กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 839.2 ต่างเป็นจุดอ่อนของกันและกัน
หยวนฮว่าจิ้งกล่าว “ยังไงต่อ? ยังจะมีอะไรอย่างอื่นได้อีกหรือ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายที่สุดหรอกหรือ? สุดท้ายก็ให้ข้าเป็นคนสังหารอิ่นกวานอย่างไรล่ะ”
ซ่งซวี่ส่ายหน้า “จะทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด! ทุกวันนี้ขอบเขตของขู่โส่วไม่สูง เรื่องของการหลอมกระจก เดิมทีก็ไม่มีประสบการณ์ใดๆ ให้เอามาเป็นบทเรียนได้ อีกทั้งขู่โส่วยังเสี่ยงอันตรายทำเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ยากที่จะรับรองได้ว่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันที่แม้กระทั่งตัวขู่โส่วเองก็ยังคิดไม่ถึงเกิดขึ้น ปีนั้นในเมื่อราชครูตั้งกฎข้อนี้ขึ้นมาเพื่อพวกเราโดยเฉพาะ ไม่อนุญาตให้พวกเราร่ายใช้เวทนี้ตามใจ ต้องเป็นเพราะรู้ถึงระดับอันตรายของเรื่องนี้มาล่วงหน้าอย่างแน่นอน”
ขู่โส่วถามหยั่งเชิง “หากข้าคิดจะรักษา ‘ภาพจริง’ ของคันฉ่องบานนี้เอาไว้ อันที่จริงทุกวันจะต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนไปมากมาย ไม่สู้วันใดพวกเราสามารถเอาชนะ…อิ่นกวานท่านนั้นได้จริงๆ แล้วค่อยให้เขามาอยู่ในฟ้าดินเล็กคันฉ่องของข้า ค่อยแยกร่างเขาดีกว่าไหม?”
ซ่งซวี่พยักหน้า “สามารถทำเช่นนี้ได้ พวกเราอย่าปล่อยให้เกิดเรื่องแทรกซ้อนเลย”
หยวนฮว่าจิ้งส่ายหน้า ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย แน่นอนว่าจะต้องสะบั้นความคิดและความทรงจำทั้งหมดของเฉินผิงอันทิ้งไป ไม่ปล่อยให้หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ถึงเวลานั้นเมื่ออยู่ข้างกายข้าก็จะเป็นเพียงโครงว่างเปล่าของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดและผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเท่านั้น อีกทั้งข้าก็สามารถรับประกันกับเจ้าได้ว่าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ จะไม่ยอมให้ ‘คนผู้นี้’ เผยกายบนโลกเด็ดขาด เว้นเสียจากว่าเป็นสถานการณ์อับจนของสายแผนภูมิดินพวกเราจริงๆ ถึงจะให้เขาลงมือ เพื่อเป็นฝีมือเทพเซียนที่ช่วยพลิกกลับสถานการณ์ให้กับพวกเรา”
พริบตานั้น
ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น ขู่โส่วถึงกับได้ยินเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนที่ต่อให้ตายอย่างไรก็คิดไม่ถึง มันดังออกมาจากคันฉ่องหยุดวารีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่อยู่ในทะเลสาบหัวใจของตน นี่ทำให้ขู่โส่วตกใจจนหน้าเผือดสี
ได้ยินเพียงว่ามีคนยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “พลิกกลับสถานการณ์? จะทำให้พวกเจ้าสมปรารถนา”
ขู่โส่วพลันเก็บดวงจิตกลับมา ทำจิตแห่งมรรคาให้มั่นคง จำแลงเป็นดวงจิตเมล็ดงาหมายจะไปตรวจสอบกระจกโบราณวัตถุแห่งชะตาชีวิตบานนั้น
คิดไม่ถึงว่าจิตวิญญาณของขู่โส่วเปลี่ยนมาเป็นไม่มั่นคงในทันใด กระอักเลือดไม่หยุด ยื่นมือมากดตรงหัวใจ พยายามจะสกัดขวางของสิ่งหนึ่งไว้สุดกำลัง ทว่าคันฉ่องหยุดวารีบานนั้นกลับ ‘กรีดผ่า’ หัวใจของขู่โส่วออกด้วยตัวเอง ก่อนจะหล่นกระแทกลงพื้น กระจกโบราณคว่ำหน้า จึงเห็นว่ามีตัวอักษรโบราณแกะสลักไว้เป็นวง ลักษณะคล้ายกลอนย้อนที่อ่านกลับไปกลับมาได้ ‘ใจคนหนึ่งตารางชุ่น ใจฟ้าหนึ่งตารางจ้าง’ ‘สิ่งที่ข้าพบเห็น ขุนเขาพลิกหมุนวารีหยุดไหล’ ‘ใช้คนส่องกระจก จริงเท็จมีไม่มี’
ขู่โส่วยกมือข้างหนึ่งขึ้นหมายจะกดกระจกโบราณที่เหมือนก่อกบฏบานนั้นเอาไว้
กระจกโบราณพลันพลิกกลับ หงายหน้าขึ้นด้านบน ปล่อยประกายแสงจ้าแสบตา ประหนึ่งดวงตะวันที่ลอยพ้นออกมาจากผิวมหาสมุทร ร่างของขู่โส่วพลันปลิวกระเด็นออกไป ร่วงรูดมาตามกำแพงอย่างอ่อนระโหย
คนในคันฉ่องคือบุรุษหนุ่มที่สวมชุดยาวสีขาวหิมะคนหนึ่ง สะพายกระบี่ สีหน้าพร่าเลือน พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าบนศีรษะของเขาปักปิ่นเต๋าสีหมึกดำสนิท บนข้อมือสวมประคำสีขาวหิมะ เปลือยเท้าไม่สวมใส่รองเท้า ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ เป่าลมออกมาเบาๆ หนึ่งที จากนั้นก็ยกมือขึ้นเช็ดหน้ากระจกเบาๆ
หน้ากระจกเหมือนประตูที่เปิดออก ด้านในห้องอบอวลไปด้วยปราณกระบี่
บุรุษชุดขาวสะพายกระบี่ผู้นั้นเดินก้าวหนึ่งออกมา เรือนกายในคันฉ่องที่เดิมทีเล็กจิ๋วเหมือนเมล็ดงาก็พลันขยายใหญ่เท่าคนปกติ เรือนกายสูงเพรียว ดวงตาทั้งคู่เป็นสีทอง มือข้างที่ถือประคำลัทธิพุทธไพล่อยู่ด้านหลัง มือซ้ายแบฝ่ามือวางเป็นแนวนอนอยู่เบื้องหน้า ห้าอสนีมารวมตัวกัน เขายืนอยู่ในห้องด้วยท่วงท่าสุขุมเยือกเย็น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โชคและเคราะห์ไร้ประตู ล้วนเป็นคนที่เรียกหามันมาเอง ทำดีทำชั่วล้วนได้รับการตอบสนอง ประหนึ่งเงาตามติดตัว”
เขากระทืบเท้าเบาๆ โรงเตี๊ยมทั้งหลังก็เข้าไปอยู่ในฟ้าดินเล็กของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนกในกรง
“เมื่อปัญญาชนได้ยินเต๋า ย่อมปฏิบัติตามด้วยความกระตือรือร้น เคาะถามด่านใจ คือการขึ้นเขาตามหาเซียน บังเอิญเจอผู้ปลีกวิเวก ประหนึ่งเจอจิตแห่งเต๋า”
‘เฉินผิงอัน’ ผู้นี้หันหน้าไปมองขู่โส่วที่นั่งแปะติดกำแพงแล้วคลี่ยิ้ม กระจกโบราณที่อยู่บนพื้นถูกลมปราณที่แท้จริงกลุ่มหนึ่งชักนำมาจึงพุ่งทะยานรวดเร็วราวกระบี่บิน ตรงดิ่งไปปักตรึงที่หัวใจของผู้ฝึกตนหนุ่ม “คืนให้เจ้าแล้ว วันหน้าจำไว้ว่าเก็บไว้ให้ดี หากยังมีวันหน้าล่ะก็นะ”
หัวใจของขู่โส่วถูกวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตัวเองระเบิดใส่อย่างต่อเนื่อง ลำคอคล้ายถูกคนกำแล้วกระชากดึงให้เกิดวงโค้งที่น่าเหลือเชื่อ แขนขาทั้งสี่ชักกระตุกอย่างที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ จากนั้นก็ปริแตกไปทีละชุ่น โอสถทองดวงหนึ่งของผู้ฝึกตนถูกบีบออกมาจากฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ แล้วมาลอยอยู่ตรงหน้าขู่โส่วทั้งอย่างนั้น
ส่วนในการมองเห็นของเฉินผิงอัน กระบี่บินสองเล่มของหยวนฮว่าจิ้งและซ่งซวี่ที่หลังจากถูกพวกเขาเรียกออกมาแล้วก็คล้ายบินอยู่กลางอากาศช้าๆ ช้าจน ‘คน’ ที่มีความอดทนอย่างเขายังรู้สึกว่าช้าเกินไปแล้ว
เขา ‘เดินก้าวไปอย่างเนิบช้า’ เบี่ยงตัว ‘เดินผ่าน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีแสงสีทองไหลรินของซ่งซวี่ จากนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ‘เย่หลาง’ กระบี่บินของหยวนฮว่าจิ้ง ปล่อยให้กระบี่บิน ‘ขยับ’ เข้าหาตัวเองทีละนิด ทีละนิด
เขาเพียงหรี่ตาจ้องมองกระบี่บินเล่มนั้น ดีดนิ้วหนึ่งที สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในห้องล้วนไม่เหลืออยู่ ราวกับว่าสรรพสิ่งและสีสันทั้งหมดในฟ้าดินล้วนถูกกวาดหายไปเกลี้ยง ภาพวาดขาวดำที่ไร้ความสำคัญล้วนถูกสลายทิ้งไปหมด หลงเหลืออยู่เพียงแค่บุคคลที่มีสีสันสิบเอ็ดคนซึ่งอยู่ในม้วนภาพของจิตธรรม
ผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินอีกแปดคนที่อยู่นอกห้องก็เข้ามาในฟ้าดินแห่งนี้พร้อมกันด้วย ทุกคนยังคงค้างอยู่ในท่าเดิมก่อนหน้านั้น เด็กหนุ่มโก่วฉุนที่หลังจากเดินเล่นเสร็จแล้วก็กลับเข้ามาในห้อง วางไม้เท้าเดินป่าสีเขียวพาดขวางไว้บนหัวเข่า กำลังมองตัวอักษรที่แกะสลักสองคำว่า ‘ก้าวไกล’ ผีสาวก่ายเยี่ยนกำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับหันโจ้วจิ่น ฝ่ายหันโจ้วจิ่นมีสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย เณรน้อยโฮ่วแจว๋เพิ่งจะกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ยังเดินอยู่บนถนน กำลังยกเท้าข้างหนึ่ง อวี๋อวี๋ก้มหน้าลง เรือนกายโน้มลงไปด้านหน้า ราวกับกำลังนับของอะไรอยู่ สุยหลินยังคงนั่งขัดสมาธิหล่อหลอมเศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เต้าลู่เก๋อหลิ่งอยู่ในท่าเปิดหนังสือในมือ…
เขางอนิ้วชี้เข้ากับนิ้วโป้งแล้วดีดเบาๆ หมากเม็ดหนึ่งก็ถือกำเนิดขึ้นมา ถูกจับโยนขึ้นสูง ก่อนจะหล่นลงบนพื้นช้าๆ หลังจากที่เสียงหล่นลงน้ำดังขึ้น ฟ้าดินก็มีกระดานหมากกระดานหนึ่งปรากฏ
จากนั้นค่อยใช้สองนิ้วคีบ ‘เย่หลาง’ กระบี่บินของหยวนฮว่าจิ้งที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ตรงหน้าเอาไว้ เดินไปหาหยวนฮว่าจิ้ง หันปลายกระบี่ กระชากเบาๆ หนึ่งทีกระบี่บินก็แทงเข้าที่หว่างคิ้วของฝ่ายหลัง ปลายกระบี่บินแทงทะลุศีรษะของหยวนฮว่าจิ้งไปโดยตรง เขาเหล่ตามองหยวนฮว่าจิ้ง ยิ้มบางๆ ส่ายหน้า เอ่ยวิจารณ์ว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เรือนกายบอบบางเหมือนกระดาษเปียก”
พริบตานั้นผู้ฝึกตนแปดคนที่ ‘มาเป็นแขก’ ซึ่งคืนสติได้ในชั่วพริบตาก็สังเกตเห็นสภาพอันน่าอนาถร่อแร่ใกล้ตายของขู่โส่ว อวี๋อวี๋รีบเรียกเซียนกระบี่เด็กหนุ่มคนนั้นออกมา งอเข่าเล็กน้อย กระโจนออกไปเบื้องหน้าในเสี้ยววินาที บนกระดานหมากใต้ฝ่าเท้ามีแสงกระบี่สาดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า คล้ายกับกลายเป็นกรงขังแห่งแล้วแห่งเล่าที่ขัดขวางทางไปของนาง โชคดีที่องค์รักษ์เซียนกระบี่ออกกระบี่ไม่หยุด จึงฟันเส้นตรงแสงกระบี่พวกนั้นทิ้งไปได้ ในใจอวี๋อวี๋ไม่เหลือความคิดวุ่นวายใดๆ นางคือผู้ฝึกตนสำนักการทหาร จะต้องถ่วงเวลาเฉินผิงอันที่อยู่ดีๆ ก็มาหาเรื่องพวกเขาอีกครั้งเอาไว้ให้ได้ชั่วขณะ ถึงจะมีโอกาสตอบโต้เสี้ยวหนึ่ง
เขายิ้มมองแม่นางน้อยผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนั้น ไม่กลัวตายก็จะไม่ต้องตายแล้วหรือ? มาหาข้า เจ้าก็จะหาเจอแล้วหรือ?
หางตาเหลือบไปเห็นเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่ยังคงรักษา ‘จิตวิญญาณที่แท้จริงเสี้ยวหนึ่ง’ และเนื้อหนังมังสาของเซียนกระบี่เอาไว้ได้ พอสายตาเหลือบไปเห็น จิตก็พุ่งไปถึงทันที
ฟันร่างของอีกฝ่ายจากตรงกลาง ผ่าหนึ่งออกเป็นสอง
นางจึงเหมือนถูกผีบังตาอยู่ตลอด
อวี๋อวี๋ที่เดิมทีอยู่ห่างจากคนผู้นั้นไม่ถึงสิบจั้ง พอคืนสติอีกครั้งกลับมาปรากฏตัวอยู่ห่างไปร้อยพันจั้ง หลังจากนั้นไม่ว่านางจะกระโจนไปข้างหน้าแค่ไหน ก็ต้องกระเด็นหวือเป็นเส้นโค้งถอยกลับมา…สรุปก็คือไม่อาจขยับระยะห่างของทั้งสองฝ่ายให้เข้ามาอยู่ใกล้ในรัศมีสิบจั้งได้
ฟ้าดินพลิกกลับ อวี๋อวี๋ที่อยู่บนเส้นทางถูกคนผู้นั้นปั่นหัวจนอยู่ในสภาพการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ
เต้าลู่เก๋อหลิ่งเรียกเวทย้ายขุนเขาบทหนึ่งออกมากระแทกใส่เรือนกายที่สวมชุดสีขาวหิมะจากสี่ด้านแปดทิศ เพียงแต่ว่าขุนเขาใหญ่ตั้งตระหง่านแต่ละลูกล้วนถูกแสงกระบี่เล็กบางเส้นแล้วเส้นเล่าฟันให้ร่วงหล่นลงพื้นจากกลางอากาศ กระแทกลงบนกระดานหมากแล้วแหลกสลายไปไม่มีเหลือ
เขาพลันมาโผล่อยู่ข้างกายอวี๋อวี๋ มือหนึ่งกดเข้าที่ใบหน้าของนาง
เรือนกายของอวี๋อวี๋ร่วงกระแทกลงพื้นดังโครม ทว่าจิตวิญญาณทั้งหมดกลับถูกคนผู้นี้กระชากออกมา
เขาส่ายหน้า “อยู่ในกรงขังมานาน ได้หวนคืนสู่ธรรมชาติ พูดถึงข้า ไม่ใช่พวกเจ้า”
มองจิตวิญญาณของอวี๋อวี๋ที่ถูกกักอยู่ในมือ ดวงตาสีทองที่บริสุทธิ์คู่นั้นของเขาก็มีแสงสีทองไหลรินวูบวาบ “ฟ้าดินดั่งห้องที่ว่างเปล่า พวกเจ้าก็เป็นแค่ฝุ่นผงในห้องที่จะมีหรือไม่มีก็ได้เท่านั้น”
ระหว่างที่พูดความคิดก็ขยับไปด้วย ท่องสองคำว่า “ดอกไม้บาน”
ลู่ฮุยผู้ฝึกลมปราณของลัทธิขงจื๊อถูกกระบี่ยาวหลายสิบเล่มแทงทะลุร่าง ร่างทั้งร่างจึงแน่นิ่งขยับไม่ได้ คล้ายกับว่าตรงจุดเดิมมีกอดอกไม้สีเลือดกอหนึ่งเบ่งบานออกมา
ร่างของผู้ฝึกตนผีก่ายเยี่ยนถูกแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนตัดสลับฟันใส่ ทั้งตัวคนทั้งชุดกระโปรง ชุดคลุมอาคม เสื้อเกราะจินอู ล้วนถูกกรีดออกเป็นชิ้นๆ มากเกินจะนับ
คนผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เวทกระบี่ที่คิดค้นขึ้นเองบทนี้เพิ่งจะตั้งชื่อว่าเสี้ยวจันทร์ หากเปลี่ยนเป็นวิชาหมัดก็ได้เหมือนกัน เรี่ยวแรงย่อมไม่น้อย”
เด็กหนุ่มโก่วฉุนถูกตัดแขนตัดขา
นักพรตเก๋อหลิ่งถูกยันต์นับร้อยนับพันห่อหุ้มให้อยู่ในช่องสี่เหลี่ยมช่องหนึ่งบนกระดานหมาก
คนผู้นั้นผลุบโผล่อย่างลึกลับ มาหยุดอยู่ด้านหลังสุยหลิน “ยันต์กักกระบี่ไม่ได้มีความหมายมากนัก อย่าลืมล่ะว่าข้ายังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งด้วย”
หนึ่งหมัดผ่านไป ต่อยทะลุหัวใจด้านหลังของผู้ฝึกลมปราณสำนักห้าธาตุคนนี้
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของซ่งซวี่ถูกสองนิ้วของคนผู้นั้นยันปลายกระบี่กับด้ามกระบี่เอาไว้แล้วบดอัดจนมันปริแตก
เขาสะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ ใช้ปราณกระบี่สร้างทวนยาวเล่มหนึ่งขึ้นมาบนมือ แทงเข้าที่ลำคอของลู่ฮุยอาจารย์คำเดียว ระเบิดพายุลมกรดของผู้ฝึกยุทธภพตามไป ปลายทวนจึงงัดร่างของฝ่ายหลังลอยขึ้นสูง
เขาเหมือนพึมพำกับตัวเอง “เป็นอย่างไร?”
นาทีถัดมา ข้างกายของ ‘เฉินผิงอัน’ ที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะผู้นี้ก็มีคนชุดเขียวปรากฏตัว ยืนหันหลังให้กัน ราวกับว่าชั่วขณะถัดไปทั้งสองฝ่ายจะเดินสวนไหล่ผ่านกันไป
เขาเองก็ไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีกระบี่เย่โหยวเพิ่มมาหนึ่งเล่มก็เลยได้เปรียบ ยังดี ข้ามีนกในกรงเพิ่มมาหนึ่งเล่ม ถือว่าหายกันแล้ว”
นกในกรงสองเล่ม เขาเรียกออกมาก่อน จึงเป็นฝ่ายชิงความได้เปรียบมาครอง นกในกรงของตนฝ่ายหลังจึงได้แต่อยู่ข้างนอก อันที่จริงก็เท่ากับว่าไม่มีแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ย “หยุดมือได้แล้ว”
เขาเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ มองนักพรตน่าสงสารที่ถูกทวนยาวในมืองัดเสยลอยอยู่กลางอากาศ “พวกเราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่คิดอย่างนั้น”
‘เฉินผิงอัน’ ที่อยู่ข้างกายผู้นี้ หากว่ากันในบางความหมายก็คล้ายจิตมารตนหนึ่งที่เดิมทีควรปรากฏตอนเป็นคอขวดขอบเขตก่อกำเนิด ทุกวันนี้เพิ่งจะมาปรากฏตัวกลับทำให้กลายเป็นเหมือนเทวบุตรมารนอกโลกที่ละทิ้งความเป็นมนุษย์ทั้งหมดไปมากกว่า
จำต้องยอมรับว่าเมื่อเขาเทียบกับเฉินผิงอันแล้ว กลับเหมือนผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ที่ฟ้าดินมิอาจพันธนาการได้มากกว่า
ฟ้าดินเล็กนกในกรงแห่งหนึ่ง ปราณกระบี่อึมครึมอัดแน่น ในขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ไม่มีสีสันแม้แต่น้อย ฟ้าดินเหมือนหิมะที่สะสมมานานนับหมื่นปี
เขามองหยวนฮว่าจิ้ง ยิ้มตาหยีเอ่ย “สนุกมากเลยใช่หรือไม่ ราวกับคนคนหนึ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ จึงไม่กลัวว่าผีจะมาเคาะประตู แต่ดันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาทันที จากนั้นพอสาบานว่าหากทำเรื่องที่ไร้จิตสำนึกเมื่อไหร่ขอให้ฟ้าผ่าหัว บังเอิญนัก ดันมีเสียงฟ้าร้องดังเป็นระลอก นี่ถือว่าเป็นจิตศรัทธาจึงทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เหนือหัวไปสามฉื่อมีเทพมองดูอยู่หรือไม่?”
กลางอากาศเหนือศีรษะของหยวนฮว่าจิ้งมีอสนีที่พลานุภาพสวรรค์น่าครั่นคร้ามผ่าเปรี้ยงลงมา เพียงแต่ว่ากลับถูกเวทอสนีอีกบทหนึ่งที่ราวกับว่าถือกำเนิดจากโลกมนุษย์ ผุดจากล่างพุ่งสู่ด้านบนกระแทกชนกันจนแหลกสลายไปพอดี
เขาถอนหายใจ “แบบนี้น่ากลุ้มมากแล้วนะ”
ยกตัวอย่างเช่นแผนการบางอย่างของเขา อย่างการลอบขโมยดวงวิญญาณของหยวนฮว่าจิ้ง พลิกกลับจากแขกมาเป็นเจ้าบ้านชั่วคราว มีหุ่นเชิดที่เขาสามารถบังคับได้ตามใจชอบเพิ่มมาอีกสิบตน วิธีการอำพรางซ่อนแฝงที่คล้ายคลึงกันนี้สามารถมีเยอะๆ ได้
แต่เฉินผิงอันกลับเดาได้แล้ว รู้แล้ว
ข้ากับข้า คือจุดอ่อนของกันและกัน
ยังคงเป็นเพราะตนมาถึงเร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถหล่อหลอมทั้งสิบเอ็ดคนของต้าหลีอย่างช้าๆ ได้ เท่ากับว่าหนึ่งคนได้ชดเชยสิบสองแผนภูมิดินได้ครบถ้วน!
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ วิชาอภินิหาร เวทคาถาทั้งหลายของอีกสิบเอ็ดคนที่เหลือในแผนภูมิดิน ล้วนสามารถถูกเขารื้อถอนออกมาทีละอย่าง เรียนรู้จนเข้าใจกระจ่าง จนเชี่ยวชาญ สุดท้ายนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง
แต่ก็ช่างเถอะ บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีที่ได้ครอบครองผลประโยชน์ไปเสียทั้งหมด อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี
——