กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 844.4 ร่วมกันโค่นเปลี่ยวร้าง
ซูหลางมั่นใจได้นานแล้วว่าในอนาคตยามที่ตนสวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิดจะต้องถือโอกาสผ่านทางแวะไปเยี่ยมเยือนซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ยและตระกูลหลิวแห่งแคว้นไฉ่อีเสียหน่อย จากนั้นก็ง่ายดายมาก ไม่ต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เพราะแบบนั้นจะดูเป็นวิธีการของคนต่ำช้าเกินไป แค่ต้องคอยดูแลสองฝ่ายอย่างลับๆ บ้างก็พอ
เฉินผิงอันเดินไปถึงปากตรอกพร้อมกับซูหลางก็เป็นฝ่ายหยุดเดินก่อน เอ่ยว่า “จากลากันตรงนี้”
ซูหลางกุมหมัดเอ่ยอำลา แต่จู่ๆ ก็อดไม่ไหวถามว่า “ไม่ทราบว่าตอนนี้เจ้าสำนักเฉินอายุเท่าไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ถึงหนึ่งร้อย”
ซูหลางเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เจ้าสำนักเฉินช่างเป็นผู้มีพรสวรรค์บนวิถีกระบี่จริงๆ ในสายตาของผู้เยาว์แล้ว ไม่ด้อยไปกว่าเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะเลย”
เฉินผิงอันเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร มิน่าเล่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวท่านนี้ถึงอยู่กับโจวไห่จิ้งได้ คนหนึ่งไม่ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ อีกคนหนึ่งไม่อ่านรายงานภูเขาสายน้ำ
ทางฝั่งของรถม้า โจวไห่จิ้งเอ่ยสัพยอกผ่านผ้าม่าน “เก๋อเต้าลู่ พวกเจ้าคงจะไม่ใช่ผู้ถวายงานในวังหลวงกระมัง หรือว่าเป็นฮ่องเต้ที่อยากพบข้าน้อย?”
ภิกษุน้อยที่นั่งอยู่ข้างเก๋อหลิ่งสองเท้าลอยอยู่กลางอากาศ รีบร้องภาษาพระธรรมคำหนึ่งทันที
กลิ่นหอมของเครื่องประทินโฉมในห้องโดยสารรถม้าลอดผ่านม่านไม้ไผ่ม่วงออกมาจางๆ รมจนภิกษุน้อยเกือบจะเวียนหัวตาลายแล้ว
เก๋อหลิ่งขับรถม้าอย่างคล่องแคล่ว คนรุ่นบิดาเป็นขุนนางหลัวเจี้ยง ตอนเด็กก็เรียนขี่ม้ายิงธนูมาอย่างคุ้นเคย เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ปรมาจารย์โจวพูดเรื่องตลกแล้ว”
เณรน้อยรู้สึกอิจฉายิ่งนัก “ปรมาจารย์โจวเพิ่งเคยได้พบเจอกับอาจารย์เฉินวันนี้ก็ได้รับคำเรียกขานอย่างเคารพว่าอาจารย์มาจากอาจารย์เฉินแล้ว ช่างทำให้อาตมาอิจฉายิ่งนัก”
โจวไห่จิ้งพูดหยอก “เป็นภิกษุรูปหนึ่งก็สนใจชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้ด้วยหรือ?”
เณรน้อยรีบส่ายหน้าอย่างแรงทันที “รับคำว่า ‘ภิกษุ’ นี้ไม่ไหวหรอก อาตมายังไม่เคยเข้าพิธีอุปสมบทอย่างเป็นทางการเลย”
หนิงเหยากลับมาถึงโรงเตี๊ยมก็เจอกับคนสองคนที่ไม่คาดคิด จึงยิ้มถามว่า “พวกเจ้ามาได้อย่างไร?”
เผยเฉียน ในมือถือไม้เท้าเดินป่า เฉาฉิงหล่าง สวมชุดลัทธิขงจื๊อ
เผยเฉียนยิ้มตอบ “ก่อนหน้านี้ได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากอาจารย์พ่อ บอกว่าจะอยู่ที่นี่ประมาณครึ่งเดือน ศิษย์พี่เล็กจึงให้เฉาฉิงหล่างมาร่วมงานแต่งที่นี่ บอกว่าอาจารย์พ่อไม่สะดวกจะออกหน้า สถานะของเฉาฉิงหล่างกลับค่อนข้างจะเหมาะสม ข้าก็เลยตามมาหาอาจารย์พ่อกับอาจารย์แม่ที่นี่”
เฉาฉิงหล่างประสานมือคารวะ “ศิษย์เฉาฉิงหล่างคารวะอาจารย์แม่”
เขาแอบผ่อนลมหายใจโล่งอก ในที่สุดเผยเฉียนก็ไม่ได้ลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวปังๆๆ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกแล้ว
ยืดตัวขึ้นตรง เฉาฉิงหล่างก็อธิบายว่า “เผยเฉียนเข้าเมืองหลวงมาพร้อมข้าครั้งนี้ เพราะศิษย์พี่เล็กต้องการป้องกันเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ข้าเองก็ต้องลาออกจากตำแหน่งขุนนางที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินอย่างเป็นทางการด้วย”
ออกจากแจกันสมบัติทวีป เดินทางลงใต้ไปเลือกสำนักเบื้องล่างที่ใบถงทวีป
เดิมทีก็เป็นความต้องการของศิษย์พี่เล็ก เพื่อรักษาสถานะของเปียนซิว (ชื่อตำแหน่งขุนนาง ทำหน้าที่เรียบเรียงตำราต่างๆ เช่นตำราประวัติศาสตร์ของแคว้น) แห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินเอาไว้ บอกว่าศิษย์พี่เล็กย่อมต้องมีวิธี
แต่เฉาฉิงหล่างไม่ตอบตกลง รับเงินเดือนมาโดยไม่ทำงาน ไม่ไปขานชื่อในที่ว่าการ ถึงอย่างไรก็ไม่ถูกหลักมารยาท หากอยากให้จิตใจของตัวเองเที่ยงตรง ก็ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองให้ได้เสียก่อน ในฐานะบัณฑิตสายเหวินเซิ่ง จำเป็นต้องใช้คำว่าจริงใจมาเป็นบรรทัดฐานในการทำสิ่งต่างๆ
หนิงเหยาพยักหน้า “อาจารย์พ่อของพวกเจ้าไปพบสหายคนหนึ่งในยุทธภพ อีกพักหนึ่งถึงจะกลับมา”
นางขอยืมมานั่งยาวสองตัวมาจากเถ้าแก่ผู้เฒ่า พอนั่งลงแล้ว หนิงเหยาก็ถามทันทีว่า “การถามหมัดที่ศาลเทพอัคคี ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ไปดูสักหน่อยล่ะ?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างเขินอาย “มารออาจารย์พ่อที่นี่สำคัญกว่า”
เฉาฉิงหล่างที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวอีกตัวไม่ได้พูดอะไร
บนถนนมีเด็กสาวคนหนึ่งเดินกระโดดโลดเต้นมา พอขยับเข้าใกล้โรงเตี๊ยมท่าทางก็สำรวมขึ้นหลายส่วนทันที
เด็กสาวไม่เกรงใจอาจารย์หนิง นางนั่งแปะลงข้างกายหนิงเหยา ถามอย่างสงสัยว่า “อาจารย์หนิง ไม่ได้ไปดูคนตีกันที่ศาลเทพอัคคีหรอกหรือ? สนุกมากเลยล่ะ เมื่อเทียบกับพวกเด็กๆ ของตรอกอี้ฉือกับถนนฉือเอ๋อร์ขว้างอิฐ ข่วนหน้ากันแล้วก็น่าดูกว่ามากจริงๆ”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ไปมาแล้ว แต่คนเยอะเกินไป บวกกับที่ไปสายก็เลยไม่ได้ที่นั่งดีๆ มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก”
เด็กสาวเอ่ยอย่างละอายใจ “ต้องโทษข้า ต้องโทษข้า ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าตรู่ กังวลว่าจะถูกท่านพ่อข้าขัดขวางก็เลยไม่ได้เรียกอาจารย์หนิงไปด้วย ข้ากับสหายในยุทธภพหลายคนได้ที่นั่งดีๆ แถบใหญ่เลยล่ะ!”
นางนั่งอยู่ข้างกายหนิงเหยา พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“จอมยุทธ์หญิงโจวผู้นั้นสวยมากเลย!”
“เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ก็สมคำเล่าลือจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือล้ำโลกที่สามารถมอบตำราหรือไม่ก็ถ่ายทอดกำลังภายในหกสิบปีให้คนอื่นได้ง่ายๆ อย่างที่กล่าวถึงในตำรา อาจารย์หนิงก่อนหน้านี้ท่านคงเห็นแล้วกระมัง เขาบินลงมาจากฟ้าตลอดทาง แล้วก็มายืนอยู่บนเวทีประลอง บารมีอำนาจของยอดฝีมือเช่นนั้น มาดของปรมาจารย์เช่นนั้น สุดยอดไปเลย!”
“ไม่รู้จริงๆ ว่าเผยเฉียนที่ลำดับอยู่สูงกว่าพวกเขา จอมยุทธหญิงใหญ่เผยจะมีมาดห้าวหาญเพียงใด เพียงแค่นางถลึงตาคงต้องทำให้คนที่เป็นศัตรูกับนางอกสั่นขวัญผวา ตกใจจนบาดเจ็บภายในได้เลยกระมัง!”
“ข้าได้ยินมาว่าจอมยุทธหญิงเผยอายุไม่มาก เป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบ ฝึกปรือฝีมือหมัดเท้าจนเข้าขั้นนานแล้ว ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรม อาจารย์หนิง ท่านเองก็เป็นจอมยุทธหญิงที่ออกท่องยุทธภพ เคยโชคดีได้เห็นจอมยุทธหญิงเผยไกลๆ สักครั้งบ้างหรือไม่?”
หนิงเหยากลั้นขำ “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เด็กสาวคิดแล้วก็เอ่ยปลอบใจนางว่า “ไม่เป็นไรๆ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน”
เผยเฉียนที่นั่งอยู่อีกข้างของหนิงเหยาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์รับฟังด้วยความปวดกบาล
โชคดีที่อาจารย์พ่อไม่อยู่
แล้วก็โชคดีที่หมี่ลี่น้อยซึ่งควบหน้าที่คนคาบข่าวและลำโพงกระจายข่าวไม่ได้ตามมาที่เมืองหลวงด้วย ไม่อย่างนั้นกลับภูเขาลั่วพั่วไปจะไม่ถูกพวกพ่อครัวเฒ่า เฉินหลิงจวินหัวเราะเยาะตายเลยหรือ
เฉาฉิงหล่างนั่งนิ่งอยู่บนม้านั่งยาวอีกตัวหนึ่งตลอดเวลา สองมือกำเป็นหมัดวางบนหัวเข่าเบาๆ สายตามองตรงไปเบื้องหน้า
เขาคลี่ยิ้มอบอุ่น วิญญูชนผู้อ่อนน้อม สุขุมหนักแน่น ก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง
หนิงเหยาหันหน้ามายิ้มเอ่ยกับเผยเฉียน “ก่อนหน้านี้อาจารย์พ่อของเจ้าคิดอยากจะรับแม่นางหลิวไว้เป็นลูกศิษย์ แม่นางหลิวกลับไม่ยอมตกลง”
เผยเฉียนโน้มตัวไปข้างหน้า ยิ้มบางๆ ให้กับเด็กสาวคนนั้น
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ เหลือบมองอาวุธที่วางพิงม้านั่งยาวอยู่ข้างมือของเผยเฉียน มั่นใจเต็มเปี่ยม สามารถรบกันได้!
ทำไมกัน รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนอาจารย์พ่อของเจ้าหรือ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนก็อิงตามกฎยุทธภพ ให้อาจารย์หนิงยกที่นั่งให้ แล้วพวกเราสองคนก็มาประมือกันดู บอกไว้ก่อนว่าหยุดแค่พอสมควรก็พอนะ ห้ามทำร้ายคนอื่น ใครที่พ้นไปจากม้านั่งยาวถือว่าแพ้
เผยเฉียนยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร คล้ายพูดแค่สองคำว่า มิกล้า
เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดด้วยหรือ?
ไม่เข้าใจ
ทั้งสองฝ่ายใช้สายตาสื่อสารกันอย่างนี้ อีกทั้งทั้งคู่ต่างก็เข้าใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
เผยเฉียนรู้สึกประหลาดใจนัก คนซื่อบื้อผู้นี้มาจากไหนกัน คิดแล้วนางก็เหลือบมองสภาพจิตใจของเด็กสาวอย่างว่องไว แล้วก็ต้องอึ้งตะลึงไป เผยเฉียนรีบหยุดมองประเมินอีกฝ่ายทันที
เด็กหญิงคนที่อยู่ในสภาพจิตใจของเด็กสาวแตกต่างจากเด็กสาวที่ภายนอกแสดงออกอย่างร่าเริงอย่างสิ้นเชิง
เฉินผิงอันแยกกับซูหลางแล้วก็กลับมาที่โรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว พอเห็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขากับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ เข้ามาหา ยิ้มพลางโบกมือให้คนทั้งสอง
ภาพนี้ทำให้เด็กสาวที่แอบมองอยู่พยักหน้ากับตัวเอง เกินครึ่งคงจะเป็นพรรคในยุทธภพที่แท้จริงแห่งหนึ่ง พอจะมีกฎระเบียบอยู่บ้าง คนต่างถิ่นที่ชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้ อยู่ในพรรคบ้านของตนคล้ายจะมีบารมีอย่างมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าประมุขพรรคของพวกเขาคือใคร อายุมากหรือไม่ วิชาหมัดสูงหรือไม่ เอาชนะเจ้าของศูนย์ฝึกยุทธหลายแห่งที่อยู่ใกล้เคียงได้หรือไม่
อีกทั้งคนหนุ่มผู้นั้น มองดูเหมือนแล้วยังเป็นบัณฑิตอย่างมาก พอจะไล่ตามเมล็ดพันธ์บัณฑิตของตรอกอี้ฉือได้แล้ว
นางยิ่งมั่นใจว่าพรรคที่อาจารย์หนิงอยู่ต้องไม่ใช่พรรคเถื่อนอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายเฉาฉิงหล่าง ถามว่า “พวกเจ้ามากันได้อย่างไร?”
เผยเฉียนเม้มปาก ไม่กล้ายิ้ม
อาจารย์พ่อพูดประโยคแรกเหมือนอาจารย์แม่เป๊ะเลย
เฉาฉิงหล่างจึงอธิบายให้อาจารย์ฟังอีกรอบ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “ก่อนหน้านี้ชุยตงซานได้บอกหรือไม่ว่าทำไมถึงแนะนำให้เจ้าเก็บสถานะขุนนางเปียนซิวของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินเอาไว้”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า “ศิษย์พี่เล็กไม่ได้บอก คงเป็นเพราะเห็นว่าข้ายืนกรานจะลาออกจากการเป็นขุนนางก็เลยหยุดพูดไป”
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูด “ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องรีบร้อนลาออก เผยเฉียน ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปอีกฉบับ ถามถึงสาเหตุจากชุยตงซานอย่างละเอียด”
เฉาฉิงหล่างฟังความนัยในคำพูดนี้ออก จึงถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ก็เหมือนกับศิษย์พี่เล็ก อยากให้ข้ารักษาสถานะขุนนางต้าหลีเอาไว้หรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เหลวไหล สายเหวินเซิ่งอย่างพวกเรา แม้จะบอกว่าทุกวันนี้เป็นจ้าวเหยาที่ตำแหน่งขุนนางสูงที่สุดในราชสำนัก ได้เป็นถึงรองเจ้ากรมอาญา แต่เขาก็ไม่ใช่ขุนนางน้ำใส เส้นทางที่เดินไม่ตรง ถือเป็นคนมีความสามารถที่ไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ซึ่งทางราชสำนักเลื่อนขั้นให้ แต่เจ้านั้นไม่เหมือนกัน เจ้าคือลำดับที่สามของอันดับแรกในการสอบที่ถูกต้องชอบธรรม หากเจ้าลาออกจากตำแหน่ง วันหน้าอาจารย์ไปคุยโวกับคนอื่นก็ต้องเสียประโยชน์ไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
เฉาฉิงหล่างไร้คำพูดตอบโต้
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งออกมาตบไหล่เฉาฉิงหล่าง เอ่ยว่า “ตอนที่ไม่ได้มาเมืองหลวงยังไม่รู้สึกอะไร ผลคือพอมาถึงที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ไปเยือนที่ว่าการตรงตรอกหนันซวิน ถึงได้ค้นพบว่าเจ้าไม่ได้สอบติดจ้วงหยวน ไม่ได้เป็นต้าขุย (อีกชื่อเรียกของจ้วงหยวน) ของใต้หล้า อาจารย์ยังรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อย”
เจ้าเด็กหลินจวินปี้ผู้นั้น ทุกวันนี้ได้เป็นราชครูของราชวงศ์เส้าหยวนแล้ว
ไม่เป็นไร ลูกศิษย์ของตน อีกเดี๋ยวก็จะได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดในเก้าทวีปของไพศาลแล้ว จะไม่มีปรากฏอีกในภายหลังหรือไม่ยังบอกได้ยาก แต่ในอดีตต้องไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนแน่นอน
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้พูดคุยเรื่องนี้กับอาจารย์เป็นพิเศษ ต่างก็รู้สึกว่าหากแหกกฎลงมือทำจะไม่ค่อยเหมาะสม เพราะเฉาฉิงหล่างยังอยู่ห่างจากการเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบมากนัก ถ้าอย่างนั้นก็ให้สถานะตัวแทนเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่วแก่เขาไปชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน
เฉาฉิงหล่างยิ่งรู้สึกจนใจมากกว่าเดิม “ศิษย์เองก็สอบใหม่อีกรอบไม่ได้เสียด้วย อีกทั้งลำดับในการสอบระดับเมืองหลวงยังพูดง่าย แต่การสอบหน้าพระที่นั่งกลับไม่กล้าพูดว่าจะต้องได้เป็นต้าขุยแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเจอกับสวินชวี่ผู้นั้นแล้ว สายตาในการคบหาสหายของพวกเจ้าสองคนต่างก็ไม่เลว”
เฉาฉิงหล่างเป็นกังวลเล็กน้อย เพียงแต่ไม่นานก็วางใจได้
กังวลว่าสวินชวี่จะถูกม้วนหอบเข้าไปในความถูกผิดของวงการขุนนางราชสำนักต้าหลี เพียงแต่ว่าอาจารย์ทำเรื่องต่างๆ ยังต้องมีอะไรให้เป็นกังวลอีกหรือ ต่อให้เป็นเรื่องที่ไม่ดีก็ยังเปลี่ยนมาเป็นเรื่องดีได้
หนิงเหยาใช้เสียงในใจถาม “ยังไม่เลิกเป็นห่วงทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เรือนกายเปลี่ยนมาเป็นงองุ้ม พูดด้วยสีหน้าจนใจว่า “ยากจะวางใจได้จริงๆ”
หนิงเหยาถาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กันสักรอบ?”
เฉินผิงอันถามอย่างคลางแคลง “แล้วทางเมืองหลวงนี่ล่ะ?”
อันที่จริงเขาไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หากจะเข้าไปร่วมวงด้วยจริงๆ ก็มีแต่จะช่วยให้เสียเรื่อง
ทว่าต่อให้แค่ได้มองอยู่ใกล้ๆ สักครั้งก็ยังดี ไม่ว่าจะเป็นซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือว่ากุยซวีสี่แห่งที่ศาลบุ๋นตั้งชื่อให้ว่าเทียนมู่ ฉิงจี เสินเซียงและรื่อจุ้ย หรือไม่ก็เป็นท่าเรือสามแห่งที่ใต้หล้าไพศาลสร้างขึ้นมาอย่างปิ่งจู๋ โจ่วหม่าและตี้ม่าย ไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
หนิงเหยากล่าว “คิดอะไรมากมายขนาดนี้ไปทำไม? เจ้านัดหมายกับฝักแคระผู้นั้นไว้ภายในเวลาสิบวัน อย่างมากก็ให้เผยเฉียนนำความไปบอกที่วังหลวง บอกว่าตอนที่เจ้าไม่อยู่เมืองหลวง ก็ไม่นับรวมกับเวลาสิบวันนั้น แค่นี้ก็ได้แล้ว ต่อให้นางไม่ตอบตกลงแล้วเกี่ยวกับเจ้ากะผายลมอะไรด้วย”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกาย วิธีนี้ใช้ได้เลยนี่นา
คิดไม่ถึงว่าหนิงเหยาเพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็ต้องนั่งกลับลงไปใหม่ “ช่างเถิด เจ้าเดินทางได้ช้าเกินไป ไม่แน่ว่าเจ้ายังอยู่ครึ่งทาง รายงานขุนเขาสายน้ำก็มีผลลัพธ์ออกมาแล้ว”
เฉินผิงอันอึ้งค้าง ลูบคลำปลายคาง หรือว่าควรรอให้อาจารย์กลับมาก่อนแล้วค่อยให้อาจารย์ไปขอร้องหลี่เซิ่ง? ตนไปขอร้องจะไม่เหมาะสักเท่าไร ควรให้อาจารย์ออกหน้าจะดีกว่า
ทันใดนั้นหน้าประตูโรงเตี๊ยมก็มีเรือนกายของบัณฑิตสองคนปรากฏตัว ล้วนข้ามทวีปเดินทางไกลมาจากศาลบุ๋น คนหนึ่งอายุมาก คนหนึ่งอยู่ในวัยกลางคน ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เดินทางได้ช้าเกิน? นั่นก็ไม่แน่เสมอไป บอกมาเถอะ อยากจะไปที่ไหน”
——