กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 848.1 มังกรและงูผงาดจากดิน
เฉินผิงอันมองไปยังทิศทางของภูเขาใหญ่แสนลี้ ขุนเขาสายน้ำที่ราวกับว่าถูกเฒ่าตาบอดใช้ดาบฟันแบ่งอาณาเขตออกไปจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้น เหนือพื้นดินมีแสงสีทองขมุกขมัว เกิดจากการสาดส่องของหุ่นเชิดเกราะทองที่รับหน้าที่ขนย้ายภูเขา ตรงจุดสูงยังมีก้อนเมฆฤดูใบไม้ร่วงที่มองแล้วเหมือนยอดเขา ดุจสายน้ำที่ไหลนองเอ่อเต็มนภา
เฉินผิงอันนึกถึงการแย่งชิงกันข้ามฝั่งในพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีตขึ้นมาได้ มีความเป็นไปได้มากว่า ในอนาคตอีกร้อยปีข้างหน้า ใต้หล้าทั้งหลายจะมีภาพบรรยากาศที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนนานนับหมื่นปี บนมหามรรคา ทุกคนพากันแย่งชิงเพื่อข้ามฝั่ง ร่วมกันช่วงชิงโชควาสนา
นึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เฉินผิงอันก็เอ่ยเบาๆ “อาจารย์เคยพูดกระทบกระเทียบข้า บอกว่าในเรื่องบางเรื่อง ข้าค่อนข้างรู้สึกตัวช้า ไม่สมควรเลยจริงๆ”
หนิงเหยาถามอย่างใคร่รู้ “เรื่องอะไร?”
อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งตัดใจพูดกระทบกระเทียบลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างเจ้าได้ลงด้วยหรือ?
เฉินผิงอันตอบ “อาจารย์เตือนข้าว่าตอนที่พวกเราสองคนอยู่ด้วยกัน ข้าไม่ควรเอาแต่ปล่อยให้เจ้าเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน”
คงเป็นเพราะความเข้าใจผิดหลายอย่างระหว่างคนกับคน บางทีก็มาจากคำพูดไร้เจตนาที่ไม่ควรพูด คำพูดที่พูดอย่างไม่ใส่ใจ หรือคำพูดอย่างตั้งใจที่สมควรพูด กลับขี้เหนียวไม่ยอมพูด คำพูดพึมพำที่ริมฝีปากบนล่างแทบไม่ขยับ กลับเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายเข้าใจนานแล้ว
หนิงเหยามีสีหน้าปั้นยาก
เฉินผิงอันถาม “ไม่ใช่แบบนี้หรือ?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “แน่นอนว่าต้องไม่ใช่”
คนทั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใด ต่อให้ไม่มีใครพูดอะไร อันที่จริงหนิงเหยาก็ไม่รู้สึกอึดอัด อีกอย่างนางก็ไม่ได้พยายามหาเรื่องชวนคุยจริงๆ พูดคุยกับเขา เดิมทีก็ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่ออยู่แล้ว
หนิงเหยาหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “อาจารย์กับลูกศิษย์ คนหนึ่งกล้าสอน อีกคนหนึ่งก็กล้าฟังจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว”
หนิงเหยากำลังจะพูด เฉินผิงอันกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนแล้ว “ต่อให้เจ้าไม่คิดอะไร แต่ต่อจากนี้ข้าก็จะพูดให้มากหน่อย”
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “ก่อนหน้านี้มีหลี่เซิ่งอยู่ข้างกาย เสียงในใจของข้าพูดไปก็ไม่มีอะไรแตกต่าง ตอนที่อยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม อาจารย์หลี่เซิ่งพูดตรงไปตรงมาอย่างมาก สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เพราะเห็นเจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถพูดคุยในระดับของคนที่เท่าเทียมกันได้ ดังนั้นถึงได้ฟังดูแล้วไม่เกรงใจขนาดนั้น”
หนิงเหยาพยักหน้า “เข้าใจ เหตุผลก็คือเหตุผลเช่นนั้น”
ดังนั้นตอนนั้นนางถึงไม่ได้เอ่ยอะไร นางเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมรับได้ทั้งหมด แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือหลี่เซิ่งผู้มีคุณูปการความเหนื่อยยากสูงส่ง นางจึงเงียบไม่พูดอะไร และนั่นก็คือการให้ความเคารพที่ใหญ่ที่สุดแล้ว
หลี่เซิ่งแห่งศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง หนึ่งคือมารยาท หนึ่งคือคุณธรรม ทั้งสองฝ่ายต่างก็สามารถสยบใจคนได้ดีที่สุด
“การสลายมรรคาของบรรพจารย์สามลัทธิ ก็คือสาเหตุที่พอเจ้ากลับไปถึงบ้านเกิดแล้วต้องรีบฝ่าทะลุขอบเขตโดยเร็วหรือ?”
หนิงเหยาถามคำถามติดๆ กันสองข้ออย่างตรงไปตรงมา “ทางฝั่งนั้นจะทำอย่างไร?”
สำหรับเรื่องการสลายมรรคา ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับหนิงเหยา อันที่จริงการสละร่างของผู้ฝึกตนก็คล้ายกับการสลายมรรคาอย่างหนึ่ง แต่นั่นเป็นการกระทำด้วยความจนใจจากการที่ผู้ฝึกลมปราณพิสูจน์มรรคาแล้วไร้ผล ไม่อาจฝ่าทะลุด่านเป็นตายไปได้ หลังจากสละร่าง มรรคกถา โชคชะตาของทั้งร่างจะโคจรไปไม่หยุดนิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างหวนคืนสู่ฟ้าดิน มิอาจควบคุมได้ ตู้เม่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานของสำนักใบถงเคยถูกจั่วโย่วฟันจนร่างแก้วใสแตกกระจัดกระจาย ก่อนที่ตู้เม่าจะตายไปได้พยายามนำท่วงทำนองของมรรคาและร่างทองแก้วใสส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่มอบให้แก่สำนักกุยหยก จากนั้นก็เป็นอย่างบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ในภายหลังที่สามารถควบคุมโชคชะตาบนร่าง สุดท้ายนำกลับคืนมาหล่อเลี้ยงใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เป็นเหตุให้การฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจในใต้หล้าบ้านเกิดคล้ายกับหน่อไม้ที่ผุดขึ้นหลังฝนตก พวกคนอย่างเฝ่ยหราน โซ่วเฉิน โจวชิงเกา ล้วนเป็นดั่งมังกรและงูที่ผงาดจากพื้นดิน เป็นลูกรักแห่งสวรรค์อย่างสมชื่อได้เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
ส่วนคำว่า ‘ทางฝั่งนั้น’ ที่หนิงเหยาพูดถึง แน่นอนว่าหมายถึงสรวงสวรรค์เก่าที่โจวมี่ขึ้นฟ้าไปอยู่อาศัย
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นฝ่ามือมาค้ำไว้บนหัวกำแพงเมืองแล้วถูเบาๆ เงยหน้ามองม่านฟ้าแวบหนึ่ง ตอบว่า “ทางฝั่งนั้นจะทำอย่างไร บรรพจารย์ของสามลัทธิน่าจะมีแผนรับมืออยู่กระมัง ข้าไม่มีทางปล่อยไปไม่สนใจเด็ดขด ก่อนหน้านี้ข้าไปเข้าร่วมการประชุมที่แผ่นดินกลาง ระหว่างนั้นมีการประชุมริมลำคลองที่ลึกลับมากครั้งหนึ่ง นอกจากข้าที่ค่อนข้างเป็นข้อยกเว้นแล้วก็ได้รวบรวมผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ไว้กลุ่มใหญ่ คนไม่น้อยข้าล้วนเพิ่งเคยเจอครั้งแรก หลี่เซิ่งรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประชุม ก็เหมือนการ…สอบใหญ่ครั้งหนึ่ง คนที่ถูกทดสอบก็คือผู้ฝึกตนใหญ่ของสามใต้หล้าที่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดแล้ว แต่กลับไม่มีบรรพจารย์ของสามลัทธิคนใดปรากฎตัวริมลำคลอง แต่เนื้อหาการทดสอบอย่างเป็นรูปธรรม รอจนการประชุมสิ้นสุดลงแล้ว ก็ราวกับว่าทุกคนล้วนลืมกันไปหมดแล้ว ตอนนั้นข้ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยว่าไฉนบรรพจารย์สามลัทธิต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นด้วย ภายหลังอาจารย์พาข้าที่ไปยอดเขาของภูเขาสุ้ยซานมารอบหนึ่ง ได้เห็นปรมาจารย์มหาปราชญ์กับตาตัวเอง ตอนนั้นข้าก็สัมผัสได้ถึงลางบางอย่างแล้ว อีกทั้งปรมาจารย์มหาปราชญ์เองก็ไม่ได้ปิดบังอำพรางอะไร เขาเอ่ยประโยคหนึ่งกับข้า…พอจะถือว่าเป็นคำชมอย่างหนึ่ง เท่ากับว่ายอมรับเรื่องนี้ไปโดยปริยาย”
เฉินผิงอันเดาว่ากระดาษคำถามที่มีความเป็นความตายเป็นหัวข้อในการสอบครั้งนั้น คำตอบก็คือผลลัพธ์จากการถามใจตัวเองของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่แต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น…ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่กลุ่มใหญ่จับมือกันเดินทางไปยังสรวงสวรรค์แห่งใหม่ กล้าหรือไม่ ยินดีหรือไม่ ยอมสละชีวิตลืมรักตัวกลัวตายเพื่อปวงประชาในโลกมนุษย์หรือไม่
เฉินผิงอันเคยถามตอบกับคนสี่คนในภาพวาดครั้งหนึ่ง เกี่ยวกับการช่วยคนที่จำเป็นต้องฆ่า คำตอบของจูเหลี่ยนในปีนั้นคือไม่ฆ่าและไม่ช่วย เพราะกังวลว่าตัวเองก็คือ ‘หนึ่งในหมื่น’ นั้น
ปีนั้นเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก อันที่จริงศิษย์พี่ชุยฉานให้คำตอบที่สุดโต่งยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่ต้องช่วยคน อีกทั้งตนต้องเป็นฝ่ายเสนอตัวกลายเป็นหนึ่งนั้น แน่นอนว่าศิษย์พี่ชุยฉานเน้นย้ำในเรื่องคุณความชอบและลาภยศอย่างมาก คนที่ช่วยจำเป็นต้องเป็นคนของทั่วทั้งใต้หล้า เรื่องที่ทำคือเรื่องที่ต้องค้ำประคองแผ่นฟ้าซึ่งหากไม่ใช่ข้าก็ไม่มีใครทำได้อีก ศิษย์พี่ชุยฉานถึงจะยินดีกลายเป็นหนึ่งนั้น
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ต้องระวังว่าลู่เฉินจะแอบฟัง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจทันที “จะเป็นไปได้อย่างไร? ผินเต้าไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย!”
หนิงเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลง ดวงจิตขยับไหวเล็กน้อย แสงกระบี่ก็พุ่งตรงไป ไล่ตามจุดกำเนิดของเสียงในใจ แหวกผ่าตราผนึกขุนเขาสายน้ำเป็นชั้นๆ เวทอำพรางตาหลายขั้น ตรงไปหาจุดที่ซ่อนร่างจริงของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง เห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวคนหนึ่งรีบร้อนปรากฎตัวกลางทะเลเมฆเหนือหัวกำแพงเมือง แล้ววิ่งหนีอุตลุด แสงกระบี่เส้นหนึ่งตามติดราวกับเงา ลู่เฉินหดย่อพื้นที่ครั้งแล้วครั้งเล่า โบกสะบัดชายแขนเสื้อชุดคลุมเต๋าอย่างแรง ปัดตบแสงกระบี่เส้นนั้นไปหลายครั้ง ปากก็โหวกเหวกไปด้วยว่า “ดีๆๆ คู่รักเทพเซียนที่ผินเต้ายอมลำบากเหนื่อยยากเป็นเฒ่าจันทราผูกด้ายแดงให้ตัวดี คนหนึ่งแสงแห่งบุ๋นสาดสะท้อนดวงดาว คนหนึ่งแสงกระบี่พุ่งทะยานดุจรุ้งยาว! ช่างเป็นคู่สร้างคู่สมที่หมื่นปีก็ไม่เคยปรากฏจริงๆ!”
หนิงเหยามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยิ้มพลางโคลงศีรษะ “ช่างเถิด”
หนิงเหยาจึงเก็บแสงกระบี่เฉียบคมที่รวมตัวเป็นหนึ่งไม่สลายหายไปเส้นนั้นมา
ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่มาเยือนใต้หล้าแห่งอื่นมีกฎมากมายพันธนาการ ปีนั้นลู่เฉินไปเที่ยวเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู ตั้งแผงดูดวง ก็ต้องทำตามกฎเดิมของไพศาล กดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตบินทะยาน
ทุกวันนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ถือว่าอยู่ในอาณาเขตของใต้หล้าไพศาลแล้ว ลู่เฉินได้เดินทางจากใต้หล้ามืดสลัว ‘สวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิด’ อีกครั้ง แน่นอนว่ายังต้องทำตามกฎที่หลี่เซิ่งกำหนดไว้
เพียงแต่ว่าหากพูดตามคำกล่าวบางอย่างของนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ที่แพร่หลายอยู่แค่บนยอดเขาแล้ว ขอบเขตสิบสี่ของลู่เหล่าซานแห่งป๋ายอวี้จิง ทั้งไม่ว่าใครก็สู้ไม่ได้ แล้วยังไม่ว่าใครก็สู้ไม่ได้อีกด้วย
นอกจากลู่เฉินที่พลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมืองแล้ว ห่างจากเฉินผิงอันไปแค่ไม่กี่ก้าว กลางทะเลเมฆยังมีบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมา ลักษณะเป็นผู้ฝึกกระบี่ สิงกวานหาวซู่
หาวซู่พลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมือง ยืนอยู่ข้างกายลู่เฉิน หรี่ตามองไกลไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ปีนั้นรับหน้าที่เป็นสิงกวาน แต่แท้จริงแล้วกลับแค่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนฝึกกระบี่อยู่ในคุกของเฒ่าหูหนวกมาโดยตลอดเท่านั้น
หาวซู่สงสัยใคร่รู้มานานแล้วว่า เหตุใดจนถึงท้ายที่สุด เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยังไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากเขา
เฉินผงิอันยังคงนั่งยอง กุมหมัดคารวะอีกฝ่าย หาวซู่ไม่ได้หันหน้ามา เพียงแค่กุมหมัดเอนๆ มาทางเฉินผิงอัน ถือเป็นการคารวะกลับคืนต่ออิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
อิ่นกวานกับสิงกวานกลับมาเจอกันอีกครั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มองดูแล้วแต่ละคนต่างผ่อนคลายสบายอารมณ์กันอย่างมาก
เฉินผิงอันถาม “หนันกวงจ้าวถูกผู้อาวุโสสังหารหรือ?”
หาวซู่พยักหน้า “ราคาที่ต้องจ่ายน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มากนัก สรุปก็คือไม่ได้ถูกกักตัวอยู่ในสวนกงเต๋อคอยตกปลาอยู่เป็นเพื่อนหลิวชาก็แล้วกัน”
ความหมายของหลี่เซิ่งก็คือ หาวซู่สังหารหนันกวงจ้าวผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานของแผ่นดินกลาง นี่ถือเป็นบุญคุณความแค้นบนภูเขา คือบัญชีเก่านานปี เดิมทีศาลบุ๋นไม่มีทางขัดขวางไม่ให้หาวซู่เดินทางไปยังใต้หล้ามืดสลัว เพียงแต่ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมศาลบุ๋นจึงเท่ากับว่าละเมิดกฎ ศาลบุ๋นพิจารณาตามเหตุการณ์แล้วก็อนุญาตให้หาวซู่มาสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินสองคนที่นี่
ดังนั้นหาวซู่จึงอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลต่อ ความคิดเห็นของหลี่เซิ่ง ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำให้คนไม่มีความเห็นต่างได้เสมอ
อันที่จริงด้วยนิสัยของหาวซู่ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถพกกระบี่บุกออกไปได้ เพราะเต๋าเหล่าเอ้อจะต้องคอยรับเขาอยู่ที่จุดเชื่อมต่อระหว่างใต้หล้าทั้งสองแห่ง เพียงแต่หาวซู่คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ อีกอย่างหาเรื่องใครก็ได้ แต่อย่าไปหาเรื่องหลี่เซิ่งเด็ดขาด
ลู่เฉินนั่งอยู่ตรงริมขอบของหัวกำแพงเมือง ขาสองข้างห้อยตกลง ส้นเท้ากระทบกับหัวกำแพงเมืองเบาๆ เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ผินเต้าอยู่ในถิ่นของเจ้านครกวอแห่งป๋ายอวี้จิง ต้องทำหน้าหนาขอให้คนอื่นเขาทำบุญทำทาน ถึงสร้างห้องหนังสืออัตคัดใหญ่เท่าเมล็ดงาเมล็ดถั่วเขียวขึ้นมาได้ห้องหนึ่ง ตั้งชื่อไว้ว่าเรือนพิศพันกระบี่ ดูท่าความองอาจจะยังน้อยเกินไป”
ไม่มีคนสนใจ
หากไปอยู่ที่ป๋ายอวี้จิง ไหนเลยจะเงียบกริบขนาดนี้
เหลือบตามองทิศใต้ ลู่เฉินยื่นมือมาจับประคองกวานเต๋าที่ถือเป็นของแทนตัวของเจ้าลัทธิป๋ายอวี้จิงบนศีรษะ จุ๊ปากพูดว่า “หวงหลวนผู้นี้ช่างสายตาดีจริงๆ รู้จักเลียนแบบกวานดอกบัวของผินเต้า น่าเสียดายที่โชคร้ายไปสักหน่อย ไม่อย่างนั้นครั้งนี้จะต้องไปโอภาปราศรัยกับเขาสักสองสามประโยคให้จงได้”
ลู่เฉินหันไปมองเฉินผิงอัน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “พบคนตกปลาในธารา อยากถามว่าท่านตกปลามานานกี่ปีแล้ว?”
เฉินผิงอันหัวเราะหยันเอ่ย “เก็บคันเบ็ดรัดข้องปลา เหน็บเคียวข้างเอวไปตัดกุยช่าย?”
สำหรับการเล่นทายคำปริศนาของคนทั้งสอง หนิงเหยากับหาวซู่สิงกวานต่างก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองต่างก็เป็นคนที่ไม่ชอบคิดอะไรมาก พอดีกับที่ข้างกายของตัวเองต่างก็มีคนที่ยินดีจะคิดมากที่สุดอยู่ด้วย
ลู่เฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เฉินผิงอัน ปีนั้นข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องแต่งตัวดีๆ อันที่จริงรูปโฉมก็ไม่เลว ตอนนั้นเจ้ายังทำหน้ากังขา ผลล่ะเป็นอย่างไร ตอนนี้คงจะเชื่อแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าว “หากข้าจำไม่ผิด ปีนั้นนักพรตลู่ไม่ได้พูดแบบนี้นะ”
ลู่เฉินยื่นมือมาลูบคลำปลายคาง “สรุปแล้วเป็นเจ้าที่ไม่ระวังหลงลืมไป หรือเป็นผินเต้าที่จำผิดกันแน่นะ?”
เฉินผิงอันกำสองมือเป็นหมัด วางลงบนหัวเข่าเบาๆ
——