กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 846.2 เผด็จศึกไร้ศัตรู
ฟังเฉินผิงอันพูดอธิบายอย่างละเอียด หนิงเหยาพลันถามว่า “หนี้ภายนอกก้อนใหญ่ที่สุดที่ต้าหลีกู้ยืมมาจากสำนักโม่ ศาลบุ๋นจะช่วยชดใช้ให้จริงหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที หนี้ก้อนนี้ เดิมทีก็เป็นเงินเทพเซียนจำนวนมหาศาล ดังนั้นการระดมพลโยกย้ายกองกำลังของกองทัพชายแดนราชสำนักต้าหลีในทุกวันนี้จึงยิ่งทำได้อย่างคล่องแคล่ว เจ้าหนี้รายใหญ่นอกเหนือจากนี้อย่างพวกสกุลอวี้แผ่นดินกลางและสกุลหลิวของธวัลทวีปนั้น สกุลซ่งต้าหลีคิดจะชดใช้กลับง่ายมาก ย่อมมีบนและล่างภูเขาของใบถงทวีปช่วยทำแทนให้
ดูเหมือนว่าไม่ว่าศิษย์พี่ชุยฉานจะทำอะไรก็ล้วนไม่เคยทิ้งเรื่องเละเทะไว้ให้คนข้างหลังต้องมาคอยเก็บกวาด
เห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง หนิงเหยาก็ดึงมืออกมา เฉินผิงอันพลันคืนสติแล้วจึงเล่าเรื่องการพัฒนาของใต้หล้าไพศาลให้นางฟังต่อ
อาณาเขตของเก้าทวีปในไพศาล เทพแม่น้ำลำคลองที่ระดับขั้นค่อนข้างสูงแทบทั้งหมดซึ่งนำโดยตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ผู้ควบคุมโชคชะตาน้ำบนแผ่นดิน ต่างก็แบกรับหน้าที่คล้ายคลึงกับผู้คุ้มภัยของยุทธภพ คอยเดินทางไปกลับเส้นทางทางน้ำของกุยซวีสี่แห่ง ต่างฝ่ายต่างบัญชาการณ์เสมียนเซียนน้ำ ภูตเผ่าพันธ์น้ำใต้การปกครองของจวนตัวเอง บุกเบิกท่าเรือกลางน้ำแต่ละแห่งขึ้นมาชั่วคราว ให้คอยรับส่งเรือข้ามฟากที่มาจากแต่ละทวีป
หูจวินใหญ่ห้าคนที่มีหลี่เย่โหวแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่เป็นหนึ่งในนั้น ทุกวันนี้มีสามคนที่พอการประชุมในศาลบุ๋นผ่านพ้นไปก็ได้ถือโอกาสเลื่อนขั้นไปหนึ่งระดับ กลายมาเป็นสุ่ยจวินของมหาสมุทรแห่งหนึ่ง แบ่งอาณาเขตแยกกันพิทักษ์สี่มหาสมุทร
นอกจากนี้ศาลบุ๋นยังเปิดการแต่งตั้งแห่งลำน้ำใหญ่ขึ้นมาใหม่ หลังจากมีลำน้ำจี้ตู๋ของอุตรกุรุทวีปและลำน้ำฉีตู้ของแจกันสมบัติทวีปแล้ว ก็ได้ทยอยแต่งตั้งกง โหว ป๋อและสุ่ยเจิ้งของลำน้ำใหญ่กลุ่มใหม่ขึ้นมา เจียวเฒ่าของถ้ำเฟิงสุ่ยแห่งแม่น้ำเฉียนถังแจกันสมบัติทวีปก็เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นชดเชยตำแหน่งหลินหลีป๋อของลำน้ำฉีตู้ เฉินผิงอันยังได้ยินมาว่าทางฝั่งของราชสำนักต้าหลีคล้ายจะตั้งใจให้หยางฮวาเทพวารีแห่งลำน้ำเถี่ยฝูได้เข้าไปชดเชยตำแหน่งฉางชุนโหวที่ว่างอยู่ชั่วคราว
ผู้ฝึกตนของไพศาลที่ทยอยกันเดินทางมาถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วมาปักหลักอยู่ที่ท่าเรือสามแห่ง กุยซวีสี่แห่ง เรียกได้ว่าไม่เคยได้หยุดพักแม้ชั่วขณะเดียว อาศัยเวทคาถาวิชาอภินิหารต่างๆ มาบงการมัลละยันต์และภูตหุ่นเชิดจำนวนมาก เปิดภูเขาย้ายสายน้ำ ขยับขุนเขาเคลื่อนทะเลสาบ สร้างค่ายกลใหญ่ไปตลอดเส้นทางของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พูดถึงแค่สำนักการค้า ก็ได้โปรยเงินราวกับเม็ดฝนอย่างแท้จริงอยู่ที่ประตูใหญ่ของกุยซวีสี่แห่ง คอยเปลี่ยนแปลงฟ้าอำนวยของแต่ละสถานที่ เพิ่มเติมปราณวิญญาณฟ้าดิน จากนั้นให้ผู้ฝึกลมปราณย้ายภูเขามา ทำให้โชคชะตาขุนเขาสายน้ำมารวมกันไม่สลายหายไปไหน ส่วนผู้ฝึกตนของสำนักกสิกรรมและสำนักโอสถก็ได้ปลูกพืชเซียนและธัญพืชห้าชนิด เรียกลมเรียกฝน ผลัดเปลี่ยนชัยภูมิ โชคชะตาขุนเขาสายน้ำ เปลี่ยนมลพิษสกปรกของเปลี่ยวร้างให้กลายเป็นสถานที่สำหรับการฝึกตน หรือไม่ก็กลายเป็นผืนนาดีที่เหมาะแก่การเพาะปลูก…
หนิงเหยาถาม “สามทวีปอย่างใบถง ฝูเหยาและเกราะทอง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องช่วงชิงทรัพยากรปริมาณมหาศาลมาแน่ ทุกวันนี้ภูเขาทัวเยว่เอาไปใช้ที่ไหนแล้ว?”
โดยไม่ทันรู้ตัวก็ถูกเฉินผิงอันกุมมือเอาไว้
เฉินผิงอันเขย่ามือหนิงเหยาที่อยู่ในมือตัวเองเบาๆ นิ้วของนางเย็นเล็กน้อย เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้มีการประชุมที่ศาลบุ๋น เรื่องนี้ก็คือเรื่องสำคัญในสำคัญอีกที อันที่จริงตอนแรกคนหลายคนต่างก็หลงลืมไป ดูเหมือนว่าตอนนี้จะยังไม่มีเบาะแสที่แน่ชัด ไม่มีคนที่สามารถให้คำตอบที่แท้จริงได้”
ดื่มเหล้าหมักร้อยบุปผาหนึ่งกาหมดไป โยนกาเหล้าว่างเปล่าคืนให้เฉินผิงอัน เว่ยจิ้นก็เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ฉีถิงจี้และลู่จือมาที่นี่ แต่แค่หยุดพักอยู่ครู่เดียว เพียงไม่นานก็ต่างคนต่างพาสิบแปดกระบี่ของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปยังท่าเรือสองแห่งอย่างท่าเรือปิ่งจู๋และท่าเรือโจ่วหม่า”
ถึงอย่างไรเว่ยจิ้นก็มีตำแหน่งเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วในนาม เรื่องของการเข้าร่วมงานพิธีที่ภูเขาตะวันเที่ยง เขาเองก็มีส่วนเหมือนกัน
เฉาจวิ้นที่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนของภูเขาลั่วพั่วครึ่งตัวแล้วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เช่นกัน เขาหมุนจอกเหล้าในมือเล่น เอ่ยว่า “แม้ว่าทางศาลบุ๋นจะเคยมีคำเตือน ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกลมปราณออกไปโดยพลการ ต่อให้จะได้รับผลเก็บเกี่ยวเพิ่มเติมมาก็ล้วนไม่อาจนับรวมเป็นคุณความชอบทางการสู้รบได้ แต่ก็ยังมีผู้ฝึกลมปราณหลายกลุ่มที่ไม่เคารพกฎ ข้ามดินแดนเดินทางไกลไปโดยพลการ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “หวังฉกฉวยผลประโยชน์ ผลเป็นอย่างไร?”
เฉาจวิ้นที่ดื่มเหล้าไปหนึ่งอึกเบ้ปาก “ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก คนตายเพราะทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหารน่ะสิ คิดว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างคือสถานที่ที่สามารถไปมาได้ตามใจชอบจริงๆ หรือไร ล้วนตายอย่างเฉียบพลันกันไปหมดแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่เหลือกระทั่งซากศพ ยังไม่เหลือร่องรอยใดๆ ทิ้งเอาไว้ ดูเหมือนว่าหลังจบเรื่องแม้แต่ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางก็ยังทำนายหาสาเหตุไม่ออก”
เฉาจวิ้นรินเหล้าอีกหนึ่งจอก “ได้ยินมาว่าเมื่อหลายวันก่อน ตรงหน้าประตูแห่งหนึ่งที่เชื่อมโยงกับกุยซวี ยังมีผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตเซียนเหรินของเกราะทองทวีป แต่ข้าจำชื่อไม่ได้แล้ว พี่ชายท่านนี้คงรู้สึกว่าอาศัยขอบเขตและวิชาการหลบหนีทำให้มีโอกาสได้ฉกฉวย ก็เลยแอบไปเยือนภูเขาที่ตั้งพรรคแห่งหนึ่งของเผ่าปีศาจ หมายจะปล้นสะดมสักรอบแล้วค่อยเผ่นหนีออกมา ผลเป็นอย่างไรเจ้าลองเดาดูสิ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เดาไม่ถูก”
“เหล้าหมักเลิศรสเช่นนี้ ขาดกับแกล้มไปสักหน่อย”
เฉาจวิ้นสูดเหล้าหนึ่งคำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย “ตอนที่กลับมา เหลือชีวิตแค่ครึ่งเดียว ดูเหมือนว่าจะผลาญวัตถุแห่งชะตาชีวิตระดับอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งไปถึงพอจะฝืนรักษาจิตวิญญาณเอาไว้ได้ ขอบเขตหล่นลงมาที่ก่อกำเนิด อันที่จริงไอ้หมอนี่ก็ถือว่าระมัดระวังมากแล้ว ได้ส่งหุ่นเชิดเซียนดินไปสำรวจก่อน ก่อกวนไปยกใหญ่แต่กลับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาถึงได้ปรากฏตัว แต่กลับไปเจอผู้ฝึกตนอายุน้อยกลุ่มหนึ่งเข้าพอดี ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเฝ้าตอรอกระต่าย รอให้เขาตกเข้ามาในวงล้อม เขาถึงกับเห็นหน้าตาและจำนวนคนของอีกฝ่ายไม่ชัดด้วยซ้ำ เพียงแค่ชั่วพริบตาก็มีจุดจบเช่นนี้แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเฉยเมย “พอๆ กับการตกปลา จับใหญ่ปล่อยเล็ก พวกเขารอล่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของใต้หล้าไพศาลโดยเฉพาะ คุณความชอบทางการสู้รบที่มอบไปให้เปล่าๆ ไม่เอาก็เสียเปล่าน่ะสิ”
เซียนเหรินคนหนึ่งที่แม้แต่เฉาจวิ้นยังจำชื่อไม่ได้ หลังจากเฉินผิงอันกลับมายังใต้หลาไพศาลก็ยังไม่เคยได้ยินว่าบนสนามรบเกราะทองทวีปมีผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตเซียนเหรินคนใดปรากฎตัว เผยเฉียนไม่เคยพูดถึง ตนที่อยู่ศาลบุ๋นก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้วแน่น เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ไม่ถูก! เว่ยจิ้น เจ้ารีบส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปเตือนอาจารย์เฮ้อให้ระวังคนผู้นี้!”
“ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตเซียนเหรินคนนี้ตายไปแล้วจริงๆ ทั้งยังตายอย่างจริงแท้แน่นอนแล้ว!”
“สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าคนที่สุดท้ายมีชีวิตรอดกลับมาเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่ ต่อให้จะเป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอย่างที่บอกจริงๆ ก็สามารถสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ได้เหมือนกัน”
เว่ยจิ้นสะบัดชายแขนเสื้อ แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งวูบออกไปยังม่านฟ้า เตือนอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งอยู่ในศาลบุ๋น
อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปซึ่งเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้แซ่เฮ้อ
เฉินผิงอันพลันถาม “เป็นช่องทางกุยซวีแห่งใด?”
เฉาจวิ้นชิงตอบ “ฉิงจี”
เฉินผิงอันเปลี่ยนคำพูดใหม่ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องส่งกระบี่บินไปแล้ว สามารถเก็บกลับมาได้ พวกเราอย่าได้ปล่อยไก่ แหวกหญ้าให้งูตื่นดีกว่า”
เว่ยจิ้นเองก็คร้านจะถามอะไรให้มากความ ถอนกระบี่บินส่งข่าวกลับมาทันที
ตรงกุยซวีเทียนมู่คือรองเจ้าลัทธิสองท่านของศาลบุ๋นกับผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาสามแห่งที่ร่วมมือกันจัดการดูแล
ที่เสินเซียงมีฝูลู่อวี๋เสวียนที่สามารถหวนกลับมายังโลกมนุษย์ได้ตลอดเวลา จ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ว่ากันว่าจะสะพายกระบี่เดินทางไกลไปเยือนเปลี่ยวร้างเพื่อตามหาบรรพบุรุษย้ายภูเขา และยังมีฮว่อหลงเจินเหรินที่เคยลงมือในใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้วครั้งหนึ่ง รวมไปถึงป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่แห่งอุตรกุรุทวีปที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
ทางฝั่งของฉิงจี คือเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว เผยเปยเทพีแห่งการต่อสู้ของต้าตวน และยังมีไหวอินผู้ฝึกตนใหญ่หนึ่งในสิบคนของแผ่นดินกลาง กวอโอ่วทิงผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตบินทะยานของภูเขาต้นไม้เหล็ก หลิวทุ่ยเจ้าสำนักเทียนเหยาเซียงของฝูเหยาทวีป ชงเชี่ยนเซียนเหรินหญิงแห่งหลิวเสียทวีป นางยังเป็นเจ้าของพื้นที่มงคลซงอ่าย อยู่ในสำนัก สถานะของชงเชี่ยนค่อนข้างคล้ายคลึงกับเจียงซ่างเจินที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของใบถงทวีป
รื่อจุ้ยก็มีซูจื่อ หลิ่วชี ซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลี เหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยก
เฉาจวิ้นถามอย่างระมัดระวัง “ไม่ต้องเตือนสักหน่อยจริงๆ หรือ? หากพวกเรารู้เรื่องแล้วไม่รายงาน หลังจบเรื่องทางศาลบุ๋นอาจกล่าวโทษเอาได้ แล้วยังเป็นโทษที่ไม่เล็กเลยนะ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้อง”
เฉาจวิ้นหัวเราะอย่างฉุนๆ “ข้าดื่มเหล้าดื่มช้า เจ้าเฉินผิงอันก็ทำอะไรอย่างเชื่องช้าเหมือนกันหรือ อย่ามาก่อเรื่องให้ข้าได้แต่ฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ไม่กี่วันก็ไม่มีโอกาสให้ออกกระบี่แล้วนะ หากถูกศาลบุ๋นไล่กลับไปยังใต้หล้าไพศาล คอยดูเถอะข้าจะตรงไปเป็นผู้ถวายงานอันดับท้ายของสำนักเบื้องล่างอะไรนั่นของเจ้าทันทีเลย!”
เฉินผิงอันคร้านจะอธิบายอะไร เพียงแต่ว่าในทะเลสาบหัวใจของเขากลับมีน้ำเสียงหนึ่งดังขึ้น “ขอถามอิ่นกวาน เป็นเพราะอะไร?”
เห็นได้ชัดว่าเป็นคำถามของอาจารย์เฮ้อท่านนั้น
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจตอบ “มีอาจารย์เจิ้งคอยจับตามองที่นั่นอยู่ ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดแน่”
อาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อที่มาจากสายหย่าเซิ่งท่านนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับอาจารย์ของตน ต่อให้จะมีศึกตรีจตุเกิดขึ้นก็ไม่เคยถ่วงรั้งไม่ให้อาจารย์ผู้เฒ่าเป็นฝ่ายมาชวนอาจารย์ดื่มเหล้า แล้วยังได้ยินศิษย์พี่เหมาเสี่ยวตงเล่าให้ฟังกับปากว่า ตอนนั้นที่ศิษย์พี่ชุยฉานทรยศออกจากสายบุ๋น อาจารย์เฮ้อก็เคยขัดขวางเป็นการส่วนตัว ขวางไม่อยู่ก็ด่าต่อหน้าไปรอบหนึ่ง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอธิบายเพิ่มไปอีกหลายประโยค บอกให้รู้ถึงการคาดเดาในใจของตัวเอง “ก่อนหน้านี้พวกผู้ฝึกตนที่เดินทางไกลหลายกลุ่มตายไปอย่างเฉียบพลัน ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางตรวจสอบแล้วกลับไร้ผล จึงสามารถถือเป็นเวทอำพรางตาอย่างหนึ่งของอีกฝ่ายได้ เห็นได้ชัดว่าการลงมือของใต้หล้าเปลี่ยวร้างว่องไวและหมดจดอย่างมาก นี่ก็เพื่อเตรียมไว้สำหรับการอืดอาดล่าช้าที่แท้จริงในภายหลัง เกินครึ่งคงจะรอโอกาสที่พวกเราเป็นฝ่ายนำไปมอบให้ถึงที่”
“ยกตัวอย่างเช่นสมมติว่า ‘คนผู้นี้’ คือเทพแห่งโรคระบาด นี่จะเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างมาก อีกทั้งผู้เยาว์ยังกล้าแน่ใจเลยว่า ข้อสมมติฐานนี้ยังไม่ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างแน่นอน หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง แน่ใจว่าเป็นแผนการของเผ่าปีศาจ อีกทั้งทางฝั่งของพวกเรายังไม่มีใครสัมผัสได้ ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ก็มีแต่จะย่ำแย่มากกว่า หากไม่ระวังก็จะก่อให้เกิดหายนะที่คนหลายแสนคนต้องเดือดร้อน ผู้เยาว์รู้ว่าในการประชุมของศาลบุ๋นครั้งก่อนได้มีการป้องกันเหตุไม่คาดฝันมากมายอย่างพวกโรคระบาดเอาไว้ก่อนแล้ว กลัวก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะใช้ความตั้งใจมาเล่นงานความไม่ตั้งใจน่ะสิ”
อาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อถาม “เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ไม่สู้ให้ข้าส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปคนเดียว ทั้งไม่ทำให้ผู้ฝึกตนของฉิงจีแตกตื่น แล้วก็สามารถเตือนเจิ้งจวีจงได้ด้วย?”
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ เฉินผิงอันไม่ได้เป็นแค่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของสายบุ๋นอีกแล้ว เขายังเป็นอิ่นกวานด้วย
เฉินผิงอันพยักหน้า “ย่อมได้ เป็นข้าที่พิจารณาไม่รอบคอบเอง”
อาจารย์เฮ้อหัวเราะ
ช่างหาได้ยากนักที่สายเหวินเซิ่งของซิ่วไฉเฒ่าจะมีบัณฑิตนิสัยอ่อนโยนกับเขาสักคน
ส่วนความเคลื่อนไหวเป็นพรวนที่มองดูเหมือนเป็นการก่อกวนส่งเดชของเฉินผิงอันที่ศาลบุ๋นก่อนหน้านั้น อาจารย์ผู้เฒ่ากลับไม่ได้รู้สึกว่าเฉินผิงอันใช้อำนาจรังแกคนอื่น ก็แค่การกระทำอย่างจำใจของคนหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น
เพียงไม่นานอาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อก็ได้รับกระบี่บินแจ้งข่าวกลับมายังฉิงจี สำหรับเรื่องที่เป็นการเป็นงาน เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวมีให้แค่สองคำเท่านั้น ‘ทราบแล้ว’
นอกจากเรื่องเป็นการเป็นงานแล้ว ยังมีอีกประโยคหนึ่งที่ฝากให้อริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นนำความมาบอกต่อแก่เฉินผิงอัน ‘ฝากบอกอิ่นกวานแทนข้าสักคำ มีเวลาว่างก็มีรำลึกความหลังกันที่ฉิงจี’
อันที่จริงก่อนหน้านี้ที่ส่งจดหมายไปยังฉิงจี อาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อไม่ได้พูดถึงเฉินผิงอัน
อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นซึ่งนั่งพิทักษ์ม่านฟ้าท่านนี้ทอดสายตามองไปยังทิศไกล จากนั้นค่อยก้มหน้าลงมองคนชุดเขียวที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง
ฝ่ายหลังมั่นใจว่าเจิ้งจวีจงต้องรู้ความจริงอยู่ก่อนแล้ว ส่วนฝ่ายแรกก็มั่นใจว่าเป็นเฉินผิงอันที่หวนกลับมากำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
หนิงเหยาถาม “จะไปพบเจิ้งจวีจงหรือไม่?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “อย่าดีกว่า”
เผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารท่านนี้ไม่ได้ผ่อนคลายไปกว่าเผชิญหน้ากับอู๋ซวงเจี้ยงเลย แรงกดดันมหาศาล ต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจ ถึงขั้นมีแต่จะมากกว่าเจอกับฝ่ายหลังด้วยซ้ำ
ไม่อยากถูกเจิ้งจวีจงเรียกตัวเองว่าอาจารย์เฉินอีกแล้วจริงๆ เพราะมันทำให้เฉินผิงอันขนลุกขนชันไปหมด
เฉินผิงอันโน้มตัวไปเบื้องหน้า
บนหัวกำแพงเมืองครึ่งแถบนี้ ตัวอักษรใหญ่ที่แกะสลักเอาไว้ นอกจากจะเป็นแซ่ทั้งหลายแล้ว ยังมีอักษรคำว่าเหมิ่งที่เขียนเหมือนคนเมาเดินโซเซของอาเหลียงอยู่ด้วย
หลังจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ฟันให้เป็นรูโหว่ขนาดยักษ์ ขาดสองท่อน ก็เท่ากับว่าได้ทำลายค่ายกลบรรพกาลทิ้งไปแล้ว กำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่านไม่เคยล้มลง ‘เป็นหนึ่งเดียวกันมาโดยตลอด’ ในอดีตแห่งนี้จึงไม่อาจหลบเลี่ยงการโจมตีที่มองไม่เห็นจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้อีก นอกจากนี้อีกครึ่งที่เหลือที่ยังไม่ถูกเฉินผิงอันผสานมรรคาด้วย เมื่อต้องถูกแดดแผดเผา ถูกลมฝนพัดกร่อนทำลาย จึงมีกำแพงบางส่วนที่พังเสียหายไปแล้ว
แต่ขอแค่ไม่มีผู้ฝึกตนใหญ่มาเข่นฆ่ากันที่นี่ ต่อให้จะตั้งตระหง่านไปอีกพันปีหรือถึงขั้นหลายพันปีก็ยังไม่มีปัญหา
อีกทั้งเศษก้อนหินน้อยใหญ่ที่หลงเหลืออยู่ของซากปรักกำแพงก็สามารถเอาไปทำเป็นวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินที่คุณภาพดีเยี่ยมได้จริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นเอาไปเป็นหินลับที่ใช้ขัดเกลาสมบัติอาคม สามารถมองเป็นแท่นสังหารมังกรอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าทั้งสองอย่างมีความต่างกันอยู่มาก นอกจากนี้ต่อให้เอาไปกลึงเป็นแท่นฝนหมึกก็ยังสามารถนำไปทำเป็นของตกแต่งโต๊ะของเซียนซือบนภูเขาหรือไม่ก็ปัญญาชนได้
ตอนนั้นสถานที่แห่งนี้ตกไปอยู่ในการปกครองของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เฉินผิงอันผสานมรรคากับกำแพงครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งมีหลงจวินผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ราชาเก่าคอยรับผิดชอบจับตามองเฉินผิงอัน ร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่มาหลอมกระบี่อยู่ที่นี่ ใครกล้าขยับเข้าใกล้หัวกำแพงเมืองโดยพลการ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ไปอยู่ตรงมุมกำแพงก็จะต้องมีอันตรายถึงชีวิต ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่มีเหตุผลดีๆ อะไรให้พูดคุย เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาหลายปีที่ตกไปเป็นของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กำแพงเมืองกลับยังปลอดภัยดี แทบไม่มีความเสียหายใดๆ คิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้กลับมาอยู่ในอาณาเขตของใต้หล้าไพศาลอีกครั้ง กลับกลายเป็นเริ่มถูกคนปล้นเสียแล้ว
หนิงเหยากล่าว “เจ้าไปเองเถอะ ข้าจะไปดูที่อื่น”
เฉินผิงอันพยักหน้า กระโดดลงจากหัวกำแพงเมือง เรือนกายชุดเขียวสะพายกระบี่เปล่งวูบหายไป
ส่วนหนิงเหยาก็ลุกขึ้นยืน ไปยังทิศเหนือของหัวกำแพง แล้วเดินเท้าอยู่ในอาณาเขตที่ว่างเปล่าไร้สิ่งใด
ท่ามกลางขีดตัวอักษรที่แกะสลักอยู่บนหัวกำแพง ประหนึ่งเส้นทางสะพานไม้ริมหน้าผาที่กว้างขวางเส้นหนึ่ง
ผู้ฝึกตนสิบกว่าคน มีทั้งชายหญิงเด็กแก่ ผู้อาวุโสในสำนักสองคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาจงใจทิ้งระยะห่างจากพวกผู้เยาว์ พวกเขาเดินเล่นเคียงบ่ากันไปเรื่อยๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเด็กๆ รู้สึกไม่มีอิสระ ผู้เยาว์ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ จวนเซียนมักจะชอบมาพร้อมกับภูเขาที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ว่าจะได้ช่วยดูแลกันได้ เพราะหากพูดถึงการสืบทอดควันธูปของศาลบรรพจารย์ที่ต้องอาศัยลูกศิษย์ผู้สืบทอดแต่ละรุ่นให้คอยเติมน้ำมัน ต่อแสงไฟแล้ว ความสัมพันธ์ควันธูปบนภูเขาที่นอกเหนือจากของบ้านตัวเอง การหาประสบการณ์เช่นนี้ก็คือหนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุด
ผู้ปกป้องมรรคาสองคน บุรุษเหมือนชายอายุเจ็ดสิบปีของล่างภูเขา แต่สตรีกลับมีรูปโฉมเป็นเด็กสาว ทว่าอายุแท้จริงของฝ่ายหลังกลับมากกว่าฝ่ายแรกถึงร้อยกว่าปี
——