กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 844.1 ร่วมกันโค่นเปลี่ยวร้าง
ม่านราตรีหนาหนักทำให้มองไม่เห็นร่างของอาเหลียงในฉับพลัน มีเพียงแสงกระบี่ที่ผุดขึ้นจากสี่ทิศ สาดส่องเจิดจ้าไปยังฟ้าดินรอบด้าน
คนผู้หนึ่งออกกระบี่กลับมีภาพเหตุการณ์เหมือนการลงมือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายบนสนามรบยุคบรรพกาลห่างไกลได้เช่นนี้
ซินจวงที่รับหน้าที่โคจรค่ายกลใหญ่พร้อมกับโซ่วเฉิน ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ ศิษย์พี่หญิงของหลีเจิน นางรีบกวาดตามองรอบด้านอย่างว่องไว ร่ายวิชาอภินิหารบทหนึ่งที่เชื่อมโยงกับความมืด ทำให้ดวงตาทั้งคู่วับวาว ส่องประกายแสงเรืองรอง แม้แต่แม่น้ำแห่งกาลเวลาและเส้นทางไปสู่ปรโลกสายนั้น นางก็ยังหาเบาะแสออกมาได้ แต่ซินจวงกลับหาร่องรอยของบุรุษคนนั้นไม่เจอ
มิน่าเล่าในอดีตถึงสามารถเผ่นหนีไปจากการดักล้อมสังหารของปีศาจใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยอันตรายได้
โซ่วเฉินชักกระบี่ไร้ฝักเล่มหนึ่งออกมาจากกล่องกระบี่แล้ว สองนิ้วคีบตัวกระบี่แล้วปาดไปที่ปลายกระบี่อย่างรวดเร็ว คล้ายกับลอกเอาคราบของเซียนเหรินชั้นหนึ่งออกมา แสงกระบี่กลายเป็นสายฟ้าหนึ่งเส้นที่พุ่งปะทะเข้ากับฟ้าแลบแปลบปลาบพวกนั้น ขณะเดียวกันก็ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนด้วยว่า “ไม่ต้องหาแล้ว เจ้าและข้าแค่ประคองค่ายกลใต้ฝ่าเท้าให้ดี สงบใจรอรับกระบี่ไปก็พอ”
ซินจวงได้ยินดังนั้นก็รีบเก็บความคิดลงไปทันที เรียกเอาถุงที่ไม่สะดุดตาใบหนึ่งออกมาโบกเบาๆ ไอหมอกก้อนเมฆลอยอวลขึ้นสูงแล้วกระจายตัวแผ่ไปรอบด้านอย่างว่องไว ราวกับพายุฝนที่ยืมมาจากเทพพิรุณเทพวาโยยุคบรรพกาล ปกคลุมร่างนางอยู่ภายใน เมฆหมอกล่องลอยราวกับอยู่ในพื้นที่แค่ตารางชุ่นเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นถ้ำสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง ฟ้าดินแห่งนี้มีลมฝนพัดกระโชกแรงกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด กว้างไกลนับหมื่นลี้ ประหนึ่งวิชาอภินิหารเมล็ดงาอีกประเภทหนึ่งที่ช่วยให้ซินจวงซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทะเลสาบใหญ่ยักษ์ ต่อให้อาเหลียงจะสามารถใช้หนึ่งกระบี่ฟันตราผนึกขุนเขาสายน้ำของฟ้าดินได้ แต่ก็ไม่อาจฟันมายังร่างจริงของนางได้
ปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างกลุ่มที่มาล้อมฆ่าอาเหลียงครั้งนี้ ดูเหมือนว่าหากบนมือของใครไม่มีอาวุธเซียนสักชิ้นสองชิ้นก็คงไม่มีหน้าออกมาจากบ้าน มาปรากฏตัวอยู่ในสนามรบแห่งนี้
สภาพการณ์ของซินจวงไม่น่าเป็นห่วงชั่วคราว นางจึงมองประเมินกล่องกระบี่ที่โซ่วเฉินสะพายไว้ด้านหลังหลายที หากจะพูดกันถึงการสืบทอด ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง คนที่สามารถเทียบเคียงกับภูเขาทัวเยว่ได้ อันที่จริงก็มีแค่สายของโจวมี่มหาสมุทรความรู้เท่านั้นแล้ว
เห็นเพียงว่าโซ่วเฉินปาดตัวกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ลอกเอาปณิธานกระบี่บรรพกาลแต่ละชั้นลงมาไม่หยุด ให้มันปะทะต้านทานกับภาพบรรยากาศที่ฟ้าร้องสะเทือนเลือนลั่นซึ่งเกิดจากการจำแลงวิถีกระบี่ของอาเหลียง
เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเหมือนกัน ระยะห่างกลับมากนัก ไม่เพียงแค่เพราะขอบเขตของโซ่วเฉินในเวลานี้ยังไม่มั่นคงอย่างสมบูรณ์เท่านั้น ที่มากกว่านั้นยังเป็นระดับสูงต่ำของวิถีกระบี่ด้วย
โซ่วเฉินจำต้องยอมรับว่าคิดจะขยับเข้าใกล้ระดับความสูงแห่งวิถีกระบี่ของอาเหลียงในทุกวันนี้ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อีกฝ่ายอายุสั้น ตนอายุยืนยาว จากนั้นก็ค่อยๆ อาศัยความสามารถในการขัดเกลาทีละนิดและโชควาสนาที่ได้มาในภายหลัง จึงจะมีความหวัง
กล่องกระบี่ที่โซ่วเฉินสะพายอยู่วาดเป็นรูปสามภูเขาสี่มหาสมุทรห้าขุนเขาสิบลำน้ำของยุคบรรพกาล ต่างจากภาพยันต์ทำนายแท้จริงของลัทธิเต๋าที่แพร่หลายอย่างยิ่งในโลกยุคหลังอยู่มาก
เพราะก่อนหน้านี้ถูกปณิธานกระบี่ของอาเหลียงชักนำ เวทอำพรางตาของกล่องกระบี่จึงหายไปแล้ว เผยให้เห็นภาพจริงของสามภูเขาที่หายสาบสูญไปนานแล้ว แค่มองก็เห็นได้ชัดเจนถ้วนทั่ว แบ่งออกเป็นภาพที่คล้ายกับเทพนั่งนิ่งดุจศพ วานรเดินในป่าเขา และมังกรทะยานผลุบโผล่กลางเมฆ
ความรับผิดชอบของสามภูเขาแบ่งออกเป็นควบคุมหยินหยางและห้าธาตุ กำหนดช่วงเวลาเกิดและตาย ความสั้นความยาวของช่วงเวลา การแบ่งแขนงดวงดาวหลัก รวมกับควบคุมชะตาของเผ่าพันธุ์น้ำอย่างปลาและมังกร
เดิมทีกล่องกระบี่ก็เป็นค่ายกลสมบัติหนักที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนชิ้นใหญ่อยู่แล้ว เล่าลือกันว่าหลิงเจินผู้หลุดพ้นของยุคโบราณท่านหนึ่งถือครองภาพนี้อยู่ในมือ เดินข้ามสามภูเขาห้าขุนเขา ก้าวผ่านแม่น้ำทะเลลำน้ำ ร้อยเทพและกลุ่มสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนมารอต้อนรับเขาด้วยตัวเอง
ในเมื่อเป็นภาพค่ายกลยุคบรรพกาล กลับน่าเสียดายนักที่ไม่ทราบชื่ออาจารย์หล่อหลอมผู้หลอมวัตถุชิ้นนี้ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาเพียงแค่เคยชินที่จะเรียกเขาว่าอาจารย์ซานซานจิ่วโหว หลังจากนั้นก็ได้ถูกโจวมี่อาจารย์ผู้มีพระคุณหลอมขึ้นมาอย่างตั้งใจ ให้เป็นสถานที่เลี้ยงกระบี่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘สุสานกระบี่’ ถูกขนานนามให้เป็นผลสำเร็จยิ่งใหญ่ในด้านของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บนโลก สามารถบำรุงให้ความอบอุ่นแก่กระบี่ยาวได้มากสุดเก้าเล่ม สามารถฟูมฟักวิชาอภินิหารบางอย่างที่คล้ายคลึงกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ หากผู้ฝึกลมปราณได้สมบัติหนักชิ้นนี้ไปครอง ต่อให้ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยังเหนือกว่าผู้ฝึกกระบี่
การสืบทอดบนภูเขาจึงสำคัญถึงเพียงนี้ ที่บอกว่าเมล็ดพันธ์เทพเซียนต้องพิถีพิถันในเรื่องการกราบอาจารย์เหมือนหาครรภ์ไปเกิดใหม่ ไม่ใช่เรื่องโกหกแม้แต่น้อย
ส่วนจูเยี่ยนที่เป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาตัวนั้น เท้าเหยียบอยู่บนกระบี่ยาว ‘ติ้งซาน’ มหามรรคาจำแลงออกมาเป็นฟ้าดินเล็กของขุนเขาแห่งหนึ่ง ส่วนในมือจูเยี่ยนนั้นถือกระบองยาวเอาไว้ หลักฟ้าปรากฏการณ์ดิน เผยร่างจริงพันจั้ง กระบี่ยาวก็ขยายใหญ่ตามไปด้วย หนึ่งกระบองฟาดลงไป เคาะลงบนหน้าผากของมังกรเพลิง ทุบอีกฝ่ายให้แหลกเละ แสงไฟกระเด็นไปสี่ทิศ ขุนเขาสายน้ำพันลี้มีฝนเพลิงตกกระหน่ำลงมา
คิดไม่ถึงว่ามังกรเพลิงที่หัวแตกยับแล้วตัวนั้นถึงกับจำแลงร่างเป็นมังกรเพลิงเล็กบางได้อีกนับร้อยนับพันตัว แต่ละตัวเลื้อยคดเคี้ยวเหมือนรากภูเขา รูปร่างเหมือนเส้นทางมังกรบนพื้นดิน ใช้สิ่งนี้มาท้าทายบรรพบุรุษย้ายภูเขาอย่างจูเยี่ยนว่าชอบย้ายภูเขานักใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเคลื่อนย้ายได้ตามสบาย
จูเยี่ยนผลัดสองมือถือกระบอง เรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารหมุนคว้างไม่หยุด แผดเสียงกลั้วหัวเราะดังลั่น “อาเหลียงชาติสุนัข แม้ว่าข้าและเจ้าจะเป็นศัตรูอยู่กันคนละฝ่าย แต่ก็เคารพที่เจ้าคือลูกผู้ชายคนหนึ่ง วันหน้าข้าจะตั้งป้ายจารึกถึงเจ้าอยู่ในขุนเขาสายน้ำของเปลี่ยวร้าง ท่านปู่เช่นข้าจะช่วยแกะสลักป้ายหน้าหลุมศพให้เจ้าด้วยตัวเอง รับรองว่าทุกปีหน้าหลุมศพจะต้องมีสุรากองเป็นภูเขา เป็นอย่างไร?”
กระบองยาวถูกชักออกอีกครั้ง จูเยี่ยนร่ายวิชาอภินิหารที่เป็นของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาออกมา คือวิธีการใหญ่ที่กรีดแม่น้ำให้กลายเป็นพื้นดิน บนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อและเต็มไปด้วยปณิธานกระบี่แห่งนั้น ปณิธานกระบี่อันไพศาลที่คล้ายทะเลสาบยักษ์มารวมตัวกันถูกดึงออกไป วิชาแบ่งน้ำที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้เหตุผลนี้เหนือกว่าเวทคาถาน้ำและดินของบนภูเขาในหลายใต้หล้าของโลกยุคหลังมากนัก สามารถแบ่งแยกน้ำในแม่น้ำและมหาสมุทรได้ตามใจชอบ น้ำลดหินผุด แยกภูเขาแม่น้ำออกจากกัน เผยให้เห็นพื้นดิน เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มหาสมุทรกลายเป็นผืนนาซึ่งมนุษย์ธรรมดามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างหนึ่ง
จูเยี่ยนทิ้งตัวลงพื้นดังตึง เท้าเหยียบลงบนรากภูเขาที่เปิดเปลือยโผล่พ้นพื้นดิน ร่างจริงพลันขยายใหญ่จากเดิมถึงห้าเท่า วาดกระบองฟาดไปในแนวขวาง คำรามกร้าวอย่างเดือดดาล “ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก จงมาโขกหัวยอมรับความตายต่อท่านปู่แต่โดยดี!”
ซินจวงที่ชมศึกอยู่ไกลๆ ขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะไม่ชอบวิธีการเข่นฆ่าสังหารของจูเยี่ยนจริงๆ แหกปากร้องคำรามส่งเดช หนวกหูนัก
ทว่าซินจวงกลับรู้รากฐานของอีกฝ่ายดี รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเวทอำพรางตา อย่าเห็นว่าทุกครั้งที่บรรพจารย์ย้ายภูเขาอย่างจูเยี่ยนลงสนามรบมักจะชอบพูดจาอาฆาตมาดร้าย พูดจาห้าวเหิมไร้สาระ บดขยี้ทำลายภูเขาของสองทวีปในใต้หล้าไปตลอดทาง วิธีการอำมหิตโหดร้าย กำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกครั้งที่ขอแค่จูเยี่ยนเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ยามลงมือจะกะความหนักเบาได้อย่างดีเยี่ยม วิธีการอันตราย ใช้แนวทางเข่นฆ่าแบบเดียวกับโซ่วเฉิน หากเห็นจูเยี่ยนเป็นแค่ปีศาจใหญ่ที่มีแต่พละกำลังเท่านั้น จุดจบย่อมอนาถอย่างมาก
ทหารม้าเกราะทองข้างกายซินจวงหยิบเอาค้อนดาวตกอันหนึ่งออกมาจากเอวแล้ว บิดหมุนข้อมือ แสงสีทองไหลรินเร็วจี๋ ก่อนจะรวมตัวกันเป็นวงกลมสีทองไร้จุดด่างพร้อยวงหนึ่ง สุดท้ายก็ขว้างเข้าใส่ดาวตกจากฟ้าที่ราวกับพยายามจะบุกฟ้าเบิกดินดวงนั้นอย่างว่องไว
ค้อนดาวตกขนาดจิ๋วสองชิ้นของเขา เดิมทีก็มีไว้เพื่อขัดขวางดาวตกจากนอกฟ้าที่ไม่ธรรมดาสองดวงอยู่แล้ว จากนั้นนำวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินอีกนับไม่ถ้วนมาหลอมรวมอย่างตั้งใจ เนื่องจากหมื่นปีที่ผ่านมา อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งบูชาในศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ ส่วนใหญ่ล้วนติดตามหลี่เซิ่งไปพิทักษ์อยู่นอกฟ้า มักจะประมือกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นประจำ บวกกับที่ในอดีตมีการจับมือกันเดินทางไกลของผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างพวกบรรพจารย์ร้อยสำนักและเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์โดยมีหลี่เซิ่งเป็นผู้นำ เปิดฉากเข่นฆ่าอยู่นอกฟ้าอย่างไม่มีหยุดพัก ระหว่างนี้ก็ได้ก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติมากมายบนโลกมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นเคยทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเกิดสถานที่ฟ้ารั่วที่มีตราผนึกหนาชั้นอยู่สองแห่ง หนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพื้นดินที่สูงชัน อีกหนึ่งอยู่ในอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงใต้ที่คล้ายกับฟ้าดินยุบถล่ม สถานที่แห่งแรกมักจะมีดาวตกฝนเพลิงหล่นลงมายังพื้นดินบ่อยๆ สถานที่อย่างหลังมีฝนฟ้ากระหน่ำสาดเทลงมาไม่ขาดสาย ห่าฝนประหนึ่งกรอกเทเข้าสู่แผ่นดิน ตลอดทั้งปีแทบจะไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวัน
เฟยเฟยปีศาจใหญ่บนบัลลังก์คนเก่าก็ไปเจออวี่ซื่อที่ภายหลังกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกระโจมเจี่ยเซินจากสถานที่แห่งหนึ่งในนั้น
ก่อนที่อาเหลียงจะลงมือ เซียวสวิ้นก็เอ่ยเตือนขึ้นมาก่อนแล้วว่า “จางลู่ อีกเดี๋ยวหากตีกันขึ้นมาจริงๆ อาเหลียงไม่มีทางออมมือให้เจ้าแน่ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเขารนหาที่ตาย ดังนั้นเจ้าเองก็ระวังตัวด้วย ดื่มสุราคารวะคนอื่นหน้าหลุมศพ ถึงอย่างไรก็ดีว่าถูกคนเซ่นสุราให้ดื่ม”
ในอดีตเซียวสวิ้นรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความใจจืดใจดำอยู่แล้ว นางจะคบหาใครเป็นสหายมักจะมีข้อเรียกร้องอย่างหนึ่ง ใครที่เกลียดใต้หล้าไพศาล เซียวสวิ้นก็จะถูกชะตากับคนผู้นั้น
ในเรื่องนี้อาเหลียงกลับเป็นข้อยกเว้น
คงเป็นเพราะลูกหลานลัทธิขงจื๊อที่เป็นทายาทของอริยะศาลบุ๋นผู้นี้ไม่ค่อยเหมือนบัณฑิตสักเท่าไรกระมัง
บวกกับที่สถานะผู้ฝึกกระบี่ของอาเหลียง กับการที่เขาถึงกับมาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานถึงร้อยปีไม่ยอมจากไปไหน ความสัมพันธ์ระหว่างเซียวสวิ้นกับเขาจึงดีมาก
หวนนึกถึงปีนั้น ตอนที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง ทุกครั้งที่เจอกับหิมะตกหนักก็จะต้องมีชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมใช้สองมือหิ้วผมแกละสองข้างของแม่นางน้อย แล้วเรียกอย่างไพเราะว่าเป็นการ ‘ยกพู่กันเขียนตัวอักษร’
บางทีนี่ก็คงเหมือนที่ตัวอาเหลียงเองพูดว่า ทุกเรื่องราวที่จุดจบคือความเสียใจ ล้วนมีจุดเริ่มต้นด้วยความอบอุ่นเสมอ ทุกปีที่หิมะใหญ่เยียบเย็นตกลงมา ล้วนเดินออกมาจากบุปผาผลิบานในฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นเสมอ
จางลู่ลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “ข้าไม่ใช่เด็กซะหน่อย รู้หนักเบาหรอกน่า สนามรบในวันนี้มีแต่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่มีสหาย”
เซียนกระบี่ใหญ่ที่เคยกลายเป็นคนเฝ้าประตูของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนี้ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม หนึ่งคือ ‘เต้าอิ่ง’ (เงาสะท้อน) อีกหนึ่งคือ ‘จือหลี’ (แตกกระจาย)
เซียวสวิ้นลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดหนึ่งที ไม่ได้เรียกกายธรรมร่างทองออกมา แต่ใช้ร่างจริงต้านรับปณิธานกระบี่ส่วนนั้น นางกระโดดเข้าไปในแม่น้ำสีเขียวมรกตที่จำแลงมาจากมรรคากระบี่ เหวี่ยงแขนเล็กบางสองข้าง ปล่อยหมัดอย่างโอหัง ต่อยให้ปณิธานกระบี่แหลกสลาย
นอกจากการเข่นฆ่ากับจั่วโย่วที่ตีกันจากใต้หล้าไพศาลไปถึงนอกฟ้าแล้ว
ในช่วงเวลาที่เซียวสวิ้นรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เพียงแต่ไม่เคยเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ถึงขั้นที่ว่ายังไม่มีกระบี่ยาวที่เหมาะมือสักเล่ม ทุกครั้งที่กระโจนลงสนามรบ แม้แต่กระบี่ยาวที่หอกระบี่สร้างขึ้นก็ยังคร้านจะเอามาใช้
วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะจั่วโย่วต้องมาลงสนามรบด้วยแน่นอน
บรรพบุรุษชูเซิงบอกเป็นนัยแก่เฝ่ยหรานว่าไม่ต้องรีบร้อนลงมือ ในมือของผู้ฝึกตนเฒ่าถือไม้เท้าจิ้มลงบนพื้นเบาๆ หลายครั้ง ทุกครั้งที่ไม้เท้ายันพื้นก็คือการร่ายวิชาอภินิหารชั้นสูงอย่างหนึ่ง โชควาสนาบนมหามรรคา สมดังใจปรารถนา กาฟ้า ผนึกปราณ ฝันร้าย…
หลิวป๋ายถอนหายใจแผ่วเบา ตกอยู่ในวงล้อมที่สามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้ ต่อให้เจ้าเป็นอาเหลียง จะสามารถประคับประคองตนรอให้จั่วโย่วตามมาทันได้จริงหรือ?
นาทีถัดมา อาเหลียงที่หายตัวไป ในที่สุดก็เผยกายบนสนามรบ มีแสงกระบี่ก่อนแล้วถึงจะมองเห็นตัวคน
ไม่ได้ไปหาซินจวง แต่แสงกระบี่ตรงดิ่งมาที่ท้ายทอยของจูเยี่ยน “ท่านย่าเจ้าเถอะ ชอบพ่นอาจมเต็มปากใช่หรือไม่ วันนี้จะต้องสอนให้เจ้ารู้ว่าคิดจะคุยโวควรต้องร่างคำพูดเอาไว้ก่อน!”
จูเยี่ยนไม่ทันสลายร่างจริงก็เรียกเวทลับบทหนึ่ง ใช้กายธรรมเข้ามาแทนที่ร่างจริง ต่อให้เหยียบอยู่บนรากภูเขาก็ยังไม่กล้าเผยร่างจริงอีก พลันหดร่างกลับคืนไปบนพื้นดินทันที
เห็นเพียงว่าศีรษะของกายธรรมจูเยี่ยนถูกตัดคาที่ เพิ่งจะดีดขึ้นเล็กน้อยก็ถูกแสงกระบี่อีกเส้นฟันแสกหน้าจนแหลกสลาย
ซินจวงเบิกตากว้าง โซ่วเฉินตวาดเสียงหนัก “มาหาเจ้าแล้ว!”
แล้วก็จริงดังคาด แสงกระบี่เส้นหนึ่งไม่ได้พุ่งมาเป็นเส้นตรง แต่เคลื่อนที่สอดคล้องกับเส้นโค้งของภาพค่ายกลปลาหยินหยางพอดี หนึ่งกระบี่ฝ่าทะลุค่ายกล
อาเหลียงที่ถือกระบี่เดินออกมาหนึ่งก้าว บุกเข้ามาในฟ้าดินที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก ปณิธานกระบี่ของทั้งร่างเหมือนม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ มองเมินตราผนึกค่ายกลชั้นที่สองของซินจวงไปอย่างสิ้นเชิง
โชคดีที่เมื่อครู่ซินจวงไม่ได้ประมาท นางเลือกที่จะโคจรค่ายกลใหญ่ทันที หยินหยางจึงกลับสลับ ผลัดเปลี่ยนฟ้าดินเล็กกับโซ่วเฉิน แลกตำแหน่งกับเขา
กล่องกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังโซ่วเฉินหลุดออกไปด้วยตัวเอง กลายเป็นค่ายกลบรรพกาลแห่งหนึ่ง กายธรรมร่างทองของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนนี้มีสามเศียรหกกร แต่ละมือถือกระบี่ข้างละเล่ม
อาเหลียงที่ในมือมีแค่กระบี่คู่แล้วก็ไม่มีเวทกระบี่ใดๆ ให้เอ่ยถึงเพียงแค่เงื้อกระบี่ฟันอย่างมั่วซั่วเท่านั้น
เมื่อเทียบกับกายธรรมของโซ่วเฉินแล้ว เรือนกายเล็กจ้อยเท่าเมล็ดงาที่สามารถมองเมินไปได้เลยของอาเหลียง ทุกครั้งที่ออกกระบี่ แสงกระบี่ตวัดโค้งทำให้คนตาลาย ตัดสลับกันฉวัดเฉวียน ฟาดฟันจนกายธรรมของโซ่วเฉินได้แต่รับกระบี่แล้วถอยร่นออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
——