กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 841.1 บ้านเกิด
ฟังคำอธิบายจากเฉินผิงอันที่ถึงกับยอมสาดน้ำสกปรกใส่อาจารย์ของตัวเอง หนิงเหยาไม่ได้เอ่ยอะไร เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนม้านั่งยาวตัวที่นั่ง ไปนั่งอยู่ข้างกายหนิงเหยาแทน แต่ดูเหมือนนางจะโกรธยิ่งกว่าเดิมจึงขยับตัวหนี ไม่ยินดีจะนั่งใกล้เขา เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คืบแล้วจะเอาศอก เพียงนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่เดิมเงียบๆ
ความรักชายหญิง อะไรคือความใจดำไม่เคร่งครัดประเพณี ก็คือคนคนหนึ่งที่เห็นๆ กันอยู่ว่ามีสุราจริงใจอยู่แค่กาเดียว แต่กลับพบเจอใครก็ดื่มไปทั่ว
คำว่าความรักลึกซึ้งก็คือเหล้ากาหนึ่งที่ฝังลึกอยู่ในใจ จากนั้นวันใดดื่มไปจนถึงก้นกา ดื่มหมดแล้วก็หยุดดื่ม จะไม่เมาได้อย่างไร
เพียงแต่เฉินผิงอันมือหนึ่งหิ้วกาเหล้า อีกมือหนึ่งแอบวางบนม้านั่งยาวระหว่างคนทั้งสองเงียบๆ ทำท่าปูไต่แอบขยับเข้าไปใกล้หนิงเหยา
ในขณะที่เขากำลังจะทำสำเร็จ กลับถูกหนิงเหยากำมือเป็นหมัดต่อยเข้าที่หลังมือ แรงนั้นหนักหน่วงจริงๆ เจ็บจนเฉินผิงอันต้องกดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน ร้องตวาดเบาๆ หนึ่งที รอกระทั่งหนิงเหยาเก็บหมัดไปแล้ว เฉินผิงอันก็รีบยกหลังมือขึ้นมาถูปลายคาง
เงียบไปพักหนึ่ง หนิงเหยาก็ถามว่า “ดูเหมือนความประทับใจที่เจ้ามีต่อซ่งจี๋ซินจะเปลี่ยนไป?”
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในลานบ้าน เฉินผิงอันพูดถึงเพื่อนบ้านที่บ้านอยู่ใกล้กันมานานหลายปีตอนเป็นเด็กหนุ่ม แม้คำพูดคำจาของอีกฝ่ายจะระคายหูไม่น่าฟัง แต่แท้จริงแล้วนิสัยกลับยังพอใช้ได้
เฉินผิงอันพยักหน้า “เรื่องใหญ่ๆ ไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว เพราะซ่งจี๋ซินก็ทำไปไม่น้อย ข้าจะพูดถึงแค่เรื่องเล็กเรื่องเดียว”
ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงที่กลายมาเป็นอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ เคยนั่งบัญชากรณ์นครมังกรเฒ่าทั้งก่อนและหลัง ภูเขาของขุนเขาใต้ เมืองหลวงสำรองแห่งที่สองที่ตั้งของลำน้ำใหญ่ สงครามสามครั้ง ซ่งจี๋ซินล้วนอยู่ในแนวรบเส้นแรกบนสนามรบตลอดเวลา รับหน้าที่โยกย้ายจัดวางกองกำลัง แม้จะบอกว่าการจัดกำลังพลโดยหลักๆ แล้วมีแม่ทัพบู๊ที่คุ้นเคยกับเรื่องการศึกอย่างซูเกาซาน เฉาผิงที่เป็นทูตผู้ตรวจการของต้าหลีอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วกิจธุระที่สำคัญหลายอย่าง หรือไม่ก็ในสถานการณ์ที่มองดูแล้วสามารถเลือกทำได้ทั้งสองทาง แต่อันที่จริงกลับจะส่งผลต่อการดำเนินไปในภายหลังของการต่อสู้ ล้วนจำเป็นต้องให้ซ่งมู่ตัดสินใจเพียงลำพัง
หากว่าเขาเป็นเพียงอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีที่มีเพียงตำแหน่งว่างเปล่า เป็นแค่เครื่องประดับในพื้นที่ศักดินาที่ไม่เสียดายชีวิต อย่างมากสุดก็แค่รับผิดชอบสร้างขวัญกำลังใจของคนในกองทัพให้มั่นคง ย่อมไม่มีทางได้รับความเคารพนับถือจากกองทัพชายแดนต้าหลีและผู้ฝึกตนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปอย่างแน่นอน
“อาณาเขตใต้การปกครองของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี รวมไปถึงแคว้นใต้อาณัติมากมาย อำเภอ เขตและจังหวัดทั้งหมด ขอแค่เป็นคนที่ให้ยืมเงินกู้ดอกเบี้ยสูงแก่สำนักศึกษาและโรงเรียนทุกแห่ง ซ่งจี๋ซินก็จะออกคำสั่งให้ราชสำนักของแต่ละแคว้น ที่ว่าการขุนนางของแต่ละท้องถิ่นจับตัวพวกคนที่ปล่อยเงินกู้พวกนี้มาแล้วตัดมือคนละข้าง ใครกล้าหนี หากหลบหนีออกไปนอกอาณาเขตได้ ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่อื่น โทษจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้น มือสองข้างไม่เหลือเลยสักข้าง
“อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็กอะไร เพียงแต่เมื่อเทียบกับเรื่องใหญ่ของจวนอ๋องเจ้าเมืองและเมืองหลวงสำรองแห่งอื่นๆ แล้วทำให้ดูไม่สะดุดตาถึงเพียงนั้น”
หนิงเหยากล่าว “ไม่ค่อยเหมือนเรื่องที่ซ่งจี๋ซินจะทำได้จริงๆ”
ในความทรงจำของนาง ซ่งจี๋ซินคือคุณชายที่ไม่ต้องกังวลกับเรื่องการกินอยู่ ข้างกายยังมีสาวใช้ที่ไม่ว่าจะชื่อ รูปโฉมหรือนิสัยใจคอก็ล้วนไม่โดดเด่นเท่าใดอยู่ด้วย คนหนึ่งเอาแต่ใจ คนหนึ่งขี้งอน สองคนมาอยู่ด้วยกัน ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก
เฉินผิงอันยิ้มพลางอธิบาย “บางทีซ่งจี๋ซินอาจรู้สึกว่าตอนที่บัณฑิตไม่มีเงินก็ควรต้องไม่มีเงิน ก่อนจะออกจากโรงเรียน ไม่มีเงินก็ยิ่งต้องตั้งใจเรียนหนังสือ ทุกวันตรากตรำอ่านตำรา ช่วงชิงตำแหน่งขุนนางมาไว้ในมือให้ได้ เพียงแต่นักเรียนที่อายุน้อย หรือไม่ก็พวกลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ยังเยาว์วัย ตบะฃไม่หนักแน่นพอก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ซ่งจี๋ซินจึงไปคิดบัญชีกับพวกคนที่กล้าหาเงินด้วยวิธีนี้แทน”
“สิ่งที่ซ่งจี๋ซินเกลียดชังที่สุดตอนเป็นเด็ก อันที่จริงกลับเป็นการที่เขาไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ ในกระเป๋ามีเงินมากเกินไป ข้อนี้ไม่ถือว่าเขาเจ้าแง่แสนงอนอะไรจริงๆ เพราะทุกวันต้องถูกคำพูดของพวกเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงทิ่มแทงจิตใจ รสชาติที่ถูกคนด่าว่าเป็นลูกนอกสมรส ไม่ว่าใครได้ฟังก็รู้สึกดีไม่ได้เลยจริงๆ”
“ซ่งจี๋ซินเป็นคนเอาแต่ใจขนาดนั้น พอไปอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ขี้หมาขี้ไก่อย่างตรอกหนีผิง กลับไม่ยอมย้ายออกไปไหน บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าข้าเองก็เหมือนกับเขา คนหนึ่งไม่มีพ่อแม่แล้ว อีกคนหนึ่งมีก็เหมือนไม่มี ดังนั้นอาศัยอยู่ในตรอกหนีผิงจึงทำให้ซ่งจี๋ซินไม่รู้สึกคับแค้นใจเกินไปนัก”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมดก็วางกาเหล้าลงบนม้านั่งยาว เทถั่วเหลืองโรยเกลือส่วนหนึ่งจากชายแขนเสื้อมาไว้ในฝ่ามือ ยื่นฝ่ามือส่งไปให้หนิงเหยา หนิงเหยาก็กวาดออกไปครึ่งหนึ่ง
เรียนวิชาหมัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกลายเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตร่างทองแล้ว รอยด้านบนหมัดเท้าของเฉินผิงอันก็ล้วนหายไปหมดแล้ว
เฉินผิงอันคีบถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งขึ้นมา โยนใส่ปาก ใช้รองเท้าเตะกันเบาๆ
รองเท้าผ้าของเขาคู่นี้เป็นพ่อครัวเฒ่าที่เย็บขึ้นมาเองกับมือ ฝีมือการเย็บไม่ต้องพูดถึง ละเอียดละออประณีตยิ่งกว่างานเย็บปักของสตรีเสียอีก บนภูเขาลั่วพั่ว ใครที่ยินดีสวมรองเท้าผ้าล้วนมีให้ทุกคน ส่วนเจียงซ่างเจินนั้นมีอยู่กี่คู่ บอกได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจียงซ่างเจินจ่ายเงินเทพเซียนไปกี่มากน้อย ก็ยิ่งบอกได้ยากเข้าไปใหญ่
อันที่จริงรองเท้าผ้าที่หน่วนซู่น้อยเป็นคนเย็บก็มีอยู่สองคู่ แต่เฉินผิงอันตัดใจนำมาสวมใส่ไม่ลง จึงวางเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันมั่นใจว่าครั้งนี้พาหนิงเหยากลับไปที่ภูเขาลั่วพั่ว หนิงเหยาก็ต้องได้รับเหมือนกันแน่นอน แม่บ้านตัวน้อยที่แต่ละวันยุ่งวุ่นวายที่สุดอย่างหน่วนซู่น้อยนี้ มีเรื่องอะไรที่นางคิดไม่ถึงบ้างเล่า
เฉินผิงอันกินถั่วเหลืองโรยเกลือแล้วยิ้มตาหยี สีหน้าอ่อนโยน ราวกับมองเห็นเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่พอเช้าตรู่ก็ออกมาจากเรือนที่พักของตัวเอง เมื่อนางเดินไปถึงจุดที่ไร้ผู้คนก็จะสะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ ก้าวเท้าแผ่วเบาว่องไว เดินเร็วๆ ไปยังหน้าประตูเรือนแห่งหนึ่ง พอไปถึงแล้วก็ชะลอฝีเท้า หยิบกุญแจพวงหนึ่งออกมา เลือกหยิบกุญแจดอกหนึ่งในพวงออกมาอย่างคล่องแคล่ว เปิดประตูออก ไม้กวาด ผ้าเช็ดพื้น กระบวยตักน้ำ ถังน้ำ…มีระเบียบเป็นขั้นตอน ง่วนอยู่กับการปัดกวาดที่พัก เช็ดถูโต๊ะเก้าอี้ เอาผ้าห่มออกมาตากแดด…
อะไรนะ กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีพวกเจ้ากล้ามาล้อมภูเขาลั่วพั่วของข้าอย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันหันหน้ามองไปยังทิศที่ตั้งของวังหลวง
บางทีคนสิบเอ็ดคนของแผนภูมิดิน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตระหนักถึงเรื่องหนึ่ง เขาย่อมมีฝีมือสูงส่งกว่าเฉินผิงอันชุดขาวคนนั้น เพราะถึงอย่างไรฝ่ายหลังก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้น
นี่หมายความว่าในช่วงเวลาบางอย่าง วิธีการทุกอย่างที่เฉินผิงอันซึ่งมีจิตแห่งเทพบริสุทธิ์คนนั้นทำเป็น เฉินผิงอันก็ทำเป็นเหมือนกัน อีกทั้งการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นในนกในกรงก่อนหน้านี้ ตนอีกคนหนึ่งก็ยังไม่ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มกำลังเลยด้วยซ้ำ
หนิงเหยาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของเฉินผิงอันก็หันหน้ามาถาม “เป็นอะไรไป?”
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา ยิ้มตอบ “ไม่มีอะไร ก็แค่ยิ่งคิดยิ่งโมโห เดี๋ยวจากนี้จะไปหาไม้มาทำกล่องบรรจุอาหารสักใบ จะได้เอาไว้เก็บอาหารมื้อดึก”
หนิงเหยาเองก็คร้านจะถามว่าความโมโหเกี่ยวข้องอะไรกับงานไม้และอาหารมื้อดึกนี่ด้วย เพียงแค่ถามว่า “ภายในครึ่งเดือน หนันจานจะเป็นฝ่ายนำเศษกระเบื้องชิ้นนั้นมามอบให้ด้วยตัวเองหรือ?”
“หากไม่พูดถึงตะเกียงแห่งชะตาชีวิตที่ข้าหาพบในภายหลัง อันที่จริงก็ไม่แน่เสมอไป”
“ดังนั้นในเรือนพักแห่งนี้ เจ้าจึงสามารถข่มขู่นางได้ตามใจชอบ?”
“ก็ไม่ถือว่าเป็นคำขู่ทั้งหมด หลักๆ แล้วแค่ต้องการให้นางรู้สึกกินไม่ลงนอนไม่หลับ เกิดใจกังขาว่าจะมีผีปรากฎขึ้นในความมืด และไม่ว่าจะเจอใครก็ล้วนเห็นเป็นผีไปทั้งหมด”
เฉินผิงอันหัวเราะหยัน ก่อนจะเอ่ยเนิบช้าว่า “ไทเฮาเหนียงเนียงผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นคนที่ใช้หลักคุณความชอบและลาภยศได้ดีมาก ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ยอมมอบเศษกระเบื้องชิ้นนั้นออกมา ไม่เพียงเพราะแรกเริ่มนางก็รู้สึกมีหวังว่าจะบังเอิญโชคดี อยากได้ผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด ความคิดสมมติแรกเริ่มเดิมทีของนางก็คือจะเกิดสถานการณ์ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ก็คือข้าที่อยู่ในเรือนพยักหน้าตอบตกลงกับข้อแลกเปลี่ยนนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ หนึ่ง นางไม่เพียงแต่ไม่ต้องคืนเศษกระเบื้อง ยังสามารถดึงตัวผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนและผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งมาเป็นพวกให้กับราชสำนักต้าหลี ไม่จำเป็นต้องมีนามของผู้ถวายงาน แต่กลับต้องทำหน้าที่ของผู้ถวายงาน”
“ในเมืองหลวงแห่งที่สองนอกจากป๋ายอวี้จิงจำลองของแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินหลบซ่อนอยู่ในที่มืด ค่อยๆ สะสมตบะไปช้าๆ มีข้าและภูเขาลั่วพั่วอยู่ในที่แจ้ง สำหรับสกุลซ่งต้าหลีแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีประโยชน์อย่างถึงที่สุด ทั้งๆ ที่นางเป็นคนทำผิดก่อน แผนการชั่วร้ายอำมหิต แต่กลับต้องการให้ข้าวางอคติที่เคยมีต่อนางทิ้งไป เปลี่ยนจากศัตรูกลายเป็นมิตร ข้อดีข้อที่สองก็คือ สกุลซ่งต้าหลีสามารถช่วงชิงชื่อเสียงดีงามมาจากอีกแปดทวีปที่เหลือของใต้หล้าไพศาลว่าปฏิบัติต่อผู้มีคุณูปการอย่างมีเมตตาน้ำใจ”
“สาม ในฐานะเจ้าสำนักของภูเขาลั่วพั่ว ความสัมพันธ์ควันธูประหว่างข้ากับอุตรกุรุทวีป การสร้างสำนักเบื้องล่างไว้ที่ใบถงทวีป ต้าหลีก็ล้วนสามารถแบ่งน้ำแกงถ้วยหนึ่งไปได้ แน่นอนว่าราชสำนักต้าหลีทำเรื่องที่เป็นรูปธรรมอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับผลประโยชน์ สี่ ข้ายังเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในอนาคตจะต้องมีเซียนกระบี่ต่างถิ่นอย่างพวกหลิวจิ่งหลง เซี่ยซงฮวา อวี๋เยว่มาสานความสัมพันธ์กับแจกันสมบัติทวีและต้าหลีบ่อยๆ แน่นอน สำหรับโชคชะตาวิถีกระบี่ของราชวงศ์ต้าหลีแล้ว นี่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่กลับมีประโยชน์อยู่บ้าง”
“สุดท้าย ในฐานะที่ข้าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ สามารถช่วยให้สกุลซ่งต้าหลีสานสะพานความสัมพันธ์กับศาลบุ๋นได้ สกุลซ่งก็จะสามารถตัดขาดความสัมพันธ์กับสกุลเจียงอวิ๋นหลินได้อย่างสิ้นเชิง”
“วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดิน ให้ใครก็คือให้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ยกตัวอย่างเช่นสิบเอ็ดคนของแผนภูมิดิน ที่ว่าการสองแห่งของต้าหลีก็ต้องควักเงินไปไม่น้อย ความสิ้นเปลืองในการต่อสู้ง่ายๆ แค่ครั้งเดียวก็ล้วนต้องเอาเงินฝนธัญพืชมาคิดคำนวณ”
เฉินผิงอันโยนถั่วเหลืองโรยเกลือส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในมือใส่ปากทั้งหมด พูดเสียงอู้อี้ว่า “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดแรกเริ่มนางถึงพูดจาดีขนาดนั้น ไทเฮาเหนียงเนียงผู้สูงศักดิ์ของแคว้นหนึ่งให้ความสนใจสถานการณ์ใหญ่ที่เป็นภาพรวมถึงเพียงนี้ จะบอกว่านางยอมลดศักดิ์ศรียอมก้มหัวให้ก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย อย่าเห็นว่าทุกวันนี้ต้าหลีเป็นหนี้คนภายนอกเยอะมาก แต่แท้จริงแล้วรากฐานกำลังทรัพย์ของตระกูลกลับอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นหากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ต้องเตรียมการสำหรับสงครามครั้งที่สอง คาดการณ์ไว้ได้ล่วงหน้าว่ากองทัพม้าเหล็กชายแดนจำเป็นต้องเดินทางไปเปลี่ยวร้าง ทรัพย์สมบัติที่พวกเขามีก็คงช่วยให้ราชสำนักต้าหลีใช้หนี้ทั้งหมดได้แล้ว”
หนิงเหยากล่าว “มีทั้งชื่อเสียงจอมปลอมและมีทั้งผลประโยชน์ที่แท้จริง หนันจานผู้นี้ได้เปรียบไปเสียทุกด้าน ช่างดีดลูกคิดมาได้ดีจริงๆ”
เฉินผิงอันปัดมือ “บอกว่านางเป็นสตรีผมยาวความรู้สั้น ช่างเป็นคำพูดที่ใส่ร้ายไทเฮาต้าหลีของพวกเราท่านนี้จริงๆ”
หนิงเหยาขมวดคิ้ว “ต้องยังมีเหตุผลที่ใหญ่กว่านี้คอยประคับประคองให้นางดึงดันถึงที่สุดอยู่แน่นอน เป็นสกุลลู่แผ่นดินกลางหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ขอแค่เป็นเรื่องของบุคคล ล้วนต้องมีสิ่งที่ใส่ใจอยู่ หนันจานก็ต้องไม่ใช่ข้อยกเว้น ยกตัวอย่างเช่นวันหน้าต้าหลีจะใช้แซ่อะไร จะยังใช้แซ่ซ่งหรือไม่ จะยังเป็นลูกชายของนางที่ได้ตำแหน่งฮ่องเต้หรือไม่ หรือยกตัวอย่างเช่นราชวงศ์ต้าหลีจะยังรักษาดินแดนครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปไว้ได้หรือไม่ สถานะอันสูงศักดิ์ของไทเฮาอย่างนางจะยังรักษาไว้ได้ไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะยังกลับเข้ามาร่วมการปกครองอีกครั้ง อย่างเช่นว่าฉวยโอกาสตอนที่ศิษย์พี่ของข้าไม่อยู่ นางจะมีโอกาสเข้าควบคุมผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินหรือไม่ หรืออีกอย่างก็คือชีวิตและมหามรรคาของตัวนางเอง หรือในฐานะลูกศิษย์สกุลลู่ หมากเม็ดหนึ่งที่สกุลลู่แผ่นดินกลางวางไว้ในแจกันสมบัติทวีป จะมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของนางหรือไม่ เป็นต้น แต่ละเรื่องมีหนักมีเบา มีตื้นมีลึก ถึงอย่างไรยิ่งเป็นผู้ฝึกตนที่ไม่อาจเป็นตัวของตัวเองก็ยิ่งมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคำว่าเป็นตายได้มากเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรบนภูเขาก็มีวิธีการมากมายที่ต่อให้คนคนหนึ่งอยากจะตายให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปก็ยังเป็นเรื่องที่ยากมาก”
ย้อนกลับมามองรองเจ้ากรมผู้เฒ่าของสวนสิงโตแคว้นชิงหลวนคนนั้น ชื่อเสียงสำคัญกว่าชีวิต แน่นอนว่าไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอมของคนที่แสร้งวางตัวภูมิฐานอะไร
ส่วนซูเกาซานทูตผู้ตรวจการของต้าหลีก็เพราะว่ามีปณิธานอยู่ในใจ สถานะแม่ทัพบู๊ที่ชาติกำเนิดยากจนจึงสำคัญยิ่งกว่าชีวิต
หนิงเหยาถาม “แผนภูมิดินขาดแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ต้าหลีไม่เคยคิดถึงเผยเฉียนหรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “ต้องเคยคิดแน่นอน แต่หนึ่งดูเหมือนว่าศิษย์พี่จะไม่ได้วางแผนไว้เช่นนี้ สองก็เพราะเผยเฉียนก็ไม่มีทางตอบตกลง”
หนิงเหยาถามอีก “แล้วตอนนี้ล่ะ เจ้าเคยคิดให้เผยเฉียนมาเติมแผนภูมิดินให้เต็มหรือไม่? ในเมื่อไม่อาจไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อันที่จริงมีสถานะของทางการอยู่ติดตัว ไม่ว่าจะท่องยุทธภพหรือฝึกตนก็ล้วนมั่นคงอย่างมาก”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางตอบตกลง”
หนิงเหยาก็ส่ายหน้าเช่นกัน “เป็นเจ้าที่ไม่ตอบตกลงหรือรู้สึกว่าเผยเฉียนจะไม่ตอบตกลงกันแน่? อย่าลืมล่ะว่า เผยเฉียนที่อยู่ในเกราะทองทวีปและแจกันสมบัติทวีปล้วนออกหมัดสังหารศัตรูได้อย่างไม่มีเลอะเลือน แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ถามความเห็นของตัวเผยเฉียนก่อน?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลยจริงๆ
หนิงเหยากล่าว “หากตัวเผยเฉียนเองยินดี เจ้าก็จะยังห้ามนางหรือ?”
เฉินผิงอันลังเลไปพักหนึ่ง “คงไม่ห้ามหรอกกระมัง”
จากนั้นเฉินผิงอันก็พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ช่วยไม่ได้ ต่อให้เป็นตอนนี้ ขอแค่ไม่เห็นเผยเฉียนมายืนอยู่ตรงหน้าก็ดูเหมือนว่านางจะยังคงเป็นแม่นางน้อยที่มวยผมกลมๆ อยู่สองมวยเหมือนเดิม”
แม่นางน้อยตัวดำเมื่อม เรือนกายเล็กบางผ่ายผอม แขนเล็กๆ ทั้งสองข้าง ยามที่ออกวิ่งขึ้นมาก็ราวกับกิ่งหลิ่วที่แกว่งสะบัดไปเรื่อย
ชอบก่อกวน ขี้ขลาด ใจแคบ สมองเล็กๆ หมุนเร็วยิ่งกว่าใคร เก่งในโปงผ้าห่มยิ่งกว่าหลี่ไหว สามารถหลอกพาคนที่ไม่รู้จักนางดีพอออกนอกลู่นอกทางไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ได้ง่ายๆ
ภายหลังได้ยินทั้งอวี้เจวี้ยนฟูและหลินจวินปี้เล่าให้ฟังว่า หลังจากสงครามที่เกราะทองทวีปปิดฉากลง ผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของทวีปนั้นที่ยังมีชีวิตเหลือรอดล้วนเลื่อมใสผู้ฝึกยุทธหญิง ‘เจิ้งเฉียน’ อย่างมาก พูดง่ายๆ ก็คือหากอาจารย์และศิษย์สองคนไปที่เกราะทองทวีป คนที่นั่นต้องรู้จักแค่เจิ้งเฉียน ไม่รู้จักอิ่นกวานอะไรอย่างแน่นอน
กลับมาที่แจกันสมบัติทวีป เผยเฉียนก็ช่วงชิงฉายาอย่าง ‘เจิ้งชิงหมิง’ ‘เจิ้งซาเฉียน’ มาได้
อะไรคือการถามหมัดกับนาง สามหมัดก็จบเรื่องกันแล้ว
ถึงขั้นที่ว่ายังมีคำกล่าวที่ทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทั้งบนภูเขาและในยุทธภพต่างพูดกันว่าเจิ้งเฉียนผู้นี้คือปรมาจารย์ใหญ่ที่มีคุณธรรมที่สุดและมีมาดของคนเก่าแก่ในยุทธภพที่สุดของแจกันสมบัติทวีปพวกเรา
——