กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 841.3 บ้านเกิด
องค์ชายใหญ่ที่เป็นพี่ชายคนโตของซ่งซวี่คนนั้น คือว่าที่รัชทายาทในอนาคตที่ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว และเขาเองก็มีอุบายที่แยบยล ฝีมือไม่เลว ยามอยู่ต่อหน้าคนและลับหลังคนจะมีความต่างอย่างมาก พอเจอกับเรื่องที่ไม่ถูกใจ กลับไปถึงที่พักก็ยังรู้ว่าไม่ควรขว้างเครื่องกระเบื้องหรือของตกแต่งในห้องหนังสือ เพราะจะต้องถูกบันทึกลงเอกสาร ส่วนตำราอริยะปราชญ์ก็ยิ่งไม่กล้าทุ่มทิ้ง ถึงท้ายที่สุดจึงได้แต่เอาพวกผ้าแพรผ้าไหมทั้งหลายมาระบายอารมณ์ กลับเป็นน้องสามที่นิสัยอ่อนโยน แม้ว่าพรสวรรค์จะสู้พี่ใหญ่ไม่ได้ แต่ในสายตาของซ่งซวี่กลับเห็นว่าเขามีความยืดหยุ่นได้มากกว่า ส่วนน้องชายน้องสาวคนอื่นๆ ที่เหลือ ซ่งซวี่กลับไม่ค่อยสนิทสนมด้วยแล้ว
ต้นไม้หยกในลานบ้าน กิ่งก้านงามละไม ในชีวิตอันหรูหราสุขสบาย ข้าหรือจะรู้เรื่องเช่นสงคราม?
อยู่ดีๆ ซ่งซวี่ก็ถามขึ้นมา “ครั้งนี้เจ้าลงมือโดยพลการ ได้รับคำสั่งจากใครบางคนในวังหรือไม่?”
หยวนฮว่าจิ้งเงียบงันไม่ตอบคำถาม
ซ่งซวี่จึงไม่ถามอะไรให้มากความอีก เพราะว่าได้คำตอบแล้ว
“ห้ามให้มีครั้งหน้า”
ซ่งซวี่ลุกขึ้นยืนเตรียมจะจากไป เขาหันหน้ามาเอ่ยว่า “เป็นข้าพูดเอง”
นับจากวันนี้เป็นต้นไป อันที่จริงหยวนฮว่าจิ้งได้สูญเสียสถานะผู้นำของผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินไปแล้ว
……
ทางฝั่งของซุ้มดอกไม้ อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่ได้ดื่มเหล้า เขานั่งไขว่ห้าง สองมือสอดประสานกันวางไว้บนหัวเข่า เหลือบตามองเชือกหลากสีที่เฟิงอี๋ใช้รัดผมสีนิล ชัดเลย มีมูลค่ามากเลยนะนั่น
เฟิงอี๋ยิ้มกล่าว “ทำไม เหวินเซิ่งต้องการมาช่วยพูดแทนพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ให้ข้ามอบของกลับคืนไปอย่างนั้นหรือ? หรือจะบอกว่าครั้งนี้เหนียงเนียงเจ้าแห่งบุปผาเข้าร่วมการประชุม กึ่งขายกึ่งมอบสุราดีๆ และจอกเทพีบุปผาไปให้ เจ้าลัทธิบางคนของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเลยใจอ่อน วันนี้แท้จริงแล้วบนร่างของเหวินเซิ่งได้พกเอาโองการอริยะที่ปากอมกฎสวรรค์มาด้วย?”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล “เรื่องระหว่างสตรี ข้าเป็นบุรุษตัวโตๆ คนหนึ่งจะต้องไปยุ่งอะไรด้วย”
ไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัด
สายเหวินเซิ่ง นอกจากลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนแล้วก็ล้วนเป็นพวกชายโสดที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “อีกอย่าง ด้วยความสัมพันธ์ที่คบหากันมานานหลายปีของเฟิงอี๋กับสายเหวินเซิ่งเรา ใครกล้าวางมาดใหญ่โตกับคนยากคนจนอย่างข้า กล้าตวาดดุด่าเฟิงอี๋ จะไม่ถูกข้าด่าจนหูชาเลยหรือ?!”
เฟิงอี๋พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องไล่แขกแล้ว”
เชือกหลากสีเส้นนี้ซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้ นี่ก็คือเหตุผลหลักที่เพราะเหตุใดเทพีบุปผา เทพีบุปผาเจ้าชะตารุ่นแล้วรุ่นเล่ามากมายในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาถึงไม่เคยมีขอบเขตบินทะยานปรากฎแม้แต่คนเดียว นั่นก็เพราะชะตาชีวิตบนมหามรรคาก่อนกำเนิดมีไม่ครบถ้วน เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินก็เท่ากับว่าเดินไปสุดทางของเส้นทางหัวขาดแล้ว อีกทั้งพื้นที่มงคลร้อยบุปผาแห่งหนึ่งที่ขาดขอบเขตบินทะยานนั่งบัญชาการณ์ ถึงอย่างไรก็เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ
ร้อยบุปผาแห่งใต้หล้าไพศาลถูกเฟิงอี๋รังแกจนอเนจอนาถจริงๆ
ซิ่วไฉเฒ่าพูดชวนคุยว่า “เรื่องราวในใต้หล้าต่างเป็นผลกรรมของกันและกัน เพราะเหตุนี้ทำให้เกิดผลนี้ เพราะผลนี้จึงก่อให้เกิดเหตุนี้ เกิดเหตุแล้วจึงเป็นผล เอาเป็นว่ามันโคจรไปมาเช่นนี้ ทั้งคนธรรมดาและอริยะปราชญ์ล้วนกล่อมกลืนส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน หลักการเป็นหลักการเช่นนี้ เรียบง่ายอย่างมาก ดังนั้นเรื่องราวในใต้หล้าจึงมักจะเวียนวน ช่วยให้พวกเราได้กลับมาพบเจอกันในภูเขาสายน้ำอีกครั้ง มีทั้งดีและเลว เอาแต่พูดถึงหลักการเหตุผลโดยไม่ยกตัวอย่างก็จะดูโอ้อวดตนเกินไป ถ้าอย่างนั้นข้าจะยกตัวอย่างให้ฟังแล้วกัน มันมีความเกี่ยวข้องกับเฟิงอี๋อยู่เล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นหาวซู่สิงกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ รู้จักกระมัง? ในอดีตเขาปรากฏตัวในพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งของฝูเหยาทวีป ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เงื้อกระบี่ตัดหัวของหนันกวงจ้าว แล้วยังรับลูกศิษย์มาคนหนึ่ง บอกให้เด็กคนนั้นสาบานว่าจะต้องสังหารโจรเด็ดบุปผาบนภูเขาให้หมดสิ้น หลังจากหาวซู่ลงมืออำมหิตไปแล้วก็รู้ดีว่าตัวเองไม่อาจรั้งอยู่ได้นาน จึงพยายามจะออกไปจากไพศาล ไปหลบภัยยังใต้หล้ามืดสลัว แต่ถูกหลี่เซิ่งขวางเอาไว้ เต๋าเหล่าเอ้อรับตัวอีกฝ่ายมาไม่สำเร็จก็อับอายจนพานเป็นความโกรธ โมโหจนร้องโหวกเหวกโวยวาย”
แน่นอนว่าเฟิงอี๋ไม่คิดว่าด้วยนิสัยใจคอของผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิงจะทำให้เขาเสียกิริยาได้ถึงขนาดนี้ เพียงแต่หลักการเหตุผลที่มองดูเหมือนซิ่วไฉเฒ่ายกตัวอย่างง่ายๆ นี้ กลับมีเหตุผลอย่างมาก
เฟิงอี๋นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ยื่นสองนิ้วออกมาคีบเชือกหลากสีเส้นนั้นเอาไว้แล้วดึงออกมาจากเส้นผมสีนิล มองดูเหมือนซิ่วไฉเฒ่าไม่สะทกสะท้าน แต่แท้จริงแล้วลูกตากลับกลอกไปมา
อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้มาเพื่อช่วยคลี่คลายบุญคุณความแค้นให้ใครจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาเกิดมาก็มีชะตาที่ต้องง่วนทำงานวุ่นวาย จึงอดไม่ไหวพูดไปตามโอกาส หากสำเร็จ นับแต่นี้ไปเฟิงอี๋คลายปมแค้นกับพื้นที่มงคลร้อยบุปผาได้ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร
ในมือเฟิงอี๋ถือเชือกหลากสีที่มีขนาดใหญ่เท่าเหรียญทองแดงเอาไว้ เส้นผมสีนิลระสยายลงมาเหมือนน้ำตก แผ่จากหัวไหล่เหมือนน้ำท่วมทำนบไหลเชี่ยวกรากไปอยู่ระหว่างร่องเขาลึก
ซิ่วไฉเฒ่าพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ตามองตรงไปข้างหน้า “ผู้อาวุโสโปรดหยุดก่อน!”
เฟิงอี๋รู้สึกกังขาอยู่ในใจ แต่ปากกลับเอ่ยสัพยอกว่า “ทำไม เห็นข้าเป็นคณิกาข้างถนนที่จะปลดเข็มขัดถอดเสื้อหรือ? พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ลูกผู้ชายตัวโตๆ กลับขี้ขลาดเสียได้?”
ซิ่วไฉเฒ่าตกใจจนพูดไม่คล่องปาก โบกมืออย่างแรง รีบดื่มเหล้าหนึ่งอึกระงับความตกใจ “ไม่ใช่ๆ ผู้อาวุโสอย่าพูดตลกเลย”
เฟิงอี๋ทำท่ากระจ่างแจ้ง นำเชือกหลากสีไปมัดผมสีนิลอีกครั้ง เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว เหวินเซิ่งต้องการมอบผลประโยชน์นี้ให้กับเฉินผิงอัน ช่วยให้เขาผูกบุญสัมพันธ์กับพื้นที่มงคลร้อยบุปผาระหว่างที่ไปท่องเที่ยวแผ่นดินกลาง?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสปราดเปรื่อง”
เฟิงอี๋ยิ้ม “เป็นอาจารย์ ช่วยปูทางให้ลูกศิษย์เช่นนี้ ต่อให้เหน็ดเหนื่อยก็ไม่รู้สึกว่าเหนื่อย?”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ผิดแล้ว การที่ทุกวันนี้พวกอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปตั้งบูชาในศาลบุ๋นแผ่นดินกลางซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ค่อยยอมรับในความรู้ของสายเหวินเซิ่งยอมเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ก็คือคุณความชอบของลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าคนนี้ เมื่อก่อนเวลาเจอกับข้าระหว่างทาง อย่างมากก็แค่คาวระเหวินเซิ่งเท่านั้น ทุกวันนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว ล้วนยินดีขอความรู้จากซิ่วไฉเฒ่าอย่างข้าด้วยความจริงใจหลายประโยคแล้ว”
และการที่พวกตาแก่คร่ำครึพวกนี้ยอมเปลี่ยนแปลงท่าที แท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะการออกกระบี่ของเฉินผิงอัน ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่การโยกย้ายกำลังพล จัดวางกลยุทธของสายอิ่นกวานในคฤหาสน์หลบร้อนด้วยซ้ำ แต่เป็นบัณฑิตที่ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ‘ชื่อเสียงฉาวโฉ่’ ยิ่งกว่าอาเหลียงผู้นี้ที่ทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือนครบินทะยานในภายหลังที่เดิมทีเคียดแค้นชิงชังใต้หล้าไพศาล มีเสียงท่องตำราดังกังวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้พวกผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นค่อยๆ มีท่าทีที่เป็นกลางต่อใต้หล้าไพศาล อย่างน้อยที่สุดก็ยอมรับว่าแท้จริงแล้วไพศาลมีทั้งดีและร้าย
บางทีจนถึงทุกวันนี้ตัวเฉินผิงอันเองก็อาจจะยังตระหนักไม่ได้ถึงเรื่องหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรในทะเลสาบซูเจี่ยนได้กับมือตัวเอง แต่แท้จริงแล้วกลับทำให้ขนบธรรมเนียมประเพณีของกำแพงเมืองปราณกระบี่เปลี่ยนแปลงไป
คาดว่านี่ก็คงเป็นดั่งคำที่ว่าลมวสันต์แทรกซึมเข้ามายามค่ำคืน บำรุงสรรพสิ่งให้ชุ่มชื้นอย่างไร้เสียง
เฟิงอี๋ยกพวงดอกไม้เล็กนุ่มเรียวบางที่ในยุคโบราณเรียกว่าฝ่ามือซื่ออี๋ขึ้นมา ใช้ท้องนิ้วโป้งลูบเล็บสีแดงสดเบาๆ ถามชวนคุยว่า “ก่อนหน้านี้ที่โรงเตี๊ยมมีความเคลื่อนไหวไม่น้อย ดูเหมือนว่าเหวินเซิ่งจะไม่ได้เป็นห่วงเฉินผิงอันมากสักเท่าไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ผ่านด่านใจพิฆาตจิตมาร ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าคนนี้ยังพอจะทำได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ยกมือกวักเรียกมาเท่านั้น”
แต่ในความเป็นจริงแล้วซิ่วไฉเฒ่าเกือบจะเรียกหลี่เซิ่งให้มาหาโดยตรง ถึงอย่างไรการคุยโวก็ไม่ผิดกฎ
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็คลี่ยิ้ม หันตัวไปหยิบกาเหล้าขึ้นมา “มีชีวิตที่สงบสุขนานวันเข้าก็อดรู้สึกว่าชีวิตไร้รสชาติอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่ก็คือความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ เรื่องบันเทิงในโลกมนุษย์ก็เหมือนการดื่มเหล้าหมัก ส่วนใหญ่แล้วพอตื่นขึ้นมาก็มักจะไม่เหลืออยู่ ยากที่จะรั้งเอาไว้ได้ หลงเหลือเพียงความผิดหวังเท่านั้น กลับเป็นเรื่องทุกข์ยากที่เหมือนน้ำชา ส่วนใหญ่มักจะมีโอกาสได้ลิ้มรสหวานเมื่อความขมผ่านพ้นไปแล้ว ทำให้คนรู้สึกทะนุถนอมเห็นค่าเป็นทบทวี เรื่องปกติทั่วไปก็คือการดื่มน้ำ ไม่มีรสชาติอะไร แต่กลับต้องดื่มทุกวัน ไม่ดื่มก็ไม่ได้ด้วย”
เฟิงอี๋ยังคงก้มหน้า มือข้างหนึ่งยกขึ้น มืออีกข้างหนึ่งลูบไล้เล็บสีแดงสดเบาๆ ราวกับว่าฟังความนัยนอกเหนือคำพูดของเหวินเซิ่งไม่ออก
ซิ่วไฉเฒ่าวางเหล้าร้อยบุปผากานั้นลงเบาๆ เห็นว่าเฟิงอี๋จงใจแกล้งโง่ก็พูดอย่างชัดเจนเสียเลย “ทุกวันนี้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องการลงเดิมพันหนักๆ แล้ว ไม่อาจพูดได้ว่าศาลบุ๋นมีเมตตาปราณีต่อหยางเหล่าโถวต่อพวกเจ้า แต่กลับถือว่ามีคุณธรรมมากพอแล้ว อีกอย่างทุกวันนี้หลี่เซิ่งของพวกเราก็นิสัยไม่ค่อยดีนัก ข้าขอปากมากแนะนำผู้อาวุโสสักคำ พวกเจ้าไปมีเรื่องกับใครก็ได้แต่อย่าไปมีเรื่องกับเขาเด็ดขาด หมื่นปีที่ผ่านมา หลี่เซิ่งที่อยู่ในศาลบุ๋นพูดจาแค่ไม่กี่คำเท่านั้น กลับเป็นกับพวกเจ้าที่มีความอดทนดีเยี่ยม พูดคุยด้วยไม่น้อย อย่าได้เห็นการเคารพกฎเกณฑ์บางอย่างของบัณฑิตเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน”
เฟิงอี๋เงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มหวานหยด “ก็ได้ รู้แล้วล่ะ วางใจเถอะ ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็เป็นข้าที่ฟังคำแนะนำได้ดีที่สุด”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “ดังนั้นข้าถึงได้มาเยือนที่นี่อย่างไรล่ะ”
เรื่องของการลงเดิมพัน เฟิงอี๋ทำไปไม่น้อย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับพวกตาแก่หนังเหนียวคนอื่นๆ วิธีการของนางกลับอ่อนโยนมากกว่า อย่างช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ก็เหมือนอย่างซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า โจวจวี่แห่งสำนักศึกษากวานหู เฟิงอี๋ต่างก็เคยใช้วิธีการที่ต่างกันในการถ่ายทอดและปกป้องมรรคา ยกตัวอย่างเช่นลูกคิดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษชิ้นนั้นของตระกูลซุนกับคนจิ๋วควันธูปสีทองหลายตน ฝ่ายหลังชอบที่จะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนลูกคิด ความหมายก็คือให้เงินทองไหลมาเทมา เมื่อซุนเจียซู่ท่องตัวเลขอยู่ในใจ คนจิ๋วสีทองก็จะผลักเม็ดไข่มุกบนลูกคิดให้ นี่ไม่ใช่วิธีการฝึกตนอะไร แต่เป็นวิชาอภินิหารซึ่งเป็นพรสวรรค์อย่างสมชื่อแล้ว นอกจากนี้บนโต๊ะหนังสือในเรือนบรรพบุรุษของตระกูลซุน ตะเกียงน้ำมันดวงที่ต้องให้เจ้าประมุขสกุลซุนแต่ละยุคแต่ละสมัยเติมน้ำมันอย่างต่อเนื่องดวงนั้นก็เป็นฝีมือของเฟิงอี๋เช่นเดียวกัน
เฟิงอี๋เริ่มเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “หนังสือหมั้นที่เหวินเซิ่งช่วยเขียนให้เฉินผิงอันฉบับนั้น ถือว่าไม่เคยมีมาก่อนในอดีตและจะไม่ปรากฏอีกในอนาคตหรือไม่?”
พูดถึงเรื่องนี้ก็คงต้องดื่มเหล้าเพื่อกระตุ้นอารมณ์กันสักหน่อยแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าจึงจิบเหล้าร้อยบุปผาคำเล็กๆ ไปหนึ่งอึก “ยังดีๆ ตาเฒ่าอยู่บนภูเขาสุ้ยซานไม่มีเวลาว่างมาสนใจข้า หลี่เซิ่งก็ยุ่งมาก ข้าตัดใจไปรบกวนไม่ลง จึงได้แต่ไปหาเจ้าลัทธิหลักและรองสามคนของศาลบุ๋นเรา อาจารย์ผู้เฒ่าฝู จิงเซิงซีผิง…รวมอยู่ด้วยกัน สรุปก็คือต้องเป็นบัณฑิตยี่สิบกว่าคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะได้กินหัวหมูเย็นๆ ทุกคนล้วนช่วยกันคิดหาถ้อยคำอย่างตั้งใจ”
เฟิงอี๋เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “บอกตามตรง จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่กล้าเชื่อว่าเฉินผิงอันจะเดินมาถึงก้าวนี้ได้จริงๆ”
ซิ่วไฉเฒ่ายกขานั่งไขว่ห้าง สองมือวางไว้บนหัวเข่า มองท้องฟ้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตอนเด็กไม่รู้จักดวงจันทร์ก็เรียกมันว่าถาดหยกขาว เจ้าฟังเข้าสิ น้องป๋ายเหย่คนนั้นของข้า แค่มองตอนเด็กก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กที่บ้านมีเงิน ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะเขียนบทกวีแบบนี้ออกมาได้ เหมือนอย่างข้า และยังมีเฉินผิงอัน คนที่มีชาติกำเนิดจากชาวบ้านยากจนอย่างพวกเรา อย่างมากสุดก็แค่รู้สึกว่าเหมือนถ้วยขาว เหมือนขนมเปี๊ยะ ไหนเลยจะเอ่ยถ้อยคำเหลวไหลที่มีกลิ่นอายของความร่ำรวยแบบนี้ออกมาได้ ถึงกับเรียกว่าเป็นถาดยหยกขาวเชียวนะ”
เฟิงอี๋ถามอย่างประหลาดใจ “ชีวิตนี้ของป๋ายเหย่จะได้เป็นผู้ฝึกกระบี่หรือไม่?”
ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ เพียงแค่หัวเราะอยู่กับตัวเอง ไม่ว่าจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ก่อนที่ป๋ายเหย่จะอายุยี่สิบปีก็ล้วนต้องใส่หมวกหัวเสืออยู่ตลอดเวลา
ตอนเด็กยังดี มองดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดู ตอนเด็กหนุ่มยังเป็นเช่นนี้ นั่นจะไม่ดูโง่งมไปหน่อยหรือ?
แต่ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกว่าป๋ายเหย่ที่เป็นเช่นนี้ อันที่จริงคือความภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
ข้าซิ่วไฉเฒ่าได้เพิ่มทัศนียภาพอันงดงามยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งให้กับโลกมนุษย์แล้ว
เฟิงอี๋ยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดิน แม้จะบอกว่านิสัยไม่แย่ แต่ในกระดูกกลับมีความหยิ่งผยองลำพองตน สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทีนี้ล่ะดีแล้ว เจอกับลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าคนนี้ก็เท่ากับต้องกล้ำกลืนความยากลำบากใหญ่หลวงไปจริงๆ การต่อสู้ครั้งหนึ่งเกือบจะทำให้ผู้ฝึกตนเกือบครึ่งเกิดจิตมารในใจ ไม่เสียแรงที่เป็นใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
นางดื่มเหล้าหนึ่งอึกอย่างอดไม่อยู่ ถือเป็นการเฉลิมฉลอง เจ้าลูกกระต่ายน้อยกลุ่มนั้น เมื่อก่อนแม้แต่นางก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตาไม่ใช่หรือ? แม้จะบอกว่าเกี่ยวกับการที่พวกเขาไม่รู้ถึงสถานะของนาง ทว่าต่อให้รู้แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเคารพยำเกรงนางอย่างไร โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่หยวนฮว่าจิ้งที่จิตใจสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า อันที่จริงหลายปีมานี้เขาคิดอยากจะอาศัยกระบี่บิน ‘ถิงหลิง’ ที่เปลี่ยนชื่อเป็น ‘เย่หลาง’ เล่มนั้นมาสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งอยู่ตลอด
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดกล่าว “มีแผนภูมิภาคปฐพี ก็ต้องมีแผนภูมิภาคสวรรค์ และยังต้องมีการวางแผนที่คล้ายคลึงกับยี่สิบแปดดวงดาวอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่นทางฝั่งของป๋ายอวี้จิง เต๋าเหล่าเอ้อได้วางแผนเกี่ยวกับห้าร้อยหลิงกวนมานานมากแล้ว”
เรื่องทำนองนี้ จุดที่เป็นกุญแจสำคัญมากที่สุดก็คือการช่วงชิงความได้เปรียบ ช่วงชิงหนึ่งบางอย่างมาก่อนก็จะกลายเป็นการลงมือก่อนที่ทำให้มหามรรคาโคจรสืบเนื่องเป็นวงจร ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินคนแรกสุดที่คล้ายการลงมือก่อนบนกระดานหมากของชุยฉาน ใครวางหมากนี้ลงไปก็จะทำให้เกิดสถานการณ์แน่นอนบนกระดานหมากที่ไม่อาจมีใครมาทำลายลงได้ คนอื่นคิดอยากจะเลียนแบบการกระทำนี้ก็สายไปแล้ว จะต้องถูกมหามรรคาผลักไส และบุคคลที่ชิงลงมือก่อนนี้จำเป็นต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาจุติใหม่ซึ่งชะตาชีวิตสอดคล้องต้องกัน ธรณีประตูจึงสูงอย่างยิ่ง
เฟิงอี๋ลังเลอยู่ชั่วขณะ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ศาลเทพอัคคีก็มีลมเย็นพัดโชยมาเป็นระลอก นางถึงได้เอ่ยว่า “ปีนั้นลู่เฉินตั้งแผงดูดวงอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ถึงอย่างไรข้าก็เข้าร่วมกับการเสริมสายแผนภูมิดินให้ครบถ้วนด้วยตัวเอง ตอนนั้นจึงเคยไปหาลู่เฉิน ฟังจากน้ำเสียงของเขา เห็นได้ชัดว่าคำนวณได้ถึงแผนการนี้ของชุยฉานแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ค่อนข้างจะใจลอย บอกแค่ว่า ‘ผินเต้าเวทคาถาตื้นเขิน ไม่กล้าชิงลงมือตัดหน้าสวรรค์ ได้แต่ตามก้นอยู่ด้านหลังคนอื่นแล้วทำตามอย่าง อย่างมากสุดก็แค่คว้าชัยชนะในด้านปริมาณเท่านั้น’”
“สุดท้ายลู่เฉินยังเอ่ยประโยคประหลาดกับข้าอีกประโยคหนึ่ง บอกว่าเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างที่ชุยฉานมอบให้จึงจะเป็นเรื่องไม่คาดฝันอย่างแท้จริงของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ภายหลังข้าถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็พูดถึงเรื่องที่แจกันสมบัติทวีปขัดขวางใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
สีหน้าของซิ่วไฉเฒ่าปั้นยาก เป็นสีหน้าที่ซับซ้อนเหลือจะกล่าว
เฟิงอี๋สัมผัสได้ถึงท่าทีผิดปกติของซิ่วไฉเฒ่า “ยังมีความลี้ลับอย่างอื่นอีกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าเพียงดื่มเหล้า ไม่เอ่ยอะไร
——