต่ต้นจนจบจะไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคนเครางามสวมชุดเขียวผู้มีปณิธานฮึกเหิมแรงกล้า บทของเขามีไม่มาก แต่หนิงเหยากลับรู้สึกว่าคนผู้นี้ก็คือผู้แข็งแกร่งที่มีจิตวิญญาณมากที่สุดในตำรา
เฉินผิงอันรินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย จิบเบาๆ หนึ่งอึก
หนิงเหยาพูดโดยไม่ได้เงยหน้ามามอง “บทสนทนาช่วงท้ายตรงปากตรอก ไม่เหมือนนิสัยยามปกติของเจ้าเลย”
เฉินผิงอันเอนหลังพิงเก้าอี้ สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นนักพรตซุนที่สอนข้า บนเส้นทางการฝึกตน ฉวยโอกาสที่อายุของพวกผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลายยังน้อย ขอบเขตไม่มากพอ ก็ควรจะรีบซ้อมพวกเขาสักหลายๆ รอบ ซ้อมให้ในใจเกิดเงามืด วันหน้าเวลาที่ตนออกท่องยุทธภพอีกครั้งก็จะมีบารมีแล้ว”
ใต้ฟ้าบนภูเขา คนแต่ละคนมีนิสัยแตกต่างกันออกไป
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉูคือคนประเภทเดียวกัน
ฝูลู่อวี๋เสวียน เทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์ ก็เป็นคนอีกประเภทหนึ่ง
นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ กลับเป็นคนอีกประเภทหนึ่ง
หนิงเหยาพลันหัวเราะขึ้นมา “เจ้าเอาคำพูดประหลาดพวกนั้นมาจากไหนมากมาย มีให้ใช้ไม่หมดไม่สิ้นเลยหรือ?”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “ได้ยินมาระหว่างทาง อ่านเจอมาในตำรา ก็ทรัพย์สมบัตินี่นะ ล้วนต้องค่อยๆ สะสมมาทีละนิด”
หนิงเหยาถาม “ไม่มีคำไหนที่เข้าใจได้เองโดยไม่ต้องมีอาจารย์สอนบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันลูบคลึงปลายคาง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “บรรพบุรุษมอบข้าวให้กิน?”
หนิงเหยาเอ่ยชวนคุย “ผู้ฝึกตนกลุ่มนี้มาเจอเจ้า อันที่จริงต่างก็อัดอั้นกันมาก อุตส่าห์มีทางหนีทีไล่ไว้ใช้รับมือภายหลังมากมายขนาดนั้น แต่กลับไม่อาจเอามาใช้ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แต่บอกตามตรงนะ ในอนาคตรอวันใดข้าได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน พูดถึงแค่บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ บางทีนักรบพลีชีพของต้าหลีกลุ่มนี้ หากปล่อยให้พวกเขาเสริมตำแหน่งสิบสองแผนภูมิดินได้จนครบถ้วน สำหรับข้าแล้ว ก็คือภัยแฝงที่ใหญ่ที่สุดเลยทีเดียว”
ทุกครั้งที่ป๋ายอวี้จิงจำลองออกกระบี่ ถึงอย่างไรก็ล้วนอิงตามกฎเกณฑ์ และสิ่งที่เฉินผิงอันไม่กลัวมากที่สุดในชีวิตนี้ก็คือกฎเกณฑ์
ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้เป็นฝ่ายไปเยือนโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนั้นด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเพื่อสืบให้รู้เบื้องหลัง ให้รู้ความเป็นมาและเส้นสายการฝึกตนของทั้งสิบเอ็ดคนคร่าวๆ แล้วก็คาดหวังจากใจจริงว่าคนกลุ่มนี้จะเติบโตได้เร็วกว่าเดิม ในอนาคตเมื่ออยู่บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีป จะมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าบนยอดเขาสูงสุดของหนึ่งทวีป ทุกคนจะต่างก็มีพื้นที่ให้หยัดยืน
ความคิดและการกระทำของเฉินผิงอัน มองดูเหมือนขัดแย้งกันเองอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็นภัยแฝงที่ไม่อาจดูแคลนได้แล้ว แต่กลับยังยินดีที่จะช่วยให้อีกฝ่ายเติบโต
เฉินผิงอันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาพลิกเปิดอ่าน หมัดมาเท้าไป ยอดฝีมือของยุทธภพต่างก็ป่าวประกาศกระบวนท่าของตัวเอง กลัวอีกฝ่ายจะไม่รู้ฝีมือก้นกรุของตัวเอง
ดูเอาสิ ตอนนั้นที่อยู่ศาลบุ๋น เฉาสือก็เป็นเช่นนี้ ครั้งหน้าที่พบเจอกัน ในฐานะสหายจะต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ดีๆ อย่างแน่นอน
อีกอย่างเจ้าเฉาสือคิดค้นกระบวนท่าหมัดมาได้แค่กี่หมัดเอง ไม่ถึงสามสิบกระบวนท่ากระมัง? ข้าเองก็ไม่ถึงสามสิบเหมือนกันไม่ใช่หรือ
หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนเจ้าจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย เป็นที่ศาลเทพอัคคีเกิดความผิดพลาด หรือที่ว่าการกรมคลังมีปัญหา?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง จากนั้นก็วางหนังสือลง “ไม่ค่อยปกติสักเท่าไรจริงๆ นั่นแหละ ไม่เกี่ยวกับศาลเทพอัคคีและที่ว่าการกรมคลัง ดังนั้นจึงประหลาดใจอย่างมาก เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล”
หนิงเหยาไม่ได้ถามมากอีก
นางเห็นเฉินผิงอันหยิบกระดาษแดงแผ่นนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ บีบให้ดินเหลืองหมื่นปีส่วนหนึ่งแหลกกลายเป็นผุยผงแล้วเทลงบนกระดาษสีแดง จากนั้นขยุ้มดินขึ้นมาเล็กน้อย ใส่เข้าปากลิ้มรสชาติ
หนิงเหยาเอ่ย “เจ้าสามารถเป็นอาจารย์แห่งผืนดินของพรรคชัยภูมิได้จริงๆ”
เป็นร้านผ้าห่อบุญ มองลมปราณตรวจสอบสภาพภูมิประเทศ เป็นหมอในยุทธภพ เป็นคนดูดวง เขียนจดหมายทางบ้านแทนคนอื่น เปิดร้านเหล้า…
เฉินผิงอันเช็ดปาก ยิ้มเอ่ย “มีทักษะมากมายก็ไม่กดทับร่างนี่นะ”
หนิงเหยาถาม “ผู้ฝึกตนผีเด็กหนุ่มที่อยู่บนเกาะชิงเสียชื่อว่าเจิงอะไรแล้วนะ?”
เฉินผิงอันตอบ “ไม่มีทางบอกกล่าวกับเจิงเย่อย่างชัดเจนอะไร ข้าก็แค่จะบอกเขาคำหนึ่งว่าวันหน้าสามารถมาเที่ยวที่เมืองหลวงต้าหลี เพิ่มประสบการณ์ในยุทธภพได้ หลังจากนั้นก็อยู่ที่โชควาสนาและบุพเพของเขาแล้ว”
อยู่ดีๆ หนิงเหยาก็เอ่ยว่า “ข้ามีความประทับใจที่ดีมากต่อหม่าตู่อี๋ ใจใหญ่ ทุกวันนี้นางยังอาศัยอยู่ในยันต์กระดาษหนังจิ้งจอกอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันรีบหันมองหนิงเหยาทันที
ยังดีที่ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาตรงข้ามกับความในใจอะไร
เฉินผิงอันรีบพยักหน้ารับทันใด “ใช่ ปีนั้นนางก็ชอบยันต์ที่มีเนื้อหนังมังสาเป็นร่างนั้นมาโดยตลอด ทุกคนล้วนมีจิตใจที่รักสวยรักงามนี่นะ”
หนิงเหยาถามอย่างสงสัย “ไม่เคยคิดจะให้พวกเขาออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนมาลงหลักปักฐานที่ภูเขาลั่วพั่วบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ต่างคนต่างมีโชควาสนาเป็นของตัวเอง
เส้นทางบนโลกมนุษย์เดินได้ยาก ยากเพราะมีภูเขา อันตรายเพราะมีสายน้ำ
ขุนเขาสายน้ำเส้นทางอันตรายทำลายรถเรือ แต่หากเทียบกับใจคนแล้วกว้างขวาง
ดังนั้นการเดินทางครั้งนั้น แม่นางซู เด็กหนุ่มเจิงเย่ที่ซื่อบื้อ หม่าตู่อี๋ที่ร่าเริงสดใส พูดจาไร้ยำเกรง และยังมีคนร่วมเดินทางอีกมากมายในปีนั้น อันที่จริงล้วนถือเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเฉินผิงอัน
——