กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 842.2 ผู้ฝึกกระบี่คนใหม่
ไม่มีเสียงในใจของหนิงเหยาตอบกลับมา
เฉินผิงอันจึงได้แต่กลับไปที่โรงเตี๊ยมอีกรอบ เพียงแต่ว่าเพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตูบ้านก็ได้ยินเสียงถามของหนิงเหยาตอบกลับมาแล้ว “มีอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “วันนี้ข้าจะอยู่ที่นี่ก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยไปดูการประลองของอวี๋หงกับโจวไห่จิ้งด้วยกัน?”
หนิงเหยาบอกว่าไม่มีปัญหา เฉินผิงอันพลันนึกขึ้นได้ หากตนไม่อยู่ที่นี่ กลับไปโรงเตี๊ยมก็จะอยู่ต่อได้แล้วหรือ? เขารู้สึกกลัดกลุ้มนิดๆ จึงเดินเข้าไปในตรอก ไปที่ลานประกอบพิธีกรรมหยกขาวเพื่อคุยเล่นกับอาจารย์และศิษย์คู่นั้นสักสองสามประโยค เด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิงเพิ่งจะโคจรลมปราณแบบมหาจักรวาลเสร็จไปหนึ่งรอบ จึงกำลังฝึกวิชาหมัดเท้าที่ทำให้คนมองรู้สึกแสบตา ผู้ฝึกตนเฒ่านั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ด้านข้าง ขอถั่วลิสงห้ารสมาจากเด็กหนุ่มกำมือหนึ่ง หลิวเจียถามว่า “ไปเกี่ยวข้องกับศาลหงหลูได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ข้ามีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อเฉาฉิงหล่าง คงจะเคยได้ยินชื่อกระมัง?”
หลิวเจียคิดแล้วก็ถามว่า “ปั้งเหยี่ยนคนใหม่น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “เฉาฉิงหล่างกับสวินซวี่ปันของศาลหงหลูเป็นสหายสอบร่วมสนามกัน ได้รู้จักกันตอนที่เข้าเมืองหลวงมาร่วมการสอบระดับมณฑลช่วงฤดูใบไม้ผลิด้วยกัน มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว”
หลิวเจียถามอย่างคลางแคลง “แล้วเหตุใดลูกศิษย์ของเจ้าถึงเป็นแค่ปั้งเหยี่ยน ไม่ได้เป็นจ้วงหยวนหลางล่ะ?”
เฉินผิงอันคร้านจะพูดจาไร้สาระ เพียงแค่เหล่ตามองผู้ฝึกตนเฒ่า โยนเปลือกถั่วทิ้งไว้บนพื้น
จ้าวตวนหมิงที่ร้องฮื่อฮ่าพลางปล่อยหมัดไปด้วยตะโกนขึ้นมา “อาจารย์ ท่านไม่รู้อะไร ข้าเคยได้ยินท่านปู่เล่าว่า เคอจวี่รุ่นของเฉาปั้งเหยี่ยนนั้นมีแต่คนมากความสามารถ โชคชะตาบุ๋นโชติช่วง อย่าว่าแต่ปั้งเหยี่ยน ทั่นฮวาสองคนอย่างเฉาฉิงหล่างกับหยางซ่วงเลย ต่อให้เป็นเม่าหลินหลางอันดับแรกๆ ในกลุ่มของจิ้นซื่อระดับสอง หากเป็นในอดีต คิดจะคว้าตำแหน่งจ้วงหยวนมาก็ยังไม่ยาก”
หลิวเจียพูดชวนคุย “ทุกๆ สามปีเมืองหลวงจะมีการสอบระดับมณฑลหนึ่งครั้ง แต่ละครั้งก็ยังเน้นสามอันดับของขั้นแรกเหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ หากถามข้า ในเมื่อไม่ได้ตำแหน่งจ้วงหยวนมาก็ไม่สู้สอบได้ตำแหน่งทั่นฮวา ยังจะสามารถขี่ม้าชมเมืองไปพร้อมกับจิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดได้ด้วย มีหน้ามีตาจะตายไป หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ปีนั้นหยางซ่วงอายุสิบแปดปี เจ้าหนูอีกคนตอนนั้นก็เพิ่งจะอายุสิบห้าปี? แล้วตอนนั้นเฉาฉิงหล่างลูกศิษย์ของเจ้าอายุเท่าไรล่ะ? ยี่สิบแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าตอบ “ปีนี้เซียนซือผู้เฒ่าหลิวอายุเท่าไรหรือ?”
หลิวเจียลูบหนวดยิ้ม “หากตอนเป็นเด็กหนุ่มข้าเข้าร่วมสอบเคอจวี่ ขี่ม้าชมบุปผา (ชมบุปผาภาษาจีนคือทั่นฮวา คำเดียวกับตำแหน่งทั่นฮวา บัณฑิตอันดับสามของการสอบ) ต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน”
พอเฉินผิงอันออกไปจากสถานประกอบพิธีกรรมหยกขาว เด็กหนุ่มก็เอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ เฉาฉิงหล่างผู้นั้นร้ายกาจมาก ตอนที่ท่านปู่ของข้าคุยกับสหายเก่าในกรมพิธีการเป็นการส่วนตัวยังเคยพูดถึงเขาเป็นพิเศษ บอกว่าเรื่องของเศรษฐกิจและการเตรียมกำลังรบ เฉาฉิงหล่างได้รับการยอมรับว่าคำตอบในข้อสอบของเขาคืออันดับหนึ่ง ขุนนางผู้ตัดสินหลักของเมืองหลวงสำรองสองท่านกับอาจารย์ผู้คุมสอบอีกสิบกว่าท่านยังตั้งใจมาอ่านกระดาษคำตอบของเขาโดยเฉพาะด้วย”
หลิวเจียยิ้มกล่าว “เหลวไหล ข้าหรือจะไม่รู้ว่าเฉาฉิงหล่างผู้นั้นไม่ธรรมดา? อาจารย์ก็แค่แกล้งให้เฉินผิงอันโมโหเล่นเท่านั้น มีเผยเฉียนเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาแล้วยังไม่รู้จักพอ ยังจะมีลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สอบติดปั้งเหยี่ยนอีก มาทำตัวหน้าเหม็นโอ้อวดอะไรกับข้ากัน”
จ้าวตวนหมิงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ วันหน้าตอนดึกๆ เวลาท่านเดินตอนกลางคืนต้องระวังให้มากนะ ข้าเคยได้ยินพี่ใหญ่เฉินบอกว่ารองเจ้ากรมจ้าวของกรมอาญาถูกเอาไปแขวนไว้บนต้นไม้ด้วยล่ะ”
ผู้ฝึกตนเฒ่าได้ยินแล้วหนังตาก็สั่นระริก จับรองเจ้ากรมของเมืองหลวงคนหนึ่งไปห้อยไว้บนต้นไม้? หลิวเจียเอ่ยอย่างอัดอั้น “จ้าวเหยาแห่งกรมอาญา? เขาเป็นคนบ้านเดียวกับเฉินผิงอันไม่ใช่หรือ แล้วยังเป็นบัณฑิตสายบุ๋นเดียวกันด้วย พวกเขาไม่ถูกกันหรือ? คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง ก่อนหน้านี้ไหนเจ้าบอกว่าจ้าวเหยายังเป็นฝ่ายมาหาเฉินผิงอันที่นี่ด้วยตัวเองไงล่ะ? นี่เป็นเรื่องที่ละเมิดกฎของวงการขุนนางอย่างมากเลยนะ”
จ้าวตวนหมิงพยักหน้า “นั่นสิ มองดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่แย่นะ แล้วยังมีความสัมพันธ์ในชั้นอาจารย์อากับศิษย์หลานอยู่ด้วย สนิทกับพี่ใหญ่เฉินเหมือนพวกเราสองคนนี่แหละ เพราะฉะนั้นอาจารย์ท่านถึงต้องระวังอย่างไรเล่า”
หลิวเจียพูดเสียงขุ่น “แล้วเจ้าไม่บอกตั้งแต่แรก?”
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างน้อยใจ “อาจารย์เมื่อครู่นี้ท่านพูดจาน่าฟังติดต่อกัน ในคำพูดซ่อนคำพูดดุจสำลีซ่อนเข็ม ข้าฟังแล้วเพลิดเพลินนัก ตัดใจขัดจังหวะท่านไม่ลงนี่นา”
ผู้ฝึกตนเฒ่าเหลือบมองเปลือกถั่วบนพื้นข้างเบาะรองนั่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตวนหมิงอ่า พรุ่งนี้เจ้าต้องไปดูคนประลองกันกับผีขี้เหล้าเฉาไม่ใช่หรือ พาพี่ใหญ่เฉินเจ้าไปด้วยกันสิ ช่วยหาที่นั่งดีๆ ให้เขาหน่อย”
จ้าวตวนหมิงกลอกตามองบน “พี่ใหญ่เฉินต้องการให้ข้าช่วยเสียที่ไหน คนเขามีป้ายสงบสุขที่กรมอาญาแจกจ่ายให้อยู่นะ”
ผู้ฝึกตนเฒ่าบ่นอย่างไม่พอใจ “จะดีจะชั่วก็เป็นน้ำใจ แค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจหรือ? เสียแรงที่เจ้าเป็นลูกหลานขุนนาง ถูกฟ้าผ่าจนโง่แล้วหรือไร?”
จ้าวตวนหมิงร้องอ้อหนึ่งที แล้วฝึกกระบวนท่าวรยุทธที่เรียนรู้มาด้วยตัวเองต่อไป ไม่รู้ว่าจะสามารถรับหมัดครึ่งหมัดของปรมาจารย์ใหญ่ด้านการฝึกยุทธอย่างพวกอวี๋หง โจวไห่จิ้งได้หรือไม่?
วันต่อมา บริเวณใกล้เคียงกับศาลเทพอัคคี กำลังจะมีการถามหมัดบนยอดเขาที่ชื่อเสียงขจรขจายไกลเกิดขึ้น
เดิมทีเถ้าแก่ผู้เฒ่าของโรงเตี๊ยมอยากจะบอกกับเฉินผิงอันว่าให้พาบุตรสาวของตนไปด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้นางถูกพวกโจรน้อยและพวกอันธพาลหน้าหม้อคิดไม่ดีด้วย เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าบุตรสาวของตนจะเผ่นหายไปตั้งแต่เช้าตรู่ เกินครึ่งคงนัดหมายกับสหายทั้งหลายเอาไว้แล้วว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดก่อน จากนั้นไปจับจองหาที่นั่งไว้แต่เนิ่นๆ ผู้เฒ่าจึงได้แต่ล้มเลิกความคิด
ข่าวการถามหมัดครั้งนี้ อันที่จริงเมื่อหนึ่งเดือนก่อนก็ได้แพร่ไปทั่วทุกหัวถนนของเมืองหลวงแล้ว ดังนั้นรอกระทั่งเข้าไปใกล้ศาลเทพอัคคี ระยะทางที่เดิมทีใช้เวลาแค่หนึ่งก้านธูป เฉินผิงอันกับหนิงเหยาจึงต้องเดินนานเกือบครึ่งชั่วยาม ตลอดทางมีผู้คนเบียดเสียดกันแออัด บวกกับที่สองข้างทางยังมีพ่อค้าหาบเร่น้อยใหญ่ที่เจอช่องว่างก็ลอดตัวขายของไปตลอดทาง เป็นเหตุให้เส้นทางไปยังลานประลองยุทธที่อยู่ด้านหลังศาลเทพอัคคีทั้งหลายยิ่งอัดแน่นไปด้วยผู้คน บางครั้งก็จะมีเสียงสตรีกรีดร้อง หรือไม่ก็โยนข้าวของขว้างปาอย่างตระหนกลน มีเด็กหนุ่มหรือไม่ก็ชายฉกรรจ์ฝีเท้าว่องไวประดุจปลาที่แหวกว่ายผ่านกระแสผู้คน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินของชาวบ้านหรือเอามือไม้ลูบไล้แตะอั๋งเรือนกายของดรุณีน้อย หากทำสำเร็จก็มักจะหายตัวไปไม่เห็นเงาในเสี้ยววินาที
หนิงเหยาเริ่มเสียใจภายหลังแล้วที่ตามเฉินผิงอันมาชมความครึกครื้นที่นี่ ช่างอึกทึกจอแจเสียจริง เพียงระยะทางสั้นๆ นี้ ลำพังแค่พวกอันธพาลที่พยายามจะเบียดเข้ามาใกล้ก็ถูกเฉินผิงอันจัดการไปห้าหกกลุ่มแล้ว คนหนึ่งในนั้นถูกเฉินผิงอันที่ยิ้มตาหยีกระชากข้อมือเอาไว้ แล้วดึงขึ้นจนเท้าลอยพ้นพื้น เขาเจ็บปวดจนหน้าซีดขาวทันควัน เฉินผิงอันปล่อยมือ ตบหัวของอีกฝ่าย ฝ่ายหลังหัวหมุนติ้ว รีบพาคนไสหัวห่างไปไกลอย่างรู้กาลเทศะทันที หลายครั้งเข้าก็ไม่มีใครกล้ามาเอาเปรียบตรงนี้อีก มารดามันเถอะ ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้คือคนมีวรยุทธ!
บนถนนมีหัวขโมยกลุ่มหนึ่งที่ถูกทางการหมายหัวไว้อย่างลับๆ พอเจอตัวก็เอาฝักดาบทุบหัวอย่างแรง ตีจนอีกฝ่ายล้มไปกองอยู่กับพื้น หน้าผากมีเลือดสดไหลริน แต่ละคนกุมหัวนั่งยอง สุดท้ายจึงต้องมอบถุงเงินใบใหญ่และยังมีถุงหอมที่ฉวยมาจากบนร่างของสตรีจำนวนไม่น้อยออกไปให้แต่โดยดี ในบรรดาคนของฝั่งทางการก็มีนักการอายุมากคนหนึ่งของที่ว่าการที่คล้ายรู้จักกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มโจร จึงลากตัวอีกฝ่ายไปด้านข้าง ถลึงตาใส่ ตวาดสั่งสอนสองสามประโยค บอกให้เด็กหนุ่มรีบจากไปเดี๋ยวนี้ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนถูกลูกน้องคนหนึ่งของเขาพาตัวไปที่ว่าการอำเภอ
อวี๋หงมีเส้นผมขาวโพลน เรือนกายแข็งแกร่งกำยำ ผู้ฝึกยุทธของราชวงศ์จูอิ๋งเก่าผู้นี้ ว่ากันว่าอายุมากถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปีแล้ว แม้จะแก่ชราแต่ยังเปี่ยมกำลังวังชา ถึงกับฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนสู่ยอดเขาเมื่อหลายปีก่อน
ปรมาจารย์เฒ่าดีดร่างขึ้นมาจากพื้นดินทางทิศใต้ของเมืองหลวง ทะยานลมพลิ้วกายลงมาตามเส้นทางที่กรมอาญากำหนดไว้ให้ก่อนหน้านี้ เพียงชั่วพริบตาก็มาปรากฏตัวอยู่บนลานกว้างด้านหลังศาลเทพอัคคี ชักนำให้เกิดเสียงไชโยโห่ร้องก้องฟ้าดังมาเป็นระลอก
ส่วนโจวไห่จิ้งปรมาจารย์ใหญ่หญิงที่มีชาติกำเนิดมาจากแคว้นเล็กใต้อาณัติเลียบมหาสมุทรตะวันตกเฉียงใต้ผู้นั้น ตอนนี้ยังไม่ปรากฏตัว
ก่อนจะเลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขา โจวไห่จิ้งไร้ชื่อเสียง มีชาติกำเนิดจากชาวประมงริมทะเล ดูเหมือนว่าจะเป็นบุตรสาวของเถ้าแก่ตลาดปลาคนหนึ่ง ปีนี้อายุห้าสิบเจ็ดปี แต่กลับมีใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนคนอายุยี่สิบต้นๆ เรือนกายสูงเพรียว เล่าลือกันว่ารูปโฉมงดงามนัก วันนี้พวกลูกหลานขุนนางผู้มีคุณูปการทั้งหลายของเมืองหลวงต่างก็มาชมการประลองเพราะนาง ส่วนอวี๋หงคนนั้นจะมีอะไรให้น่ามองกัน จะให้มองกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ บนร่างของตาเฒ่าคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?
สถานที่แห่งหนึ่งที่ห่างจากลานประลองยุทธมาไม่ไกล มีรถม้าสองคันจอดอยู่หน้าตรอก ในห้องโดยสารรถม้ามีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ลมหายใจของนางทอดยาว บุคลิกสุขุมมั่นคง
ในมือของนางถือขนมเปี๊ยะไว้ชิ้นหนึ่ง มีชื่อว่าฝูโส่วเซียง เป็นของที่คนต้องการมากแต่กลับมีน้อยในเมืองหลวง แค่เอามือลูบไล้ผ่านก็จะมีกลิ่นหอมติดมือทั้งวัน (ตรงตามชื่อฝูโส่วเซียง)
ข้าวของจากร้อยแคว้นในหนึ่งทวีปล้วนมารวมกันอยู่ในเมืองหนึ่งของต้าหลี
สารถีที่ขับรถให้นางคือบุรุษที่มีลักษณะสุภาพอ่อนโยนแต่หล่อเหลาอย่างถึงที่สุด เขาสวมชุดตัวยาวสีขาวหิมะ ตรงเอวห้อยไผ่เขียวหนึ่งท่อน สะพายกระบี่ยาวที่ชื่อว่า ‘ลวี่จู’ (ไข่มุกมรกต)
สตรีเปลี่ยนมือที่ถือขนมเปี๊ยะชิ้นนั้น มีม่านชั้นหนึ่งกั้นขวาง นางพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ คุยกับสารถีที่อยู่ข้างนอก “ลำบากให้อาจารย์ซูต้องมาเป็นสารถีให้แล้ว”
คนขับรถที่ถูกโจวไห่จิ้งเรียกอย่างให้ความเคารพว่าอาจารย์ซูก็คือซูหลาง เซียนกระบี่ไผ่เขียวจากแคว้นซงซีแคว้นใต้อาณัติในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป
ก่อนหน้านี้ไม่นานซูหลางเพิ่งจะปิดด่านเสร็จสิ้น เลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลได้สำเร็จ ทุกวันนี้เป็นผู้ถวายงานอันดับรองของกรมอาญาต้าหลีอย่างลับๆ อีกทั้งเขากับโจวไห่จิ้งยังรู้จักกันในยุทธภพเมื่อนานมากแล้ว สำหรับปรมาจารย์หญิงที่มีศาสตร์คงความอ่อนเยาว์ผู้นี้ แน่นอนว่าซูหลางต้องมีความคิดบางอย่าง น่าเสียดายที่คนหนึ่งมีเจตนา อีกคนไร้ใจ ครั้งนี้โจวไห่จิ้งมาถามหมัดกับอวี๋หงที่เมืองหลวง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือส่วนรวม ซูหลางก็ต้องพยายามที่จะแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านครึ่งตัวให้จงได้
โจวไห่จิ้งวางขนมเปี๊ยะในมือลง จากนั้นหยิบคันฉ่องประทินโฉมบานหนึ่งขึ้นมา มองซ้ายมองขวาอย่างละเอียดลออ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นสตรีงดงามที่ชวนให้คนรักถนอม เป็นโฉมสะคราญแห่งยุคสมัยคนหนึ่ง
แต่นางกลับเผยสีหน้าคับแค้นใจในตัวเองออกมาเสี้ยวหนึ่ง อายุของตนไม่น้อยแล้วจริงๆ แต่กลับยังไม่มีบุรุษที่ถูกใจ น่าเสียดายที่สาวงามอุตส่าห์ประทินโฉมงามงด แต่กลับไม่มีบุรุษให้ถามว่างามหรือไม่
ซูหลางกล่าว “ไม่รู้ว่าเผยเฉียนจะมาชมศึกด้วยหรือไม่?”
สี่ปรมาจารย์ใหญ่ด้านวรยุทธที่ได้รับการประเมินจากหนึ่งแคว้น เผยเฉียนอยู่ในอันดับที่สอง อายุน้อยที่สุด ชื่อเสียงดีที่สุด
โจวไห่จิ้งที่สวมชุดกระโปรงสีเหลืองไข่ห่านส่ายหน้า แปะรูปดอกไม้ลงบนหน้าผากเบาๆ พลางพูดไปด้วย “เกินครึ่งคงไม่มากระมัง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่นางจะอำพรางกายมาชมศึก มองออกว่าเผยเฉียนไม่ใช่คนที่ชอบชื่อเสียงจอมปลอมมากนัก”
โจวไห่จิ้งเหลือบมองตลับเครื่องประทินโฉมที่อยู่ข้างเท้าแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ หาเงินมาสะสมเป็นสินเดิมช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ แล้วยังมีเครื่องประดับมวยผมประเภทต่างๆ ที่ต้องเอามาเติมบนศีรษะอีก ช่วยไม่ได้ โอกาสหาได้ยาก ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ได้ตกลงราคากับร้านค้ามากมายหลายสิบร้านในเมืองหลวงซึ่งรวมไปถึงร้านผ้าแพรต่วน ร้านเครื่องประทินโฉม ร้านเครื่องประดับศีรษะเป็นหนึ่งในนั้นเอาไว้แล้ว หากผิดสัญญา ขาดของสิ่งใดไปสักชิ้น หลังจบเรื่องต้องชดใช้ด้วยเงินก้อนใหญ่
ซูหลางเอ่ยเตือน “อวี๋หงมาถึงแล้ว”
โจวไห่จิ้งรีบร้อนจัดการตัวเองให้เหมาะสมแล้วลุกขึ้นยืน ค้อมตัวแหวกผ้าม่านออก กระโดดลงจากรถม้า ทั่วร่างเรืองรองไปด้วยแสงไข่มุกอัญมณี ไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธที่กำลังจะประลองฝีมือกับคนอื่น กลับเหมือนสตรีมีเงินที่ผ่านชีวิตยากลำบากมาจนเคยชินแล้วจู่ๆ ก็กลายเป็นเศรษฐีเสียมากกว่า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นของมีค่าชิ้นใดที่สามารถโอ้อวดความมีเงินได้ นางก็ล้วนประโคมลงไปบนร่าง บนศีรษะและบนข้อมือ
ซูหลางกลั้นขำ มองดูแล้วน่าตลกมากจริงๆ แต่หากจะรู้สึกว่าหมัดเท้าของโจวไห่จิ้งอ่อนนุ่มด้วยเหตุนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คิดผิดมหันต์แล้ว
โจวไห่จิ้งไม่ได้รีบร้อนทะยานร่างไปปรากฎตัวที่ลานประลองยุทธ นางหยุดยืนอยู่ข้างรถม้า จับประคองปิ่นทองที่คล้ายกับ ‘ยื่นออกมาจากหน้าผา’ ชิ้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง เอ่ยว่า “อย่าหัวเราะนะ อาจารย์ซูไม่เคยผ่านชีวิตที่ยากลำบากมาก่อน ไม่รู้หรอกว่าการหาเงินนั้นยากลำเข็ญเพียงใด”
——