กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 845.4 หวนคืนสู่กำแพงเมืองปราณกระบี่
อันที่จริงคำว่าข้อเสียนั้น กลับไม่มีอะไรเลย อย่างมากสุดก็แค่ไม่สามารถอาศัยสถานะของตัวเองไปฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างพร่ำเพื่อ ขอแค่ไม่บอกสถานะของตัวเองกับคนอื่นอย่างชัดเจน ทางกรมพิธีการและกรมอาญาก็ถึงกับไม่คิดจะสนใจบุญคุณความแค้นส่วนตัวของใครด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่ามีเงื่อนไขก็คือไม่สามารถทำให้ราชวงศ์ต้าหลีเสียผลประโยชน์มากเกินไปได้ นอกจากนี้ก็คือโอกาสที่พวกเขาจะลงมือเข่นฆ่านั้นมีไม่มาก มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าภายในร้อยปีเต็ม ไม่แน่ว่าอาจไม่มีเลยสักครั้ง แต่ขอแค่ถึงคราวที่พวกเขาต้องแสดงฝีมือ คู่ต่อสู้ที่ต้องเผชิญหน้าด้วยย่อมต้องเริ่มจากขอบเขตเซียนเหรินเป็นขั้นต่ำแน่นอน ซ่งซวี่เล่าให้ฟังอย่างละเอียด มีความจริงใจอย่างมาก เขาร่ายชื่อศัตรูที่ตั้งสมมติฐานไว้ออกมาเป็นพรวน เช่นว่าพวกคนอย่างเว่ยจวิ้น จิ้นชิง ซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่ของหนึ่งทวีป ฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพ เจ้าประมุขสกุลเจียงอวิ๋นหลิน…บางทีในช่วงเวลาอีกหนึ่งร้อยปีให้หลัง ผู้ฝึกตนของสายแผนภูมิดิน ต่างคนต่างฝ่าทะลุขอบเขตกันแล้ว ถึงเวลานั้นศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าด้วย คนที่สุดท้ายแล้วหยวนฮว่าจิ้งต้องเป็นผู้รับผิดชอบออกกระบี่สังหาร ก็อาจจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานของต่างถิ่นบางคนที่ไม่เคารพกฎหรือไม่ก็ผ่านทางมายังแจกันสมบัติทวีป
โจวไห่จิ้งไม่เอ่ยแทรกตั้งแต่ต้นจนจบ รอกระทั่งซ่งซวี่พูดจบ นางถึงได้ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ข้าไม่เชื่อว่าใต้หล้าจะมีเรื่องดีเช่นนี้ ดังนั้นข้าขอปฏิเสธ”
ซ่งซวี่รินน้ำให้ตัวเองหนึ่งถ้วย พอดื่มหมดในรวดเดียวแล้วก็พยักหน้า “มีเรื่องดีแบบนี้อยู่จริงๆ”
โจวไห่จิ้งยิ้มถาม “หากข้าไม่ตอบตกลง พวกเจ้าจะบังคับซื้อขายหรือไม่?”
ซ่งซวี่พยักหน้า “บังคับ”
โจวไห่จิ้งกลอกตามองบน ดีนักนะ หากไม่ระวังเพียงนิดอาจพลัดหลงเข้ารังโจร ถ้าอย่างนั้นเหล่าเหนียงก็ยิ่งไม่ควรขึ้นเรือผิดลำกลายเป็นขึ้นเรือโจรไปเสีย
ซ่งซวี่เอ่ย “ในเมื่อพวกเราเลือกเจ้า เจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว”
ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ ต่อให้กวาดตามองไปทั่วขุนเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีป ก็ยังหาได้ยากดุจขนหงส์เขากิเลน คนที่มีชื่ออยู่บนอันดับรายชื่อในอดีตก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น อวี๋หงติดขัดอยู่ที่คุณสมบัติในการเรียนวรยุทธไม่ดีพอ ทั้งยังอายุมากแล้ว ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีหวังจะเป็นขอบเขตปลายทาง ส่วนซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธหญิงจากอุตรกุรุทวีปที่เป็นขอบเขตยอดเขาเหมือนกัน อันที่จริงทางฝั่งของกรมอาญาต้าหลีก็เคยได้สัมผัสกับนางมาก่อนแล้ว จึงให้ข้อเสนอว่าควรตัดทิ้ง
ส่วนเผยเฉียนที่เหมาะสมยิ่งกว่านั้น…ช่างเถิด ทุกวันนี้ใครก็ไม่ยินดีจะไปมาหาสู่กับอิ่นกวานผู้นั้น
โจวไห่จิ้งแกว่งถ้วยน้ำ “หากข้ายืนกรานจะปฏิเสธให้ได้ล่ะ? จะไม่ปล่อยให้ข้าออกไปจากเมืองหลวงหรือไม่?”
ซ่งซวี่พยักหน้า “โชคไม่ดีก็คงจะเป็นเช่นนั้น หากโชคดี สามารถอาศัยความสามารถหนีออกไปจากเมืองหลวงได้ ถ้าอย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ก็ห้ามเหยียบย่างเข้ามาในอาณาเขตของต้าหลีอีกแม้แต่ก้าวเดียว หากจับได้จะถูกฆ่าทิ้งทันที”
โจวไห่จิ้งจุ๊ปาก “โอ้โห คำพูดนี้เอ่ยออกมา ในที่สุดข้าก็เชื่อแล้วว่าเจ้าคือองค์ชายรองสกุลซ่งต้าหลีจริงๆ”
ซ่งซวี่ยิ้มกล่าว “ข้าคงพูดเพียงเท่านี้แล้ว”
โจวไห่จิ้งโยนถ้วยน้ำลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ยื่นนิ้วโป้งออกมาปาดริมฝีปาก เอ่ยเนิบช้าว่า “ใช่แล้ว อะไรที่เรียกว่าทำให้ราชสำนักต้าหลีเสียผลประโยชน์มากเกินไป? ใครจะช่วยอธิบายให้ข้าฟังที”
เก๋อหลิ่งเป็นฝ่ายเอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่นคนที่แบกรับโชคชะตาบู๊ของต้าหลี หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในอาณาเขตของต้าหลี เว้นจากผู้ฝึกตนอิสระ”
โจวไห่จิ้งร้องอ้อหนึ่งที เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามหยั่งเชิงว่า “ให้สะใจกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ ไร้พันธนาการใดๆ ไร้ขื่อไร้แป อยากฆ่าใครก็ฆ่าได้? กองทัพชายแดนต้าหลีพวกเจ้าสามารถเอาคุณความชอบทางการสู้รบมาแลกเปลี่ยนกับหัวคนได้ไม่ใช่หรือ?”
ซ่งซวี่ส่ายหน้า “ไม่ได้”
เก๋อหลิ่งเอ่ยเสริมมาอีกประโยค “หากพวกเราผูกปมแค้นกับคนสองประเภทนี้จริงก็สามารถบอกไว้ก่อนล่วงหน้าได้ ขอแค่รองเจ้ากรมสองท่านของกรมพิธีการและกรมอาญาตรวจสอบแล้วให้ผ่าน ก็สามารถลงมือได้ อีกทั้งรับรองว่าจะไม่มีเรื่องน่ากังวลตามมาภายหลัง”
โจวไห่จิ้งยิ้มกล่าว “ข้าเป็นแค่สตรีบ้านนอกจากครอบครัวชาวประมงคนหนึ่ง แค่กล้าท่องอยู่ในยุทธภพล่างภูเขาเท่านั้น ไม่มีปัญญาไปหาเรื่องเทพเซียนบนภูเขาที่บินไปบินมาหรอก”
ไม่มีคนเอ่ยต่อประโยคนาง นางจึงได้แต่กล่าวต่อว่า “ฟังจากน้ำเสียงของพวกเจ้า ต่อให้เป็นขุนนางของกรมพิธีการและกรมอาญาก็ไม่อาจเรียกใช้งานพวกเจ้าได้ ถ้าอย่างนั้นยังจะต้องสนใจกฎเล็กน้อยพวกนั้นไปไย? นี่ถือว่าเป็นฝูงมังกรขาดผู้นำหรือไม่? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเจ้าไม่เลือกพี่ใหญ่ที่เป็นผู้นำของตัวเอง ข้าว่าองค์ชายรองก็ไม่เลวนะ รูปโฉมหล่อเหลา เป็นมิตรเข้ากับคนอื่นได้ง่าย มีความอดทนสูงมาก ดีกว่าเซียนกระบี่หยวนที่ชอบทำหน้าบึ้งตึงเยอะเลย”
เก๋อหลิ่งกล่าว “ราชครูตั้งกฎที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็มิอาจสะเทือนไว้สองสามข้อ จำเป็นต้องเคารพกฎ”
โจวไห่จิ้งเบ้ปาก “แต่ใต้เท้าราชครูที่สร้างสายแผนภูมิดินขึ้นมาด้วยตัวเองไม่อยู่แล้วนะ”
ซ่งซวี่ส่ายหน้า “กฎเกณฑ์ที่แท้จริง อยู่ในที่ที่ไร้ผู้คน”
โจวไห่จิ้งขมวดคิ้ว คล้ายกับนางไม่คิดว่าคำพูดทำนองนี้จะหลุดออกมาจากปากขององค์ชายต้าหลีคนหนึ่ง
เก๋อหลิ่งยิ้มกล่าว “แม่นางโจว คำพูดประเภทนี้พูดที่นี่ได้ไม่เป็นไร แต่ห้ามให้อาจารย์เฉินคนที่เจอก่อนหน้านี้ได้ยินเด็ดขาดเชียวนะ”
เณรน้อยยกมือป้องข้างปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่แน่ว่าอาจจะได้ยินแล้วก็ได้นะ”
เก๋อหลิ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เหลือบตามองไปนอกประตู ไม่รู้สึกว่าตราผนึกขุนเขาสายน้ำน้อยนิดของอารามเต๋าบ้านตนจะขัดขวางไม่ให้กระบี่บินของเฉินผิงอันแทรกเข้ามาได้ ใต้เท้าอิ่นกวานเซียนกระบี่เฉินท่านนี้ทำอะไรล้วน…โชกโชนมาก
สรุปก็คือพวกเขาเคยสัมผัสกับตัวเองมาก่อน ทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว และค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายแต่ละครั้งก็อนาถกว่าเดิมทุกที
ซ่งซวี่นวดคลึงหว่างคิ้ว มองปรมาจารย์ใหญ่หญิงวิถีวรยุทธที่ยังเหมือนว่าจะไม่เชื่อสักเท่าไร อันที่จริงซ่งซวี่ไม่กังวลหากนางปฏิเสธเรื่องนี้ แต่กลับกังวลว่าเมื่อนางเข้าร่วมสายแผนภูมิดินสำเร็จแล้วจะไปชักนำคนที่เหลืออีกสิบเอ็ดคนหรือไม่
โจวไห่จิ้งลุกขึ้นยืน “รถม้าคันนั้น ข้าเช่าเขามา พวกเจ้าช่วยเอากลับไปคืนแทนข้าได้หรือไม่?”
ซ่งซวี่พยักหน้ายิ้มรับ “ย่อมไม่มีปัญหา”
โจวไห่จิ้งหงุดหงิดโดยพลัน “พวกเจ้าไม่เพียงแต่รู้ว่าข้าเช่ามาจากร้านไหน แม้แต่ข้าจ่ายเงินไปเท่าไรก็ยังสืบมาอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?”
ซ่งซวี่กล่าว “ขอแค่ปรมาจารย์โจวตอบตกลงเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสายแผนภูมิดินพวกเรา เรื่องส่วนตัวพวกนี้ ทางฝั่งกรมอาญาก็จะไม่สืบเสาะอีก ข้อดีข้อนี้จะปรากฏผลในทันที”
โจวไห่จิ้งยิ้มกล่าว “ขอข้าคิดดูก่อน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ต้องคิดให้รอบคอบค่อยให้คำตอบพวกเจ้า ใช่แล้ว ขอให้ข้ายืมป้ายสงบสุขมาใช้สักแผ่นหนึ่งก่อนได้หรือไม่? ปากพวกเจ้าพูดจาสวยหรูน่าฟัง แต่หากเป็นพวกนักต้มตุ๋นขึ้นมาจะทำอย่างไร มีเพียงของอย่างป้ายสงบสุขเท่านั้นที่ไม่อาจเป็นของปลอมได้ ใครก็ไม่กล้าทำเลียนแบบขึ้นมา”
ซ่งซวี่หยิบป้ายสงบสุขอันดับหนึ่งแผ่นหนึ่งที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนให้โจวไห่จิ้งเบาๆ
โจวไห่จิ้งเดินไปตรงหน้าประตู “ไม่ต้องไปส่งหรอก ข้าไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว”
ผลคือไม่มีคนเดินมาส่งนางถึงหน้าประตูจริงๆ ทำเอานางโมโหแทบตาย
หลังจากโจวไห่จิ้งออกมาจากอารามเต๋าแล้ว นางก็สวมหน้ากาก กลายมาเป็นสตรีรูปโฉมธรรมดาคนหนึ่งทันที จากนั้นนางก็เดินเล่นไปตลอดทาง เดินเท้ากลับไปยังที่พักในเมืองหลวง
คำว่าเดินตามโชควาสนาแล้วเลือกได้สถานที่นี้อย่างที่บอกกับซูหลาง ไม่ถือว่าโกหก ตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองหลวงแล้วได้ไปเดินเล่นในงานวัด แม้จะสวมหน้ากากเหมือนกัน แต่รูปร่างของนางกลับบดบังไว้ไม่อยู่ หน้าอกตูมเต่งเอวบางอรชรนั้น มีบุรุษคนใดบ้างที่เห็นแล้วไม่น้ำลายสอ?
เพียงไม่นานนางก็ถูกโจรน้อยที่อยู่ในวัยเด็กหนุ่มหมายตา ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า มือไม้ไม่อยู่สุขหมายฉวยโอกาสแตะอั๋ง อีกคนหนึ่งก็ยิ่งเกินกว่าเหตุ ถึงกับคิดอยากขโมยเงินนาง
คนที่อยากจะแต๊ะอั๋งนางผู้นั้น มองดูแล้วหน้าตาหมดจดหล่อเหลา จึงถูกนางหยิกแก้มแล้วบิดอย่างแรง เจ็บจนเด็กหนุ่มน้ำตาไหลอาบใบหน้า ราวกับว่าหนังหน้าครึ่งหนึ่งถูกสตรีผู้นั้นฉีกออกมา
ส่วนเจ้าตะพาบน้อยที่ถึงกับกล้าจะขโมยเงินนางก็ไม่เพียงแต่มือสองข้างหลุดออกจากข้อต่อ ยังถูกนางถีบจนลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น เจ็บปวดจนดิ้นพราดๆ รู้สึกเพียงว่าตับไตแทบพังอยู่แล้ว แล้วยังนางถูกนางกระทืบเข้าที่ซีกหน้าด้านหนึ่ง ใช้รองเท้าปักลายบุปผาขยี้ซ้ำไปซ้ำมา
จากนั้นนางก็ให้เด็กหนุ่มสองคนนั้นนำทาง บอกว่าให้ช่วยหาที่พักให้นางหน่อย แค่เงื่อนไขเดียว ไม่ต้องให้นางจ่ายเงิน
ก็เลยมาเจอที่พักในทุกวันนี้ นอกจากไม่ต้องจ่ายเงินจริงๆ แล้ว นอกเหนือจากนั้นยังมีข้อดีอะไรบ้าง เซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นรู้ดียิ่งกว่าใคร
ในเมืองหลวงต้าหลีมีทั้งตระกูลชนชั้นสูงตั้งเรียงรายอยู่ในตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ แล้วก็มีบุญคุณความแค้นในยุทธภพของกบใต้บ่อ ยิ่งมีสถานที่ที่ขี้ไก่ขี้หมาเกลื่อนเต็มพื้น ผู้คนยากจนข้นแค้น
เดินผ่านเล้าหมูข้างทางแห่งหนึ่ง โจวไห่จิ้งเหลือบมองไปด้านใน ยังคงผอมไปสักหน่อย ต่อให้กลางดึกแอบหนีไปที่บ้านตนก็ดูเหมือนว่าจะยังมีเนื้อให้ตุ๋นได้แค่ไม่กี่จินเท่านั้น
ด่านปีผ่านยาก ด่านปีที่ผ่านไปได้ยากเย็นที่สุดคืออะไร?
คือคนจนที่ไม่มีเงินหรือ? ฮ่าๆ ผิดแล้ว อันที่จริงคือหมูต่างหาก
โจวไห่จิ้งหัวเราะก๊ากอยู่กับตัวเอง น่าสนใจ น่าสนใจ ตนเป็นคนตลกจริงเสียด้วย วันหน้าหลุมศพบรรพบุรุษบ้านใครมีควันเขียวผุดขึ้นมา โชคดีได้แต่งตนไปเป็นภรรยา ชีวิตทุกวันต้องไม่น่าเบื่อแน่นอน จะบนเตียงหรือล่างเตียงก็ไม่น่าเบื่อ
นางที่เดินอยู่ในตรอกมืดสลัวพลันหยุดฝีเท้า หัวเราะหยันเอ่ยว่า “เซียนกระบี่เฉิน เป็นถึงเจ้าสำนักแห่งหนึ่งกลับทำอะไรลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ไร้คุณธรรมเกินไปหน่อยหรือไม่?”
ครู่หนึ่งต่อมา โจวไห่จิ้งก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก หากไม่เป็นตนที่คิดมากไปเองก็เป็นเพราะคำขู่ของตนยังไม่ได้ผล
อันที่จริงตลอดทางที่เดินมานี้นางคอยตรวจสอบลมปราณรอบด้านอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา แต่กระนั้นก็ยังหาเบาะแสไม่พบแม้สักเสี้ยว
โจวไห่จิ้งถ่มน้ำลายลงพื้น พวกผู้ฝึกตนที่มีกลิ่นอายเซียนล่องลอยรูปร่างเป็นคนสันดานเป็นสุนัขพวกนี้ เมื่อเทียบกับมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาแล้ว ก็คือเทพเซียนบนภูเขาอย่างสมชื่อ พละกำลังมหาศาล เหนือเกินกว่าปกติ ทำอะไรก็ยิ่งไม่เคารพกฎเกณฑ์ยิ่งกว่าคนในยุทธภพ ยิ่งชอบทำเรื่องที่ไม่อาจพบเจอแสงสว่าง ถ้าอย่างนั้นนอกจากจะมีแต่ใช้วรยุทธมาละเมิดกฎแล้วยังจะทำอะไรได้อีก
ตลอดทางที่เดินผ่านมา ผ่านตรอกหลายเส้นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องประทินโฉมคุณภาพเลวร้าย คุยเล่นกับพวกพี่สาวน้องสาวทั้งหลายที่สนิทสนมกันมานานแล้วสองสามคำก็มีสตรีสาวสะพรั่งโน้มน้าวนาง ดึงนางเข้ากลุ่ม บอกว่าหาเงินได้ง่าย โจวไห่จิ้งตอบกลับไปประโยคหนึ่งว่า แล้วยังหาเงินได้เร็วด้วยใช่หรือไม่ พวกสตรีโตเต็มวัยทั้งหลายพร้อมใจกันหัวเราะคิกคักดุจบุปผาแผ่กิ่งก้านบานสะพรั่ง เพียงแต่ว่ายิ่งยากจะปกปิดริ้วรอยตรงหางตาของพวกนางได้
โจวไห่จิ้งกลับไปยังที่พัก คือเรือนหลังเล็กห่างไกลโกโรโกโส ตรงหน้าประตูมีเด็กหนุ่มสองคนนั่งยองอยู่
โจวไห่จิ้งยกเท้าหนึ่งข้างถีบหนึ่งคนให้พ้นทางไป ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า เด็กหนุ่มที่หน้าตาหมดจดอย่างพวกเจ้า ออกจากบ้านต้องหัดระวังเอาไว้บ้าง ไม่แน่ว่าวันใดอาจต้องเจ็บก้น
นางควักกุญแจออกมาเปิดประตูบ้าน คร้านจะปิดประตูลงด้วยซ้ำ เดินเข้าบ้านได้ก็ไปเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้บนราว นางเขย่งปลายเท้า ยืดแขนสองข้าง เอวอรชรจึงหยุดค้างตามไปด้วย เด็กหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่นอกประตูจึงพากันเอียงคอเขม้นมองเรือนกายเย้ายวนของ…หญิงปากร้ายผู้นั้น
โจวไห่จิ้งยังคงเก็บเสื้อผ้าบนราวไม้ไผ่ต่อไป ด่าขำๆ โดยไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง “ระวังเหล่าเหนียงจะเตะพวกเจ้าตายล่ะ”
ตรงตรอกเล็กที่ห่างจากบ้านหลังนี้มาไม่ไกล มีคนกระแอมขึ้นมาหนึ่งที
โจวไห่จิ้งอับอายจนพานเป็นความโกรธ “เซียนกระบี่เฉินตัวดี มีหน้ามาจริงๆ หรือนี่ ทำไมไม่มานั่งรอข้าบนราวไม้ไผ่เสียเลยเล่า?!”
เฉินผิงอันเดินมาถึงหน้าประตู หยุดเท้าแล้วก็กุมหมัดเอ่ยขออภัย “มาเองโดยไม่ได้รับเชิญ ล่วงเกินแล้ว มีธุระ…”
โจวไห่จิ้งโยนผ้าชิ้นหนึ่งออกมาโดยตรง “อยากชดใช้ความผิดไหม ไปตายเลยไป!”
เฉินผิงอันประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เบี่ยงตัวหลบทันใด “ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าข้าค่อยมาใหม่”
……
บนหัวกำแพงเมืองซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เงาร่างของคนสองคนโผล่มาจากความว่างเปล่า มาหยุดยืนอยู่ริมหน้าผาพอดี
เฉินผิงอันมองไปยังฝั่งตรงข้าม เมื่อหลายปีก่อน เขายืนอยู่บนหน้าผาฝั่งตรงข้าม มองมายังชุดคลุมสีเทาที่อยู่ฝั่งนี้ อย่างมากสุดก็เพิ่มหลีเจินมาด้วยอีกคน
ถอนสายตากลับ เฉินผิงอันพาหนิงเหยาไปหาเว่ยจิ้นและเฉาจวิ้น ทะยานไปตลอดทาง สุดท้ายไปยืนอยู่ตรงแถบหัวกำแพงเมืองระหว่างผู้ฝึกกระบี่ทั้งสอง
เว่ยจิ้นกล่าว “อาจารย์จั่วลงใต้ไปแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า แม้จะพอเดาได้แล้ว แต่พอได้ยินคำตอบนี้จริงๆ ก็ยังกลัดกลุ้มอยู่ดี
นั่งอยู่ริมขอบหัวกำแพงเมือง ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
หนิงเหยายืนอยู่ด้านข้าง
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังอดไม่ไหวใช้เสียงในใจสอบถามคนทั้งสอง “ศิษย์พี่ของข้าเคยฝากพวกเจ้าให้นำความไปบอกใครหรือไม่?”
เว่ยจิ้นตอบอย่างเฉยชา “ไม่เคย”
เฉาจวิ้นกลับยิ้มหน้าทะเล้นแต่ไม่พูดตอบ เพียงแต่มองเจ้าคนที่สีหน้าค่อยๆ มืดทะมึนคนนั้น กินยาผิดขนานหรือไร? คงไม่ใช่กระมัง ร่วมงานพิธีการที่ภูเขาตะวันเที่ยงหนหนึ่ง มีมาดของเซียนกระบี่ถึงเพียงนั้น คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย นึกถึงตัวเองที่อยู่แจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีปต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ออกกระบี่ไปนับไม่ถ้วน ก็ไม่เห็นจะคว้าชื่อเสียงอะไรมาได้
ผลคือเฉาจวิ้นกลับถูกหนิงเหยาตวัดตามองมา
เฉาจวิ้นจึงได้แต่เอ่ยว่า “อยู่ที่นี่ นอกจากถ่ายทอดเวทกระบี่แล้ว อาจารย์จั่วก็คร้านจะพูดจาไร้สาระกับข้าแม้เพียงครึ่งคำ”
เฉินผิงอันพูดคุยได้ง่าย แต่สตรีผู้นี้กลับไม่เหมือนกัน
เพียงแต่ว่าพอพูดมาถึงตรงนี้ เฉาจวิ้นก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน พลันเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เฉินผิงอัน! ใครเป็นคนพูดว่าอาจารย์จั่วเชิญให้ข้ามาฝึกกระบี่ที่นี่?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีย้อนถาม “ข้าพูดเอง ทำไมหรือ?”
ขอแค่ศิษย์พี่ไม่ให้คนนำความมาบอก ต่อให้เดินทางลงใต้ครั้งนี้จะยังอันตรายอย่างมาก แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
เฉาจวิ้นเหลือบมองหนิงเหยา ข้าจะอดทนแล้วกัน
เฉินผิงอันเงียบเสียงไป เพียงแค่ทอดสายตามองทิศไกล
หนิงเหยานั่งลงด้านข้าง
เฉาจวิ้นนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็เอ่ยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่เฉิน ทุกวันนี้มีนายท่านเทพเซียนไม่น้อยมาเที่ยวที่นี่ ทั้งเด็กทั้งแก่ แต่ละคนกินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำก็มักจะไปเก็บเศษหินของกำแพงเมืองกลับไปกันทุกวัน ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครมาคอยควบคุม คาดว่าตอนนี้ก็น่าจะยังมีคนไปเก็บอยู่”
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะทำตัวเหมือนคนหูหนวก
เฉาจวิ้นจึงไม่พูดอะไรให้มากความอีก
ผ่านไปพักใหญ่ เฉินผิงอันถึงเพิ่งคืนสติ หันหน้ามาถาม “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
เฉาจวิ้นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เอามือสอดรองใต้ท้ายทอยอย่างเกียจคร้าน ตอบว่า “ไม่มีอะไร”
คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้มองไปยังทิศไกล แต่หลุบสายตาลงต่ำ มองผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ใต้ฝ่าเท้า
หมื่นปีที่ผ่านมา มีผู้ฝึกกระบี่กี่มากน้อย ทั้งจากบ้านเกิดทั้งจากต่างบ้านต่างเมืองที่มาดั่งลมฝน จากไปดุจเศษธุลี อยู่ ณ ที่แห่งนี้
——