กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 849.1 สหายเจ้ามาหาใคร
คนรู้จักเก่าแก่สองคนที่อายุแตกต่างแต่กลับเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง เวลานี้ต่างก็กำลังนั่งยองอยู่บนหัวกำแพง อีกทั้งต่างก็ห่อไหล่ เอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อเหมือนกัน มองไปยังซากปรักสนามรบทางทิศใต้ร่วมกัน
ลู่เฉินหันหน้ามามองคนหนุ่มที่อยู่ข้างกาย ยิ้มเอ่ย “หากเวลานี้พวกเราสองคนเอาอย่างผู้อาวุโสหยาง ต่างคนต่างหยิบเอากระบอกยาสูบมาพ่นควันโขมง คงจะสบายอารมณ์ยิ่งกว่านี้ ขึ้นไปบนหัวกำแพงสูง ทอดสายตามองไกลไปหมื่นลี้ ถ่อมตัวแด่ใต้หล้า ละความทุกข์เบิกบานใจ”
ผู้เฒ่าที่อยู่เรือนหลังของร้านยาตระกูลหยางเคยเยาะหยันบรรพจารย์สามลัทธิว่าเป็นพวกผีซิว (ปี่เซี๊ยะ) ที่ตัวใหญ่ที่สุดในฟ้าดิน ดีแต่กินไม่รู้จักคาย
สิ่งที่เฉินผิงอันมองเห็นในสายตากลับเป็นเพียงต้นหญ้าหร็อมแหร็ม ปรารณกระบี่ส่ายไหว ราวกับว่ามองเห็นกระดูกขาวกองกันเป็นภูเขา ปราณกระบี่พุ่งทะยานสู่ชั้นฟ้า ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เลือดท่วมเต็มตัวปล่อยเส้นผมสยายอยู่กลางสนามรบ เคยเอนกายนอนเมามายพิงกระถางธูปอยู่ตรงระเบียง ในมือถือจอกน้ำพุสุรา เซียนกระบี่ผู้มีทั้งชื่อเสียงและมาดสง่างาม ราวกับว่าได้มองเห็นการเดินนำไปก่อนก้าวหนึ่งของโฉวเหมียวที่คฤหาสน์หลบร้อน ทว่าเขากลับจากไปไม่หวนคืน ราวกับมองเห็นเกาขุยที่เรียนกระบี่แรกในชีวิตนี้มาจากบรรพจารย์ เป็นเหตุให้กระบี่สุดท้ายจึงเป็นการถามกระบี่ต่อบรรพจารย์หลงจวิน มีเซียนกระบี่หญิงโจวเฉิง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอินเฉินที่มีใจพร้อมตายมานานแล้ว มีเถาเหวินบนสนามรบที่มีเพียงความตายเท่านั้นถึงจะช่วยปลดปล่อยเขาได้ และยังมีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่มากความรู้ความสามารถอีกมากมายที่หันหลังให้กับหัวกำแพงเมือง หันหน้าเข้าหาทิศใต้ เป็นส่งกระบี่ ตายหยุดกระบี่…
ลู่เฉินมองอิ่นกวานหนุ่มที่บนใบหน้าไม่ได้แสดงความกลัดกลุ้มทุกข์ใจแม้แต่น้อยคนนี้แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เจ้าอายุน้อยๆ ก็อยู่ในตำแหน่งสูงแล้ว ช่วยสร้างคุณูปการค้ำฟ้ายันมหาสมุทรอันใหญ่หลวงให้กับศาลบุ๋น ใครเล่าจะกล้าเชื่อ บอกตามตรงนะ ปีนั้นหากอยู่ในเมืองเล็กแล้วมีใครบอกข้าแต่แรกว่าจะมีเรื่องในวันนี้เกิดขึ้น ให้ตายข้าก็ไม่เชื่อหรอก”
อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้น ลู่เฉินเคยพาเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ออกจากสำนักโองการเทพย้ายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาไปพบ ‘เฉินผิงอัน’ หลายคนที่ไม่เหมือนกัน มีเฉินผิงอันที่อาศัยความมานะอุตสาหะกลายไปเป็นบุรุษที่ครอบครัวมีอันจะกิน ซ่อมแซมบ้านบรรพบุรุษ และยังมีกิจการอยู่ในตัวจังหวัด มีเพียงช่วงชิงหมิงหรือสิ้นปีเท่านั้นที่ถึงจะพาคนในครอบครัวกลับบ้านเกิดมาเซ่นไหว้หน้าหลุมศพ มีเฉินผิงอันที่อาศัยความเฉลียวฉลาดหาเลี้ยงชีพ กลายไปเป็นพ่อค้าร้านเล็กๆ ที่พอจะมีกำลังทรัพย์อยู่บ้าง มีเฉินผิงอันที่เป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรต่อ ฝีมือของเขายิ่งนานก็ยิ่งขัดเกลาได้อย่างชำนาญ สุดท้ายจึงได้กลายเป็นช่างของเตาเผามังกร แล้วก็มีเฉินผิงอันที่เป็นชายเร่ร่อนไม่โทษคนไม่บ่นฟ้า ใช้ชีวิตเอ้อระเหยลอยชายอยู่ไปวันๆ แม้จะมีจิตเป็นกุศล แต่กลับไม่มีความสามารถที่จะสร้างกุศล นานปีแล้วปีเล่า กลายไปเป็นตัวตลกของชาวบ้านในเมืองเล็ก และยังมีเฉินผิงอันที่เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ช่วงชิงตำแหน่งจวี่เหรินมาได้ กลายไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียน ตลอดชีวิตไม่แต่งภรรยา ชั่วชีวิตนี้สถานที่ไกลที่สุดที่เคยไปเยือนก็คือที่ว่าการจังหวัดและเมืองหงจู๋ มักจะยืนอยู่หน้าตรอกเหม่อมองท้องฟ้าอยู่เป็นประจำ
ลู่เฉินถึงกับเริ่มต้มเหล้า จึงง่วนอยู่กับตัวเอง เขาที่ก้มหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ยามที่หิมะกำลังจะตกลงมาจากฟ้า เหมาะให้ดื่มสุราเป็นที่สุด เพราะถึงอย่างไรตนเองในวันนี้ทุกๆ คนก็ล้วนไม่ใช่ตัวเองของเมื่อวานแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่ใช่เจ้าลัทธิลู่เสียหน่อย ค้ำฟ้ายันมหาสมุทรอะไร ฟังแล้วน่าตกใจนัก เป็นเรื่องที่แค่คิดก็ยังไม่กล้าเลย แต่บ้านเกิดของข้ามีคำพูดเก่าแก่ประโยคหนึ่งที่กล่าวได้ดี เรี่ยวแรงสามารถเอาชนะความยากจน ความขยันสามารถเอาชนะเภทภัย มีเหลือกินเหลือใช้ทุกปี ทุกครั้งที่ถึงด่านปีก็จะสามารถผ่านพ้นแต่ละปีไปได้ด้วยดี ไม่ต้องกลัดกลุ้มกังวล”
ลู่เฉินพยักหน้า “ขนบธรรมเนียมของชาวบ้านในเมืองเล็กเรียบง่ายบริสุทธิ์ คำพูดโบร่ำโบราณก็มีมากมาย ข้าเคยสัมผัสกับตัวเองมาก่อน ได้ประโยชน์มาไม่น้อย และข้าเองก็เป็นเพราะวางแผงดูดวงอยู่ในบ้านเกิดเจ้าได้ไม่นานพอ จึงได้เรียนรู้มาแค่ผิวเผินเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้น ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยือนนักพรตซุนที่อารามเสวียนตูใหญ่ ใครสอนใครให้วางตัวเป็นคนก็ยังไม่แน่เลยนะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของลู่เฉินแม่นยำ หรือเป็นเพราะเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้ร่ายวิชาอภินิหารกันแน่ ถึงได้มีหิมะตกลงมาจริงๆ อีกทั้งยังเป็นหิมะใหญ่เท่าขนห่านอย่างสมชื่ออีกด้วย เกล็ดหิมะใหญ่เท่าฝ่ามือ คนต่างถิ่นของไพศาลที่มาหาประสบการณ์บนหัวกำแพงเมืองแห่งนี้อย่างพวกเว่ยจิ้น เฉาจวิ้น แน่นอนว่าตกตะลึงระคนยินดีเป็นทบทวี ยามที่หิมะใหญ่ตกลงมา ทัศนียภาพจะยิ่งงดงามชวนมอง ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ผู้คนบางตา ลมพัดแรงอากาศหนาวเย็น เกล็ดหิมะเล็กๆ ปิดผนึกภูเขาใหญ่และแม่น้ำ
ลู่เฉินที่ง่วนอยู่กับการต้มเหล้าเอ่ยปลงอนิจจังขึ้นมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ทางต้องเดินให้มั่นคง ข้าวต้องกินช้าๆ คำพูดต้องพูดให้ดี รู้จักทำดีกับคนอื่น หาเงินด้วยความปรองดอง ทะเลาะเบาะแว้ง ตีรันฟันแทง ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก เฉินผิงอัน เจ้าว่าใช่เหตุผลนี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าพลางพยักหน้ารับ “เวลานี้สถานที่นี้คำพูดนี้ ฟังแล้วมีเหตุผลมากเป็นพิเศษ”
ข้างกายของตนก็คือหนิงเหยา ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างกายลู่เฉินก็คือสิงกวานหาวซู่
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้ฉีถิงจี้และลู่จือต่างก็ยังไม่ได้ออกไปจากหัวกำแพงเมือง
คนทั้งสี่ต่างก็เป็นคนกันเองของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เหลือเพียงเจ้าคนที่บ้านเกิดอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่กลับวิ่งไปเป็นเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวผู้นี้เท่านั้นที่เป็นคนนอกซึ่งไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นสักเท่าไร
ดังนั้นก่อนที่ลู่เฉินจะเอ่ยประโยคนี้กับเฉินผิงอันจึงแอบใช้เสียงในใจสอบถามหาวซู่ว่า “ใต้เท้าสิงกวาน หากใต้เท้าอิ่นกวานให้เจ้าฟันข้า เจ้าจะฟันหรือไม่ฟัน?”
หาวซู่ให้คำตอบอย่างไม่ลังเล “อยู่ที่อื่น เฉินผิงอันพูดอะไรล้วนไม่ได้ผล อยู่ที่นี่ ข้าย่อมต้องพิจารณาอย่างจริงจัง”
อันที่จริงลู่เฉินมีอคติต่อเรื่องของการประลองเวทคาถาบนภูเขาอย่างถึงที่สุด เว้นเสียจากว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู หรือยกตัวอย่างเช่นไปงัดข้อกับเทวบุตรมารนอกโลกที่ฆ่าอย่างไรก็ไม่หมดสิ้นที่ฟ้านอกฟ้า ปีนั้นหากไม่เป็นเพราะช่วยศิษย์พี่ปกป้องมรรคาถึงจำต้องหวนกลับมาบ้านเกิดอย่างใต้หล้าไพศาล เขาก็ไม่สนใจหรอกว่าฉีจิ้งชุนจะสามารถก่อตั้งลัทธิตั้งตนเป็นบรรพจารย์ได้หรือไม่ บนโลกใบนี้มีเพิ่มมาหนึ่งก็ไม่ถือว่ามาก ลดน้อยลงไปหนึ่งก็ไม่ถือว่าน้อย ฟ้าดินก็ยังคงเป็นฟ้าดินแห่งนั้น วิถีทางโลกก็ยังคงเป็นวิถีทางโลกอยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย
แต่คนที่เกียจคร้านอย่างลู่เฉินก็มีคนที่เลื่อมใส ยกตัวอย่างเช่นความรักเดียวใจเดียวและความดึงดันของอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู นักพรตซุนบอกว่าเอากระบี่เซียนไท่ป๋ายให้ยืม แต่แท้จริงแล้วเท่ากับมอบให้ป๋ายเหย่ คืออิสระเสรีอย่างหนึ่งที่มีความองอาจห้าวเหิม ในฐานะบุคคลอันดับที่ห้าของใต้หล้ามืดสลัวที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน และยังเป็นผู้นำของสายเซียนกระบี่แห่งลัทธิเต๋า หากเจ้าอารามผู้เฒ่าซุนไหวจงถือครองไท่ป๋าย เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ ศิษย์พี่รองผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของลู่เฉินก็คงต้องทำตัวให้กระฉับกระเฉงเพื่อต่อสู้กับอีกฝ่ายให้ดีๆ สักตั้ง
ส่วนเฉินชิงตูเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ใช้ความไร้อิสระของคนคนหนึ่งแลกเปลี่ยนมาด้วยอิสระเสรีอันยิ่งใหญ่ในอนาคตอีกพันปีหมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ในใต้หล้าห้าสี ไยจะไม่ใช่อิสระเสรีที่ยิ่งใหญ่ของใจคน
ส่วนเฉินผิงอันที่ใช้สถานะของอิ่นกวานผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือนั้น เป็นการกระทำที่จำใจ จิตใจมิอาจเปลี่ยนแปลง
ความเสียดายเพียงหนึ่งเดียวของลู่เฉินก็คือเฉินผิงอันไม่อาจสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งกับมือตัวเองแล้วแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองได้ ไม่ว่าเฉินผิงอันจะแกะสลักตัวอักษรตัวใดลงไป พูดถึงแค่ลายมือและความหมายนั้น ลู่เฉินก็รู้สึกว่าต่อให้ได้แค่มองไม่กี่ทีก็คุ้มค่าให้ตนคอยแอบดอดหนีออกจากป๋ายอวี้จิงมาที่นี่บ่อยๆ แล้ว
ลู่เฉินยื่นเหล้าถ้วยหนึ่งไปให้กับเฉินผิงอัน “มองดูภาพบรรยากาศการนั่งลงถกเหตุผลของเจ้าเมื่อครู่นี้แล้ว มีหวังที่จะได้เลื่อนเป็นเซียนเหริน มีความหวังมากแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย ข้าอยู่ที่นี่ขอแสดงความยินดีก่อนล่วงหน้า ส่วนของขวัญร่วมแสดงความยินดีนั้นคงต้องติดเอาไว้ก่อน เหลือค้างไว้สักสองสามปี วันหน้าเมื่อเจ้าไปใต้หล้ามืดสลัวก็ไปขอจากข้ามาได้เลย ข้าจะไปรีดไถเอามาจากนครและหอเรือนต่างๆ ของป๋ายอวี้จิงที่สนิทสนมกันก็แล้วกัน”
ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะไม่มีจิตใจที่ระแวดระวังอะไร เขารับถ้วยเหล้ามาแล้วก็ดื่มทันที ลู่เฉินชูแขนขึ้นสูง ยื่นเหล้าอีกถ้วยหนึ่งไปให้หาวซู่ที่อยู่ข้างกาย อิ่นกวานและสิงกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็รับเอาไว้แล้ว ลู่เฉินโน้มตัวไปด้านหน้า ถามว่า “แม่นางหนิง เจ้าเองก็เอาสักถ้วยไหม? เป็นเหล้าหมักเซียนที่มีเฉพาะของนครชิงชุ่ยแห่งป๋ายอวี้จิง เจียงอวิ๋นเซิงเพิ่งจะรับตำแหน่งเจ้านคร ข้าอุตส่าห์ไปขอมาอย่างยากลำบาก เจียงอวิ๋นเซิงก็คือนักพรตน้อยที่เฝ้าประตูอยู่กับเซียนกระบี่ใหญ่จางลู่น่ะ ทุกวันนี้เจ้าลูกกระต่ายผู้นี้นับว่าร่ำรวยใหญ่แล้ว ถึงกับกล้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา พร่ำพูดไม่ขาดปากว่าทำทุกอย่างไปตามหน้าที่”
หนิงเหยาเอ่ย “ไม่ต้อง”
ลู่เฉินเองก็ไม่กล้าบังคับในเรื่องนี้ นักพรตเฒ่าจำนวนไม่น้อยของป๋ายอวี้จิง ทุกวันนี้ต่างก็กังวลว่าอยู่ในใต้หล้าห้าสีแห่งนั้น ในอนาคตวันใดวันหนึ่งกองกำลังลัทธิเต๋าจากฝ่ายต่างๆ ของใต้หล้ามืดสลัวจะถูกหนิงเหยาพกกระบี่ไปไล่ฆ่ากวาดล้างพวกเขาจนหมดสิ้นหรือไม่
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งอึก ถามว่า “ศิลาขอฝนที่อยู่ในศาลเทพวารีลำคลองม่ายเหอแผ่นนั้น เนื้อหาของคาถานั้นมาจากสถานที่แห่งใดของห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง?”
ในอดีตจวนปี้โหยวของลำคลองม่ายเหอคือวังมังกรลำน้ำใหญ่แห่งหนึ่งของใบถงทวีป เพียงแต่ว่าผ่านเวลามาเนิ่นนานเกินไป แม้แต่ทางฝั่งสำนักกุยหยกของของเจียงซ่างเจินก็ยังไม่มีหลักฐานให้ตรวจสอบ เพียงแค่ทิ้งเรื่องเล่าประหลาดที่ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังบางอย่างไว้ตามสถานที่ต่างๆ ของราชวงศ์ต้าเฉวียน ปีนั้นจงขุยเองก็ไม่ได้บอกสาเหตุ ทางฝั่งของสำนักศึกษาต้าฝูก็ไม่มีบันทึกเอาไว้
ลู่เฉินเช็ดมุมปาก แกว่งถ้วยเหล้าเบาๆ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “อ้อ หมายถึงคาถาห้าพันกว่าตัวอักษรจากแผ่นหยกนั่นน่ะหรือ กลายเป็นอากาศเย็นสี่ฟ้า ปัดกวาดไอร้อนให้ใต้หล้าให้หมดสิ้น ข้ารู้จัก บอกตามตรง พอจะมีความเกี่ยวข้องเท่าเมล็ดงากับข้าอยู่บ้าง วางใจได้ เรื่องนี้ข้าไม่มีแผนการยาวไกลอะไรจริงๆ ไม่ได้คิดจะเล่นงานใคร ผู้มีวาสนาย่อมได้รับมันไป เพียงแค่นี้เท่านั้น”
เฉินผิงอันถาม “อยากให้ข้าถ่ายทอดให้แก่เฉินหลิงจวินหรือไม่?”
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่เฉินผิงอันไม่ได้ถ่ายทอดคาถาบทนี้เสียที ยินดีมอบให้กับเจียวน้ำหงเซี่ยมากกว่า ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าให้เฉินหลิงจวินมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ลู่เฉินถอนหายใจ ไม่ได้ให้คำตอบโดยตรง “ข้าคาดเดาว่าเจ้าหมอนี่คงไม่ยินดีจะไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวแล้วล่ะ ช่างเถิด ฝนจะตกสตรีจะออกเรือน ล้วนต้องปล่อยไป”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “สรุปว่าเฉินหลิงจวินกับธิดามังกรผู้นั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกันกันแน่ คู่ควรให้เจ้าต้องใส่ใจขนาดนี้เชียวหรือ?”
ลู่เฉินกลอกตา “พวกเจ้ามีช่องทางมาก ไปตรวจสอบเอาเองสิ เมืองหลวงต้าหลีมีเฟิงอี๋อยู่คนหนึ่งไม่ใช่หรือ? ถึงอย่างไรร่างจริงของเจ้าก็อยู่ห่างจากศาลเทพอัคคีแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะถือโอกาสหลอกเอาเหล้าหมักร้อยบุปผามาได้อีกหลายกาก็เป็นได้”
นอกจากเรื่องกวาดล้างพื้นที่มงคลร้อยบุปผาแล้ว ยังมีเรื่องเล่าว่าเอาหญ้าอ้ายฉ่าวเผานาบหน้าผากธิดามังกร ถือว่าเป็นการปกป้องบนมหามรรคาอย่างหนึ่งต่อธิดามังกรผู้นั้น เส้นทางการหลบหนีของมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายบนโลก มองดูเหมือนตระหนกลนจนไม่เลือกเส้นทาง เป็นฝ่ายมาขึ้นบกที่แจกันสมบัติทวีป นอกจากเพื่อตามหาหอบินทะยานของหยางเหล่าโถวแล้ว ก็ยังหวังด้วยว่าเฟิงอี๋ที่มหามรรคาสอดคล้องกับ ‘ลมโชยน้ำขึ้น’ ผู้นั้นจะสามารถช่วยเป็นคนกลาง พูดจาดีๆ ถึงนางสองสามคำ ไม่อย่างนั้นหยางเหล่าโถวที่เป็นชิงถงเทียนจวินซึ่งตำแหน่งเทพมีหน้าที่เป็นผู้ดูแลเซียนดินบุรุษแล้ว ย่อมไม่มีทางสนใจความเป็นความตายของมังกรที่แท้จริงตัวหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ในสายตาของกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลส่วนใหญ่แล้ว เผ่าพันธ์เจียวหลงของใต้หล้าที่รับหน้าที่ดูแลการโคจรของชะตาน้ำล้วนเป็นพวกกบฏทั้งสิ้น
เฉินผิงอันถามอีก “มหามรรคาใกล้ชิดกับน้ำคือคุณสมบัติของเซียนดินก่อนที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตจะแตก เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตามธรรมชาติ หรือว่ามีความลี้ลับอย่างอื่น ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลัง?”
ลู่เฉินหัวเราะอย่างฉุนๆ “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าเห็นข้าเป็นแกะแล้วจะจับมาถอนขนอย่างไรก็ได้ ได้ไหม? พวกเราสองคนแค่ดื่มเหล้า คุยแต่เรื่องวันวานไม่ได้หรือ?”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “แน่จริงเจ้าก็อย่าแสร้งโอ้อวดวิชาอภินิหารตัดบัวยังเหลือใย อาศัยสือโหรวมาลอบสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงในเมืองเล็กและภูเขาลั่วพั่วสิ”
ลู่เฉินกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ชุยตงซานตัดขาดความเชื่อมโยงไปแล้วไม่ใช่หรือ เอาแต่พลิกเปิดบัญชีเก่าอยู่ได้ น่าเบื่อจะตายไป อีกอย่างข้าก็แค่เบื่อ ไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย”
เฉินผิงอันถาม “ได้เจอลู่ไถแล้ว?”
ลู่เฉินพยักหน้า “พื้นที่มงคลดอกบัวแบ่งออกเป็นสี่ส่วน เขาได้ครอบครองส่วนหนึ่งในนั้น ฝึกตนอย่างราบรื่น นอนหนุนหมอนสูงไร้กังวล เทียบกับติงอิงในอดีตแล้วยังเป็นไท่ซ่างหวงมากกว่า เลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่งในพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่มีชื่อว่าภูเขาฝูหรง แต่ลู่ไถปล่อยจิตหยินออกจากร่างเดินทางไกลไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัว เปิดร้านเหล้าแห่งหนึ่งร่วมกับแม่นางน้อยคนหนึ่งข้างตลาดปลา กิจการรุ่งเรืองนัก ร้านเหล้าเหลาสุราแห่งอื่นส่วนใหญ่ล้วนเป็นเถ้าแก่เนี้ยะที่มีเสน่ห์เย้ายวน เรียกหมู่ภมรให้บินมาดอมดม แต่ร้านเหล้าของเขากลับดีนัก ทุกวันมีแต่เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้ว ล้วนเป็นสตรีที่อุดหนุนเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงของเขา”
เฉินผิงอันยื่นถ้วยเปล่าไปให้ เอ่ยว่า “หมาตัวนั้นต้องตั้งชื่อได้ดีแน่”
ลู่เฉินรับถ้วยมา รินเหล้าจนเต็มถ้วยอีกครั้งแล้วยื่นส่งกลับไปให้เฉินผิงอัน ยิ้มกล่าว “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ”
เฉินผิงอันถาม “ก่อนอาจารย์ฉีและช่างหร่วน อริยะสองลัทธิพุทธและเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจู มีใครบ้าง?”
ลู่เฉินเอ่ย “เจ้านี่ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ยินดีตอบคำถามนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ตอบเรื่องก่อนหน้านี้”
ลู่เฉินลังเลไปชั่วขณะ คงเป็นเพราะตัวเขามีฐานะเป็นคนของลัทธิเต๋าจึงไม่คิดจะพัวพันอยู่กับลัทธิพุทธมากเกินไปนัก “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าบรรดาช่างของเตาเผามีชายใจหญิงคนหนึ่งที่ชอบแอบไปซื้อผงชาดประทินโฉม? ใช้ชีวิตอย่างละเลือนมาชั่วชีวิต ไม่มีวันใดที่ยืดเอวตรงได้ สุดท้ายก็ได้แต่ฝังศพอย่างลวกๆ ให้จบเรื่องกันไป?”
เฉินผิงอันพยักหน้า ขมวดคิ้วกล่าว “จำได้ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นอาของซูเตี้ยนผู้ฝึกยุทธหญิงของร้านยาตระกูลหยาง แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับที่มหามรรคาของข้าใกล้ชิดกับน้ำด้วย?”
เคยได้ยินหลิวเสี้ยนหยางเล่าให้ฟังว่า ซูเตี้ยนแห่งร้านยาคนนั้นมีชื่อเล่นว่าแยนจือ และไม่รู้ว่าทำไมจึงมีท่าทางคล้ายจะเป็นปรปักษ์กับเฉินผิงอันเล็กน้อย ในเรื่องของการฝึกหมัด นางก็หวังมาโดยตลอดว่าจะเหนือกว่าตน สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันสับสนมึนงงนัก เพียงแต่คร้านจะคิดให้ลึกซึ้ง เพราะถึงอย่างไรสตรีผู้นั้นก็เป็นลูกศิษย์ของหยางเหล่าโถว ถือว่าเป็นคนรุ่นเดียวกับหลี่เอ้อ เจิ้งต้าเฟิง
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เกี่ยวกับอดีตของบุรุษน่าสงสารคนนั้น เจ้าสามารถไปถามหลี่หลิ่วได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ปีนั้นข้าตั้งแผงดูดวงอยู่ในเมืองเล็กเป็นเพราะมีกฎเกณฑ์บังคับ นอกจากคนรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้าแล้วก็ไม่อนุญาตให้ข้าสืบสาวต้นกำเนิดของใครส่งเดช”
เฉินผิงอันก้มหน้าดื่มเหล้า สายตาเหลือบมองขึ้นด้านบน ยังคงเป็นกังวลกับสนามรบแห่งนั้น
สิงกวานหาวซู่ที่ปรากฏตัวเพิ่มมาคนหนึ่ง อันที่จริงหากรวมฉีถิงจี้และลู่จือเข้าไปก็สามารถจับมือกันเดินทางไกลครั้งหนึ่งได้แล้ว เพียงแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านี่ใช่แผนการของลู่เฉินหรือไม่ กลัวก็แต่ว่ากระตุกผมเส้นเดียวจะสะเทือนทั้งร่าง ทำลายแผนการที่ศาลบุ๋นวางไว้ให้ยุ่งเหยิงอย่างสิ้นเชิง
ลู่เฉินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “มักจะมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้คนอับจนหนทาง ได้แต่เบิกตามองดูอยู่เฉยๆ เท่านั้นเสมอ เข้าไปยุ่งด้วยก็มีแต่จะก่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน แต่หากไม่ช่วยเหลือ ในใจก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ”