กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 848.2 มังกรและงูผงาดจากดิน
ลู่เฉินกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง “เฉินผิงอัน เมื่อไหร่จะไปเป็นแขกที่ใต้หล้ามืดสลัวล่ะ ถึงเวลานั้นผินเต้าสามารถช่วยนำทางไปยังป๋ายอวี้จิงได้นะ นครเสินเซียวเอย หอจื่อชี่เอย รับรองว่าผ่านด่านไปได้อย่างราบรื่น เจ้าน่ะไม่รู้อะไร ทุกวันนี้ที่ป๋ายอวี้จิง ในบรรดาคนต่างถิ่นของใต้หล้าแห่งอื่นก็เป็นอิ่นกวานอย่างเจ้านี่แหละที่ทำให้คนสงสัยใคร่รู้และรอคอยมากที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็เป็นหนึ่งในนั้น ยังมีแม่นางหนิงแห่งนครบินทะยาน เฝ่ยหรานแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แน่นอนว่าต้องมีเฉาสือผู้ฝึกยุทธ รวมไปถึงหลิวไฉผู้ฝึกกระบี่ที่ถึงกับสยบกำราบเฉินสืออีได้ แต่สิ่งที่เจ้าหลิวไฉผู้นี้ทำให้ป๋ายอวี้จิงสนใจได้มากที่สุดยังคงเป็นการที่เขาคนเดียวได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อาจารย์ของผินเต้าเป็นผู้ปลูกเองกับมือถึงสองลูก ด้อยกว่าของพวกเจ้าไประดับหนึ่ง”
ในหนึ่งร้อยปีนี้เป็นอวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองที่เป็นผู้รับชอบจัดการกิจธุระในป๋ายอวี้จิง ร้อยปีถัดไปก็ควรจะถึงคราวของลู่เฉินที่ควบคุมดูแลใต้หล้ามืดสลัวแล้ว
เฉินผิงอันเงียบไม่คุยด้วย
เรื่องของเรือราตรีทำให้จิตใจของเฉินผิงอันสงบมั่นคงขึ้นได้หลายส่วน อิงตามการเปรียบเปรยของอาจารย์ตน ต่อให้เป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง ก็ยังมองเรือราตรีที่ไปมาอยู่บนมหาสมุทรอย่างไร้ร่องรอยลำนั้นว่าคล้ายกับยุงตัวหนึ่งที่บินอยู่ในบ้านของมนุษย์ธรรมดาซึ่งยากจะสังเกตเห็นได้ นี่หมายความว่าขอแค่เฉินผิงอันระมัดระวังมากพอ ปิดบังร่องรอยในการเดินทางได้ดีพอก็จะมีโอกาสหลบพ้นสายตาของป๋ายอวี้จิงมาได้ นอกจากนี้โอกาสในการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของเฉินผิงอันก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว
ดูเหมือนลู่เฉินจะมองความคิดของเฉินผิงอันออกอย่างปรุโปร่งจึงตบอกดังสนั่นดุจรัวกลอง พูดจาเป็นหลักเป็นฐานน่าเชื่อถือ “เฉินผิงอัน เจ้าคิดดูนะ พวกเราสองคนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เพราะฉะนั้นขอแค่ถึงเวลานั้นเป็นข้าที่ได้ดูแลป๋ายอวี้จิง ต่อให้เจ้าพกกระบี่บินทะยานไปจากใต้หล้าไพศาล โหม่งหัวเข้าไปในป๋ายอวี้จิง ข้าก็ยังสามารถลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงกันตามนี้”
ลู่เฉินมีสีหน้าตกใจเหมือนวัวสันหลังหวะ พูดอย่างลำบากใจว่า “หา? ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าเอาจริงเลยหรือนี่?”
เห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มทำตัวเป็นน้ำเต้าตันอีกครั้ง ลู่เฉินก็ได้แต่ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ดูสิดู ไม่ได้ต่างไปจากเด็กหนุ่มของตรอกหนีผิงในปีนั้นเลย ฝ่ามือข้างหนึ่งตบเข่าเบาๆ เริ่มพูดคุยกับตัวเอง “ผู้ฝึกบำเพ็ญตนที่มักมองเห็นความผิดพลาดของตัวเอง ย่อมจะสอดคล้องกับจุดประสงค์ของการฝึกบำเพ็ญตน กายอยู่ในเรือนของตัวเอง ฝึกจิตให้บริสุทธิ์อยู่อย่างสงบในบ้านเกิด ลืมกายของตนไปก่อน แล้วค่อยเข้าใจความหมายโดยมิต้องเอ่ยวาจา ศาสตราเทพแปรเปลี่ยนสู่ขอบเขตลี้ลับเกินหยั่ง หมื่นสรรพสิ่งกับข้ารวมเป็นหนึ่ง หลุดพ้นจากฝุ่นธุลีกลับคืนสู่ธรรมชาติ…”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วไม่พูดจา
ลู่เฉินยกมือข้างหนึ่งขึ้น คีบใบไม้ใบหนึ่งออกมาจากปราณวิญญาณฟ้าดิน พอปล่อยนิ้วมือออก ใบไม้ก็ลอยกลางอากาศ จากนั้นพลิ้วร่วงลง เขาโบกมือปาดไปหนึ่งครั้ง ใบไม้ถูกพาให้เปลี่ยนวิถีโคจร เส้นทางจึงขยับเข้าใกล้มือของลู่เฉินกว่าเดิมหลายส่วน
เฉินผิงอันรู้ว่าลู่เฉินอยากจะพูดอะไร
นี่ก็คือการที่สันดานมนุษย์ถูก ‘สิ่งอื่น’ กระชากลากถู ดึงให้ขยับมาใกล้ และใน ‘สิ่งอื่น’ นี้ แน่นอนว่าต้องมีสันดานแห่งเทพที่บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ล่อลวงใจคนได้ดีที่สุด ทำให้คน ‘เลื่อมใสใฝ่หา’ มากที่สุด
และยิ่งเป็นวิธีการที่ลึกลับซ่อนเร้นและเป็นธรรมชาติอย่างถึงที่สุดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาลห่างไกลได้สร้างไว้เพื่อเผ่ามนุษย์ เป็นทั้งทางลัดบนเส้นทางการฝึกตน ทั้งยังเป็นขีดจำกัดของคอขวดในการเดินขึ้นสู่ยอดสูงของเซียนดินในอดีต
ผู้ฝึกตนบนโลกมนุษย์มีเส้นทางใต้ฝ่าเท้าให้เดินนับไม่ถ้วน มรรคกถาดั้งเดิม วิชาที่สืบทอดเป็นระบบอันดับหนึ่ง วิถีทางสายรองลำดับรองลงมา วิถีนอกรีตที่ลำดับลดหลั่นลงมาอีกขั้น เวทคาถาพันหมื่น แต่คนที่เดินขึ้นเขาซึ่งได้ครอบครองคำว่าบริสุทธิ์เต็มตัวมีเพียงผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกยุทธเท่านั้น และเส้นทางสองสายนี้ต่างก็ถูกมองเป็นเส้นทางหัวขาดพอดี หนึ่งยากจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตบินทะยานไปได้ อีกหนึ่งมักจะหยุดเดินอยู่ที่ขอบเขตสิบ
และหมื่นปีที่ผ่านมา คนที่ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างแท้จริง อันที่จริงกลับมีแค่เฉินชิงตูคนเดียวเท่านั้น
เพราะคนพิฆาตมังกรที่มักจะไป ‘พึ่งพิงใต้ชายคาผู้อื่น’ ชอบลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์คนนั้นได้เดินบนทางลัดเส้นหนึ่ง ใช้วิธีการสบายๆ เดินเข้าไปยังฟ้าดินกว้างใหญ่ของขอบเขตสิบสี่ ใช้วิชาอภินิหารปณิธานความมุ่งมั่นบางอย่างของลัทธิพุทธ
หลังจากนั้นก็เป็นอดีตอิ่นกวานเซียวสวิ้น เส้นทางการผสานมรรคาของนางห่างจากคำว่าบริสุทธิ์ไปไกลยิ่งกว่า ผสานมรรคากับตำหนักอิงหลิงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เท่ากับว่าผสานมรรคากับดินอวยพร นางแทบจะเป็นฝ่ายสละคำว่าบริสุทธิ์เต็มตัวของผู้ฝึกกระบี่ทิ้งไปด้วยตัวเองแล้ว
จากนั้นต่อมาก็เป็นขอบเขตสิบสี่ของหลิวชาราชาบนบัลลังก์เก่า น่าเสียดายที่ยังไม่ทันเสริมสร้างขอบเขตให้มั่นคงก็ถูกเฉินฉุนอันซัดอีกฝ่ายให้หล่นร่วงลงมาหนึ่งขอบเขตอย่างเด็ดเดี่ยว และผู้รอบรู้ที่มาจากสายหย่าเซิ่ง บนบ่าแบกตะวันจันทราผู้นี้ สุดท้ายแล้วได้สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรไว้ ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลที่เว้นจากคนบนยอดเขา จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจรู้ได้
ส่วนอวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิง นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ได้ครอบครองระบบสืบทอดที่บริสุทธิ์ดั้งเดิมที่สุด ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย ไม่พูดถึงนักพรตซุนที่ให้คนอื่นยืมกระบี่เซียนไท่ป๋ายไปก็เท่ากับว่าเป็นฝ่ายสละขอบเขตสิบสี่ทิ้ง พูดถึงแค่เต๋าเหล่าเอ้อที่ถูกขนานนามให้เป็นผู้ไร้เทียมทานผู้นี้ ก็เพราะว่าเขาได้เดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของวิถีแห่งมรรคกถา ดังนั้นต่อให้เวทกระบี่จะเข้าขั้นเชี่ยวชาญก็มีเพียงกับคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว’ นี้ที่ต้องเสียเปรียบไปไม่น้อย
อาเหลียงที่อยู่ระหว่างคนพิฆาตมังกร ‘เฉินชิงหลิว’ กับอิ่นกวานเซียวสวิ้น แม้จะบอกว่าอาเหลียงหนีไม่พ้นชาติกำเนิดลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ของเขาเข้าใกล้ความบริสุทธิ์ของเฉินชิงตูมากที่สุด ดังนั้นรอกระทั่งขอบเขตของอาเหลียงถดถอย ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ บุคคลอย่างนักพรตหญิงแห่งใต้หล้ามืดสลัวที่เข้าร่วมการประชุมริมลำคลองครานั้น ต่อให้นางจะไม่ใช่ศัตรูของอาเหลียง ถึงขั้นที่ว่าไม่เคยคบค้าสมาคมกับอาเหลียง แต่นางก็ยังโล่งอกเหมือนๆ กับคนอื่น
ต่อให้ฟ้าดินของใต้หล้าทั้งหลายจะใหญ่แค่ไหน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงนอกฟ้าที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่า เพราะสำหรับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่แล้ว มีแห่งหนใดที่ไปเยือนไม่ได้บ้างเล่า?
หากไม่ทันระวัง การพกกระบี่เดินทวนแม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาอย่างที่กล่าวถึงในตำนานก็ยังมีความเป็นไปได้ หากระหว่างทางที่เดินย้อนทวนกระแสน้ำขึ้นไปมีวิธีการอีกอย่างหนึ่งที่สามารถหลบเลี่ยงสายตาของบรรพจารย์สามลัทธิและของหลี่เซิ่งไปได้ ในปัจจุบันเว้นจากผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ที่มีอายุอยู่มายาวนานและมีคุณสมบัติประสบการณ์โชกโชนที่สุดอย่างป๋ายเจ๋อ บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่และเฒ่าตาบอดแล้ว ฆ่าใครก็คือฆ่าเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
เฉินชิงตูที่เป็นผู้ฝึกกระบี่บนยอดเขาสูงสุดของขอบเขตสิบสี่ หากไม่เป็นเพราะตายไปในศึกภูเขาทัวเยว่ จำต้องสาวไหมใส่ตัวเอง (เปรียบเปรยว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน หาเรื่องใส่ตัว) เลือกผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อย่างนั้นก็คงอยู่ตัวคนเดียวพกกระบี่ออกเดินทางไกลไปแล้วกระมัง?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมมติว่าเฉินชิงตูสามารถพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นอยู่บนเส้นทางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนี้ได้?
ดังนั้นหากโลกมนุษย์มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบห้าคนใดปรากฏตัว
เกรงว่าต่อให้เป็นบรรพจารย์สามลัทธิก็คงไร้เรี่ยวแรงจะขัดขวางจริงๆ แล้ว การกระทำทุกอย่างเป็นไปตามใจปรารถนา ออกกระบี่หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์เพียงอย่างเดียว หนึ่งกระบี่ปล่อยออกไป ฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ
ลู่เฉินพลันยิ้มเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน หากเจ้าสามารถชิงเดินขึ้นไปบนยอดสูงสุดของเส้นทางวรยุทธได้ก่อน ข้าก็รอคอยอยากจะเห็นภาพการถามหมัดของเจ้าที่ป๋ายอวี้จิงในภายหลังอย่างยิ่ง”
เผยเปยเทพีแห่งการต่อสู้ของราชวงศ์ต้าตวน ซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธแห่งต้าหลี ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ถือเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดตามความหมายที่แท้จริง ก็แค่เหมือนว่าได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งข้ามธรณีประตูไปก่อนเท่านั้น
เฉินผิงอันเอ่ย “ยังเร็วไปนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่จะมีวันนั้นหรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก นักพรตลู่ไม่ต้องตั้งตารอคอยอะไรกับเรื่องนี้หรอก”
ลู่เฉินยิ้มตาหยี “เฉินผิงอัน วิธีการออกหมัดของเจ้า ทุกคนล้วนรู้กันดี ศึกเขียวขาวแห่งสวนกงเต๋อครานั้น ทุกวันนี้บนภูเขาของใต้หล้ามืดสลัวต่างก็ได้ยินกันหมดแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
ลู่เฉินเหลือบตามองข้อมือของเฉินผิงอันแล้วส่ายหน้า “ไม่ เป็นเจ้าที่คิดน้อยไป”
เฉินผิงอันถาม “เจ้ามาทำอะไรที่นี่? คงไม่ใช่ว่ามาแค่เพื่อพูดจาเหลวไหลกับข้าสองสามประโยคกระมัง?”
ลู่เฉินเงยหน้ายิ้มกล่าว “ทุกวันนี้ดวงจันทร์สามดวงของเปลี่ยวร้างเหลือแค่สองดวงแล้ว ผินเต้าต้องรีบมาดูชมให้มากหน่อย สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหากไม่ทันระวัง วันใดอาจเหลือดวงจันทร์แค่ดวงเดียวหรือไม่ ว่าไหม?”
เฉินผิงอันตอบ “คงจะใช่กระมัง”
ผู้ฝึกกระบี่สองคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่อาศัยเรือข้ามทวีปลำหนึ่งเพิ่งท่องเที่ยวหลิวเสียทวีปเสร็จก็เดินทางมาเยือนท่าเรือแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งเก่าของสำนักอวี่หลง ได้หวนกลับคืนมายังมาตุภูมิเดิมอีกครั้ง
คนผู้หนึ่งคือเฉินซานชิวที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งเสียใจภายหลังที่ไม่ได้แอบหนีไปอยู่ใต้หล้าแห่งที่ห้า อีกคนหนึ่งคือเตี๋ยจ้างเถ้าแก่ใหญ่ของร้านเหล้า นางรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ตัวเองมีเรื่องที่โชคดีมากที่สุดอยู่สามเรื่อง ตอนเด็กช่วยอาเหลียงซื้อเหล้า ได้รู้จักกับสหายอย่างพวกหนิงเหยา สุดท้ายก็คือได้ร่วมกันเปิดร้านเหล้ากับเฉินผิงอัน
อันที่จริงนอกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ภูเขาห้อยหัว ร่องเจียวหลงและสำนักอวี่หลง หากจะพูดให้ถูกต้องก็ล้วนถือว่าเป็นซากปรักของสนามรบแล้ว ตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดของฟ้าดินแห่งนี้อย่างภูเขาห้อยหัวได้เดินทางไปยังทวีปอื่นเหมือนกับนครบินทะยาน แต่บริเวณใกล้เคียงกับร่องเจียวหลงและสำนักอวี่หลงล้วนถูกศาลบุ๋นสร้างเป็นท่าเรือขึ้นมาชั่วคราว เจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักอวี่หลงในทุกวันนี้ก็คือสตรีเจ้าของตำหนักสุ่ยจิงหนึ่งในเรือนพักส่วนตัวขนาดใหญ่สี่แห่งของภูเขาห้อยหัวในอดีต อวิ๋นเชียน
แต่เรื่องที่น่าสนใจก็คืออวิ๋นเชียนป่าวประกาศแก่ภายนอกว่า ตัวเองแค่มารับตำแหน่งเจ้าสำนักชั่วคราวเท่านั้น
ในอดีตนางพาคนออกเดินทางไกลไปหาประสบการณ์ ขึ้นฝั่งที่ใบถงทวีป เดินทางขึ้นเหนือไปตลอดทาง ทยอยไปเยือนแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปจึงโชคดีหลบพ้นหายนะ ช่วยรักษาควันธูปไว้ให้กับสำนักอวี่หลงมาได้
ท่าเรือขุนเขาสายน้ำแห่งหนึ่ง เรือข้ามทวีปลำหนึ่งของธวัลทวีปที่มีชื่อว่าไท่เกิง ก่อนหน้านี้ได้เดินทางลงใต้ ผู้ฝึกตนสองกลุ่มของหอโหยวเซียนและภูเขาหงซิ่งก็ได้โดยสารเรือข้ามฟากลำนี้มา วันนี้ผู้ดูแลเฒ่าสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติไม่กล้ามองคนของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์คู่นั้นในกลุ่มคน ก็ถามอย่างสงสัยว่า “ไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์กันดีๆ แล้วไปมีเรื่องกับคนอื่นได้อย่างไร? หรือว่าไปเจอกับศัตรูที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง?”
จู้ย่วนยิ้มฝืด ทำให้นางดูซึมเศร้าเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน นางเอ่ยอย่างหวาดผวาไม่คลาย “ไปเจอกับใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เกิดการปะทะกันขึ้น”
ผู้ดูแลเฒ่าได้ยินก็อึ้งตะลึงไป หลุดปากโพล่งมาประโยคหนึ่ง “แล้วทำไมพวกเจ้าถึงไม่รู้จักเผ่นหนีเล่า?”
เจี่ยเสวียนเอ่ยอย่างจนใจ “พวกเราก็ต้องวิ่งได้ไวพอถึงจะได้นะ”
ผู้ดูแลเฒ่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เจอกับนายท่านผู้นั้น ไม่หนีถึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ยืนนิ่งๆ ให้ตี จะได้โดนตีน้อยลง”
จากนั้นผู้ดูแลเฒ่าก็เอ่ยปลอบใจว่า “แล้วก็ไม่ต้องคิดมากหรอก ถูกอิ่นกวานสั่งสอนกับมือตัวเองไปรอบหนึ่ง อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเสียหน้า รอให้พวกเจ้าได้กลับบ้านเกิดไปแล้วยังจะมีข้อหัวที่ไม่เล็กไว้ให้พูดคุย ไม่ขาดทุน”
ครั้นจึงเหลือบตามองชายหญิงคู่นั้น ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “เฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนก็ยังดีกว่าพวกเจ้าเพียงเล็กน้อยไม่ใช่หรือ อีกอย่างพวกเจ้าก็ทำใจให้สบายเถอะ อิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้มีดีอยู่อย่าง ค้าขายด้วยแล้วสบายใจ ไม่เคยรังแกหรือหลอกลวงเด็กสตรีและคนชรา”
ผู้ดูแลเฒ่าไต้เฮาคือคนคุ้นเคยกันดีกับทั้งหอโหยวเซียนและภูเขาหงซิ่ง
ฟังคำปลอบใจของสหายเฒ่าคนนี้ เจี่ยเสวียนก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จู้ย่วนก็ยิ่งได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ผู้ดูแลเฒ่าลูบหนวดยิ้ม พูดอย่างลำพอง ราวกับนักดื่มบางคนที่กำลังย้อนทวนความทรงจำถึงวีรกรรมอันห้าวเหิมบางอย่างในอดีตบนโต๊ะสุรา “พวกเจ้าน่ะไม่รู้อะไร ปีนั้นตอนที่ภูเขาห้อยหัวยังไม่หนีหายไป ในเรือนชุนฟานแห่งนั้น เฮอะ ไม่ใช่ว่าข้าไต้เฮาคุยโวหรอกนะ บรรยากาศในตอนนั้นเรียกได้ว่าตึงเครียด การต่อสู้พร้อมปะทุขึ้นทุกเมื่อ ปราณสังหารอบอวลทั่วห้อง คนทำการค้าที่เคยแต่ค้าขายอยู่กับเรือข้ามฟากอย่างพวกเรา ไหนเลยจะเคยได้เห็นบรรยากาศแบบนั้นมาก่อน แต่ละคนเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว และคนแรกที่เปิดปากพูดก็คือข้านี่แหละ”
——