กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 840.2 ครามเกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ถามว่า “ซ่งซวี่ กระบี่บินเล่มนั้นของเจ้าชื่อว่าอะไร?”
สุยหลินผู้ฝึกตนสายห้าธาตุของสำนักหยินหยางสามารถย้อนทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลา นี่คือพรสวรรค์วิชาอภินิหารที่หาได้ยากยิ่งแล้ว เพียงแต่ว่ายามที่ร่ายใช้มีข้อต้องห้ามมากมาย ยิ่งไม่อาศัยวัตถุนอกกายก็จะยิ่งลดทอนตบะ เดิมทีด้วยขอบเขตเซียนดินของสุยหลินในเวลานี้ บางทีอย่างมากสุดอาจร่ายใช้ได้แค่ครั้งเดียวสะพานแห่งความอมตะก็ปริแตกไปโดยตรงแล้ว เท่ากับว่าเส้นทางการฝึกตนต้องขาดสะบั้นไปนับแต่นี้ เกินครึ่งคงเป็นเพราะคนข้างกายมีวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งซึ่งช่วยให้คนหลายคนร่วมมือกันร่ายคาถาได้ ถึงทำให้สิบคนที่เหลือสามารถแบ่งเบาความเสียหายบนมหามรรคาส่วนนี้ไปจากสุยหลิน สุยหลินจึงไม่ต้องถึงขั้นขอบเขตถดถอย สุดท้ายก็แค่เผาผลาญเศษชิ้นส่วนร่างทองพวกนั้นไปเท่านั้น
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นวิชาอภินิหารบางอย่างของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของซ่งซวี่
ซ่งซวี่ตอบไม่ตรงคำถาม “กระบี่บินมีชื่อว่า ‘อี้ลู่’” (ทางพักม้า ทางสายใหญ่กว้างขวาง)
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วิญญูชนฝึกอบรมตน ไม่มีอะไรดีเกินกว่าความจริงใจ ซ่งซวี่ รู้หรือไม่ว่าประโยคนี้ของอาจารย์ข้าหมายความว่าอย่างไร?”
ซ่งซวี่สามารถรับหน้าที่เป็นผู้นำของภูเขาเล็กลูกหนึ่ง อีกทั้งทำให้ทุกคนยอมรับนับถือในตัวเขาได้ ไม่มีทางอาศัยแค่การเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหรือสถานะองค์ชายสกุลซ่งต้าหลีอย่างเดียวแน่นอน ยังต้องรวมไปถึงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่ช่วยให้สุยหลินย้อนทวนกระแสน้ำได้ด้วย
ซ่งซวี่ลังเลไปชั่วขณะ สีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “ยังมีกระบี่บินอีกเล่มชื่อว่า ‘ถงเหยา’ (บทเพลงสำหรับเด็ก) เป็นราชครูที่ช่วยตั้งชื่อให้”
สีหน้าของเฉินผิงอันอ่อนโยนลงหลายส่วน แล้วก็เริ่มชวนคุย “องค์ชายรอง เคยเจอเสด็จอาของเจ้าที่เมืองหลวงแห่งที่สองแล้วกระมัง คุยกันเยอะหรือไม่?”
ซ่งซวี่ไม่ได้ปิดบังอะไร พยักหน้าตอบว่า “เคยเจอกันสามครั้ง สองครั้งคือการประชุม ครั้งหนึ่งเป็นการพูดคุยกันส่วนตัว คุยกันไม่มาก แต่ข้ารู้ว่าเสด็จอาเป็นห่วงข้ามาก เพียงแต่เพราะข้อห้ามบางอย่าง เสด็จอาจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรกับข้ามากนัก”
เฉินผิงอันพยักหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าซ่งจี๋ซินผู้นี้เป็นเพื่อนบ้านข้ามานานหลายปี นับตั้งแต่เด็กมาเขาก็ไม่รู้จักสงบปากสงบคำ อะไรที่ดีอะไรที่ไม่ดีล้วนพูดออกมาหมด และยังชอบพูดเรื่องถูกให้กลายเป็นเรื่องผิดด้วย ทุกวันนี้ดีขึ้นมากแล้ว”
จำได้ว่าปีนั้นตนแบกผักป่ากระบุงหนึ่งกลับบ้าน ในมือถือหญ้าหางสุนัขที่ร้อยปลาในลำธารเป็นพวงไว้อีกไม่น้อย เตรียมจะเอาไปวางตากแดดบนขอบหน้าต่างเพื่อให้กลายเป็นปลาเล็กปลาน้อยตากแห้ง ตอนนั้นซ่งจี๋ซินนั่งยองอยู่บนหัวกำแพง บอกว่าความสามารถในการอยู่กับภูเขากินภูเขา อยู่กับน้ำกินน้ำของเฉินผิงอันมีไม่น้อย เขาก็เลยอยากจะเล่นด้วย เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องอะไร แต่ซ่งจี๋ซินดันเพิ่มประโยคตบท้ายมาว่าจะให้รางวัลเป็นเงินเหรียญทองแดง เวลานั้นเฉินผิงอันพูดแค่ว่าไม่ต้องให้เงิน ซ่งจี๋ซินกลับไม่พอใจเสียแล้ว จะให้เฉินผิงอันไปขอร้องให้เขาขึ้นเขาไปจับงู ลงน้ำไปจับปลาด้วยกันก็คงไม่ได้ จึงเลิกคุยกันแต่เพียงเท่านี้
เป็นเหตุให้ภายหลังที่เฉินผิงอันได้เดินบนเส้นทางชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะได้ยินหรือนึกถึงสองคำว่าขี้งอนขึ้นมา ก็มักจะไพล่นึกไปถึงซ่งจี๋ซินที่เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปีเสมอ
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ซ่งซวี่อ่า เสด็จอาของเจ้าคนนี้มีนิสัยเสียเต็มตัวไปหมด มีเพียงข้อนี้ที่นับว่ายังพอใช้ได้ นั่นก็คือยังพอเหลือมโนธรรมในใจอยู่บ้าง”
ซ่งซวี่สีหน้าปั้นยาก
อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวที่พูดคุยด้วยท่าทางผ่อนคลายตรงหน้าผู้นี้ หากนับกันตามอายุ ดูเหมือนจะถือว่าเป็นคนรุ่นอาของตัวเองจริงๆ
และในความทรงจำขององค์ชายต้าหลีอย่างซ่งซวี่ เสด็จอาซ่งมู่ อ๋องเจ้าเมืองผู้มีอำนาจที่ทำหน้าที่นั่งบัญชาการณ์สนามรบซึ่งเป็นแนวรบเส้นแรก คือผู้ที่มีรูปโฉมหล่อเหลาบุคลิกสง่างาม นิสัยเงียบขรึมพูดน้อย
มีอัจฉริยะและแผนการอันล้ำลึก ผลงานทางการสู้รบเกริกก้อง ตอนนั้นเสด็จอาที่อยู่บนภูเขาและอยู่ท่ามกลางกองทัพชายแดนต้าหลีก็มีบารมีอำนาจสูงมากแล้ว แต่พอมาอยู่กับซ่งซวี่กลับมีสีหน้าอ่อนโยน และเสด็จอาก็ดูแลหลานชายอย่างเขาในทางลับเยอะมาก ทั้งยังไม่ละเมิดกฎของต้าหลี กะน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม
สำหรับสิ่งนี้เสด็จพ่อไม่ได้เอ่ยอะไร เสด็จแม่เคยยิ้มคุยกับซ่งซวี่เป็นการส่วนตัว บอกว่าเจ้าต้องสนิทสนมกับเสด็จอาให้มาก ล้วนเป็นญาติกัน ไม่อาจห่างเหินกันได้
เฉินผิงอันโบกมือ “วันหน้าตั้งใจฝึกตนให้ดี”
ซ่งซวี่กุมหมัด
นาทีถัดมาซ่งซวี่ก็ได้พบทุกคนที่อยู่ในลานบ้าน เพียงแต่ว่าเต้าลู่เก๋อหลิ่งกับอาจารย์ค่ายกลหันโจ้วจิ่นได้หายตัวไปแล้ว
เฉินผิงอันแค่ถามเรื่องของหลัวเจี้ยงจากเก๋อหลิ่ง เดิมทีก็เป็นตำแหน่งขุนนางปลายแถวที่ช่วยที่ว่าการตรวจตราภูเขาอยู่แล้ว ทั้งต้องคอยรักษาความสงบสุขให้กับหน่วยของลัทธิเต๋าในภูเขา ขณะเดียวกันก็ยังต้องตรวจสอบการกระทำของนักพรตเต๋าที่อยู่ในทำเนียบด้วย หลายๆ ครั้งยังต้องช่วยเปิดทางคุ้มกันพวกขุนนางชนชั้นสูงที่จ่ายเงินเพื่อขึ้นเขามาประกอบพิธีกรรม อันที่จริงพูดไปพูดมาก็ล้วนเป็นงานหยุมหยิมปลีกย่อยทั้งนั้น
พอมาถึงหันโจ้วจิ่น เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยกับอาจารย์ค่ายกลที่มีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลชิงถานสำนักโองการเทพว่า “แม่นางหัน ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล ไม่ว่าจะพรสวรรค์หรือคุณสมบัติก็ล้วนดีเยี่ยม วันหน้าหากเขาผ่านทางมายังเมืองหลวงต้าหลี ข้าจะให้เขามาหาเจ้า”
หันโจ้วจิ่นประหลาดใจอย่างมาก เดิมทีนึกว่าจะถูกเรียกมาตำหนิ คิดไม่ถึงว่าจะยังมีเรื่องดีมาเยือนถึงบ้านด้วย? นางจึงก้มศีรษะคารวะตามขนบของลัทธิเต๋า ขอบคุณเฉินผิงอัน นางย่อมเชื่อในสายตาของอิ่นกวานท่านนี้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพื่อนของข้าคนนี้ไม่มีมาดอะไร อยู่ร่วมกับคนอื่นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งคำโบราณที่บอกว่าวิญญูชนทำความดีไม่หวังสิ่งตอบแทน ก็คือหลักการเหตุผลที่เหมือนถูกสร้างมาเพื่อเขา ใช่แล้ว คนผู้นี้ตลอดชีวิตชอบดื่มเหล้าแค่อย่างเดียว ดังนั้นแม่นางหันไม่ต้องคิดมาก ขอแค่เพื่อนคนนี้ของข้ามาที่เมืองหลวง อยู่ในถิ่นของเจ้า สุราต้องมีมากพออย่างแน่นอน เจ้าก็จะไม่ถือว่าติดค้างน้ำใจของเขาแล้ว”
หันโจ้วจิ่นพยักหน้า ทุกปีนางจะได้รับเงินเดือนจากกรมอาญามาไม่น้อย อีกทั้งค่าใช้จ่ายของนางก็เยอะ ซื้อเหล้าหมักตระกูลเซียนที่ดีที่สุดแพงที่สุดของแจกันสมบัติทวีปมาแค่ไม่กี่กา ไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว
เฉินผิงอันคล้ายจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยเตือนว่า “แม้ว่าเขาจะชอบดื่มเหล้า แต่ก็มีนิสัยเสียๆ อยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือจะไม่ยอมดื่มเหล้าง่ายๆ แม่นางหัน ความสามารถในการยุคนให้ดื่มเหล้าของเจ้ามีเยอะหรือไม่?”
หันโจ้วจิ่นส่ายหน้า
เฉินผิงอันหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนให้หันโจ้วจิ่นเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เป็นความรู้ที่มอบให้เปล่าๆ บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ได้เป็นคนแต่งเองนะ อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้คู่มือกันไปคนละเล่ม ก่อนนั่งลงที่โต๊ะเหล้าล้วนต้องเปิดอ่านก่อนหนึ่งรอบ”
หนิงเหยารู้สึกว่าหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาเจอกับเพื่อนอย่างเฉินผิงอันนี้ ต่อให้ไม่อยากดื่มเหล้าก็เป็นเรื่องยากจริงๆ คาดว่าดื่มไปดื่มมาคงดื่มจนฝึกปรือความคอแข็งได้เลยกระมัง?
เฉินผิงอันพูดกับหันโจ้วจิ่นว่า “ซากปรักจวนเซียนที่ถูกเจ้าหลอม อันที่จริงเจ้ายังหาจุดศูนย์กลางที่แท้จริงของค่ายกลไม่เจอ วันหน้าเจ้าไปหาเฟิงอี๋สักรอบ หากนางยินดีเปิดเผยความลับ สำหรับเจ้าแล้วก็คือโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้า”
ในใจของหันโจ้วจิ่นสะท้านสะเทือน ถึงกับมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?!
สุดท้ายเฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ในเมื่อแม่นางหันรู้สึกชอบเก๋อหลิ่ง แล้วเขาก็ชอบเจ้า ก็อย่าจงใจเอาข้ามาทำให้เขาโมโหอีกเลย หากพวกเจ้าสองคนอยากทะเลาะกันจริงๆ จะดีจะชั่วก็ช่วยเปลี่ยนคนหน่อย ใครก็ได้แต่อย่าเป็นข้าก็พอ”
หันโจ้วจิ่นใช้เสียงในใจตอบกลับ “ทราบแล้ว”
หลังจากนั้นก็ส่งคนทั้งสองจากไป เรียกขู่โส่วมาเพียงลำพัง
เฉินผิงอันถาม “ขอบเขตของเจ้าในเวลานี้ได้แต่อาศัยวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นมาคัดลอกสภาพที่แท้จริงของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งได้เท่านั้นหรือ?”
ผู้ฝึกตนหนุ่มตอบไปตามตรง “ตอนนี้คันฉ่องหยุดวารีทำได้เพียงเท่านี้ วันหน้าหากผู้เยาว์สามารถเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบก็จะสามารถแสดงภาพจริงของเซียนเหรินคนหนึ่งได้ หากผู้เยาว์โชคดีได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนเหรินอีก ก็สามารถแสดงภาพจริงของถ้ำสวรรค์ที่ขนาดไม่ใหญ่และพื้นที่มงคลที่จำนวนคนไม่มากได้ แต่ขนาดเล็กใหญ่ของฟ้าดินที่อยู่ในคันฉ่องหยุดวารี ผู้เยาว์พอจะสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าสุดท้ายจะต้องมีตัวแปรที่แน่นอน หากผู้เยาว์ไม่รู้จักพันธนาการเอาไว้ ละโมบเกินไปก็ง่ายที่จะเป็นดวงจันทร์เต็มดวงแล้วกลายเป็นจันทร์เสี้ยว น้ำเต็มแล้วต้องล้นเอ่อ เป็นเหตุให้เกิดการพังทลาย”
เฉินผิงอันถาม “ขอให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?”
ขู่โส่วเรียกกระจกโบราณออกมาทันทีโดยไม่ลังเล ถูกเฉินผิงอันบังคับมาไว้ในมือ สองนิ้วจับคีบที่ริมขอบ มองตัวอักษรที่ร้อยเรียงกันอยู่ด้านหลังกระจก
‘ใจคนหนึ่งตารางชุ่น ใจฟ้าหนึ่งตารางจ้าง’ เป็นภาษาของลัทธิเต๋า
‘สิ่งที่ข้าพบเห็น ขุนเขาพลิกหมุนวารีหยุดไหล’ ค่อนข้างจะน่าสนใจ ไม่ใช่ขุนเขาไม่ขยับสายน้ำไหลยาว แท้จริงแล้วลัทธิพุทธก็มีคำกล่าวที่ว่า ‘ลมพัดธงสะบัดไหวใจคนไม่หวั่นไหว’ ‘ได้ยินเสียงใจไม่คลอนแคลน’ นี่ค่อนข้างเชื่อมโยงกับคำกล่าวของลัทธิ์เต๋าที่ว่าการเคลื่อนไหวของเต๋านั้นเป็นตรงกันข้าม
ส่วนประโยค ‘ใช้คนส่องกระจก จริงเท็จมีไม่มี’ ก็ยิ่งมีความรู้ยิ่งใหญ่แล้ว
เฉินผิงอันรีบกักความคิดที่เชื่อมโยงเป็นพรวนนี้ของตนทันที ความคิดหนึ่งในนั้นก็คือประโยคเก่าแก่ที่อ่านเจอมาจากในตำราโบราณ ‘ฟ้าและน้ำตรงข้ามกัน’ ความหมายคร่าวๆ ก็คือสภาพของท้องฟ้าและสภาพของน้ำเป็นไปในทางตรงกันข้ามกัน (ท้องฟ้าอยู่สูงเบื้องบน ส่วนสายน้ำมักจะชอบไหลจากที่สูงลงที่ต่ำเสมอ)
เฉินผิงอันคืนกระจกโบราณให้กับขู่โส่ว พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วันหน้าจะต้องใช้ของสิ่งนี้อย่างระวังแล้วระวังอีก เด็กน้อยถือมีดโบกค้อน ส่วนใหญ่ก่อนจะทำร้ายคนอื่นมักจะทำร้ายตัวเองก่อนเสมอ”
ขู่โส่ววางคันฉ่องหยุดวารีบานนั้นใส่ไว้ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตอย่างระมัดระวัง เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์เฉิน ขอโทษนะขอรับ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีใจคิดอยากทำผิดไม่น่ากลัว มีใจคิดอยากแก้ไขความผิดก็คือการฝึกตน”
ขู่โส่วกุมหมัดเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “คำสั่งสอนของอาจารย์เฉิน ผู้เยาว์จดจำไว้ขึ้นใจแล้ว!”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เรียกอวี๋อวี๋ สุยหลินและลู่ฮุยมาพร้อมกันทีเดียว
เฉินผิงอันถามเข้าประเด็น “หากวันหน้าจิตมารคือข้า พวกเจ้าจะทำอย่างไร?”
สุยหลินและลู่ฮุยหน้าขาวซีด กลับเป็นอวี๋อวี๋ที่เปิดปากเป็นคนแรก “ต้องสู้ไม่ได้แน่นอน ข้าก็สงบใจเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดไปแล้วกัน หลังจากนั้นก็กอดขาใหญ่ให้เขาเดินลากไป ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางออกไปจากสายแผนภูมิดินก่อนอยู่แล้ว รอให้กรมพิธีการกรมอาญาไล่คนก่อนค่อยว่ากัน”
เฉินผิงอันรู้สึกว่าแม่นางน้อยสำนักการทหารที่อันที่จริงรับผิดชอบเป็นกุนซือหัวสุนัขอยู่เบื้องหลังสายแผนภูมิดินผู้นี้ เกินครึ่งจิตมารคงไม่ใช่ตนแล้ว ใจใหญ่เพียงนี้ ไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ง่าย
คำว่าจิตมารสามารถแบ่งออกเป็นคร่าวๆ ได้สองประเภท ยกตัวอย่างเช่นคนที่มีจิตใจมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกตนอย่างเดียว ไม่คิดอะไรมากมาย อันที่จริงก็ถือว่าเป็นจิตแห่งมรรคาที่บริสุทธิ์อย่างหนึ่ง ก็จะต้องถูกจิตมารใช้กำลังสยบกำราบ ทักษะที่มีติดตัวของผู้ฝึกตน ยามที่เผชิญหน้ากับธรณีประตูเช่นนี้มักจะเป็นสถานการณ์ที่ธรรมะสูงหนึ่งฉื่ออธรรมสูงหนึ่งจั้งเสมอ ก็เหมือนว่าคิดจะเดินเข้าไปในห้อง แต่กลับมีคนมาขวางทาง และคนผู้นี้ก็ยืนอยู่บนธรณีประตูพอดี เทียบกับคนที่อยู่นอกประตูแล้วสูงกว่ามาก
นอกจากนี้ก็คือจิตแห่งมรรคาที่เป็นมายาล่องลอยยิ่งกว่าแล้ว จุดที่เป็นข้อบกพร่องใหญ่ที่สุดในใจ ช่องโหว่ใหญ่ในใจของผู้ฝึกตน ก็คือจุดที่จิตมารถือกำเนิด
เฉินผิงอันแยกพูดกับสุยหลินและลู่ฮุยว่า “สุยหลิน ลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อต่างก็มีการสืบทอดในวิชาเฝ้าหนึ่ง ลองไปเปิดเอกสารหรือเชิญให้ยอดฝีมือมาสอนเจ้าดู หลังจากนี้เจ้าควรไปเยือนสองสถานที่อย่างหน่วยจงซวีและหน่วยแปลคัมภีร์บ่อยๆ ฟังให้มากคิดให้มาก จากนั้นก็ค่อยๆ รวบรวมจิตใจให้กลายเป็นหนึ่ง ขั้นตอนนี้มองดูเหมือนธรรมดาสามัญ เพียงแต่ว่าฟังการถ่ายทอดวิชาจากคนอื่น อันที่จริงไม่มีทางผ่อนคลายได้แน่ เจ้าต้องเตรียมใจให้พร้อมด้วย”
“ลู่ฮุย เจ้าลองหาวิธีไขทางตันให้ออกด้วยตัวเองก่อน หากไม่ได้จริงๆ ในอนาคตวันใดที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีหวังในการฝ่าทะลุขอบเขตแล้วก็มาหาข้าที่ภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะถ่ายทอดคาถาไขคำของผู้ฝึกลมปราณลัทธิขงจื๊อบทหนึ่งให้เจ้า”
อันที่จริงลู่ฮุยคือคนที่ติดร่างแหให้ต้องเดือดร้อนด้วยมากที่สุด ว่ากันในบางระดับใหญ่แล้วถือเป็นการเจอกับหายนะโดยไม่ทันตั้งตัว ก่อนหน้านี้ถึงได้ถูกลดทอนตบะไปอย่างจงใจ
เพราะสิ่งที่เฉินผิงอันชุดขาวที่อยู่ในท่วงท่าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เยื้องกรายมาเยือนโลกมนุษย์เคียดแค้นที่สุด หรือควรจะบอกว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกรับมือได้ยากที่สุด แท้จริงแล้วก็คือสถานะของลู่ฮุย ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ หรือควรจะบอกว่าบัณฑิต
ลู่ฮุยและสุยหลินต่างก็คารวะตามขนบของลัทธิตัวเองเพื่อแสดงการขอบคุณอย่างจริงใจต่ออาจารย์เฉินท่านนี้
อวี๋อวี๋ถาม “อาจารย์เฉิน แล้วข้าล่ะจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “ดื่มเหล้าให้มาก”
อวี๋อวี๋ถามอย่างสงสัย “แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ?!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดื่มเหล้าสามารถดับสารพัดความทุกข์ได้”
อวี๋อวี๋กลุ้มใจยิ่งนัก “ดื่มเหล้าสิ้นเปลืองเงินที่สุดแล้ว หลายปีมานี้ข้าคอยเก็บสะสมสินเดิมอย่างยากลำบากอยู่ตลอด เหล้าหมักตระกูลเซียนของตำหนักฉางชุนก็ยังตัดใจซื้อมาได้แค่ไม่กี่กา หากว่าไม่มีตบะที่หนักแน่นมากพอ ป่านนี้คงไปเป็นโจรนานแล้วล่ะ”
——